CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    =[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 96 ปณิธานฮั่นตง

    กระท่อมน้อยเชิงผารกร้าง กระท่อมแห่งนี้ก่อสร้างด้วยท่อนซุงขนาดใหญ่ มีความคงทนแข็งแรง ดูจากสภาพของมันแล้วน่าจะผ่านวันเวลามาไม่ต่ำกว่าสามสิบปี

    ผู้คนสี่คนประกอบด้วยสามบุรุษ หนึ่งสตรี กำลังนั่งล้อมวงรับประทานอาหาร บุรุษร่างใหญ่ราวเจดีย์เหล็ก ใบหน้าเคร่งเครียด คีบเนื้อไก่ในจานใส่ปากพลางขบเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นปากกล่าวว่า

    "พี่รอง! ท่านที่แท้นำพวกเรามายังที่แห่งนี้เพราะเหตุใด? ระหว่างทางข้าพเจ้ากลับได้ยินมาว่าที่แห่งนี้มิเพียงเป็นสถานที่อันรกร้างว่างเปล่า ยังมิค่อยมีผู้คนผ่านเข้ามาเนื่องเพราะเกรงกลัวเภทภัยจากภูตผีปีศาจ ท่านกลับนำพวกเรามาพำนักที่นี่!"

    "เจ้าโกย เรื่องนี้มิต้องให้น้องรองบอกออกมา ลองให้เราพี่ใหญ่คาดเดาดูเถิด การที่น้องรองทำเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะพวกเราต้องหลบหนีการตามล่าของ 'หน่วยงานล่าอสูร' ที่สำคัญพี่รองของเจ้ายังต้องเก็บตัวพักฟื้นกำลังฝีมือ สถานที่ๆ มิมีผู้คนนับว่าเหมาะสมในการหลบซ่อนฟื้นฟูกำลังยิ่งกว่าที่แห่งไหน"

    คนทั้งสี่ก็คือ อดีตยอดมือปราบที่ถูกตามล่า นามฮั่นตง กับพี่น้องของมัน ฟาหลินซี และเสี่ยวโกย กับเจ้าสำนักสาวแห่งหันซาน เหวินเหม่ยชิง

    เสี่ยวโกยได้ยินคำอธิบายขบคิดตามก็รู้สึกสมเหตุสมผล สถานที่ยิ่งลี้ลับอันตราย จึงเป็นสถานที่ปลอดภัย เพราะสถานที่เยี่ยงนี้ย่อมทำให้ทุกผู้คนหลีกลี้หนีไกล มิต้องห่วงว่าร่องรอยของพวกตนจะถูกเปิดเผย และแล้วมันพลันนึกถึงเรื่องอันใดได้ กล่าวว่า

    "สถานที่นี้ดียิ่ง พวกเราพำนักจนพี่รองหายดีเถิด” จากนั้นมันบ่นพึมพำพอได้ยินเพียงลำพังคนเดียว “หึ หึ เราจะได้ถือโอกาสนี้พิสูจน์ดูว่าคำพูดของท่านป้าที่แท้เป็นเรื่องราวใดกันแน่ หากว่าที่นี่มีภูตผีจริง เราจะให้พวกมันได้รู้ว่า..ผีสาง หรือเรา…เสี่ยวโกยยอดเยี่ยมกว่ากัน!"

    "พี่โกย ท่านบ่นพึมพำอันใด ไฉนไม่พูดออกมาให้พวกเราทุกคนได้ยินกัน?" เหวินเหม่ยชิงที่ด้านข้าง เห็นอีกฝ่ายบ่นงึมงำ จึงถามด้วยความสงสัยกับวาจาของอีกฝ่าย

    "ฮา ฮา มิมีอันใด ระหว่างพี่รองฟื้นฟูพลังฝีมือ เราย่อมหาเรื่องสนุกสนานกระทำ นั่นกลับเป็นวิสัยของเราผู้นี้ เหม่ยชิงเจ้ามิต้องสนใจดอก" เสี่ยวโกยตอบโต้ จากนั้นพลันยืดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ กล่าวว่าอิ่มแล้ว ตนจะออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบ

    ฮั่นตงที่นิ่งเงียบอยู่โดยตลอดพลันกล่าวว่า

    "เจ้าโกย! ทางที่ดีกลับมาก่อนฟ้ามืดค่ำ ยิ่งมิสมควรเถลไถลไปไกลนัก สถานที่นี้ในเวลาค่ำคืนมิเหมาะสมกับการเที่ยวเล่น!"

    เสี่ยวโกยพยักหน้ารับคำ ทว่าในใจกลับลอบตกลงใจว่า คืนนี้มันจะต้องออกสำรวจดูสถานที่แห่งนี้ในยามค่ำคืนให้จงได้!!!!


