ปลายปีนี้ หน้าหนาวยาวนานและเย็นยะเยือกกว่าทุกปี
โดยเฉพาะทาวเฮาส์ในย่านชานเมืองที่ยังคงมีพื้นที่สีเขียวปกคลุมอยู่โดยรอบมากมายเช่นที่บ้านของทิชา
ตอนกลางคืนจะมีลมพัดผ่านมาบ่อยครั้ง แม้จะหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ที่บานในยามค่ำมาด้วย ทว่าเมื่อมากับความหนาวก็ให้ทำใจลำบากนักที่จะเปิดหน้าต่างต้อนรับความโรแมนติคแบบนี้
" มัวทำอะไรอยู่นะ "
ทิชาบ่นงึมงำ เดินพล่านอยู่ในห้องนอนอันแสนอบอุ่นราวกับเสือติดจั่น นั่งลงบนเตียง เปิดทีวีดูก็แล้ว ลุกขึ้นยืนมองออกไปนอกหน้าต่างที่ยามนี้ถนนส่วนบุคคลทั้งสายเงียบสงัดและว่างเปล่าก็แล้ว ทว่าก็ไม่มีวี่แววว่าคนที่กำลังรอคอยอยู่จะมาถึง
เด็กสาวเหลือบมองนาฬิกาแล้วใจหายวาบ จะบ้าตาย ห้าทุ่มแล้ว ทำไมโชยังไม่มาเสียที คงไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับนายนั่นหรอกนะ
ก๊อก ก๊อก
เสียงกรวดก้อนเล็กๆกระทบหน้าต่างเปรียบเสมือนเสียงดนตรีจากสวรรค์ที่ทิชารอคอย ร่างบางผวาไปที่กระจก แนบหน้าลงไปยังเบื้องล่าง
ที่นั่นมีเด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนหันรีหันขวางแล้วเงยหน้าขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะอากาศที่หนาวยะเยือกหรือแสงไฟก็เป็นได้ที่ทำให้ใบหน้าเข้มดูอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น
" โช !"
ทิชายิ้มกว้าง จนเมื่ออีกฝ่ายทำสัญญาณมือซึ่งเป็นที่รู้กัน เด็กสาวก็เก็บความดีใจเอาไว้ รีบวิ่งตึงตังลงไปเปิดประตูบ้าน
"บอกซิว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ "
โชติวัตเปิดฉากเทศทันทีที่ได้ขึ้นมาเหยียบบนพื้นห้องเพื่อนสมัยเด็กที่แม้จะห่างกันไปตอนที่เขาย้ายกลับไปอยู่กับมารดาที่เชียงใหม่เมื่อหลายปีก่อน ทว่าความผูกพันที่มีต่อกันมานานราวพี่น้องก็ไม่เคยสลายไป ยิ่งเขาย้ายกลับมากรุงเทพแล้วได้เรียนโรงเรียนมัธยมปลายเดียวกันอีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกสนิทกันมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทิชาทำปากยื่น ไม่สบอารมณ์ที่โดนต่อว่า " ก็
"
" ก็อะไร " โชติวัตถามเสียงเข้ม ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง " อ๋อ เข้าใจละ โมโหที่เมื่อตอนเย็นเล่นเกมส์แพ้ก็เลยคิดแก้แค้นใช่มะ "
" เปล่า คือว่า
" เอ๊ะ อีตานี่เห็นเราเป็นคนยังไงฟะ
" จะบอกให้นะ ที่ชั้นต้องมาร่ายยาวแบบนี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงเธอ มันดีเสียที่ไหนกันที่โทรหาผู้ชายดึกๆดื่นให้เขามาหาถึงที่บ้านอย่างนี้ ใช้ไม่ได้ "
สุดจะทนฟังต่อ ทิชาคว้าหมีตัวเบ้อเริ่มโยนใส่ร่างสูง
" โปรดหุบปากสักครู่ ชั้นจะใช้ได้หรือไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับนาย "เด็กสาวชี้หน้าเมื่ออีกฝ่ายอ้าปากจะโต้ตอบ " อย่านะ อย่ามาหือ แน่จริงตะโกนด่าเลยเด่ะ คืนนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่ก็จริง แต่พี่เชนอยู่ย่ะ ถ้าเกิดชั้นแหกปากขึ้นมาล่ะก็ ถึงจะเป็นนายที่สนิทสนมกับครอบครัวชั้นมานมนานกาเล แต่คงไม่คิดโง่ๆนะว่าพี่ชั้นจะเชื่อนายมากกว่าน้องสาวสุดที่รัก"
โชติวัตยืนอึ้ง ก่อนจะยกมือยอมแพ้
นี่เขาลืมไปได้ยังไงว่าเพื่อนหญิงที่เขาสนิทใจด้วยที่สุดคนนี้นอกจากจะโผงผางไม่แพ้ใครแล้ว ยังขี้ฟ้องอีกต่างหาก
แล้วเขาก็ก็สะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆแม่เสือสาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นลิงกัง โดดเข้ามาเขย่าแขนเขาด้วยใบหน้าปริวิตกเกือบๆสติแตก
"แย่แล้ว โช นายต้องช่วยชั้นนะ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ขนาดที่ผู้ชายอย่างนายไม่มีวันเข้าใจเชียวล่ะ "
คนฟังเบิกตากว้างชนิดที่ว่าถ้ามันเป็นลูกปิงปองก็คงจะลงมากลิ้งไปทั่วห้องแล้ว
" จะ
ใจเย็นๆ เย็นไว้ ยะ
เย็นไว้นะ " อันนี้เขาบอกตัวเขาเอง ไม่ใช่กับเด็กสาวตรงหน้า เรื่องที่เลวร้าย เรื่องที่ผู้ชายไม่อาจจะเข้าใจได้ มันมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น
" ธะ
เธอบอกไอ้แทนมันหรือยัง "
"บอกทำไม ? " ทิชาขมวดคิ้วมุ่น ชักอารมณ์เสียที่อีกฝ่ายพูดถึงคนอื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ
" บ้าเหรอ ไม่บอกได้ไง เรื่องสำคัญขนาดนี้ " โชติวัตหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด " อือฮึ เธอคงกลัวว่าไอ้แทนมันจะพลอยกลุ้มไปด้วยจนเสียการเรียนสินะ กำลังจะเอ็นท์ด้วยสิ นี่ชั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าเธอจะแสนดีและน่าสงสารขนาดนี้ "
โชติวัตถอนใจเฮือก ตัดสินใจแม่นมั่นแม้ใจจะเจ็บจี๊ด
" ตกลง ชั้นจะช่วย "
ชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ ทิชากอดอก
"รู้เหรอว่าจะให้ช่วยอะไร "
"แน่นอน เรื่องที่เธอเกิดเบนโลขึ้นมาทั้งที่ยังเรียนไม่จบ
เนี่ย ชั้นจะรูดซิปปากให้สนิทเลย "
" เฮ้ย ไอ้บ้า ผิดเรื่องแล้ว " ทิชาโวย นี่มันเอาสมองส่วนไหนร่างภาพขึ้นมาเนี่ย "ที่อยากให้ช่วยนะเรื่องนี้ต่างหาก"
เด็กสาวรีบไปเปิดลิ้นชัก หยิบกล่องกระดาษสีหวานใบย่อมออกมาแล้วส่งให้โชที่รับมาถืออย่างงงๆ
"มองหน้าชั้นทำไม เปิดดูสิ "
"อ๋อ อืม "
โชติวัตเปิดกล่อง สิ่งที่อยู่ในนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นอะไรที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์พันลึกเกินที่จะอุทานออกมาได้
ไหมพรมสีน้ำเงินเข้มกับก้อนอะไรสักอย่างขยุกขยุยสีเดียวกัน
หลายนาทีต่อมา
"ก็น่าจะบอกเสียตั้งแต่แรกว่าถักผ้าพันคอส่งอาจารย์ไม่ทัน ดันปล่อยให้เราเพ้อเจ้ออะไรอยู่ได้คนเดียว "
โชติวัตบ่นงึมงำขณะตั้งหน้าตั้งตาแก้ที่ทิชาถักมั่วๆซั่วๆเอาไว้
" ขอโต้ด "ทิชาเสียงอ่อย
" แล้วนี่อะไรของเธอ ถักก็ผิด แถมยังแน่นแทบเลาะไม่ออก นี่มันทำให้เสียเวลามากทีเดียวนะ ชั้นว่าชั้นถักเองตั้งแต่ต้นใหม่จะดีกว่ามั้ย "
ทิชานั่งบิดมือไปมาอย่างละอาย " ก็มันยากอ่ะ
"
" ยากแล้วลงไปลงคอร์สนิตติ้งทำซากอะไรเล่า ไม่ประมาณตัวเองเอาเสียเลย แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็มาเดือดร้อนชั้นทุกที "
" โอ๊ย ตอกย้ำกันอยู่นั่น คนอย่างชาช่าจะสนใจเรื่องเย็บปักถักร้อยนี่มันผิดที่ตรงไหนมิทราบ "
" ไม่ผิดหรอก แต่เรื่องแบบนั้น บางทีก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสาวบางคนเหมือนกันนะ "
"เอ๊ะ คงไม่ได้หมายถึงชั้นหรอกนะ " ทิชาตวาดแว้ด
" เปล๊า ใครจะกล้า " โชพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ทิชาเหล่อย่างฉุนๆ มองปลายนิ้วเรียวยาวที่สะบัดเข็มด้วยความเร็วราวมืออาชีพนานเข้า ก็เพลินดีเหมือนกัน
" ถามจริงๆเหอะ ถักเก่งขนาดนี้ นายแอบๆอะไรอยู่หรือเปล่า "
"ทะลึ่ง " โชหันมาเขกหัวคนพูดดังโป๊ก " พี่สาวชั้นเขาชอบมานั่งถักที่ห้องบ่อยๆ มันผ่านตามากเข้าก็เลยเอามาลองทำดู ของง่ายๆ แป๊บเดียวก็เป็นแล้ว เฮ้อ รู้สึกผิดบาปยังไงก็ไม่รู้ เกิดมาหล่อลากดินแถมเก่งยังกับอัจฉริยะแบบนี้อีก"
"ย่ะ ชมตัวเองมากๆ ระวังเถอะ ไม้ถักจะทิ่มตาเอา " ทิชาแช่งซะเลยด้วยความหมั่นไส้
ด้วยหน้าตาที่กระเดียดไปทางนักร้องไอด้อลญี่ปุ่นกับนิสัยที่ร่าเริงเข้ากับคนอื่นได้ง่าย โชจึงนับว่าเป็นคนป๊อบปูล่าระดับต้นๆในโรงเรียน
แต่สำหรับเธอที่คบหากับอีกฝ่ายมานาน รู้เช่นเห็นหางชัดแจ๋วว่าข้างในเปลือกอันหล่อใสสะแมนแตนนั่นคือความหลงตัวเองอย่างร้ายกาจไม่เกรงใจใคร
" อาจารย์เขายังใจดีกับเธอนะที่ให้ถักแค่ผ้าพันคอ ถ้าเป็นเสื้อเสวตเตอร์บอกเลยว่าตัวใครตัวมัน"
โชติวัตพูดยิ้มๆ ทำให้ทิชาที่นั่งท้าวคางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก
ค่อยยังชั่ว ดูเหมือนโชจะเชื่อจริงๆว่าผ้าพันคอผืนนั้นคืองานที่จะต้องส่งอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมนิตติ้งในวันพรุ่งนี้
ทั้งที่ความจริงแล้ว
ใช่ซะเมื่อไหร่
" ชาช่า "
" อะไร "
" เธอกับไอ้แทนทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า?"
ทิชาขมวดคิ้ว ทะเลาะอะไร ชั้นเลิกกับมันไปตั้งนานแล้ว นี่ไม่มีใครบอกตานี่เลยเหรอ กลุ่มเดียวกันแท้ๆนะนั่น
"ทำไมคิดอย่างนั้น "
" จะให้บอกจริงๆอ่ะ "
"เออ พูดมาเร็วๆ " ชาช่าบังคับเสียงห้วน คว้าหมับที่แขนโชติวัตแล้วค่อยๆบิด บิด
โชติวัตสูดปากยอมเฉลยแต่โดยดีเพื่อไม่ให้แขนตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้
" ชั้นเห็นไอ้แทนมันไปติดเด็กม.สี่ ชื่อน้องบาร์บ้งบาร์บี้หรือเบเบ้อะไรสักอย่างนี่แหละ พอไปถามว่าทำงี้ได้ไง เอาเธอไปไว้ที่ไหน มันก็มองหน้าชั้น แล้วก็บอกให้ลองมาถามเธอดูเอาเอง "
หนอย ไอ้บ้านี่ ดันวางกับระเบิดไว้ให้อีกนะ แพ้แล้วพาลนี่หว่า
" แล้วทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้ล่ะ "
" ตั้งใจจะถามตั้งนานแล้วแหละ " โชติวัตยักไหล่ "แต่
ลืมทุกที "
ตาย ตาย นี่ชั้นสลัดรักหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของโรงเรียนเพื่อหนุ่มหล่ออันดับสามที่เป็นอัลไซเมอร์คนนี้เหรอ ทิชาหน้างอง้ำ
" ถ้าอยากรู้มาก ก็น่าจะคาดคั้นถามนายแทนให้หนัก "
" ไม่เอาหรอก เกรงใจมัน "
"แล้วที่มาถามเอากับชั้นเนี่ย ไม่เกรงใจหรือไง "
" ไม่ " โชติวัตตอบหน้าตาเฉย มีผลให้ใบหน้าใสกระจ่างเผือดลงชั่วขณะ ความน้อยใจที่ระยะนี้ผุดขึ้นมาบ่อยเหลือเกินจุกที่อกเสียจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
"นาย
ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนชั้นเลยนะ "
" ชาช่า? " โชติวัตละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำ เงยหน้ามองคนตรงหน้าที่น้ำเสียงเริ่มเย็นชาขึ้นจนรู้สึกได้
" หยุดเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น " ทิชาลุกพรวด " ชั้นง่วงแล้ว เดี๋ยวจะไปนอนห้องพ่อกับแม่ ส่วนนาย ถักต่อไปให้เสร็จ "
"เฮ้ย ทำไมจู่ๆ
"
" ไม่ต้องกลัว ไม่ได้ใช้ฟรีๆ พรุ่งนี้จะเลี้ยง อยากกินอะไรก็บอก จะเบอร์เกอร์ จะไก่ทอด จะไอติมหรือว่าพิซซ่าก็ได้
ทั้งนั้น "
" ไม่ต้อง คือ
" โชติวัตพยายามจะอธิบายความรู้สึกแต่ก็ไม่ทันเจ้าหล่อนที่ซัลโวกลับมาไม่ยั้ง
"น้อยไปเหรอ งั้นเอ็มเคดีมั้ยล่ะ ทำหน้าแบบนี้ ไม่ชอบของต้มงั้นสิ ถ้างั้นเปลี่ยนเป็นของย่าง ไดโดมอนก็แล้วกัน หรือว่ายังไม่สาแก่ใจก็เหมาฟูจิทั้งร้านก็ได้ ชั้นจะได้ล่มจมสมใจคนไร้ความรู้สึกอย่างนาย "
"ชั้นเหรอไร้ความรู้สึก "โชติวัตถามเสียงสูง แต่คนประนามก็ไม่อยู่ให้คำตอบเพิ่มเติมอีกแล้ว
"อะไรของเค้าวะ " โชติวัตมองตามร่างบางที่ก้าวฉับๆออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ถึงอยากจะตามไปพูดให้รู้เรื่องขนาดไหน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองในบ้านคนอื่นได้ ถึงจะเป็นบ้านที่เขาเคยมาวิ่งเล่นตั้งแต่เด็กๆก็ตาม
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนใจเฮือก ตัดสินใจก้มหน้าก้มตาถักผ้าพันคอต่อไป
พรุ่งนี้
ไว้ไว้พรุ่งนี้ก่อน
เมื่อปรับตัวปรับอารมณ์จนสามารถกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ทิชาก็ไม่เห็นโชติวัตแล้ว มีเพียงผ้าพันคอที่ถักเสร็จเรียบร้อยวางอยู่บนเตียง
เธอหยิบมันขึ้นมา สีน้ำเงินเข้มท่ามกลางแสงสลัวรางของโคมไฟช่างดูอ่อนโยนจนแทบไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
ทิชาเดินไปที่หน้าต่าง ถนนหน้าบ้านอันว่างเปล่าดูอ้างว้างและเงียบสงัด
แสงระยิบระยับจากต้นคริสมาสขนาดใหญ่ในบ้านพักชาวฝรั่งเศสฝั่งตรงข้ามลอดออกมา เติมเต็มความอบอุ่นให้หัวใจเธออีกครั้งจนอดไม่ได้ที่จะต้องพึมพำบทกลอนที่ชื่นชอบและเปรียบเสมือนคำปลอบโยนที่เธอมีให้ตัวเองเสมอมาด้วยเสียงพร่าสั่น
In this time of fear
When prayer so often prove in vain
Hope seems like the summer bird
Too swiftly flown away
ในช่วงเวลาของความหวาดหวั่น
เมื่อคำภาวนาเริ่มเห่อเหิม ความหวังคล้ายดังวิหคน้อย แผ่สยายปีกออกไป
ไกลแสนไกล
พรุ่งนี้เถอะ
ไว้ให้ถึงพรุ่งนี้ก่อน
25 ธันวาคม เวลาเจ็ดโมงเช้า เพลงประจำเทศกาลคริสมาสดังไปทั่วทุกอาคารเรียน
โชติวัตเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยใบหน้าอิดโรยขัดกับบรรยากาศอันแสนเริงรื่นรอบ
กายอย่างสิ้นเชิง เพื่อนๆที่นั่งจับกลุ่มคุยกันออกปากทักกันให้ขรม
"
ไง โช ดูเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยนะ เกมส์ออนไลน์สิท่า "
" นิดหน่อยว่ะ ว่าแต่ว่าพวกนายเห็นไอ้แทนหรือเปล่า ?" โชติวัตถามกลับ
" ไปหาน้องม.สี่คนนั้นมั้ง " ใครคนหนึ่งเปรยขึ้น โชติวัตขมวดคิ้ว โยนกระเป๋าโครมแล้วจ้ำพรวดออกไปท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนทุกคน
อีกทางหนึ่งทิชากำลังเดินมาหาโชติวัตที่ห้อง มือขวาเธอกำถุงกระดาษสีน้ำเงินเข้มไว้แน่น พวงแก้มขาวดูระเรื่อสดใสยิ่งกว่าทุกวัน
จากคุณ :
หวัสสา
- [
30 ธ.ค. 48 18:43:05
]