CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เรื่องของหวย (บันทึกของคนเดินเท้า)

    บันทึกของคนเดินเท้า

    เรื่องของหวย


    ในยุคของวิกฤตเศรษฐกิจตกสะเก็ด จนเงินทองหายไปจากท้องพระคลัง และบรรดาธนาคารน้อยใหญ่ รวมทั้งจากกระเป๋าของชาวบ้าน จนประเทศชาติต้องเป็นหนี้อยู่หลายพันหลายหมื่นโกฏิ อย่างทุกวันนี้

    โอกาสของการที่จะรวยได้ โดยไม่ต้องลงทุนลงรอนให้มากมายนักก็ยังมีอยู่ ด้วยการซื้อสลากกินแบ่ง ซึ่งได้พิมพ์ออกมาขายกันชุดละหนึ่งล้านใบ งวดละหลายสิบชุด เดือนละสองงวด ราคาขายใบละ ๔๐ บาท

    ซึ่งมีรางวัลรวม ๑๔๑๖๘ รางวัล และรางวัลที่ ๑ มีมูลค่าถึงสามล้านบาท เลขท้าย ๓ ตัว มีมูลค่าต่ำที่สุด ก็รางวัลละพันบาท ถ้าใครอยากรวยมาก ก็ซื้อหลาย ๆ ชุดให้เลขตรงกัน ถ้ารางวัลที่๑ ออกมาตรงกับสลากของเรา ก็มีสิทธิ์ที่จะรวยถึงเก้าสิบล้านได้ไม่ยาก

    นอกจากสลากกินแบ่งที่ว่านี้แล้ว ก็ยังมีสลากการกุศลเพื่อกิจการสาธารณกุศลอีกหลายประเภท รวมทั้งสลากออมสินพิเศษ สลากรางวัลของธนาคารเพื่อการเกษตร ซึ่งซื้อกันจนไม่พอขาย แม้จะขึ้นราคาไปเท่าไรก็ยังหมด เหมือนกับแจกฟรี

    ทั้ง ๆ ที่กองสลากผู้ผลิตได้กำชับว่า ให้ร่วมมือร่วมใจไม่ซื้อสลากเกินราคา หรือตักเตือนว่า ซื้อสลากแต่น้อย ใช้สอยประหยัด ไม่อัตคัดเงินทอง เป็นต้น

    สิ่งที่ติดตามมากับสลากกินแบ่งของรัฐบาลนั้นก็คือ การพนันที่ผิดกฎหมายที่เรียกขานกันโดยทั่วไปว่า หวยใต้ดิน คือไม่สามารถเล่นโดยเปิดเผยได้ เหมือนสลากกินแบ่งของรัฐบาล

    หวยใต้ดินนี้มีเจ้ามือเถื่อนมากมาย แทบทุกวงการ รับกินรับจ่ายเป็นเงินจำนวนมหาศาลต่องวด โดยอาศัยผลของการออกสลากกินแบ่งนั้นเอง ใช้เลขท้ายสองตัวของรางวัลที่หนึ่ง และเลขท้ายสามตัว ของสลากกินแบ่ง เป็นเกณฑ์การจ่ายเงิน และมีวิธีแทงอย่างพิศดารหลายวิธี ซึ่งคนไม่เล่นทั้งหวยรัฐบาลและหวยเอกชน ไม่มีทางที่จะจำได้

    การเล่นหวยรัฐบาลและหวยใต้ดิน ก็ต้องมีการเก็งหรือเดาว่า งวดนั้นงวดนี้จะออกเลขอะไร ทำให้มีอาจารย์ใบ้หวยมากมาย หลายคน หลายแบบ และหลายวิธี บ้างก็มีวิธีคิดที่ทำท่าว่าจะเป็นวิชาการ ตั้งโต๊ะคำนวณตัวเลขกันแถวที่มีประชาชนผ่านไปมามาก ๆ อย่างศาลาพักคอยของผู้โดยสารรถประจำทาง  ป้ายที่อยู่ใกล้ชุมชนใหญ่

                           บ้างก็เป็นคำทำนายใส่ซอง เขียนแสดงสรรพคุณต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็ไปเสี่ยงเซียมซีตามศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย บ้างก็ได้ข่าวต้นไม้ จอมปลวก สัตว์เผือก หรือสิ่งแปลกประหลาด แม้แต่บ้านโบราณ ที่มีคนเล่าลือว่าให้หวยแม่น ก็จะพากันไปบนบานขอตัวเลข หรือขูดขีดเช็ดถูให้ปรากฎตัวเลขออกมา มากมาย จนมีการค้าขายของกินของใช้ บริเวณนั้นยังกับติดตลาดนัด ก็มี

    หรืออย่างน้อยไม่ไปหาที่ไหนเลย ถ้าได้ไปงานวันเกิด งานศพ ก็เอาอายุของผู้เกิดหรือผู้ตาย มาเป็นเลขเด็ดสำหรับซื้อสลากกินแบ่ง หรือแทงหวยใต้ดิน ก็ยังมี

    แม้แต่ได้ดูข่าวทางโทรทัศน์ เห็นภาพรถขนยาบ้าถูกจับหรือมีอุบัติเหตุตายหมู่ ก็เอาเลขทะเบียนรถไปคิดแทงหวย ก็ยังไหว

    หวย เป็นคำเก่า เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สาม เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๘ มีการตั้งโรงหวยขึ้นในเมืองไทย

    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า เนื่องจากเกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นใน พ.ศ.๒๓๗๔ ต่อ พ.ศ.๒๓๗๕ คนไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน ต้องรับจ้างทำงานคิดเอาข้าวเป็นค่าจ้าง เจ้าภาษีนายอากรก็ไม่มีเงินจะส่งคลัง  ต้องเอาสินค้าใช้แทนค่าเงินหลวง ทรงพระราชดำริว่า เงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราในสมัยนั้น หายไปไหนหมด

    พระศรีชัยบาล เดิมชื่อจีนหง ตำแหน่งเป็นนายอากรสุรา คนเรียกกันว่าเจ๊สัวหง กราบทูลว่าเงินนั้นเมื่อตกไปอยู่ที่ราษฎร ก็เก็บเอาไปฝังดินเสียเป็นส่วนมาก ไม่เอาออกมาใช้จ่าย ถ้าเป็นเช่นนี้ที่เมืองจีนจะตั้งโรงหวยขึ้นจึงจะมีเงินกลับมา จึงโปรดให้จีนหงตั้งโรงหวยขึ้น และผู้ที่เป็นนายอากรหวย มีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนบานเบิกบุรีรัตน์ คนทั้งหลายจึงพากันเรียกว่า ขุนบาล

    หวยโรงแรกของเจ๊สัวหงนั้น ตั้งอยู่ในกำแพงเมืองใกล้กับสะพานหัน ภายหลังย้ายมาตั้งอยู่ที่ริมสะพานข้ามคลองหลอด เหนือประตูสามยอด ออกหวยเวลาเช้าวันละครั้ง ต่อมาพระศรีวิโรจน์ กราบบังคมทูลขอตั้งขึ้นอีกโรงหนึ่ง อยู่ที่บางลำภูบน ออกหวยเวลาค่ำวันละครั้ง จึงเรียกว่าโรงเช้าโรงหนึ่ง และโรงค่ำโรงหนึ่ง

    ต่อมาโรงหวยของพระศรีวิโรจน์ทำการไม่เรียบร้อย จึงปิดทำการ โรงเจ๊สัวหงจึงออกทั้งหวยเช้าและหวยค่ำ ที่แห่งเดียวกัน  จนกระทั่งได้มีการเลิกโรงหวยในสมัยรัชกาลที่หก เมื่อ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ คนไทยจึงได้เล่นหวยอยู่ ๘๑ ปี และเริ่มมีการออกสลากกินแบ่งขึ้นแทน ในรัชกาลนี้

    พระครูกัลยานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) วัดกัลยานมิตร เล่าไว้ในหนังสือ ประวัติ     สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ ว่าหวยที่เกิดขึ้นในเมืองจีนนั้นเดิมมี ๓๔ ตัว เอาชื่อคนมาตั้งเป็นชื่อหวย เช่น ตัวอุปราชชื่อสามหวย นายทหารชื่อ ง่วยโป๊ ขุนนางผู้ใหญ่ชื่อ เจียมกวย นายโจรชื่อ จีเกา นางชีชื่อ อันสือเป็นต้น

    ต่อมามีผู้คิดเพิ่มอีก ๒ ตัว รวมเป็น ๓๖ ตัว เขียนภาพเป็นรูปคนบ้าง สัตว์บ้าง และเขียนหนังสือจีนกำกับไว้ แต่เมื่อเอามาเล่นในเมืองไทย คนไทยอ่านหนังสือจีนไม่ออก และพูดจีนไม่ได้ เห็นแต่รูปก็ไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน

    จึงมีการคิดอ่านเอาตัวอักษรไทยมากำกับ เพื่อให้คนไทยรู้จักตัวหวย เช่น กอไก่ เป็น กอสามหวย ขอไข่เป็น ของ่วยโป๊   งองูเป็น งอจีเกา  เป็นต้น ต่อมาจึงได้ลดตัวหวยลงเหลือเพียง ๓๔ ตัวเท่าเดิม ขาดตัว งอจีเกา กับ ธอไท้เผ็ง
                               เมื่อมีการเล่นหวย ก็ต้องมีการใบ้หวยควบคู่กันไป เพราะผู้แทงจะต้องเดาใจผู้ออกหวยว่าจะออกตัวใดในจำนวน ๓๔ ตัวนั้น มีการบนบานขอหวยต่อวัตถุ และบุคคลที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ แม้จนที่สุดพระพุทธรูป หรือต้นไม้ก็มีผู้คนไปอธิษฐานขัดถู หารอยที่จะเอาไปคิดเป็นตัวหวย เช่นที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้

    และตัวขุนบาลเองก็มีการใบ้หวย จึงคิดคำใบ้หวยลวงบอกไว้ที่หน้าโรงหวยทุกวัน บางคนเดาเอาไปแทงถูกก็มีเหมือนกัน

    ส่วนท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น เล่ากันว่าท่านไม่ได้ใบ้หวย แต่ท่านชอบประพฤติแปลก ๆ คนก็เอาไปตีความเป็นตัวหวย อย่างเช่น ท่านไปบ้านบางตะนาวศรี แขวงจังหวัดนนทบุรี ท่านได้ซื้อหม้อบรรทุกมาเต็มลำเรือ ใครถามท่านว่าซื้อไปทำไม

    ท่านก็ว่าจะเอาไปแจกชาวบางกอก แล้วก็แจกหม้อนั้นเรื่อยไป เข้าคลองบางลำภูออกคลองสะพานหัน แล้วแจวไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ถึงวัดระฆังโฆสิตาราม วันรุ่งขึ้นหวยออกตัว มอหุนหัน ซ้ำกันทั้งเช้าค่ำ

    ครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปเป็นอุปัชฌาย์ บวชนาคที่วัดสามปลื้ม  (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ถึงเวลาที่ท่านข้ามแม่น้ำไป เจ้าภาพเอาคานหามมารับท่านที่ท่าน้ำ ท่านก็ขึ้นคานหามมีสัปทนกั้นไปตามทาง

    เผอิญวันนั้นมีลมแรง พัดเอาสัปทนที่กั้นนั้นหมุนไป ท่านก็หมุนตัวไปบนคานหามตามสัปทนนั้น วันรุ่งขึ้นหวยก็ออก มอหุนหันอีก

    วันหนึ่งท่านมากิจธุระที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ มีพระองค์หนึ่งไปคอยอยู่ที่ประตูวัดทางที่ท่านจะผ่าน พอท่านไปถึงพระองค์นั้นก็กราบเรียนว่า กระผมจะมาขอหวยหลวงพ่อ เขาลือกันว่าหลวงพ่อให้หวยแม่น

    ท่านตอบว่าอย่ามายอฉันเลย แล้วท่านก็หลีกไป วันรุ่งขึ้นหวยออกตัว ยอฮ่องชุน แต่พระองค์นั้นก็ไม่ถูก

    อีกวันหนึ่งมีเด็กรุ่นสาวพายเรือเข้าไปขายขนมจีนในคลองวัดระฆังฯ ซึ่งกุฏิเจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่ริมคลองนั้น ท่านได้ให้ลูกศิษย์ซื้อขนมจีนมาฉันสองจาน

    เสร็จแล้วจะชำระเงิน เด็กหญิงผู้ขายบอกว่า หนูไม่รับเงินหนูถวายหลวงปู่ ท่านก็ว่าขนมจีนสองจานนะแม่หนู เมื่อเด็กกลับถึงบ้านเล่าเรื่องให้บิดามารดาฟัง บิดามารดาฟังแล้วก็ไปแทงหวย จออันสือ ก็ถูกทั้งเช้าค่ำ

    อีกคราวหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปเทศน์ที่วัดบางปะกอก โดยเรือเก๋ง ก่อนที่ท่านจะไปเทศน์นั้น หวยได้ออกตัว ฆอยิดซัว  และตัว พอกิดปิ้น แล้ว ขากลับมาถึงปากคลองบางกอกใหญ่ ท่านได้ออกมายืนที่หน้าเก๋งเรือ มือหนึ่งถือพานหมากทองเหลือง อีกมือหนึ่งถือสากตำหมาก เคาะที่พานนั้น พร้อมกับร้องบอกว่าฉันกลับแล้วจ้ะ ตลอดทางจนถึงวัดระฆังฯ
    วันรุ่งขึ้นหวยออกตัว ฆอยิดซัว และ พอกิดปิ้น ซ้ำอีก

    อีกปีหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้แต่งวัดรับเสด็จกฐิน เอาตุ๊กตากระดาษที่เขาทำเป็นรูปช้าง มาตั้งรายตามกำแพงแก้วพระอุโบสถ พวกนักเลงหวยที่ไปในกระบวนพระกฐินวันนั้น เอาช้างเป็นนิมิตแทงตัว ฉอจีติด ชอฮกซุน ฌอฮวยกัว วันรุ่งขึ้นหวยออกตัว ฌอฮวยกัว มีคนถูกกันเป็นอันมาก

    อีกครั้งหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ข้ามฟากไปฝั่งพระนครด้วยกิจธุระ พบชายหญิงสองคนผัวเมียนั่งอยู่ในเรือ  ซึ่งบรรทุกแตงโมเต็มลำจอดอยู่ที่ท่าช้างวังหลวง มีหน้าตาส่อถึงความทุกข์ ถามได้ความว่าบรรทุกแตงโมมาขายหลายวันแล้วยังขายไม่ได้ กลัวจะขาดทุน

    ท่านก็รับซื้อแตงโมนั้นทั้งหมด เมื่อให้ลูกศิษย์ชำระเงินแล้ว ท่านก็คืนแตงโมนั้นให้เจ้าของไป ข่าวเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปโดยรวดเร็วราวกับไฟไหม้ป่า พวกนักเลงหวยรุมแทงตัว มอหุนหัน ก็ถูกกันมากมาย

    อีกรายหนึ่งอยากแทงหวย จะไปขอกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็เกรงท่าน จึงให้บุตรชายอายุ ๗ - ๘ ขวบไปขอ เด็กกลับมาเล่าให้บิดาฟังว่า ท่านไม่ให้หวยแต่ทำหน้าดุเหมือนยักษ์ บิดาก็แทงตัว ยอฮ่องชุน เลยถูกได้เงินมาก

    เรื่องต่อไปเป็นคำเล่าของเด็กวัดระฆังเอง วันหนึ่งไปเล่นกับเพื่อนเด็ก ๆ ที่ลานโบสถ์ ได้เห็นเจ้าประคุณสมเด็จฯ มือหนึ่งถือย่ามใบเล็ก อีกมือหนึ่งถือย่ามใบใหญ่ เดินลากไปรอบ  โบสถ์นั้น

    เด็กเหล่านั้นเห็นว่าแปลกและเป็นเรื่องขบขัน จึงไปบอกเล่าให้ใครต่อใครฟัง นักเลงหวยพากันแทง ญอย่องเซ็ง กับ ยอฮ่องชุน ก็ถูกไปตาม ๆ กัน

    เรื่องสุดท้ายเด็กหญิงผู้เล่าอายุราว ๑๒ ขวบ ได้ไปกับมารดา ในงานฉลอง ศาลาฟังธรรม ที่ตรอกเจ๊สัวเนียม หรือตรอกอิศรานุภาพ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปเทศน์ในงานนั้นด้วย ก่อนจะลงมือเทศน์เจ้าภาพได้ถวายผ้าไตรครองหนึ่งสำรับ ขณะที่กำลังครองไตรนั้นมีหลายคนได้เห็นท่าน คาดเชือกปอแทนรัดประคดเอว ต่างก็นึกขบขัน

    แต่ก็มีหลายคนเอาไปคิดแทงหวย ในวันรุ่งขึ้นหวยก็ออกตัว ปอกังสือ แต่ไม่ทราบว่ามีคนถูกมากน้อยเพียงใด

    จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดแต่อย่างใด ที่คนโบราณกับคนปัจจุบันต่างก็คิดเหมือนกัน แม้ว่ากาลเวลาจะห่างกันตั้งเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม  และการพนันชนิดถูกกฎหมายแบบที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า สลากกินแบ่ง นี้  ก็คงจะยืนยงคงอยู่ต่อไปอีกนับร้อยปี ไม่มีวันที่จะหมดไปจากแผ่นดินไทยอย่างแน่นอน

                            แม้ว่าในงวดหนึ่ง จะมีสลากที่ถูกรางวัลชุดหนึ่ง  เพียง  หนึ่งหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยหกสิบแปด ใบ แต่มีสลากที่ไม่ถูกรางวัลถึง เก้าแสนแปดหมื่นห้าพันแปดร้อยสามสิบสอง ใบ ก็ตาม.

                              ##########

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 27 ธ.ค. 48 06:35:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป