CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    รักแท้ (เรื่องสั้น)

    เรื่องสั้น  "รักแท้"              

                 มันเป็นเช้าฤดูฝนที่รถติดเข้าขั้นสาหัสวันหนึ่ง ผมเซ็งสุดๆเมื่อมองไปข้างหน้า กองทัพรถจอดนิ่งสนิท สัญญาณไฟแดงยังแช่อยู่ ฝนก็ตกพรำๆมาเกือบชั่วโมงไม่ได้หยุด มิน่าล่ะ! จึงมีคำพูดติดปากชาวบ้าน…
                 ฝนตกรถติด!
                 ยังไม่หมดแค่นั้นครับ แถมโปรโมชั่นอีกสองรายการ ถนนสายที่ผมติดอยู่มีสี่เลน เลนขวาสุดกำลังซ่อมบำรุงผิวถนน เลนซ้ายติดฟุตบาททำการขุดลอกท่อระบายน้ำ จากถนนสี่เลนเหลือสองเลน กลายเป็นคอขวด ผมนั่งทำใจอยู่หลังพวงมาลัย งานนี้กว่าจะถึงสำนักงาน เจ้านายจวกยับแน่    
                 ผมเพิ่งสังเกตเห็นโฟร์วีลสีดำคันหนึ่ง  กระจกไม่ติดฟิล์มกรองแสงเหมือนผม ไม่รู้ตีคู่กันมานานเท่าไหร่ คนขับเป็นสาวหน้าใสวัยทำงาน ไม่เน้นเครื่องสำอางมาก ดูสวยแบบธรรมชาติ และขับโฟร์วีลเหมือนกันอีก
                 สาวมั่นชัดๆ!
                 เธอถูกใจผมไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าผมยาวรวบเป็นหางม้าไว้ข้างหลัง เผยลำคอขาวผ่อง หูกางให้ผมอมยิ้มได้ ใบหน้าเห็นเพียงครั้งเดียวตอนเธอหันมามอง ซึ่งไม่แน่ใจเธอมองรถหรือมองผม คิ้วโก่งๆของเธอรับกับตาสองชั้น ประดับด้วยขนตางอนช้อย จมูกโด่งแบบฉบับของหญิงไทย พอมีให้เห็นว่า…
                 “ฉันก็มีดั้งนะเว้ย…”
                 ริมฝีปากแดงเรื่อเป็นธรรมชาติได้รูปกระจับ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เวลายิ้มจะเห็นฟันขาวเรียงอย่างเป็นระเบียบ คางมน หน้าผากกลมกลึงในหน้ารูปไข่ โห! โดนใจเต็มๆ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของแม่ตอนเช้า ขณะรอใส่บาตรพระในตลาดใกล้ๆบ้าน…
                 “นี่ตาหนู เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานเสียที หนูอายุจะสี่สิบแล้วนะ” จู่ๆแม่ก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีอินโทรเสียยังงั้น ยังมาเรียกผม”ตาหนู”เป็นเด็กๆอีก เหตุเพราะผมยังนอนกอดคำว่า”โสด”ไว้เหนียวแน่น มัวแต่ทำงานกอบกู้ฐานะทางบ้าน เคลียร์หนี้สินกู้ยืมมาปลูกบ้านและดูแลแม่ ผมเป็นลูกคนเดียวจึงกลายเป็นเสาหลักแทนพ่อที่เสียชีวิตไปสมัยผมยังเล็กๆ แม่เลี้ยงดูทุ่มเทให้ผมทุกอย่าง เป็นพ่อในเวลาเดียวกัน ถึงวันนี้พอลืมตาอ้าปากได้บ้าง    
                 ผมหันมายิ้ม แล้วกระซิบบอก “แม่ของหลาน ผมยังหามาอุ้มไม่ได้เลยแม่”
                 “ทำเป็นพูดเล่นไปนะ” แม่ดุผม ค้อนเล็กๆพลางยื่นของใส่บาตรในถาดให้ “เอ้า! หนูเอาไปอธิษฐาน ขอแฟนสักคน ดอกไม้แม่คัดสวยที่สุดแล้วนะ หนูจะได้แฟนสวยๆ”
                 ผมงงกับคำพูดของแม่ มีด้วยหรือใส่บาตรขอ ”แฟน” แต่ไม่เคยงงกับการกระทำเพื่อ ”ตาหนู”
    ของแม่เลย หากคราวนี้ออกจะเพี้ยนๆไปไหม
                 “คิดว่าแม่เพี้ยนสิ” แม่รู้ทันจริงๆ “ใครจะว่ายังไงก็ช่าง เป็นสิทธิ์ของเรานี่นา ก็ลองขอแบบไม่มีใครทำสิ หนูจะได้สมหวังไวๆ ไม่ต้องไปต่อคิวใครให้เมื่อย”
                 ผมอมยิ้มกลั้นหัวเราะ ต้องยกให้แม่ครับคิดได้ยังไง จนอดยั่วเย้าอีกไม่ได้ “อย่างนี้ผมไม่ตกนรกหรือครับแม่ ติดสินบนพระเจ้า”
                 “ตาหนู” แม่เอ็ดเสียงดัง หน้าเริ่มบึ้งเหมือนไม่ได้ดั่งใจ
                 “เบาหน่อยครับแม่ คนหันมองเต็มตลาดแล้ว แม่เรียกตาหนูๆผมอายเขานะ” ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จึงบอกแม่พอได้ยินกันสองคน    
                “แม่สิอายกว่า…” เสียงแม่ดังกว่าเดิม เล่นเสียลั่นตลาด  “มาตลาดทีไรเขาก็ถามกันให้ครึ่ด ว่าลูกชายแก่ป่านนี้ยังไม่มีเมียอีกเหรอ เป็นไอ้เกย์ๆหรือเปล่า ฮึ๊! ไม่อยากจะพูด โต……ยังหาเมียไม่เป็น” พอสาแก่ใจก็เบือนหน้าหนี งอนปั้นปึ่งยังกับสาวๆ
                 ‘ไม่โตเป็นเป็นควาย ก็หมาเลียก้นไม่ถึง’ ประมาณนั้นแหละที่แม่เว้นไว้ ชาวตลาดพากันหัว
    เราะสนุก ผมอายหน้าแดงหูแดงเลยหละ แต่ก็พลอยขำท่าทีของแม่ไปด้วย ผมคงต้องง้อเสียหน่อย พระท่านเดินมาแล้ว
                 “ผมขอโทษครับแม่ พระมาแล้ว ผมจะอธิษฐานเดี๋ยวนี้แหละครับ” ผมคุกเข่าลง ยกของใส่บาตรขึ้นทูนหัว กำหนดจิตอธิษฐาน ยังแอบเห็นแม่ชำเลืองดูอมยิ้มไปด้วย
    *****************
              สัญญาณไฟจราจรจากแดงเปลี่ยนเป็นเขียว ผมกับเธออยู่สองเลนกลาง ไม่ต้องแย่งช่องทางกับใคร มีสองเลนด้านนอกถูกบีบให้เข้ามาร่วมใช้ด้วย การเคลื่อนตัวจึงไปได้ช้า น้ำเริ่มนองเต็มถนน ดูระยะทางอีกร้อยเมตรถึงจะพ้นสี่แยกนี้ ผมคงติดไฟแดงอีกรอบเป็นแน่ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ แปลกจัง! ผมไม่รู้สึกเซ็งหรือหัวเสียเลยกับครั้งนี้  นึกชอบรถติด ขอให้ติดนานๆด้วยเถอะ  
              คงเป็นความบังเอิญ หรือมีบางอย่างดลใจ เธอกับผมต่างหันมองกันไม่ได้นัดหมาย ใจผมเต้นโครมคราม เกิดไหวหวามจนสรุปเข้าข้างตัวเอง…
              รักแรกพบแน่นอน…ฟันธง!
              ส่วนเธอรีบหันหน้ากลับ มองตรงไปข้างหน้า ถ้าตาผมไม่ฝาด มุมปากของเธอมีรอยยิ้มเล็กๆราวกับอมยิ้มไว้ ถ้าได้รู้จักหรือทักทายเธอบ้างคงดีนะ วิธีไหนล่ะ…?
              ประตูรถของเธอมีตัวหนังสือบอกว่า เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางยี่ห้อดัง บรรทัดสองน่าจะเป็นเบอร์โทร.สำนักงาน เห็นขึ้นต้นด้วยศูนย์สอง และบรรทัดสามนั่นแหละที่ผมยิ้มออก ศูนย์เก้า…
                 มือถือของผมบันทึกหมายเลขนั้นไว้ แล้วเปลี่ยนไปพิมพ์ข้อความส่งไป จะใช่เบอร์ของเธอหรือเปล่า ต้องลุ้น…
                 “อยากซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ มีแคทตาล้อกให้ดูมั้ยครับ จากโฟร์วีลเขียวหัวเป็ด”
                 ผมไม่กล้ามองเธอตรงๆ ใช้หางตาเหล่ๆนำ เห็นเธอกดโทรศัพท์ดูแล้วมองมา ผมเลี่ยงไม่ได้แล้ว หันหาเธอตรงๆ ค้อมหัวทักทายพร้อมรอยยิ้มหล่อสุดชีวิต
                 เธอเฉย! มองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกออก ความอึดอัดก่อตัวขึ้นจนผมหน้าเสีย จำต้องหลบสายตาเธอ ไม่กล้าหันกลับไป ของขบเคี้ยวชนิดหนึ่งแว่บเข้ามาให้หัวผม…แห้ว!  
