10-15-20 หนูผิดตรงหนายยยยยย
*เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติที่มาจากเรื่องจริง อ่านเอาไว้เป็นอุทธาหรณ์ก็แล้วกันนะคะ
**ตัวละครทั้งหมดเป็นตัวละครที่สมมติขึ้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดๆ ทั้งสิ้นเน้อ...
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า...
วันหนึ่ง พี่ทนายที่สำนักงานได้ให้ฉันไปฟังคำพิพากษาแทนเนื่องจากว่าเขาต้องไปว่าความที่ต่างจังหวัด
ซึ่งในบัญลังก์ที่ฉันต้องไปนั่งฟังคำพิพากษานั้น ก็พบว่ามีทนายและตัวความมานั่งรอ
การพิจารณาอยู่หลายคนเหมือนกัน
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นต้นเหตุของเรื่องที่จะเอามาเล่าให้ฟังนี้...
คดีนี้เป็นการฟ้องแพ่งระหว่างนางก้อย (นามสมมติ) โจทก์ กับนางสาวนก (นามสมมติเช่นกัน) จำเลย ฟ้องกันใน
ข้อหาผิดสัญญากู้ยืมแล้วเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญา
ที่น่าสงสารคือนางสาวนกเป็นลูกหนี้ ไม่มีเงินแม้แต่จะจ้างทนาย เลยมาศาลคนเดียว กะเอาว่ายังไงก็ตายอยู่แล้ว
ก็ไม่ต้องเอาทนายมาว่าความให้เสียสตางค์กันหรอก เพราะคิดว่าตัวเองก็แพ้คดีแหงๆ
ก่อนหน้าที่ศาลจะขึ้นบัญลังก์ นางก้อยก็กระหยิ่มยิ้มย่องใจเต็มที่ว่าตนเองต้องชนะคดีแน่ๆ เลยทำท่า
ออกจะกร่างสักหน่อยในสายตาของฉันที่เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ และเลยพาลไปหมั่นไส้อีตาลุงทนาย
ของนางก้อยด้วย (สงสารจำเลยคดีนี้จริงๆ)
เมื่อศาลซักจำเลยว่า เป็นหนี้กับเจ้าหนี้จริงหรือไม่ นางสาวนกก็ยอมรับว่าเป็นหนี้นางก้อยจริง
"แล้วจำเลยได้ชำระหนี้กับเจ้าหนี้บ้างหรือไม่" ทนายโจทก์ซัก
"ค่ะ แล้วก็มีสมุดเล็กๆ นี่เป็นหลักฐาน" ว่าแล้วก็ยื่นสมุดเล่มเล็กๆ ที่มีรูปดาราอยู่ตรงหน้าปกให้ศาลดู
ศาลรับเจ้าสมุดเล่มนั้นมาแล้วถามจำเลยว่า
"แล้วที่ค้างชำระอยู่นี่ต้นเงินเหลือเท่าไหร่ล่ะ"
"ต้นเงินหมดแล้วค่ะ แต่ว่าที่ยังเหลืออยู่นี่คือดอกเบี้ยค่ะ"
"แล้วต้นเงินเท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ล่ะจำเลย" ศาลถามด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
"ต้นเงิน 50,000 ดอกเบี้ยอีก 50,000 ค่ะท่าน" สิ้นคำของจำเลย ศาลหันขวับไปทางทนายจำเลยที่ยืน
ปั้นหน้าไม่ถูกก่อนที่จะถามจำเลยต่อ
"แสดงว่าจำเลยใช้หนี้ต้นเงินหมดแล้ว เหลือแต่ดอกเบี้ยใช่ไหม" ศาลถามจำเลยช้าๆ เหมือนต้องการย้ำ
ให้แน่ใจว่าที่จำเลยพูดมานี่ถูกต้อง...
"...ค่ะ ตอนนี้ก็ค้างแต่ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ทบต้นมาเท่านั้นแหละค่ะ"
"แล้วโจทก์เขาคิดดอกเบี้ยจำเลยร้อยละเท่าไหร่ต่อปีล่ะ"
จำเลยทำหน้างงอยู่นิดหนึ่ง "ก็คิดเป็นร้อยละ 10 ค่ะ กำหนดจ่าย 40 วัน ก็คิดเป็นวันละ 1,375 บาท
แต่ตอนหลังๆ มานี่ดิฉันจ่ายไม่ไหวเลยแบ่งจ่ายต้นกับดอกโดยโจทก์เขาก็เอาดอกเบี้ยมาคิดกับดอกที่เหลือ
ในอัตราร้อยละ 15 ต่อ 40 วันเหมือนเดิมอ่ะค่ะ แล้วก็เป็นอย่างนี้อีก 2-3 บัญชีทบกันไปเรื่อยๆ จนไม่มีปัญญา
จ่ายเลยต้องมาขึ้นศาลนี่แหละค่ะ" ระหว่างที่จำเลยแถลงต่อศาลนั้น ฉันก็เห็นหน้าของลุงทนายจำเลยซีดลงๆ
เรื่อยๆ แต่นางก้อยก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนตัวฉันเองน่ะเหรอ ก็กลั้นหัวเราะแทบตาย... ทำไมน่ะเหรอคะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละค่ะ
ศาลที่ได้ยินดังนั้นก็หันไปทางโจทก์ทันที
"ที่จำเลยพูดมานี่จริงหรือเปล่า"
"จริงเจ้าค่ะท่าน" นั่น... ตอบแบบมั่นใจเต็มที่อีก
"แล้วลายมือชื่อที่อยู่ในสมุดนี้ก็เป็นของโจทก์ใช่ไหม..."
"เจ้าค่ะท่าน เป็นลายมือของอิฉันหมดค่ะ"
"แล้วโจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อ 40 วันอย่างที่จำเลยพูดใช่ไหม"
"ใช่เจ้าค่ะท่าน"
ศาลหันไปชี้หน้าทนายจำเลยที่ยืนหน้าซีดกับคำยืนยันของโจทก์
"ทนายโจทก์ คุณเอาคดีนี้ขึ้นมาศาลได้ยังไง นี่คุณไม่รู้หรือไงว่าโจทก์เขาคิดดอกเบี้ย
เกินอัตรา แล้วคุณยังจะพาเขามาติดคุกอีกเหรอ... หา!"
สงสัยใช่ไหมคะ ว่าโจทก์เขาคิดดอกเบี้ยเกินอัตรายังไง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 กล่าวไว้ว่า
"ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้า ในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น
ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้า ต่อปี"
ซึ่งทางเจ๊ก้อยแกดันคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อ 40 วัน คิดตามกฎหมายง่ายๆ ว่า ประมาณร้อยละ
120 ต่อปีนั่นเอง ซึ่งฉันคิดว่าตอนแรกเจ๊แกคงจะคิดว่าในเมื่อกฎหมายไม่ให้คิดเกิน ร้อยละ 15 ก็คิด
ร้อยละ 10 แต่ดันไปคิดต่อ 40 วันเสียอย่างนั้น
ที่ว่าจะเอาลูกความมาติดคุกก็เพราะว่า พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ได้ระบุไว้ชัดเจนจะเรียก
ดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้ มิฉะนั้นจะมีโทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้นค่ะ... เจ๊ก้อยแกยังไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ แกเลยเถียงศาลท่านไปว่า (โดยที่ลุงทนายแกห้ามไม่ทัน)
"หมายความว่ายังไงคะท่าน ที่ว่าดอกเบี้ยเกินอัตรา ก็อิฉันก็ไม่ได้คิดเกินร้อยละ 15 นี่เจ้าคะ"
ศาลทำหน้าเบื่อๆ นิดหนึ่งก่อนจะวิสัชนานางก้อยไป
"ก็ไอ้ที่คุณคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 นั่นน่ะ มันต้องเป็นร้อยละ 10 ต่อปีถึงจะไม่ผิดกฎหมาย แต่นี่คุณเล่น
คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อ 40 วัน อย่างนี้มันก็ผิดกฎหมายนั่นสิคุณ"
"ครั้งนี้จะยกให้ละกันนะ แต่ถ้าคราวหน้าก็เตรียมตัวนอนใต้ถุนศาลได้เลย ไป... ไปตกลงกันที่ห้องไกล่เกลี่ยนู่น"
นับว่าศาลท่านนี้ยังเมตตาต่อเจ้าหนี้อยู่บ้างที่ไม่ลงโทษเจ้าหนี้ เพราะอาจจะถือว่าเจ้าหนี้ฉลาด แต่ยังไม่เฉลียว
แต่ที่แน่ๆ ฉันแอบสะใจมากๆ เลยล่ะค่ะ รวมทั้งทนายคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องพิจารณาด้วยกันยังเอ่ยปากออกมาว่า
"นี่ถ้าพี่ได้ว่าความนะ ลุงคนนั้นได้เสียเส้นไปหลายปีแน่ๆ" อะนะ ไม่มีความปราณีให้กับคนวิชาชีพเดียวกันเลยค่ะ พี่ขา
แล้วศาลก็ให้พักการพิจารณาคดี 15 นาที (คงจะปวดหัวกับคดีนี้ หรือไม่ก็แอบไปหัวเราะอยู่หลังบัญลังก์ก็ไม่รู้...)
ปล่อยให้ลุงทนายคนนั้นคาดโทษเอากับนางก้อย กับความแปลกใจของนางสาวนกว่า นี่หนูรอดมาได้ยังไงเนี่ย... งง
แต่ที่แน่ๆ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันอารมณ์ดี...
* คดีนี้สอนให้รู้ว่าถ้าเป็นหนี้เขา ก็ให้เก็บหลักฐานเอาไว้ดีๆ เช่น หนังสือสัญญา หลักฐานการชำระหนี้ (ค่างวด) ถ้าไม่ได้
ตัวจริงไม่เป็นไร ก่อนที่เจ้าหนี้จะเอาตัวจริงไปก็ให้ถ่ายเอกสารกับให้เจ้าหนี้เซ็นสำเนาถูกต้องเอาไว้ แค่นี้ก็อาจทำให้คุณ
กลายเป็นผู้ชนะในศาลได้
*ส่วนสำหรับผู้ที่คิดจะเป็นเจ้าหนี้ทั้งหลาย ก็อย่าคิดดอกเบี้ยเขาแพงเลยค่ะ เดี๋ยวอาจหน้าแตกเหมือนเจ้าหนี้รายนี้ได้
ไม่งั้นก็อาจได้ไปกินข้าวแดงในคุกได้นะเออ...
เอาเรื่องเล่านี้มาแปะขัดดอกเรื่องที่ค้างไว้ก่อนนะคะ แบบว่างานมันเร่งเข้ามา เวลาปั้นน้ำเป็นตัวเลยไม่ค่อยมี
วันหลังจะเอาเรื่องแปลกๆ ในศาลที่เจอมาเล่าให้ฟังนะคะ
แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 48 12:10:22
แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 48 12:09:56
จากคุณ :
waidhaya
- [
15 ธ.ค. 48 12:08:28
]