ความคิดเห็นที่ 1 แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเอา หนานทิพย์ช้าง ไปเปรียบเทียบกับภาพยนต์เรื่อง BRAVEHEART ก็เนื่องมาจากการที่ได้มีโอกาสมาเยือนวัดพระธาตุลำปางหลวง  อันเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่หนานทิพย์ช้างได้เป็นผู้นำกองกำลังชาวบ้านและทหารเข้าต่อสู้กับทหารพม่าจนได้รับชัยชนะ สารภาพมาซะดีๆ  ใครเกิดทันได้ดูหนังไทยเรื่อง “ทิพย์ช้าง” ที่นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี  กับ ธัญญารัตน์  โลหะนันท์ บ้าง     โห ! ทำหน้าเหรอหรากันเป็นแถว  พระเอกน่ะเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก  แต่นางเอกนี่สงสัยคงไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ ( ป้าแหม่มกับน้าเนกช่วยบอกว่ารู้จักทีเถอะ หวังที่ป้ากับน้านี่แหละ  ถ้าสองท่านนี่ไม่รู้จัก ในห้องนี้ก็คงไม่มีใครรู้แล้วหละ) ผมเองได้ดูหนังเรื่องนี้ก็ประมาณยี่สิบกว่าปีมาแล้วมั๊ง  เป็นหนังที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาลมากในสมัยนั้น (ประมาณหนัง สุริโยทัยสมัยนี้) เนื้อเรื่องก็จำไม่ค่อยได้หรอกครับ (จำได้ก็บ้าแล้ว นานซะขนาดนั้น  )  ตอนนั้นเป็นเด็กมาก ก็ชอบนะ หนังแนวสงครามประวัติศาสตร์   ตอนนั้นก็ไม่เคยคิดหรอกว่าสักวันหนึ่งจะได้มาเยือนสถานที่ที่เป็นประวัติศาสตร์จริงๆของหนังที่เราเคยดูในสมัยเด็กๆ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ณ วัดพระธาตุลำปางหลวงแห่งนี้  นอกจากจะมีคุณค่าทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แล้ว  ยังเป็นสถานที่อันเกิดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ใครเลยจะคาดคิดว่าจาก “พรานป่า” ธรรมดาคนหนึ่งจะเกิดมีโชคชะตาชีวิตที่พลิกผันให้กลายเป็นวีรบุรุษ และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้เป็นถึงเจ้าผู้ครองนคร   เขาเป็นผู้กอบกู้เอกราชของเมืองลำปางที่อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า และเขาผู้นั้นก็คือ หนานทิพย์ช้าง ต้นตระกูลเชื้อพระวงศ์ของเจ้าทางเหนือ ซึ่งเรื่องราวของเขาได้เริ่มขึ้น ณ พระธาตุลำปางหลวงแห่งนี้ ...! จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในอดีตนั้น  นครลำปางนั้นเป็นเมืองที่สำคัญของอาณาจักรล้านนามานาน จนถึงยุคที่อาณาจักรล้านนาถูกพม่าแผ่อำนาจเข้ามาปกครองเป็นเวลากว่า 200 ปี ซึ่งพม่าได้ตั้งศูนย์กลางการปกครองอาณาจักรล้านนาอยู่ที่เชียงใหม่   ตลอดระยะเวลาที่พม่าปกครองเชียงใหม่และอาณาจักล้านนานั้น หัวเมืองต่างๆ ชาวบ้านชาวเมืองได้รวมตัวกันพยายามต่อสู้กับพม่าเพื่อความเป็นอิสระหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำการได้สำเร็จ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ณ เพลานั้น  ชาวเมืองระส่ำระสาย มีจลาจลวุ่นวาย พม่าส่งผู้ปกครองมาดูแลหัวเมืองลานนาทั้งหมด  อาทิ เชียงใหม่ เชียงแสน เชียงราย  แพร่ น่าน ลำพูน   ส่วนนครลำปางพม่าแต่งตั้ง ท้าวมหายศ มาปกครอง โดยมีกองทัพของพม่าอยู่ที่เมืองลำพูน  