                 ติ๊ดๆ…ติ๊ดๆ…
                 โทรศัพท์ของผมทั้งดังทั้งสั่นอีกห้านาทีต่อมา  หมายเลขของเธอโชว์ขึ้น จะโดนด่าอะไรดีล่ะ ขอทำใจครู่หนึ่งจึงกดอ่านข้อความ
                 “ขอโทษค่ะ ซื้อจริงหรือฆ่าเวลาคะ?” ผมยิ้ม โล่งอกไปที เข้าใจในข้อความนั้น จึงรีบตอบกลับไปด้วยใจซื่อๆ
                 “ซื้อจริงครับ จากใจจริง” หลังจากส่งข้อความแล้ว เริ่มรู้สึกว่า ผมน่าจะตั้งลิเกสักคณะหนึ่ง
                 เธอตอบกลับมา…
                 “เปิดกระจกซิคะ จะส่งแคทตาล้อกให้คุณ”  
                 ผมไม่ลังเล ลดกระจกพรวดๆ อีกมือปลดเข็มขัดนิรภัย เอื้อมไปรับแคทตาล้อกมาไว้ เพราะฝนยังพรำสายไม่เลิก โดยไม่ลืมขอบคุณเธอ ห่างกันแค่สองฟุตเท่านั้น
                 “ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่เลือกผลิตภัณฑ์ของเรา ลองเลือกดูนะคะ เราคัดสรรไว้สำหรับผู้ชายที่มีรสนิยมเช่นคุณ โทรสั่งได้ตลอดนะคะ…ศศิค่ะ” เธอยิ้มปิดท้ายได้สวยเหลือเกิน อีกทั้งเทคนิคการพูดการขาย ผมเต็มใจตกหลุมที่เธอขุดไว้ ไม่ว่าจะตกหลุมพราง หรือตกหลุมรัก
                “ครับ คิดว่าคงเป็นพรุ่งนี้ถึงจะโทรสั่ง ผมธนพล…เรียกพลก็ได้ครับ”
                 เธอพยักหน้ายิ้มรับ การสนทนาต้องจบลงแค่นั้น เมื่อไฟเขียวเวียนมาถึงอีกรอบ เธอออกรถไปก่อนเลนผมนิดหน่อย เพียงพ้นสี่แยกก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายใหม่ เห็นป้ายผลิตภัณฑ์ที่เธอขายอยู่ลิบๆ ผมเกิดอาการหวิวๆเหมือนใจหล่นหาย  
    ***************
              วันรุ่งขึ้นผมได้พบศศิติดไฟแดงสี่แยกเดิม เธอคงมาก่อนเล็กน้อยจึงอยู่ข้างหน้า มีรถเก๋งคันหนึ่งคั่นไว้ ผมโทรสั่งของตามที่เอ่ยปากเมื่อวาน ได้คุยกันต่อระหว่างรถติดอีกหลายเรื่อง กลายเป็นจุดเริ่มต้นติดต่อกันมา
                 ครบสัปดาห์…เธอโทรศัพท์มาหาช่วงใกล้พักเที่ยง ผมยังอยู่ที่ไซด์งาน ควบคุมงานก่อสร้าง ผมเป็นสถาปนิกให้บริษัทสร้างบ้านแห่งหนึ่ง  
                 “ของที่สั่งได้แล้วนะคะคุณพล วานคุณพลมารับของที่ออฟฟิตศศิได้ไหมคะ คือรถศศิรวนน่ะค่ะ สตาร์ทไม่ติดเพิ่งให้รถลากไปอู่ อีกอย่างวันนี้ออฟฟิตจะปิดครึ่งวันด้วยค่ะ”
                 ผมตอบตกลง เห็นว่าใกล้พักแล้วรีบขับรถไปหา เธอออกมารับผมเข้าไปรับของชำระเงินเรียบร้อย บริเวณเคาน์เตอร์ยังมีเพื่อนของเธออีกหลายคน ผมรู้สึกเขินกับสายตาสาวๆ เลยขอตัวกลับดื้อๆ แต่ถูกเธอรั้งไว้
                 “ศศิเชื่อว่าคุณพลยังไม่ทานข้าวกลางวัน ทานข้าวด้วยกันนะคะ ศศิกับเพื่อนจะออกไปพอดี ข้างออฟฟิตนี่เองค่ะ ศศิเลี้ยงเองค่ะ ทานแล้วค่อยกลับไปทำงาน ไม่นานนักหรอกค่ะ” เธอยิ้มได้สดใส ผมชอบจริงๆ                    
                 “เอ้อ…จะดีหรือครับ ผมเกรงใจ”            
                 เพื่อนๆของเธอช่วยคะยั้นคะยอ จนผมไม่อาจปฏิเสธได้ ต้องไปนั่งเป็นเดือนในหมู่ดาวในร้าน
    อาหาร ได้รู้จักเพื่อนๆของเธอทุกคน มีเสียงกระเซ้าให้ผมไปส่งศศิที่บ้าน ก่อนอาหารมื้อกลางวันสิ้นสุดลง ผมยินดีและเธอไม่ปฏิเสธ
                 โฟร์วีลเขียวหัวเป็ดของผม จึงมีวาสนาไปส่งศศิ เธอหันมาขอบคุณผม ที่เสียเวลาส่งเธอในระ
    หว่างทางกลับบ้าน
                 “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผมมีแรงขับรถมาส่งได้นี่ ก็ข้าวมื้อกลางวันของคุณ แล้วพรุ่งนี้มีรถไปทำงานหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวกผมมารับได้นะครับ ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว แค่แวะส่งคุณก่อนถึงที่ทำ
    งานผม”
                 “เกรงใจค่ะ คิดว่าเย็นๆช่างคงเอามาส่งเพราะรู้จักกัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมมันรวนอยู่บ่อยๆ สงสัยอยากจะออกทีวีมังคะ” ศศิหัวเราะคิกๆสนุก ผมก็พลอยเป็นไปด้วย แต่อีกใจเสียววาบๆไอ้เขียวหัวเป็ดของผม
                 “เชิญคุณพลค่ะ ไปรู้จักครอบครัวของศศิก่อนนะคะ” ศศิไม่พูดเปล่าเมื่อถึงหน้าทาวเฮ้าส์ สายตาเธอมองผมเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่าง แต่ผมอ่านไม่ออก
                 “ครับ” ผมตอบรับ เดินตามหลังเธอด้วยนึกดีใจไปว่า ศศิมีใจตรงกับผม  
                 “พ่อขาแม่ขา พี่กริช น้องบอย ศศิมาแล้วค่า…” เธอส่งเสียงทักทายเข้าไปก่อน พบทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าตรงชุดรับแขก ผมทักทายพ่อแม่ของเธอตามคำแนะนำ ต่อด้วยพี่กริชกับเด็กน้อยวัยซน
                 “พี่กริช สามีศศิกับน้องบอยลูกชายค่ะ” ศศิแนะนำด้วยดวงตาเฉิดฉาย เรียกลูกชายเข้าไปหอม
    แก้มเสียยกใหญ่ ผมเห็นความรักเปี่ยมนัยน์ตาของเธอ ยามมองสามีกับลูกจนนึกอิจฉา หัวผมปวดหนึบ หัวใจปวดปร่า ไม่มีเวลาได้ตั้งตัวทัน
    ***************
                 ผมกับแม่มารอใส่บาตรพระตอนเช้าในตลาดเช่นทุกวัน ต่างแต่วันนี้เศร้าซึมไปด้วยกันทั้งคู่ ดูแม่จะหนักกว่าผมเสียอีก หลังรู้ว่าผมอกหักดังเป๊าะ!
                 “พระมาแล้วครับแม่ ผมอธิษฐานก่อนนะ” ผมสะกิดบอกแม่ให้รู้ เพราะเห็นเหม่อลอยชอบกล แล้วจึงยกถาดของผมคุกเข่า ยกทูนเหนือหัว กำลังจะตั้งจิตก็รู้สึกมีมืออุ่นๆมาลูบหัวผม
                 “แม่บังคับหนูเกินไปหรือเปล่า อย่าอธิษฐานอย่างนั้นอีกเลยนะ แม่คงเพี้ยนไปเอง มันไม่เป็นจริงหรอก” สายตาที่แม่มองผม แววตาอย่างนี้ ผมเห็นตั้งแต่จำความได้  
                 “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจทำเพื่อแม่ ให้ผมได้อธิษฐานเถอะครับ” ผมกำหนดจิต ตั้งสมาธิใหม่อีกครั้ง อธิษฐานไปตามความคิดของผมที่ปฏิบัติอยู่ทุกเช้า
                 ‘บุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำในวันนี้ และวันก่อนๆก็ดี ช่วยดลบันดาลให้คุณแม่อายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง อยู่เพื่อให้ข้าพเจ้าได้ตอบแทนพระคุณอีกนานแสนนานเทอญ.’

    -จบแล้วจ้า-
    โดย พรพชร
    ********************
    สวัสดีครับทุกคน เพิ่งเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกไม่นาน ไม่ค่อยจะกล้าส่งเรื่องเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่ชื่อที่ใช้ประจำ ผิดพลาดประการใดขออภัยนะครับ ติติง แนะนำได้ทุกขบวนท่าอ่ะครับ สวัสดีปีใหม่กันตรงนี้เลย...!

    แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 49 13:05:19

    จากคุณ : พรพชร - [ 27 ธ.ค. 48 20:16:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป