ความคิดเห็นที่ 1 ขอลงบทความของคุณnithi ให้อ่านกันนะครับ คนนี้น่ะครับ ตะแกชื่อ Mr Yoshihisa Maitani ครับ บุคคลผู้นี้นะครับ นับว่ามีคุณานุปการกับบริษัท OLYMPUS มากมายและแนวทางของบริษัทในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินตามแนวคิดของเขาอยู่ ดูรูปแกต่อนะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 13:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ย้อนกลับไปเมื่อปี1933 ในเมืองOnohara ,Shikoku ประเทศญี่ปุ่น มีเด็กชายผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้น ครอบครัวของเขาเป็นโรงงานผลิตโซยุ และ สาเก ซึ่งน่าจะมีกิจการอันดีพอควรเพราะบิดาของเด็กชายก็สามารถมีงานอดิเรกอันวิไลคือถ่ายภาพและมีกล้องRolliflexไว้ใช้ได้ งานอดิเรกของบิดาค่อยๆกระตุ้นเลือดนักประดิษฐของหนูน้อย จนเมื่อหนูน้อยอายุเพียง10ขวบ เขาก็สามารถประดิษฐกล้องBOXไว้ใช้เองได้ และขัดเกลาทักษะและรสนิยมตัวเองด้วยการแอบเอาRolliของพ่อไปใช้บ้างเป็นบางครั้ง และโทษทีนะครับเจ้าหนูMaitaniนี่เรียนรู้ทักษะการล้างฟิล์มและทำห้องมืดเองด้วยนะครับ โห....อายเลยครับ ด้วยความเปรื่องประมาณนี้นะครับ ก่อนเจ้าหนูจะเข้ารุ่นหนุ่มแกก็สะสมใบทะเบียนไว้ถึง4ใบ อย่าครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นใบทะเบียนสมรส เป็นใบทะเบียนสิทธิบัตรของกล้องถ่ายภาพ 4 ใบนะครับ ณ.ขณะนั้นอายุของ Maitani หนุ่มเพิ่งจะ 16 ปี แต่พ่อหนุ่มนี่ก็ยังติดหรูนะครับช่วงเรียน มะ หา ลัย นี่แกเล่นของสูงเลยนะครับ อันนี้นะครับที่แกใช้ Leica IIIF โอว...แม่เจ้า จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 13:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ประวัติของMaitani ช่วงเรียนมหาลัยนี่หาอ้างอิงลำบาก จำได้ว่าเคยอ่านในเวปเมื่อ3-4ปีก่อน แต่พอจะหาอ้างอิงกันพลาดก็ค้นไม่เจอซะแล้ว เอาเป็นว่าจะเล่าตามที่พอจำได้แล้วกันนะครับผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัยด้วย พ่อหนุ่ม Maitani นี่เข้าเรียน วิศวกรรมเครื่องกล ที่โตเกียว ในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยนี้ Maitani ได้พบกับ professor Torajirou Watanabeซึ่งท่านผู้นี้ได้กล่าวกับMaitaniครั้งหนึ่งว่า"What your job is, is to find out where the problem lies."