ชาวเขลางค์นครพยายามคิดการณ์ที่จะยึดเมืองลำปางกลับคืนมาอีกครั้ง ผู้คนกลุ่มหนึ่งจึงได้ รวบรวมกำลังเข้าสู้รบกับพม่า แต่ก็ไม่สามารถขับไล่พม่าออกไปได้  ผู้ที่คิดก่อการล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลำปางตกอยู่ในครอบครองของท้าวมหายศ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในเขตกำแพงวัดพระธาตุลำปางหลวง ท้าวมหายศทารุณกดขี่ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั่วไป   มิอาจมีผู้ใดสามารถปราบกองทัพท้าวมหายศได้ ในภาพนี้คือซุ้มประตูโขงประตูทางเข้าวัด จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เจ้าอธิการวัดพระแก้วหรือวัดชมภู (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมืองลำปาง) มีความรู้ทางโหราศาสตร์ประชาชนเลื่อมใสสมัครเข้าเป็นบริวารจำนวนมาก ประสงค์จะหาผู้มีความสามารถกู้อิสรภาพคืนจากพม่า มีผู้แนะนำว่า หนานทิพย์ช้างพรานป่าเป็นผู้มีความสามารถ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกำลังกายแข็งแรง รู้จักและชำนาญในการใช้อาวุธ เจ้าอธิการวัดพระแก้วจึงไปขอร้องให้หนานทิพย์ช้างไปกอบกู้บ้านเมืองในครั้งนี้โดยมีข้อเสนอให้ เมื่อกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ ก็จะสถาปนาให้เป็นเจ้าครองเมืองลำปางต่อไป จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:35:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ธ้ญญารัตน์ โลหะนันท์  คนนี้สวยมากๆครับ... จากคุณ : โด่ง (kirdchuchuen) - [ 20 ก.ย. 49 23:38:37 ]

ความคิดเห็นที่ 8 หนานทิพย์ช้างขันอาสาโดยได้นำไพร่พลไป 300 คน ให้ซุ่มรออยู่ข้างนอกวัดพระธาตุลำปางหลวง  จากนั้นหนานทิพย์ช้างได้ลอบเข้าไปในวัดทางท่อระบายน้ำปลอมเป็นคนลำพูนเข้าไปส่งข่าวให้แก่ทัพพม่า เมื่อสามารถเข้าไปในวัดได้แล้วไปถามทหารว่าแม่ทัพเป็นคนไหน  ตนมาจากลำพูนเพื่อมาส่งข่าว ทหารพม่าหลงเชื่อก็ชี้บอกแม่ทัพท้าวมหายศ  ซึ่งขณะนั้นนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในศาลาหลวง เมื่อหนานทิพย์ช้างรู้ว่าแม่ทัพพม่าคือคนไหนก็ใช้ปืนที่พกมายิงจนแม่ทัพพม่าเสียชีวิต  และสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ อ่านถึงตรงนี้ หลายๆคนคงรู้สึกแปลกๆ   แหม ! อะไรมันจะง่ายดายปานนั้น  ก็สุดแต่จะจินตนาการก็แล้วกันนะครับ  ถ้าสร้างเป็นภาพยนต์ก็คงสู้รบกันอยู่หลายกระบวนท่ากว่าจะได้ชัยชนะ   คงไม่ง่ายดายเหมือนที่ประวัติศาสตร์เขียน  ประเภททหารพม่าชี้มือให้ยิงง่ายๆเนี่ย   ประวัติศาสตร์ไทยบางครั้งก็ต้องใช้วิจารณญาณและจินตนาการพอสมควร   แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหนานทิพย์ช้างจะใช้วิธีไหนในการลอบสังหารท้าวมหายศ  ก็ต้องนับว่าเป็นผู้กล้าหาญอย่างยิ่งที่กล้าบุกเข้าไปอยู่ในกองทัพพม่า   เรียกว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยทีเดียว นับเป็นผู้กล้าโดยแท้   จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ้าว ! หวัดดีครับน้าโด่ง  ไปรายงานตัวมาเรียบร้อยแล้วเหรอครับ ^ ^ เย้ๆๆๆ   ดีใจจัง  มีคนรู้จักนางเอก ธัญญารัตน์ ด้วย ไม่ได้แก่คนเดียวแล้วเรา จากนั้น หนานทิพย์ช้างก็ได้สถาปนาตนเป็น เจ้าทิพยจักรหลวง หรือ เจ้าสุลวฤาไชยสงคราม   ปกครองเมืองลำปางตั้งแต่ พ.ศ. 2275  นาน 27 ปี พระองค์ได้พิราลัยในปี 2302 รวมอายุได้ 85 ปี เจ้าทิพย์ช้างมีโอรสและพระธิดากับเจ้าแม่พิมพา รวม 6 องค์  คือ เจ้าอ้าย (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเยาว์) เจ้าชายแก้ว, เจ้านางคำ, เจ้านางคำปา, เจ้าคำปอเฮือน (ตายในสนามรบ) และเจ้านางกม พระโอรสองค์ที่2 คือ เจ้าฟ้าแก้ว ซึ่งเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวที่เหลืออยู่  จึงได้ครองราชย์ต่อจากพ่อเจ้าทิพย์ช้าง   เจ้าฟ้าแก้วมีโอรส 7 องค์ ธิดา 3 องค์ ได้แก่ เจ้ากาวิละ, เจ้าคำโสม, เจ้าน้อยธรรมลังกา, เจ้าดวงทิพย์, เจ้าศรีอโนชา, เจ้าศรีวรรณ (ถึงแก่กรรม) เจ้าหมู่หล้า, เจ้าคำฝั้น, เจ้าศรีบุญตัน (ถึงแก่กรรม) และเจ้าบุญมา จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:46:45 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ซึ่งโอรสและธิดานี้ต่อมาก็ได้รับสถาปนาให้ไปปกครองหัวเมืองต่างๆอันเป็นต้นตระกูลของ ณ ทางภาคเหนือ ได้แก่ ณ ลำปาง, ณ เชียงใหม่, ณ ลำพูน, ณ น่าน ดังนั้นหนานทิพย์ช้างจึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของราชสกุลทางภาคเหนือ หรือที่เรียกว่าเชื้อเจ้าผู้ครองนครต่างๆและมีทายาทสืบสกุลกันมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นหากได้ยินได้เห็นผู้ที่มีนามสกุล "ณ" นำหน้าจังหวัดทางภาคเหนือ ก็เข้าใจได้เลยว่าต้นดระกูลของบุคคลเหล่านี้ก็คือนักรบผู้กล้าที่มีชื่อว่า "ทิพย์ช้าง" เรื่องราวความกล้าหาญของวีรบุรุษหนานทิพย์ช้าง ก็จบลงเพียงแค่นี้    แปลกใจเหมือนกันที่ท่านมุ๊ยไม่คิดที่จะนำเอาตำนานเรื่องทิพย์ช้าง มาสร้างเป็นภาพยนตร์บ้าง   แต่กลับไปตามล่าหาจะเด็ด  ( ไม่รู้จะตามหาไปทำไม แถวระนอง กับ แม่สอด เดินกันให้ขวัก )   วีรกรรมคนไทยไม่เชิดชู  จะไปยกย่องบุเรงนองซะงั้น จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในยุคของเจ้ากาวิลละ ( โอรสของเจ้าแก้วฟ้าที่ครองราชย์ต่อจากหนานทิพย์ช้าง ) ได้มีบทบาทในการต่อสู้กับพม่าอีกครั้ง    เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีบัญชาให้เจ้าพระยาจักรี ( ภายหลังคือ รัชกาลที่ 1 )และเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกองทัพไปตีพม่าที่เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ เจ้ากาวิละ จึงพาอนุชาทั้งหกเข้าสวามิภักดิ์ แล้วนำทหารชาวนครลำปางเข้าสมทบยกขึ้นไปตีเชียงใหม่ พม่าได้จับเจ้าฟ้าหลวงชายแก้วไว้เป็นประกัน เมื่อกองทัพไทยยกขึ้นไปเชียงใหม่  เจ้ากาวิละจึงนำทหารชาวนครลำปางตีหักเข้าเมืองได้ก่อนช่วยพระบิดาออกจากที่คุมขังได้สำเร็จ แล้วนำกำลังสมทบกับกองทัพไทยใต้ตีพม่าแตกพ่ายไป   ความดีความชอบครั้งนี้ เจ้ากาวิละได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง "นครลำปาง" และต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ตามลำดับ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ลาพักร้อนอยู่ดีๆ...  