    …………..
    ………………………


    จันทร์เสี้ยวลอยเด่นกลางท้องนภา แสงสีทองของมันทอประกายสลัวเลือนราง ประกอบกับบรรยากาศมืดครึ้ม ของบริเวณอันรกร้าง ซึ่งสภาพแวดล้อมอันโดดเด่นมีโขดผาสูงชัน และหินแหลมระเกะระกะ

    สถานที่อันแห้งแล้งเดียวดายนี้ น้อยครั้งจะมีผู้คนเหยียบย่างกรายเข้ามา บางทีที่แห่งนี้อาจมิยินดีต้อนรับผู้คน บางทีมันอาจมิใช่สถานที่ของผู้คน และมนุษย์มิสมควรเหยียบย่างเข้ามา มันคือหน้าผารกร้างที่ผู้คนร่ำลือกันตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ว่าเป็นที่อาศัยของภูตผี เป็นหนทางที่ทอดสู่ประตูอเวจี เป็น… ‘ผาภูตครวญ’

    บุรุษผู้หนึ่งในชุดยาวสีขาวมอซอ เก่าขาดวิ่นอยู่หลายจุด คนผู้นี้มีคิ้วเรียวยาวเข้มแข็ง สองตาคมกล้า ประกายตาสุกใส ร่างของมันสูงโปร่ง ปล่อยผมเผ้ายาวสยายโดยมิผูกรัดให้เรียบร้อย คนผู้นี้เพียงดูจากการแต่งกายก็ทราบว่ามันเป็นคนที่ยากไร้ ตกระกำลำบาก ทว่าเมื่อประกอบกับใบหน้าคมเข้ม และบุคลิกงามสง่าของมันแล้ว มิว่าผู้ใดพบเห็นมันยังมิกล้าดูแคลน ยิ่งมิเห็นมันเป็นคนยากไร้สิ้นท่า!
    บุรุษหนุ่มยืนให้สายลมโชยพัดต้องร่างของมัน จนชุดยาว และเส้นผมปลิวไสว มันยืนอยู่ท่ามกลางดงหินแหลมคมที่ปลายแหลมชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า มันปล่อยให้ร่างต้องกับสายลมยะเยือกแหลมคมที่พัดผ่านระหว่างช่องว่างของหินใหญ่น้อย ทั้งยังสัมผัสถึงรังสีจากหินแต่ละแท่ง จ้องมองส่วนปลายอันแหลมคมของแท่งหิน! ตัวมันยืนแน่วนิ่ง จนกระทั่งตัวมันคลับคล้ายแท่งหินแท่งหนึ่งที่มีคนนำเสื้อผ้ามาสวมใส่เอาไว้

    อาจบางทีมีเพียงสภาพเช่นนี้จึงทำให้ ‘เขา’ สามารถหล่อหลอมพลังฝีมือชั่วชีวิตก่อเกิดเป็นกระบวนท่าอันแหลมคม กระบวนท่าอันเป็นไม้ตายที่รุนแรง รวดเร็ว และแหลมคมร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์บู๊ลิ้ม!!!!

    ...แน่นอนท่าไม้ตายนั้นย่อมเป็น ‘เงาพรายไร้รูป’ คนนั้นคือ ‘ฮั่นตง’

    ที่แท้สถานที่แห่งนี้คือบริเวณสำนักกระเรียนฟ้าในอดีต หินแหลมคือลานฝึกวิชา สำนักมังกรฟ้า เป็นสำนักลึกลับในยุทธภพ ยอดฝีมือในสำนักมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ตัวสำนักก็มิได้ก่อสร้างเป็นการถาวร แล้วแต่ว่าอาจารย์จะนำพาศิษย์ไปพำนักฝึกฝนยังที่ใด การรับศิษย์ก็ยากลำบากยิ่ง ในเวลานับร้อยปีที่ผ่านมากลับมีศิษย์ในสำนักมิถึงยี่สิบคน ฮั่นตงนับเป็นศิษย์รุ่นสุดท้าย ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดกำไลมังกรเขียว ซึ่งจัดสร้างจากเหล็กเย็นพันปี มีคุณสมบัติยืดหยุ่น และเปลี่ยนรูปร่างจากกำไลเป็นกระบี่ได้ โดยอาศัยเคล็ด “ปราณผันแปร” ประจำสำนัก

    ซึ่งต่อมาเมื่อฮั่นตงสำเร็จเคล็ดวิชาขั้นที่สิบในถ้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตอาวุธ และกักขังผู้คนที่ป่วยเป็นโรคผีตายซากเมื่อคราวก่อน เขาได้หลอมรวมกำไลมังกรเขียวเข้าสู่ร่าง ตั้งแต่นั้นกระบี่เงาพรายก็สาบสูญไปจากโลกนี้!!!!

    หลงเหลือเพียงปราณมังกรเขียวซึ่งคมกล้าเสียยิ่งกว่ากระบี่เงาพรายเสียอีก!!!

    ฮั่นตงจ้องดูหินเหล่านั้นระลึกถึงคำสอนของอาจารย์ ที่สอนให้มันทิ่มกระบี่ลงในหิน ให้ทะลุหิน ให้ตรงกับคมหิน แต่อย่าทำลายคมหิน ต้องทำให้หินนั้นคมกล้ายิ่งขึ้น!!!

    ทฤษฎีเช่นนี้โดยผิวเผินทำไม่ได้เด็ดขาด แท้จริงก็ทำไม่ได้ หากที่ฮั่นตงใช้มิใช่กระบี่โดยทั่วไป แต่เป็นกระบี่ที่ประกอบด้วย….ลมปราณ

    อาศัยลมปราณแทรกเข้าในอณูศิลา ทั้งทะลุทะลวง ทั้งประสานเสริม ทั้งหลอมรวม หินแหลมเหล่านั้นกลับคล้ายถูกทะลวงจนเป็นรูพรุน ยังถูกแทรกด้วยลมปราณ ทุกอณูของมันคล้ายกลับถูกสลาย และถูกสร้างขึ้นใหม่เกาะเกี่ยวเป็นหินแหลมลักษณะเช่นเดิม แต่เพิ่มความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น!!! กลายเป็นหินแหลมก้อนเดิมที่คล้ายเป็นก้อนใหม่ ทั้งยังคมกล้ามากยิ่งขึ้น!!! นี่จึงเป็นเคล็ดเฉพาะแห่งสำนักกระเรียนฟ้า!!!

    อดีตยอดมือปราบผู้นี้ หลังจากได้รับตัวยา “จีอวี้เย่า” เข้าสู่ร่าง ก็ทำให้ความคิดอ่านที่ปราดเปรียว กลับกลายเป็นงมงายสับสน ต่อมายังประมือกับยอดฝีมือสุดสูงเช่นหลี่เฉินเชียง สุดท้ายพ่ายแพ้อีกฝ่าย เพียงเพราะชั่ววูบที่คิดว่าตนเองจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง หากสามารถชนะอีกฝ่ายได้ ซึ่งแน่นอน นั่นย่อมเป็นเพราะ…ฤทธิ์ของยาเสริมกิเลส!!! และคำพูดยั่วยุของ “รั่วซุนจื่อจิง” ซุนหยางผู้เป็นมันสมองของฉิกจับอิดนั่นเอง!!!

    การพ่ายแพ้ครั้งนั้นทำให้ฮั่นตงบาดเจ็บสาหัส แต่ที่มีผลต่อมันมากที่สุดกลับมิใช่อาการบาดเจ็บทางกาย แต่เป็นอาการบาดเจ็บทางด้านจิตใจ!!!!

    จิตใจของเขาที่ถูกกระตุ้นให้กระหายจะได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง และถูกบดขยี้ทำลายด้วยฝีมือของหลี่เฉินเชียงจนย่อยยับ ฮั่นตงกำลังต้องการ การเยียวยาทางจิตใจ เวลานี้เขากำลังท่องเคล็ดเป็นอยู่ด้วยจิตว่างที่เสี่ยวซาถ่ายทอดบอกแก่เขา

    ชายหนุ่มทำจิตใจให้ว่างเปล่า รวบรวมสมาธิ ก่อเกิดลมปราณกระแสหนึ่งไหลเวียนไปทั่วร่าง ฮั่นตงรู้สึกทั่วร่างอบอุ่นเย็นสบาย จิตใจของเขายิ่งมายิ่งปลอดโปร่ง โคจรพลังอยู่สามสี่รอบรู้สึกว่าสมองสดใส ภาพการฝึกปรือเคล็ดวิชากับอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ช่วงหลังจากเขาได้รับยา “จีอวี้เย่า” แล้ว ภาพเหล่านี้ก็เลือนหายไปโดยสนิท ค่อยๆ ผุดขึ้นทีละเล็กละน้อย บวกกับสถานที่อันเป็นที่คุ้นเคยในอดีต ทำให้ฮั่นตงนึกถึงบางสิ่งที่ตนเองคล้ายลืมเลือนไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง!


    “อาตง เจ้าฝึกฝีมือเพื่ออันใด?” นี่เป็นคำถามแรกที่อาจารย์ถามแก่ตัวเขา

    เด็กชายจับจ้องมองอาจารย์ชราของตนแน่วแน่ ค่อยกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่นมั่นคง

    “ให้ข้าพเจ้าเป็นบุคคลสุดท้ายเถิด!”

    จากคุณ : มันตั้ม(น้องมันตรัย) - [ 16 ธ.ค. 48 00:46:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป