เสียงวิทยุนาฬิกาปลุกที่อยู่ปลายหัวเตียงดังขึ้น ฉันรู้สึกตัวแล้วแต่ขอนอนฟังเพลงก่อน เป็นเพลงโปรดพอดี เลยนอนฮัมอยู่บนเตียงอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วหัวสมองมันก็สั่งการให้รีบลุก เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอม แน่นอนฉันตื่นเต้นพอสมควรก็วันนี้ได้ผูกเนกไทแล้วนี่ ลุกก็ลุก ฉันบอกกับตัวเอง รีบไปแปรงฟัน อาบน้ำและแต่งตัว ใส่เสื้อ กระโปรง เข็มขัด เนกไท เหลือบมองนาฬิกา สายแล้วถ้าไม่รีบสายแน่ ฉันเลยรีบลงมากินข้าว และออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว มาถึงจุดมุ่งหมายแรกของวันนี้ บ้านหลังใหญ่ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านฉันมาไม่กี่หลัง ฉันกดกริ่ง ยืนไปก็แต่งตัว สำรวจความเรียบร้อย ฉันไม่มั่นใจเสียเลย ประตูเปิดออกพร้อมกับผู้หญิงที่ฉันไม่คุ้นหน้า อายุเค้าไม่น่าจะมากกว่าฉันสักเท่าไรหรอก ฉันเดาว่าคงเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ของคนที่รอฉันอยู่ แค่ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไป ภาพเก่าๆก็กลั่นกรองเข้าสู่สมอง สภาพบ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย จะเปลี่ยนก็แต่รถยนต์ที่เป็นรุ่นใหม่ ป้ายแดง
เดินเข้ามาในตัวบ้าน คนแรกที่ฉันเห็นคือเจ้าของบ้านผู้หญิง ฉันทบทวนสรรพนามที่ฉันใช้เรียกนางในใจก่อนกล่าวพร้อมยกมือไหว้ นางชวนฉันคุยเล็กน้อยก่อนเดินไปตระเตรียมอาหารเช้าให้กับ น้องนุ่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานยายของนาง นั่งสักพักน้องนุ่นและ พี่นา น้าของน้องนุ่นก็เดินลงมาจากบันได ฉันกล่าวสวัสดีพี่นา ก่อนหันไปยิ้มให้กับน้องนุ่น เธอยิ้มตอบแล้วรีบใส่รองเท้าและเดินไปตักอาหารเช้าที่คุณยายเตรียมไว้ให้
ฉันมองตามน้องนุ่นไป น้องนุ่นดูโตขึ้นเยอะเลยจากที่เราไม่ได้เจอกัน น่าจะสัก 3 ปีกว่าๆได้ ตั้งแต่ฉันจบ ป.6 ทั้งๆที่บ้านเราอยู่ห่างกันแค่ประมาณ 4 หลัง ใกล้กันมากแต่ก็ห่างกันมากเช่นกัน แล้วฉันก็ละสายตาจากน้องนุ่นหันมาสำรวจบ้าน ทุกตารางนิ้ว ทุกซอกทุกมุมของบ้างหลังนี้ฉันวิ่งเล่นมาหมดแล้ว ไม่ได้โกหกนะ บ้านหลังนี้ใหญ่พอที่จะทำให้พวกเรา ซึ่งหมายถึงฉัน น้องนุ่น และหนุ่ม พี่ชายของน้องนุ่น วิ่งเล่นกันได้อย่างไม่เบื่อ แถมยังมีโน่นนี่ ให้ทำ เรียกได้ว่าทุกอย่างของบ้านนี้คือของเล่นของพวกเราอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีคำว่าเบื่อ คิดอะไรเพลินๆก็มีเสียงเรียกจากน้องนุ่นให้รีบไปขึ้นรถ ฉันจึงรีบเดินตามน้องนุ่นไป
หลังจากวันนั้นชีวิตประจำวันของฉันก็จะเป็นอย่างนี้ตลอด คือ ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวและรีบเดินไปที่บ้านน้องนุ่น แรกๆฉันกับน้องนุ่นก็มีอะไรคุยกันมากมาย แต่พอนานวันไปก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาคุย ฉันเลยต้องนั่งเงียบ
ยังดีที่มีเพลงจากคลื่นวิทยุที่ฉันแอบฮัมตามทำให้หายเซ็งขึ้นมาบ้าง
และแล้ววันหนึ่ง ความตื่นเต้นก็มาเยือนในใจฉัน เมื่อพี่นาบอกกับฉันว่า ต่อไปนี้หนุ่มจะไปโรงเรียนด้วย เพราะฉันคิดว่า คงมีเพื่อนคุยและจากที่ไม่ได้เจอกันมา เกือบ 4 ปี หนุ่มคงโตเป็นหนุ่มสมชื่อ แล้วหน้าตามันจะเปลี่ยนขนาดไหน แล้วเสียงหละ แตกหนุ่มแล้วหรือยัง ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทั้งดีใจและตื่นเต้น แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย พอเจอกันวันแรกต่างคนต่างไม่มีใครยอมทักใคร แม้แต่ยิ้มก็ไม่มี ฉันอึ้งเมื่อเห็นหนุ่มครั้งแรก เขาเป็นอย่างที่ฉันคิดไม่มีผิด ตัวทั้งใหญ่ทั้งหนา เสียงก็แตกนิดๆ เลยทำให้ความคิดที่ว่าจะคุยด้วยเหือดหายไม่เหลือเลย ก็เล่นเหมือนพี่ชายมากกว่าน้องชาย ขืนเดินเข้าไปเรียกน้อง เขาคงมองหัวจรดเท้า ฉันยอมรับว่าความสูงของฉันไม่เหมือนเด็กม.4 สักเท่าไร ส่วนความสูงของหนุ่มนั้นเกินเด็กม.3 ไปหลายเซ็นอยู่ และฉันก็คิดว่าหนุ่มก็คงคิดไม่ต่างจากฉัน เพราะตอนที่ฉันอยู่ ป.6 ฉันก็สูงเท่ากับตอนนี้ไม่มีผิด หนุ่มคงอึ้งที่เห็นฉันมากกว่าที่ฉันเห็นเขาแน่เลย และหลังจากนั้น ความรู้สึกระหว่างอยู่บนรถก็ดูอึดอัดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ฉันพยายามคิดหาทางออก ใจหนึ่งก็อยากจะเปิดปากคุยกะหนุ่มไปเลย เผื่อว่าถ้าคุยกันแล้ว เราจะได้คุยกันเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่อีกใจก็ว่าอย่าดีกว่า ก็ไม่คุยกับเราก่อน ถ้าเราไปคุยด้วยเสียฟอร์มแย่เลย แล้วใจฉันก็โอนเอนไปทางอย่างหลังมากกว่า
คิดแล้วก็เหนื่อยใจทำไมนะ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทั้งๆที่ จะว่าไป หนุ่มกับน้องนุ่นก็เป็นเพื่อนคนแรกของฉันเลยก็ว่าได้ เราอยู่โรงเรียนเดียวกันตอนอนุบาล กลับบ้านด้วยกันแทบจะทุกวัน และยิ่งถ้าวันไหนแม่พวกเขาเป็นคนมารับ ก็จะได้ไปกินข้าว ไม่ก็ไปเดินช็อปปิ้งด้วยกัน เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันแทบจะ 24 ชั่วโมงเลย เสาร์อาทิตย์ บางทีฉันนั่งกินข้าวอยู่ หนุ่มกับนุ่นก็จะมายืนกดกริ่งหน้าบ้าน ทุกคนในบ้านก็จะรู้ดีว่าสองพี่น้องจะมาชวนฉันไปเล่นที่บ้าน พอฉันขึ้นชั้นประถม พวกเราก็ยังเจอกันอยู่ แม้จะเป็นแค่ช่วงปิดเทอม แต่ก็แทบจะทุกวัน แค่นี้ก็น่าจะบอกได้ว่าเรา 3 คน สนิทกันแค่ไหน หลายครั้งที่ฉันนั่งคิดถึงอดีตและเหตุการณ์ตอนนี้ เราเหมือนกลายเป็นคนละคนกันไปเลย จากที่คลุกคลีกลายเป็นเหินห่าง จากเหินห่างกลายเป็นคนไม่รู้จัก
จากคุณ :
นิศานันท์
- [
25 ธ.ค. 48 00:41:22
]