ต้องวิ่งเข้าไปรายงานตัวซะ...  แต่ดูแล้ว  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ...  วางระบบดูรายละเอียดเสร็จ...  น่าจะคลี่คลายเข้าระบบได้เร็ววัน จากคุณ : โด่ง (kirdchuchuen) - [ 20 ก.ย. 49 23:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์  ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น (พ.ศ. ๒๓๒๘) ซึ่งผมคงขอข้ามในรายละเอียดเพราะเยอะมาก    แต่จะขอยกเอาคำพูดอันเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการรวมราชอาณาจักรไทย     กล่าวคือหลังจากที่เจ้ากาวิละได้นำกองทัพเข้าร่วมกับกองทัพหลวงเข้าตีกระหนาบพม่าที่ล้อมเมืองลำปางจนแตกพ่ายไปนั้น ในปีจุลศักราช ๑๑๘๑ (พ.ศ. ๒๓๓๗) เจ้ากาวิละได้เรียกพระอนุชาทั้ง ๖ เข้าเฝ้าแล้ว มีโอวาทคำสอน โดยมุ่งให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีสาระสำคัญ ตอนหนึ่งว่า "ตั้งแต่เจ้าเราทั้งหลายไปภายหน้าสืบไป ถึงชั่วลูก ชั่วหลาน เหลน หลีด หลี้ ตราบสิ้น ราชตระกูลแห่งเราทั้งหลาย แม้นว่าลูกหลาน เหลน หลีด หลี้ บุคคลใดยังมีใจใคร่กบฏ คิดสู้รบกับ พระมหากษัตริย์เจ้า แห่งราชวงศ์จักรี แล้วเอาตัวและบ้านเมืองไปพึ่งเป็น ข้าม่าน ข้าฮ่อ ข้ากูลา ข้าแก๋ว ข้าญวน ขอผู้นั้นให้วินาศฉิบหาย ตายวาย พลันฉิบหายเหมือนกอกล้วย พลันม้วยเหมือนกอเลา กอคา ตายไปแล้วก็ขอให้ตกนรกแสนมหากัปป์ อย่าได้เกิดได้งอก ผู้ใดยังอยู่ตามโอวาทคำสอนแห่งเรา อันเป็นเจ้าพี่ ก็ขอให้อยู่สุข วุฒิจำเริญ ขอให้มีเตชะฤทธีอนุภาพปราบชนะศัตรูมีฑีฆา อายุมั่นยืนยาว" * ภาพเงาพระธาตุอันเกิดจากการหักเหของแสงในวิหารพระพุทธ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:54:28 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นั่นแหละครับ  ข้อความโอวาทอันน่าประทับใจ   หลายๆท่านคงทราบกันดีว่า  แต่ก่อนนั้น คนไทยแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า  แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน  ความไม่สามัคคีกันของคนไทยนี่เองทำให้พม่าถือโอกาสเข้ามารุกรานข่มเหงอยู่เป็นเนืองนิจ     พระเจ้าตากเองกว่าจะรวบรวมกำลังกู้เอกราชคืนจากพม่าได้ก็ต้องทำศึกสงครามกับคนไทยด้วยกันเองอยู่เป็นนานกว่าจะรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นได้ ดังนั้น การจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีของเจ้ากาวิละ  จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ราชอาณาจักรไทยได้รวมกันเป็นปึกแผ่นโดยที่ไม่ต้องทำศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันอีกต่อไป จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 20 ก.ย. 49 23:56:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คห.13 แปลกตาดีจังครับน้านุ... เรื่องราวน่าประทับใจ เหมือนเช่นเคย... เลยครับ.. ขอบคุณนะครับสำหรับ รูปภาพ แล้วก็เรื่องราวดีดี ที่เอามาเผื่อแผ่ น้องๆ ห้องหัวฟู... จากคุณ : fba666 - [ 21 ก.ย. 49 00:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาชม และทนอ่าน ^ ^    วิชาประวัติศาสตร์เป็นสิ่งน่าเบื่อ   ขนาดปัจจุบันวิชาประวัติศาสตร์ก็ยังไม่มีบรรจุเข้าในตำราการเรียนการสอนของเด็กไทย     แต่ผมคิดว่าการได้ศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ทำให้เรารักและหวงแหนแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน ได้รับรู้ถึงความเสียสละที่บรรพบุรุษของเราได้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อต่อสู้ปกปักรักษาแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกให้หลานสืบไป ขอบคุณน้าโด่งด้วยครับ ที่มาอยู่เป็นเพื่อน  ไหนๆก็มาแล้วขอถามความเห็นน้าหน่อยนะครับ     อิอิ...ไม่ต้องตกใจครับ  ไม่ได้ถามเรื่องการเมืองหรอกครับ   คือผมสงสัยว่า ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงแห่งนี้  จะมีรอยกระสุนปืนอยู่ที่รั้วพระธาตุซึ่งตามประวัติอ้างว่าเป็นรอยกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศนั้น ผมรู้สึกคลางแคลงใจเล็กน้อยน่ะครับ  ว่าปืนคาบศิลาอย่างสมัยก่อนเนี่ย สามารถยิงทะลุรั้วที่ทำจากทองเหลืองได้เชียวหรือครับ  ( ไม่ใช่ไม่เชื่อนะครับ แค่สงสัยเฉยๆ ) จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 21 ก.ย. 49 00:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มันมีความเป็นไปได้ครับ...  หากดินปืนที่อัดไปมีกำลังมากพอ ระยะไม่ไกลจนทำให้ความเร็วของกระสุนตก  และไปโดนในส่วนที่บางสุดของทองเหลืองนั่น จากคุณ : โด่ง (kirdchuchuen) - [ 21 ก.ย. 49 00:08:02 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ้าว ! หวัดดีครับน้าเอฟ  กำลังจะจบกระทู้พอดี ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก http://lp-pao.org/history/webpk/thipchang/thipchang.htm อ้อ ! เดี๋ยวบางท่านจะสงสัย   ภาพใน คห.ที่  1 นั่นเป็นภาพตัดต่อนะครับ   หุ่นรูปปั้นของเจ้าพ่อทิพย์ช้างความจริงอยู่ที่ วัดกระแก้วดอนเต้า แห่งนี้ครับ   เอาไว้กระทู้หน้าจะพาไปนะครับ   มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากทีเดียว   โดยเฉพาะ ปริศนาตำนานพระแก้วมรกต  ( ปัจจุบันอยู่ที่วัดพระแก้ว  กรุงเทพ ฯ )   ขอบคุณทุกๆท่านครับ  ขอพระสยามเทวาทิราชคุ้มครองประเทศไทยและเพื่อนๆทุกๆคนครับ   จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 21 ก.ย. 49 00:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องราวประทับใจมากค่ะ น้านุ เขียวคนนึงล่ะชอบเรื่องประวัติศาสาตร์มาก  ๆ เสียดายไม่ค่อยมีใครมารวบรวมเรื่องพิมพ์ขาย รูปสวยจังค่ะ ปล.หนังไม่เคยดู ค่ะ จากคุณ : ขวดเขียว - [ 21 ก.ย. 49 01:03:18 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณน้าบางระจันมากๆครับ จากคุณ : My_Wisdom - [ 21 ก.ย. 49 02:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จากคุณ : น้ำพี้ - [ 21 ก.ย. 49 05:13:12 ]

ความคิดเห็นที่ 22 หวัดดีครับน้านุ..ภาพสวยๆสงบๆ..แถมรู้เรื่องประวัติ ชายอกสามศอกด้วย  เยี่ยมๆ  ฮ้าๆ จากคุณ : เนก_พิษณุโลก - [ 21 ก.ย. 49 07:40:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 รูปแถมด้วยประวัติศาสตร์ดีๆ เยี่ยมมากค่ะน้านุ จากคุณ : ปลาทองครีบหยิก - [ 21 ก.ย. 49 08:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพสวย-ข้อมูลแน่น... เจ๋งมากครับน้านุ... จากคุณ : rraiwa - [ 21 ก.ย. 49 08:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อิจฉาพี่นุจัง..ทำงานแบบเที่ยวทั่วไทย เป็นผมจะอยู่บริษัทนี้ไปชั่วชีวิต.. จากคุณ : คนบางปะอิน - [ 21 ก.ย. 49 09:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่องราวแน่นปึก ภาพสวยฟ้าใสเลยครับพี่  ดูภาพแล้วอยากไปมั่งจัง  ^^ จากคุณ : เทวดาตัวน้อย (tewada) - [ 21 ก.ย. 49 10:11:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่อง “ทิพย์ช้าง”  นี่ จำได้ว่า พระเอกรู้จักช้างเป็นอย่างดี แล้วพรางตัวเข้าไปอยู่กลางวงช้างด้วยวิธี เอามูลช้างทาทั้งตัวหน่ะ ฝูงช้างเลยไม่ตระหนกตกใจ -*- จะหาว่า มาเช็คชื่อด้วยคนไหมเนี่ย3..... จากคุณ : มินเอง - [ 21 ก.ย. 49 11:10:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 555  เรายังวัยรุ่น  ไม่รู้จักหรอกธัญญารัตน์นี่   แต่เขาสวยนะ  ขาวๆ  คล้ายฝรั่งปนจีน  อิ  อิ พระธาตุลำปางหลวงนี่เป็นพระธาตุประจำปีเกิดป้าเลยนะ  เคยไปมาหนนึง   ภาพที่ 14 เท่จังเลย  ข้อมูลแน่นเปรี๊ยะ  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ป้าmam - [ 21 ก.ย. 49 16:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ้าวน้า.... ไปบ้านเราก็ไม่บอก จะพาไปเลี้ยงข้าวซอย จากคุณ : แพนด้ามหาภัย - [ 21 ก.ย. 49 21:05:43 ]

ความคิดเห็นที่ 30 จากคุณ : powergaru - [ 22 ก.ย. 49 09:46:43 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แหม .... เข้ามาอ่านกระทู้พี่นุเพลินเลยค่ะ ชอบบรรยากาศ และวัฒนาธรรมทางเหนือค่ะ เคยไปวัดพระธาตุลำปางหลวงมาแล้วสองครั้งค่ะ ไม่รู้เป็นอะไร ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเข้าวัดทางเหนือแล้วจะรู้สึกเย็นสบาย ^^ อาจจะเป็นเพราะว่าทุกครั้งที่ไปเที่ยวภาคเหนือเป็นช่วงปีใหม่ก็ได้เนอะ ฮิฮิ พูดเองเออเองก็เป็นด้วยแฮะ .... เงาพระธาตุไปกี่ทีๆ ก็ไม่ได้ดู+ดูไม่ได้ เพราะว่าเป็นผู้หญิงเค้าไม่ให้ผู้หญิงดูอ่ะค่ะ ดีนะเนี่ยพี่นุถ่ายรูปมาให้ดู ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นอ่ะค่ะ ^^ เห็นรูปแล้วอยากไปเที่ยวพระธาตุลำปางหลวงอีกครั้งจังเลยค่ะ แบบว่าคนสวยชอบพิมพ์ผิดอ่ะค่ะ เอิ้ก เอิ้ก แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 49 18:05:26 จากคุณ : เจ้าหญิงซาลาเปา-เจ้าชายโรซ่า - [ 22 ก.ย. 49 17:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 จากคุณ : น่านน้ำสีคราม - [ 23 ก.ย. 49 02:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 33 น่าไปมากๆ เลยครับ กำลังจะหันหน้าเข้าวัดพอดี... จากคุณ : E2OTHM - [ 25 ก.ย. 49 12:18:30 ]