CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    บนถนนนักเขียนผมคืออุปกรณ์ประกอบฉาก

    “หัวใจและวิญญาณมันถูกทำลายจนแหลกลาญเรียบร้อย ในมืออันสั่นระริกมีเพียงดินสอทู่ๆ จิตสำนึกรำพึงอยู่ภายในว่า มีเพียงการเขียนเท่านั้นที่จะทำให้ชีพยังถึงพรุ่งนี้ และวันนี้เล่า ความโหวงหวางว่างเปล่าที่กัดกร่อนจิตใจจะสลัดหลุดลงได้อย่างไร นาทีนี้และนาทีหน้า มีเพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้นที่บ่งบอกความมีชีวิต”
    พฤษภา 47
    ***********************************************




    ผมเขียนเรื่องนี้ในวันที่กำลังแฮ้งก์ เมื่อวานและวานซืนผมดื่มเหล้าติดกัน วานซืนผมได้นอนราว 3 ชั่วโมง ส่วนเมื่อวานผมดื่มตั้งแต่บ่ายจนถึงตี 2 และขณะกลับบ้าน รถเกิดเสียกลางทางทำให้ผมต้องลงไปเข็น เมื่อรถสตาร์ทติด ผมก็หมดแรงจนพูดไม่ออก ได้แต่นั่งหอบหายใจแรงๆ ใจเต้นเหมือนจะกระเด็นออกมาข้างนอก


    วันนี้ผมมึนหัวไปหมดเหมือนก็อดซิล่ามาอาละวาดในหัวแล้ววิ่งหนีไป ดื่มน้ำเข้าไปหลายอึกแขนขาเปลี้ยไปหมด ร่างกายเมื่อยสิ้นดี ปวดตุบๆแถวตับไต กินอะไรไม่ลงทั้งสิ้น วันทั้งวันทำได้แค่นอนเท่านั้น นอนพะงาบๆเหมือนปลาเกลือกพื้นสิ้นแรงกระเสือกร่าง

    ผมตื่นอีกทีตอนกลางดึก ท้องไส้สงบลงกว่าเดิม อาการเพลียยังคงอยู่ พระจันทร์ส่องสว่าง อากาศเย็นเข้ากันได้ดีกับเสียงระงมของแมลงกลางคืน ผมไม่รู้จะคิดถึงใครดี

    ผมเคยคิดถึงเธอ แต่ทุกวันนี้ผมไม่ได้คิดถึงเธอแบบนั้นอีกแล้ว เป็นเพียงความนึกถึงเท่านั้น คงจะดี หากวันหนึ่งเมื่อพบกันอีกครั้ง แล้วเราทำได้เพียงมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆในใจเพราะต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

    ********************************************




    “ไม่มีความหมาย.....
    สิ่งที่ผ่านมาพ้นไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
    อย่างกับว่าเรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
    ความรู้สึกที่เคยปรากฏ มันเลือนหายไปได้อย่างไรกัน
    หรือว่าเราต่างสมมติมันขึ้นมา
    ทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องร้ายๆ.....”
    สิงหา 48


    - - - - - - - - - - - - - - - - - -




    บนถนนนักเขียนผมคืออุปกรณ์ประกอบฉาก



    ผมจำได้ว่าเป็นเดือนสิงหาคม มีเรียนตอนสิบโมงเช้า ผมตื่นตอนแปดโมงครึ่ง ลุกไปเยี่ยว กลับมานั่งนิ่งๆบนเตียง ผ้าม่านกรองแสงได้ชะงัดนัก ทั้งห้องจึงอึมครึมทึมเทา ชักพาให้ความรู้สึกไม่อยากเข้าเรียนปรากฏชัดเจนขึ้น ผมนั่งอยู่อย่างนั้น มองนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ในเวลาเก้าโมงกว่าๆ มองเข็มวินาทีกระตุกขยับทีละครั้งๆ ผมกดปุ่มให้นาฬิกาคลายสัญญาณปลุกที่พร้อมจะดังขึ้นในเวลาข้างหน้า ผมตื่นแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะต้องมาปลุกกันอีก

    รายการโทรทัศน์ช่วงเช้าในวันธรรมดา ไม่มีอะไรดึงดูด แม้บางช่องจะมีหนังมาฉาย แต่กลับเป็นเรื่องโนเนมที่ไม่น่าดูสักนิด ผมปิด โทรทัศน์เงียบ

    มีฝุ่นอยู่ไม่น้อยบนวิทยุ เทปเพลงเกลื่อนอยู่รอบเครื่อง เช้าวันนี้ผมไม่นึกอยากฟังเพลงเหมือนเช่นทุกวัน ผ่านเวลาสิบโมงไปสิบนาทีได้แล้ว ผมคลายกังวล รู้สึกโล่งที่เลยเวลาเรียนไปได้ ผมสายแล้วขืนไปเข้าเรียนก็ไม่ได้เช็คชื่ออยู่ดี


    เวลาเที่ยงครึ่ง เพื่อนโทรเข้ามาที่ห้องถามว่าผมจะไปเรียนตอนบ่ายไหม ผมบอกไปว่าไม่ แล้วผมก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมอ่านจนถึงสี่โมงเย็น จึงออกจากห้องหาข้าวกิน ผมกลับไปอ่านหนังสือต่อ เกือบๆทุ่มผมจึงอ่านจบ

    เป็นครั้งแรกที่ผมได้อ่าน นวนิยายเรื่อง “คำพิพากษา” ของ ชาติ กอบจิตติ ผมยังจำความรู้สึกในการอ่านตอนนั้นได้อยู่ นั่นคือหนังสือเล่มแรกของนักเขียนท่านนี้ที่ผมได้สัมผัส

    ค่อยๆละเลียด ทำความคุ้นเคยทีละตัวอักษรทีละคำ ทำความรู้จักตัวตนของผู้เขียนผ่านประโยคที่สานเป็นเรื่องราว รับรู้ลีลาภาษาเฉพาะตัวที่แสดงออกมา เรื่องราวค่อยๆดึงอารมณ์ให้คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่ออ่านจบ ผมได้ความรู้สึกบางอย่าง หลังเงยหน้าจาหนังสือ มองดูโลกรอบๆ กวาดสายตามองหาตัวละครในหนังสือที่อาจปะปนอยู่เบื้องหน้า


    แม้ “คำพิพากษา” จะไม่ใช่หนังสือเล่มแรกที่มีอิทธิพล ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียน แต่นับได้ว่าเป็นอีกเล่มที่ปะทุความอยากของผมให้โชติช่วงขึ้นภายใน

    “ถ้าอยากได้ความรู้คุณต้องอ่านบทความ แต่ถ้าอยากได้ชีวิตคุณต้องอ่านเรื่องแต่ง” ในเวลาต่อๆมา ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น


    หลายคนเมื่อค้นพบว่าอยากเป็นนักเขียน พวกเขาจึงเริ่มลงมือเขียน แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ผมเลือกที่จะอ่านให้มากขึ้นแทน

    การเป็นมือใหม่ในโลกวรรณกรรม เหมือนคนตามืดบอดคลำทางไม่รู้ทิศ นักเขียนที่ผมรู้จักมีเพียงน้อยนิด คำโปรยหลังปกก็ช่างเลิศหรูจนดูเหมือนว่า หนังสือทุกเล่มในโลกช่างยอดเยี่ยมไปเสียทั้งหมด ผมจึงเริ่มอ่านโดยเอารางวัลเป็นที่ตั้ง อ่านหนังสือที่ได้รับการยกย่อง หน่วยงานที่ทำหนังสือ 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ช่วยผมได้ระดับหนึ่งทีเดียวในการเป็นแผนที่บอกทางให้รู้จักวรรณกรรมไทย(แต่ผมไม่สามารถอ่านได้ครบหรอก เพียงสิบกว่าเล่มผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าชอบอ่านงานแบบไหน)

    สุดท้ายเมื่ออ่านได้จำนวนหนึ่ง ผมได้รับรู้ว่า การจะทำความรู้จักกับหนังสือต้องอ่านเท่านั้น อย่าเพิ่งเชื่อในคำบอกเล่าจนกว่าจะได้อ่าน หนังสือหลายเล่มที่ไม่มีใครชอบเราอาจเพลิดเพลินกับมัน หนังสือหลายเล่มที่ถูกค่อยขอดว่าไร้สาระอาจมอบมุมคิดเล็กๆบางอย่างให้แก่ตัวเรา หนังสือหลายเล่มต้องใช้เวลาเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ใช่ว่าอ่านแล้วจะเข้าใจได้ทันที หนังสือหลายเล่มโอ่อวดตนจนเกินงามและให้เราได้เพียงข้อคิดเก่าๆที่ลักจำเขามา

    ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่าหนังสือของผมจะอยู่ในหมวดไหนกัน ผมคิดทั้งที่ยังไม่มี แม้ประโยคเดียวที่ผมเขียนแต่ผมก็คิด

    **********************************************


    ที่เขี่ยบุหรี่ทำจากแก้ว สีใส ขนาดใหญ่ วางบุหรี่ครึ่งมวนที่ยังลุกไหม้ไว้บนขอบหยัก หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่มีคำพูดหลุดออกจากปาก วินาทีถัดไปคิดว่ายังไม่มีเช่นกัน กระไอเย็นจางๆลอดออกมาพร้อมเสียงถอนหายใจแผ่วเบา เครื่องบินผ่านไปมองเห็นลิบๆ แก้วน้ำตรงหน้าไม่มีน้ำ ในใจมุ่งหวังเสียงชื่นชมและคำเยินยอแต่ในชีวิตไร้ซึ่งผลงาน ผมคิดฝันแต่ไม่ใช่เพ้อฝัน

    ************************************************

    จากคุณ : อุปกรณ์ประกอบฉาก - [ 18 ธ.ค. 48 13:45:51 A:203.113.81.36 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป