2
กล่าวถึงดล สุกิจ และจ้อย ซึ่งเดินเข้ามาจนลึกก็ยังไม่พบทางออก แถมระหว่างทางที่เดินไปก็เริ่มมีข้าวของตั้งวางระเกะระกะอยู่เป็นระยะๆ จนบางครั้งแต่ละคนถึงกับเดินสะดุดจนเกือบหกล้มหน้าคว่ำคะมำหงายเพราะความมืดของทางเดินนั้น
" เฮ้อ... เดินมาตั้งนาน ไม่รู้นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว "
จ้อยบ่นอุบอิบ
" ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีนาฬิกาเสียด้วยสิ "
สุกิจกล่าว
" เราก็เหมือนกัน "
ดลพูด
" เฮ้อ... ชักเมื่อยแล้วล่ะ เราขอนั่งพักเหนื่อยก่อนนะ "
จ้อยกล่าวจบก็ทรุดกายลงนั่งกับพื้น ในขณะที่ดลยังคงเดินต่อไปโดยมีสุกิจเดินตามมาห่างๆ
ทันใดกันนั้น...
ดลก็ตะโกนลั่นขึ้นมาว่า
" นี่...พวกเรา เจอห้องมหาสมบัติแล้วล่ะ "
" อะไรนะ ...!! "
จ้อยกับสุกิจตะลึงลานพลันรีบวิ่งตามมา ซึ่งในไม่ช้า นักเรียนทั้งสามก็อยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีเพดานสูงลิบ หากแต่รอบด้านนั้นยังมองไม่เห็นอะไร เนื่องจากไม่มีแสงสว่าง
" น่าจะเป็นห้องเก็บสมบัติของพิพิธภัณฑ์นะ ลองหาสวิตช์ไฟดูสิ "
ดลกล่าวจบทุกคนก็คลำหาสวิตช์ไฟบริเวณผนังห้อง
" เจอแล้วล่ะ "
จ้อยกล่าวจบก็เปิดสวิตช์ไฟนั้น
พรึบ..บ..บ !!
ดวงไฟขนาดใหญ่บนเดพานห้องสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน
" โอ้โห...!! อะไรกันเนี่ย ? "
สุกิจตะโกนลั่น
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของทั้งสามคนนั้น สุดจะหาคำใดมาบรรยายได้
ห้องขนาดใหญ่โตกว้างขวาง เพดานสูง มีเสาสีแดงชาดทำด้วยไม้สักเรียงรายอยู่หลายต้น เพดานทำด้วยไม้และเขียนลวดลายเหมือนในพระอุโบสถของวัดต่างๆ และทีสำคัญที่ทำให้นักเรียนทั้งสามถึงกับตะลึงงันจนตาค้างอยู่กันที่นั้นก็คือ บรรดาข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณมากมายก่ายกอง ทั้งที่ทำด้วยทอง เงิน นาค มุก ประดับเพชรนิลจินดาจนแวววาวระยิบระยับจับตาไปหมดทั้งห้องแห่งนั้น
ทั้งสามต่างตื่นตาตื่นใจในสิ่งที่ได้เห็น ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่มีมาล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้น
" ทำไมถึงมากมายขนาดนี้ "
ดลกล่าว
" สวยจังเลยล่ะ "
จ้อยพูด
" ของโบราณทั้งนั้นเลยนะ ทำไมเขาถึงไม่เอาไปแสดงให้คนดูกันก็ไม่รู้ "
สุกิจสงสัย
" ดูนั่นสิ ... !! "
ดลกล่าวจบก็ชี้ไปยังของสิ่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนแท่นวางข้างในสุดของห้อง
ทั้งสามรีบวิ่งไปดู มันเป็นกระจกโบราณติดอยู่กับกรอบไม้สีเขียวขี้ม้าที่ฉลุลายสวยงาม เป็นกรอบสองชั้นเอนเข้าออกได้ ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กๆซึ่งทำขึ้นมาเพื่อให้เข้าชุดกับกระจกบานนั้น ดูแล้วก็สมกันดี
" เอ๊... กระจกแบบนี้สมัยโบราณเขาเรียกว่าอะไรนะสุกิจ "
ดลถาม
" เขาเรียกว่า คันฉ่อง "
" เออใช่... คันฉ่อง "
ดลกล่าวจบ จ้อยก็หันไปมองยังทางที่พวกเขาเดินเข้ามาพลางว่า
" สงสัยป่านนี้อุ้มคงคอยตาตั้งแล้ว เราว่าเดินกลับไปทางเดิมกันเถอะ "
" แป๊บเดียวนะจ้อย ขอดูอะไรอีกนิด "
ดลกับสุกิจหันไปสนใจกับคันฉ่องบานนั้นโดยไม่ทันรู้เลยว่าอุ้มค่อยๆย่องเข้ามาในห้องแห่งนี้แล้ว ครั้นจ้อยทำท่าจะเรียก อุ้มกลับทำปากขมุบขมิบบอกให้จ้อยเงียบไว้ ก่อนที่ตนเองจะค่อยๆย่องเข้าไปยังดลและสุกิจอย่างช้าๆด้วยหวังว่าจะแกล้งทำให้ทั้งสองคนตกใจ
" ทำอะไรกันน่ะ !! "
อุ้มตะโกนลั่น...
