ฉันกับน้องสาวอยู่กับย่า ปู่ และอาเล็ก ดูทุกคนไม่มีใครรังเกียจพวกเรา แต่ดูว่าพวกเค้าทุกคนจะทำตัวเหมือนเป็นคนง่อย หยิบจับทำอะไรเล็กน้อยไม่ได้สักอย่าง โดยเฉพาะอาเล็ก
ฉันทั้งนั้นที่ต้องคอยรับใช้ทุกคนถ้วนหน้าอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉันกับน้องยังต้องอาศัยบ้านหลังนี้ไปอีกนานหลายปี ฉันช่วยงานปู่กับย่าทุกอย่างเหมือนกับเวลาที่อยู่กับพ่อแม่
ฉันไม่เคยมีเรื่องขัดใจกับอาเลยสักครั้ง ทั้งๆที่ฉันรู้สึกว่าเกลียดเค้าอยู่เป็นกำลัง ทำไมนะหรือ? เพราะสิ่งที่เค้าให้ฉันทำ มันฝืนใจฉันทั้งนั้น อาไปไหนคนเดียวไม่ได้ ต้องมีฉันไปด้วยตลอดเวลา ฉันอยากบอกเค้าไปว่า ฉันก็อยากนั่งเฉยๆบ้าง! เธอหยิบขวดน้ำปลาเองไม่ได้ เธอเปิดไฟไม่เป็น เธอ.........ๆๆๆๆๆ
ฉันมักจะเก็บตัวเงียบอยู่บนห้องเสมอเมื่ออยู่บ้าน ห้องนี้ก็ไม่ใช่ห้องของฉันหรอก มันเป็นห้องของอาซึ่งเอื้อเฟื้อแบ่งปันที่นอนให้กับฉัน ดูว่าความมีน้ำใจของเค้าจะอาบไปด้วยยาพิษ
ห้ามเปลี่ยนช่อง
อาเล็กบอกเมื่อเปิดทีวี เธอมักจะเป็นอย่างนี้เสมอเวลาที่เรามีเรื่องขัดใจกัน
ฉันล้มตัวลงนอนข้างเตียง พยายามข่มโทสะ ที่นี่เป็นสถานที่เดียวสามารถคุ้มกะลาหัวของฉัน ถ้าไม่อยู่ที่นี่แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน บางครั้งถ้าฉันโมโหมากๆ ฉันก็จะเดินเข้าห้องน้ำ กำมือเล็กๆของฉันแล้วต่อยไปที่ผนังห้องน้ำแรง อยู่ที่นี่ฉันไม่มีปากเสียงอะไรสักอย่าง
ฉันทำตัวเหมือนคนเป็นใบ หูหนวก ตาบอด ไม่รับรู้โลกภายนอก ฉันไม่ชอบออกไปข้างนอก ไม่ชอบพบปะผู้คน แม้กระทั้งคนในบ้านหลังนี้
แกไปไหนมา
เสียงของย่าจากชั้นล่างดังเข้ามายังโสตประสาทของฉัน ฉันดึงผ้าห่มผืนหน้าขึ้นคลุมโปรง ไม่อยากรับรู้เรื่องใดๆ
อย่ายุ่ง
เสียงปู่ดัง อ้อแอ้ เพราะความเมามาย ปู่ของฉันก็เป็นแบบนี้ เมื่อเหล้าเข้าปากเมื่อใด นิสัยดีๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นแย่จนเลว
เสียงตึงตังขึ้นเรื่อยๆ ฉันลุกขึ้นนั่งมองดูอาของฉันที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเห็นใจ เธอนอนร้องไห้อยู่
อาเล็ก ไปดูย่าหน่อย
ฉันบอกเสียงหวาดหวั่น แต่ก็เป็นห่วงย่า
ไม่ไป
เธอบอก ฉันเข้าใจว่าความรู้สึกของเธอเป็นอย่างไร เพราะขนาดว่าฉันเป็นเพียงหลานยังรู้สึกแย่ถึงขนาดนี้ สำหรับเธอแล้ว คงจะต้องยิ่งกว่าฉันเป็นทวีคูณ
ไปดูย่าเถอะ หนูจะลงไปเป็นเพื่อน
เราสองคนลงไปเข้าห้ามปรามท่านทั้งคู่ ฉันได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่ท่านจะเลิกทะเลาะกันเสียที
.......................................................................................
แสงแดดยามเที่ยงช่างแรงนัก เหมือนกับว่ามันจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้รวมทั้งหัวใจของฉัน
ไปไหนกัน
ฉันถามกลุ่มเพื่อนของฉันที่กำลังจะหนีเรียนออกไปข้างนอก ความจริงมันไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดเพราะพวกเราก็ทำกันจนเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
ไปบ้านไอ้ปุ้ม ไปทำไก่อบฟางกินกัน
พิราไรบอก
พ่อกับแม่มันไม่อยู่หรอ
ไม่อยู่ ไปนากันหมด เร็วๆสิ เดี๋ยวยามก็กลับมาหรอก
พวกเราห้าคนช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซน์สองคันออกจากคอกเตี้ยๆขนาดข้อเท้า ฉันเป็นเด็กดื้อ แต่ถึงจะดื้ออย่างไร ฉันก็ไม่เคยลองยาเสพติด เพราะฉันรู้ว่าแม่จะเสียใจแค่ไหนหากรู้ว่าฉันติดยา
หลังจากที่พ่อกับแม่จากฉันกับน้องไปได้เกือบปี พ่อก็กลับมารับน้องทั้งสองไปอยู่กับท่าน ยังคงเหลือแต่ฉันที่ต้องอยู่กับความเปล่าเปลี่ยว ฉันไม่กล้าเอ่ยปากขอไปด้วย เพราะฉันรู้ดีว่าการย้ายไปเรียนเมืองกรุงกลางคันนั้นเป็นแพงแค่ไหน พ่อกับแม่ของฉันที่พึ่งตั้งตัวได้คงไม่มีกำลังส่งฉันเรียน แต่แม่โทรศัพท์มาหาฉันเสมอ ถามสารทุกข์สุขดิบ ส่งเงินมาให้ฉันไม่ขาด
ฉันกดโทรศัพท์ถึงแม่ นิ่งรอเสียงกริ่งหนึ่งครั้งจากทางปลายสาย เมื่อเสียงที่ฉันรอคอยดังขึ้น ฉันก็รีบวางกระบอกทีศัพท์ลงไปที่แป้นของมัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่แม่ของฉันใช้อยู่ช่างแพงแสนแพง แต่แม่ก็ซื้อมัน ฉันรู้ว่าแม่ซื้อมันมาเพื่อฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องออกไปใช้โทรศัพท์สาธารณะให้ลำบาก
ฮัลโหล
ฉันตอบรับสาย
น้องมลหรอลูก
เสียงแม่ของฉันดังมาตามสาย เสียงนี้หละที่ฉันอยากได้ยิน เพราะมันเหมือนกับน้ำทิพย์ที่ชโลมจิตใจของฉัน
จ๊ะ
ฉันพูดได้เพียงเท่านี้จริงๆ ฉันไม่ได้พูดยาวๆกับใครมาเนิ่นนาน นอกจากเพื่อนๆของฉัน
มีอะไรหรือเปล่าถึงโทรมาหาแม่
ไม่มี หนูโทรมาหาเฉยๆ
ฉันบอก
งั้นแม่ขายของก่อนนะ แม่กำลังยุ่ง
จ๊ะ
แม่วางหูไปแล้ว ฉันนั่งลงที่พื้นบ้าน หยดน้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาของฉัน ไหลออกมาเรื่อยๆจนมันแห้งเหือดไป เวลานี้หละที่ฉันมีความสุขที่สุด ถึงแม้ว่าฉันจะต้องร้องไห้
ไปอีกแล้วหรอมล ไปทุกอาทิตย์เลยไม่เบื่อบ้างหรอ
พิราไรถาม
ไม่หรอก
สายตาของความอ่อนแอ ความอ้างว้างของฉัน ถูกฉาบเอาไว้ด้วยท่าทางแข็งกร้าว และดื้อรั้นเสมอ
แล้ววันจันทร์มาเรียนหรือเปล่า
ยังไม่รู้เลยพิน
ฉันตอบ ยังไม่แน่ใจว่าฉันจะโกหกแม่ได้สำเร็จหรือเปล่าว่าวันจันท์ฉันไม่มีเรียน
เรากลับบ้านก่อนนะ
ฉันรีบกลับบ้านรอผู้เป็นย่าไปส่งที่ท่ารถ เพื่อจะเดินทางไปกรุงเทพ ไปหาคนที่ฉันรักและเค้าก็รักฉัน อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะได้ไปอยู่กับครอบครัวของฉัน ฉันกำลังจะจบการศึกษาสูงสุดในระดับมัธยม
รถทัวร์สองชั้นคันใหญ่กำลังขับเคลื่อนมุ่งตรงไปยังกรุงเทพแดนศิวิไลซ์ ที่หลายร้อยพันชีวิตต่างเดินทางเข้ามาเผชิญโชคชะตา เพื่อหวังว่าชีวิตที่ไร้หนทาง อับจนแร้งแค้นจะดีขึ้นมา
มลฤดี เด็กสาวแรกผลิ ท่าทางแข็งกร้าว จองหอง ในตาว่างเปล่า นั่งเหม่อมองต้นไม้ใหญ่ ทุ่งนาเขียวขจี เรื่อยไปจนตึกสูงระฟ้า ท้องถนนเต็มไปด้วยยวดยานพาหนะ ผู้คนเยอะแยะดูวุ่นวายปรากฏแก่สายตาของเธอ เธอเดินทางไปกลับบ้านเกิด-กรุงเทพนับครั้งไม่ถ้วน จนเธอมีเพื่อนรุ่นพี่เป็นแอร์บัส เพราะได้เจอกันบ่อยจนคุ้นเคย ทั้งๆที่น้อยครั้งนักที่เราเดินทางแล้วจะพบกับแอร์บัสคนเดิม
ฉันกำลังหอบหัวใจที่อับเฉาไปเสาะหาสายธารา ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายอยู่รอบตัว
ฉันนั่งลงที่ห้องสี่เหลี่ยมห้องเล็กๆที่เค้าเรียกกันว่าแมนชั่น แล้วหลับตาลงอย่างมีความสุขถึงแม้จะเหนื่อยล้ากับการเดินทาง พ่อกับแม่ไม่เคยบ่นเลยสักนิดที่ต้องส่งเงินให้ฉันเพิ่มกว่าพันบาท เพื่อเป็นค่าเดินทางมาหาท่านที่นี่ทุกวันหยุดเรียน
ฐานะของเราทุกวันนี้เรียกว่าพอมีอยู่มีกิน ไม่เดือนร้อนอะไร แต่ก็ไม่ครบสมบูรณ์แบบ
เป็นไงมั่งอยู่กับย่า
แม่ถาม
ฉันรู้ว่าแม่รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับฉันเสมอจากปากคำของย่าและอา และฉันก็รู้ว่าสิ่งที่พวกเค้าบอกแม่เกี่ยวกับตัวฉันนั้นเป็นอย่างไร เค้าคงไม่ได้บอกว่าฉันนั้นเป็นเด็กดีหรอก! เพราะฉันก็ร้ายจริงๆ ร้ายที่เก็บตัว ไม่พูดไม่จา ใครก็เข้าไม่ถึงฉันสักคน เพราะอะไร! เพราะฉันมักจะพูดกันคนละภาษากับพวกเค้าเสมอ เราทั้งหมดไม่มีทางที่จะคุยกันรู้เรื่อง
ก็ดีจ๊ะ
ฉันตอบได้แค่นี้จริง ทั้งที่ใจจริงมีเรื่องราวต่างๆมากมายที่จะเล่าให้แม่ฟัง ฉันก็เป็นอย่างนี้ อยู่อ้างว้างซะจนชิน จนไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มพูดคุยกับคนอื่นอย่างไรแม้กระทั่งกับผู้เป็นแม่
แม่มองหน้าฉันด้วยสายตาอันอ่อนโยน ปลอบประโลม
ฉันอยากร้องไห้แล้วเข้าไปกอดท่านเอาไว้ ฉันอยากบอกท่านว่าฉันหว้าเหว่เดียวดายแค่ไหน ทุกข์ใจแสนสาหัสเพียงใด แต่ฉันก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิดสักอย่าง ฉันมาอยู่กับครอบครัวของฉันได้เพียงวันเดียว ก็ต้องรีบกลับไปขุมนรก เพื่อกลับไปเรียนให้ทันในวันจันทร์ ฉันโกหกแม่ไม่สำเร็จว่าฉันไม่มีเรียนในวันจันทร์ ฉันมาอยู่กับแม่เราก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย เพราะแม่กับทำงานหนัก แต่ฉันก็ยังอุ่นใจอยู่ดี
มลไปซื้อผักให้ย่าหน่อย
ย่าสั่งของที่ย่าต้องการซื้อ
ฉันต้องไปตลาดอีกแล้ว ฉันไม่อยากไป ที่นั่นมีแต่สายตาของญาติพี่น้องที่รังเกียจฉัน และพ่อแม่ของฉัน พี่น้องของพ่อฉันทุกคนล้วนมีอาชีพค้าขาย แล้วทุกคนก็ล้วนมีฐานะ
พ่อกับแม่เป็นไงบ้างหละ
อาสะใภ้ถามฉันสายตาเหยียด
ก็ดีจ๊ะ
ฉันบอกเรียบๆ ข่มโกรธที่ประทุขึ้นมาดั่งเปลวไฟโดนน้ำมันเอาไว้ภายใน แล้วเดินหนีออกมา
จะจบแล้วนี่จะไปเรียนต่ออะไร
น้าสาวของฉันถาม ไม่แม้แต่น้องของแม่ก็ยังดูแคลนฉัน
ว่าจะเรียนรามฯ
ฉันบอก
พ่อกับแม่คงไม่มีเงินส่งให้ฉันเรียนมหาลัยดีๆหรอก ถึงแม้ว่าเราจะไม่เดือนร้อนเรื่องเงินอย่างที่ผ่านมาแล้ว ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าแม่กับแม่มีเงินมากเท่าไร
เรียนอะไร
อยากเรียนกฎหมาย
ฉันบอกอย่างที่ฉันคิด
จะเรียนได้หร่อ
น้ำเสียงดูถูก
ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกลับไปอย่างไร เพราะการเรียนของฉันไม่ดี แล้วฉันก็ยังเกเรียนอยู่บ่อยๆ
สมองของฉันกำลังดึงฉันย้อนไปในวัยเยาว์ ก่อนที่พ่อกับแม่จะมีปัญหา
น้องมล สอบได้ที่เท่าไหร่บอกพ่อซิ
พ่อถาม ถึงหน้าตาของพ่อจะไม่ยิ้ม แต่ฉันรู้ว่าท่านกำลังยิ้ม
ที่สี่พ่อ
ฉันบอกดีใจที่ฉันสอบได้เลขตัวเดียว
พ่อจะพาไปซื้อของ
หัวใจของฉันกำลังลิงโลดแล้วก็ต้องฟุบลง เมื่อกลับมาสู่โลกความเป็นจริง
ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร
ฉันฝืนยิ้มแล้วเดินจากมา
ในโลกนี้ไม่มีใครหวังดีกับฉันสักคน กำแพงที่ฉันสร้างมันขึ้นมาในใจเพื่อป้องกันตนเองบัดนี้มันสูงขึ้นมาจนแทบถึงปลายฟ้าแล้วกระมัง ฉันไม่เคยมองใครว่าดี เวลาเห็นใครที่มีความสุขความริษยาของฉันจะพวยพุ่งขึ้นทำให้ฉันโสมนัสขึ้นมาทุกครั้ง
อาเล็กจะไปไหนย่า
ฉันถามย่าเมื่อยื่นมองอาเล็กขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้าไปกรุงเทพ
ไปหาพ่อกับแม่หนู
ฉันยืนนิ่งงัน ตอนนี้ร่างกายของฉันเหมือนกำลังถูกน้ำวนดูดลงไปยังกนบึ้งของแม่น้ำที่ลึกสักร้อยเมตร จนมันทำให้ฉันหายใจติดขัด สมองของฉันกำลังคิดอย่างสับสน อาฉันกำลังหนีปัญหา อาฉันทิ้งให้ฉันเผชิญอยู่กับปู่กับย่าที่ทะเราะเบาะแว้งกันทุกวัน ที่สำคัญที่สุด เธอกำลังเดินทางไปในที่ที่ฉันเผ้าฝันว่าฉันจะไม่ต้องพบเจอเธอ ปู่ และย่าอีก นี่ฉันจะไม่มีที่สำหรับฉันเลยหรือ เธอจะตามจองเวรจองกรรมฉันไปถึงไหน ฉันทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้นะ ถึงต้องพลัดพรากจากพ่อ แม่ และน้องๆ
ฉันเดินกลับบ้านช้าๆ คิดในใจว่าอยากให้โรงเรียนเลิกสักทุ่ม หรือไม่ก็เที่ยงคืน จะให้ดีที่สุดก็เรียนมันทั้งวันไม่หยุด ปู่กับย่าทะเลาะกันทุกวัน จนฉันคิดว่าฉันน่าจะชาชินกับมันได้แล้ว แต่...มันกลับตรงกันข้าม ฉันยิ่งร้าวรานหนักขึ้นทุกวันๆ จนฉันไม่อยากกลับบ้านอีกแล้ว
ย่าจะไปไหน
ฉันถามย่าที่กำลังหอบกระเป๋าใบใหญ่เดินออกจากบ้าน
ย่าจะไปอยู่กับพ่อแม่หนู
ฉันยิ้ม ไม่รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ผิดกับที่ฉันรู้สึกกับอาเล็ก ฉันทนเห็นย่าทุกข์ใจมานานแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เบาใจไปเสียทั้งหมด ฉันยังต้องอยู่ที่นี่กับปู่
ไปซะให้หมดบ้าน
ปู่ตะโกนเสียงดังลั่นอยู่ชั้นล่างเพราะความเมา ฉันดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปรงไม่ร้องไห้ เพียงแต่ไม่อยากได้ยินเสียงอันน่ารำคาญของปู่ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกของฉันมันกำลังด้านชา ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันรู้สึกแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
ปู่ไม่ค่อยอยู่บ้าน อาทิตย์หนึ่งจะกลับมานอนที่บ้านสักคืน นั่นมันก็ดีแล้วสำหรับฉันที่จะได้ไม่ต้องมานั่งทนดูความน่าทุเรศของเค้าเวลาเมามาย
ต่ออีกตอนค่ะ
จากคุณ :
ชนกมล
- [
19 ธ.ค. 48 09:47:41
]