" เฮ้ย... !! "
ดลกับสุกิจตกใจ เผลอเอามือปัดคันฉ่องกระเด็นไปปะทะผนังห้องจนแตกกระจายในทันที !!!
บึ้ม..ม..ม !!
บังเกิดเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่ว แล้วห้องทั้งห้องก็สั่นไหวอย่างน่ากลัว ข้าวของที่วางระเกะระกะต่างลอยขึ้นมาเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ รวมทั้งร่างของดล สุกิจ จ้อย และอุ้ม ที่ลอยละลิ่วไปมาอย่างไร้ทิศทาง
" ว๊าย ..!! สุกิจ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย "
จ้อยร้องลั่น
" ทำไงดี ทำไงดี ช่วยด้วย อ๊ายยยย... !!! "
อุ้มร้องก้อง
ประกายแสงวูบวาบส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ ในขณะที่เสียงระเบิดก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ และฝุ่นควันมากมายก็โหมกระหน่ำกระพือพัดจนคละคลุ้งไปทั่วห้องแห่งนั้น
ทันใด ผนังห้องด้านหนึ่งก็ระเบิดออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่มหึมา พร้อมกับเกิดแสงสว่างจ้าสาดส่องเข้ามาก่อนที่ข้าวของภายในห้องจะถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดยังคงดังถี่ขึ้นอย่างกระชั้นชิดและน่าสะพรึงกลัว ในขณะที่ร่างดล สุกิจ จ้อย อุ้ม ก็กำลังจะถูกดูดออกไปทางช่องว่างขนาดใหญ่นั้น เหล่านักเรียนทั้งสี่ต่างหาที่ยึดเกาะกันเป็นพัลวัน
" สุกิจ... จะทำไงดี "
จ้อยตะโกนถามท่ามกลางเสียงระเบิดอันดังสนั่น
" หาอะไรยึดไว้ให้ดีนะ อย่าให้ของแข็งโดนหัว สมองเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ต้องป้องกันเอาไว้ อย่างอื่นจะเป็นอะไรช่างมันก่อน "
สุกิจตะโกนตอบ
" เหตุการณ์คับขัน ยังจะมาสำบัดสำนวนอีก "
อุ้มตะโกน
" ไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วจะรู้สึก "
สุกิจกล่าวไม่ทันขาดคำ ไม้ท่อนหนึ่งฟาดเข้าใส่ศีรษะของอุ้มจนสลบไศล และร่างอุ้มก็ลอยละลิ่วตามลมออกจากห้องไป
" อุ้ม..อุ้ม..อุ้ม..!! "
ดล สุกิจ และจ้อยตะโกนร้องเรียก
" บอกแล้วก็ไม่เชื่อ "
สุกิจกล่าวจบดลก็ตะโกนขึ้นมาว่า
" เป็นไงเป็นกัน "
ดลพูดจบก็ปล่อยมือที่จับเสาต้นหนึ่งอยู่นั้นออก และร่างของดลก็ลอยตามอุ้มออกจากห้องไปเช่นกัน
" ดล !! จะบ้าเหรอ "
สุกิจตะโกนลั่น
" จะทำไงดีสุกิจ "
จ้อยตะโกนร้องถาม ท่ามกลางกระแสลมอันกรรโชกแรงที่พัดข้าวของมากมายให้ลอยละลิ่วและหลุดออกไปจากห้องแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา
ทันใดกันนั้นเอง...
เสาต้นที่จ้อยโอบกอดยึดเกาะอยู่นั้นก็เริ่มเคลื่อนที่ จ้อยร้องลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
" ว๊าย... !! สุกิจ ทำไงดี เสามันเคลื่อนแล้ว "
สุกิจตะโกนไปว่า
" อยู่เฉยๆนะจ้อย อยู่เฉยๆ ปล่อยให้มันเคลื่อนไป "
จ้อยมองหน้าสุกิจอย่างขุ่นข้องพลางตวาด
" ก็แน่น่ะสิ ฉันจะมีแรงไปดึงมันไว้ได้ยังไงล่ะ "
เสาเริ่มเคลื่อนมากกว่าเดิม สุกิจเห็นว่าตนเองอยู่ไม่ไกลจากจ้อยนักจึงคอยหาจังหวะที่ตัวถูกเหวี่ยงไปมาพยายามยื่นมือออกไปเพื่อจะจับแขนจ้อยเอาไว้
" มันไม่ถึงน่ะจ้อย "
สุกิจกล่าวพลางพยายามอีกแต่ก็ไม่สำเร็จ จ้อยเริ่มอ่อนแรงลงแล้วหลุดจากเสาในที่สุด
" ว๊าย... !! สุกิจ ช่วยด้วย "
" จ้อยยยยย !! "
สุกิจตะโกนร้อง ซึ่งเสียงของจ้อยก็หายไปพร้อมกับร่างอันตุ้ยนุ้ยนั้น เสาอันใหญ่หมุนคว้างเข้าหาร่างของสุกิจ แล้วฟาดร่างเขาจนลอยละลิ่วตามข้าวของที่เหลือออกจากห้องแห่งนั้นไปจนหมด
- - - - - - - - -
พิพิธภัณฑ์ปิดลงแล้ว
มัคคุเทศก์คนนั้นเดินกลับเข้ามาภายในห้องจัดแสดงอีกครั้ง ซึ่งในขณะนั้นไม่มีใครอยู่ ความงียบงันเคลื่อนเข้ามาปกคลุมจนถ้วนทั่ว และท่ามกลางแสงไฟสลัวที่สาดส่อง มัคคุเทศก์คนนั้นเดินตรงไปยังบานประตูไม้สักทองที่ปิดอยู่นั้น ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปเปิดมันออกมา
เกิดประกายแสงสีทองอร่ามตาวูบหนึ่ง จากนั้นจึงแลเห็นเป็นทางเดินยาวลึกเข้าไปภายใน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เมื่อเปิดออกมามันเป็นกำแพงหนาทึบ
มัคคุเทศก์เดินหายเข้าไปแล้วจึงปิดประตู ซึ่งจังหวะนั้นเองที่พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำพิพิธภัณฑ์ได้เดินมาเห็นพอดี
" นี่คุณ... เข้าไปในห้องนั้นทำไมน่ะ "
พนักงานรักษาความปลอดภัยตะโกนลั่นพลางรีบวิ่งตรงมายังประตูไม้สักทองบานนั้น ก่อนจะกระชากประตูให้เปิดออกด้วยหวังว่าจะติดตามเข้าไป แต่เขากลับต้องตะลึงในสิ่งที่เห็น
" ก..ก.. กำ.. กำแพงนี่ ? มันเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี๊ !! "
เขาตกใจกลัวสุดขีดและรีบวิ่งหนีไป
บานประตูค่อยๆปิดลงเองจนสนิท...
( จบตอนที่ 2 โปรดติดตามต่อตอนที่ 3 )
จากคุณ :
misterpolice
- [
18 ธ.ค. 48 11:28:49
]