ซึ่งคาถานี้เป็นแม่บทความคิดของวิศวกรหนุ่ม ซึ่งท่านจะได้เห็นในภายหลังว่าเขาใช้มันได้คล่องและขลังเพียงไร Maitani จบการศึกษาเมื่อปี 1956 วิศวกรหนุ่มสมัครงานสองแห่ง แห่งหนึ่งคือบริษัทรถยนตร์ชั้นนำ อีกแห่งหนึ่งคือบริษัทผลิตกล้องถ่ายรูปขนาดไม่ใหญ่เท่าไร ผลออกมาคือรับทั้งคู่ พ่อหนุ่มของเราเลือกทางเดินตามหัวใจเรียกร้องครับ Maitani เข้าทำงานกับบริษัท Olympus Optical Co.ltd ในปี 1956 ก่อนอื่นนะครับขอเล่าย้อนเกร็ดเดิมก่อน เรื่องช่วงMaitani เรียนมหาวิทยาลัย พอดีเพิ่งค้นเจอ ดีใจมากครับ รายละเอียดมันเป็นอย่างนี้ เข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัย WASEDA คณะวิศวกรรม ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล วิชาเอก Automobile engines ปี 1953 ครับ มีรูปมหา'ลัย ด้วยครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยครับเรื่องเข้าทำงาน เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง พวกนักศึกษาไม่ต้องออกหางานเมื่อจบหรอกครับ ไปยื่นความจำนงค์ไว้ตั้งแต่ก่อนจบ ปีสุดท้ายก็ทราบแล้วว่าจะไปทำทีไหน พ่อหนุ่ม Maitani ก็เหมือนกัน บริษัทรถยนต์ก็จองตัวไว้แล้วนะครับ เจ้าตัวก็ทำความตกลงไว้ระดับหนึ่งแล้วด้วย แต่ก่อนMaitaniจะจบการศึกษา มีบุคคลสำคัญผู้หนึ่งมาช่วย Maitani ตัดสินใจ ท่านชื่อ Mr.Eiichi Sakurai ครับ ตำแหน่งขณะนั้นท่านเป็นcamera designer and Director and Head of the Camera Development Division ในบริษัท Olympus ครับ ท่านเป็นผู้เชิญหนุ่มMaitaniเข้าร่วมทำงานด้วยตนเองในการพบกันครั้งแรกครับ ผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญมากในชึวิตการงานของMaitani ผมว่าเป็นBack up ที่แข็งมากละครับ เพราะตำแหน่งสุดท้ายของท่านก่อนเกษียร จาก Olympus ท่านดำรงตำแหน่ง เป็น Senior executive director นะครับ ท่าน เสียชีวิตแล้วเมื่อปี1998 ครับ อันนี้รูปของMr.Eiichi Sakurai ครับ เข้าทำงานสองปีแรกนะครับไม่ว่าbackแข็งขนาดไหนก็ต้องเรียนงานครับ ช่วงสองปีแรกหนุ่มMaitani เรียนรู้ระบบงานใน Office เรียนรู้งาน ในฝ่ายR&D และ ทำความคุ้นเคยกับระบบโรงงานและผู้คน ไม่มีProjectพิเศษใดๆถูกมอบหมาย ผมว่าอันนี้ต้องหมายเหตุไว้ว่าน่าศึกษา เพราะไม่ว่าจะGeniusขนาดไหน Back ใหญ่ขนาดไหน ถ้าไม่มี team ถ้าไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในองค์กรณ์ ก็ทำงานใหญ่ไม่ได้ ยกนี้ต้องยกเครดิตให้ Mr.Eiichi Sakurai ครับ ไม้พันธ์ดีต้องใช้เวลาหยั่งรากเมื่อถึงเวลาผลิดอกออกผลจะยั่งยืนกว่า ขอคารวะ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พ้นระยะฟักตัวนะครับ โครงการแรกที่นายสั่งหนุ่ม Maitani ก็เป็นโปรเจคแบบ Mission Impossible น่ะครับ เป็นโครงการทำกล้องถ่ายรูปราคาถูก โดยกำหนดให้ราคาไม่เกิน 6000 Yen ต้องจินตนาการนะครับว่าสมัยนั้นกล้องถ่ายรูปก็แพงพอๆกับกล้องดิจิทัลสมัยนี้ละครับ เงินเดือนเริ่มของพวกจบ ป.ตรี ก็ประมาณ 10,000 Yen +- กล้องถูกสุดในสายการผลิตของOlympus ขณะนั้น 23,000 Yen ครับ ดูโปรเจคที่ถูกมอบแล้วไม่รู้ว่านายรักหรือชังกันแน่นะครับ แต่นี่คือจุดเรี่มของ กล้องPen ตำนานแรกทีMaitani แต่งให้Olympus ครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พ่อหนุ่มไม่ย่อท้อ มองการมอบหมายเป็นโอกาสอันดีในการแสดงฝีมือ แต่ก็ไม่ดูถูกงานต่ำกว่าที่เป็นจริง เพราะถ้าโครงการนี้ง่ายๆบริษัทอื่นก็คงทำขายนานแล้ว Maitani เริ่มการวิเคราะห์จากพื้นฐานของปัญหา คือตัวกล้องเอง เขาเริ่มด้วยการวิเคราะห์ส่วนประกอบพื้นฐาน การรวมกันของส่วนประกอบเหล่านี้ คือ กล่องทึบแสง เลนส์ ชัตเตอร์ ไดอะแฟรม สื่อรับแสง และจิตใจที่ผ่อนคลาย ของช่างภาพ ก็จะได้ผลเป็นภาพถ่ายที่ดี เขาตั้งใจจะทำให้กล้องตัวนี้เป็นกล้องสำรอง หรือกล้องตัวที่สอง ของคนที่ใช้Leicaอย่างเขา ไม่ได้ตั้งใจจะทำกล้องของเล่นถูกๆ เริ่มที่ตัวกล่องหรือบอดี้ของกล้อง ต้องสามารถห้อยคอคู่กับ Leica IIIF ของเขาได้ เลนส์ ต้องมีการวางชิ้นเลนส์แบบมีคุณภาพและใช้เนื้อแก้วอย่างดีMaitani เลือกการวางเลนส์แบบ Zeiss Tessar แทนที่จะใช้ชิ้นเลนส์เดี่ยวทีประหยัดต้นทุนกว่า นี่คือรูปการวางเลนส์แบบZeiss Tessar ครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:02:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อมาคือชัตเตอร์ Maitani ให้ความสำคัญกับส่วนนี้มากเป็นพิเศษเพราะเขาเองใช้Leica และพอใจกับน้ำหนักชัตเตอร์และความรู้สึกมาก กล้องตัวนี้จะต้องให้ความรู้สึกในการลั่นชัตเตอร์เป็นอย่างเดียวกัน format ของ ฟิล์มจะเป็นอีกส่วนที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก เขาเลือกใช้Format 18x24 หรือครึ่งของฟิล์ม135 แต่อันนี้ค่อนข้างเสี่ยงมากเพราะเคยมีบริษัทที่ออกกล้องรุ่นที่ใช้Formatนี้แล้วเจ๊งไม่เป็นท่า ปรากฏว่านายยอมเล่นด้วยโดยยอมให้ลองทำดู อีกส่วนที่จะช่วยลดต้นทุนคือชุดเฟือง Maitani ลดชุดเฟืองออกจากแกนเลื่อนฟิล์มและอาศัยประสบการณ์ในโรงงานลดจำนวนเฟืองที่ต้องใช้ให้เหลือน้อยที่สุด เขาเรียกการออกแบบนี้ว่าออกแบบตามแนวคิด zero gear concept ช่วงที่เขาทำงานตามแนวคิดของเขานั้น วิศวกรอื่นๆในแผนก ไม่ให้ความสนใจเนื่องจากคิดว่า ไม่มีทางสำเร็จ จนเมื่อได้เห็นกล้องตัวต้นแบบแล้วจึงเริ่มยอมรับว่าแนวคิดของMaitani เป็นไปได้จริง และในเดือนตุลาคม 1959 Pen วางตลาดและขายอย่างถล่มทลาย แนวคิดการออกแบบของ Maitani ได้รับการพิสูจน์เป็นครั้งแรก รูปของ Pen ครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Pen ได้ถูกพัฒนาต่อมาอืกหลายรุ่นหลายรูปแบบ ปัจจุบันยังมีนักสะสมกล้องPen อยู่มากมายในต่างประเทศ ผมว่าวันนี้ปล่อยพ่อหนุ่มMaitaniชื่นชมความสำเร็จของPenไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาเล่าต่อ มาต่อนะครับ วันนี้จะขอขยายความ เรื่องความสำเร็จของ Pen ก่อนอื่นมาดูภาพบรรยากาศของช่วงปี ที่ Pen ออกวางตลาดกันก่อนนะครับ ไม่ทราบใครจำใครได้บ้างครับในภาพ อีตาคนตัวขาวๆ เก๊กท่าหล่อนี่กำลังจะเป็น ปธน.ธิบดีครับ อีตาคนตัวดำๆท่าทางกังวลนี่ก็ ยังพูดมากๆเรื่องคนหลายๆสี อยู่ ยังไม่ตาย ไอ้ก้อนเล็กๆนี่ดังระเบิดเลยครับที่ญี่ปุ่นสมัยนั้น วิทยุทรานซิสเตอร์แบบพกพาครับ ช่วงที่พ่อหนุ่มMaitani คิดกล้องPen ก็ได้IDEAส่วนหนึ่งเรื่องกล้องเล็กๆใช้ง่ายๆกลไกน้อยๆจากนี่ละครับ ส่วนLabel ข้างล่างก็เป็นบริษัทที่ทำวิทยุนี่น่ะครับ ช่วยเพ่งหน่อยนะครับ บริษัทอะไรก็ไม่รู้Logoเชย สุดๆ ไม่น่ายืนยงมาถึงวันนี้ได้นะครับ SONY ครับ แล้วก็ไอ้หัวกะลาครอบสี่คนตรงกลางรูปก็เพิ่งดัง แบบว่าซิกซ์ตี้นะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่เอารูปบรรยากาศต้นยุคsixtyให้ดูเพื่อปูพื้นให้ทราบถึงว่า กล้องPenผลงานแรกของพ่อหนุ่มMaitani นี่เป็น Product ที่เข้ากันได้อย่างมากกับทิศทางตลาดขณะนั้น หลังจากวางตลาดกล้อง Pen ตัวแรก ในปลายปี 1959 Maitani ก็ได้ถูกมอบหมายให้พัฒนา Pen อีกหลาย Version ทั้งที่ยังตรงตามแนวคิดเดิมของเขาคือกล้องสำรองสำหรับผู้ใช้Leica และ แนวคิดเอาใจตลาดคือเน้นการใช้ง่าย ผู้หญิงใช้ได้ด้วยตัวเอง มาดูใบปิดโฆษณาของPenกันดีกว่าครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นมั้ยครับเอาใจหญิงสุดๆ Logo ยังดัดเป็นสวอนเลยครับ มาดูรุ่นกล้องกันบ้าง เริ่มด้วยตัวดั้งเดิม Pen35 PenW จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:05:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ต่อด้วย Pen D ครับ ชุด Pen D นี่จะหรูหน่อยตามที่Maitaniจะให้เป็นกล้องสำรองของคนใช้Leica นะครับ ลองสังเกตดูนะครับ พวกชุดหรูของบริษัทOlympusนี่ lensจะสว่างๆ นะครับ อย่างสองตัวนี้ก็ f1.9 ดูๆก็ซ้ำรอยเดิมนะครับ กล้องOlympus ดิจิทัล ปัจจุบันก็จะเน้นเลนส์สว่างๆเหมือนกัน จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:06:26 ]

ความคิดเห็นที่ 12 และเซตสุดท้าย Pen EE ครับ ไอ้กล้องชุดPen นี่บ้านเราเรียกกล้องปัญญาอ่อนนะครับ เพราะมันถ่ายง่ายมากๆ รูปก็สวย จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ย้อนกลับถึงความสำเร็จของPen ตัวแรก และตัวต่อๆมาทำให้ความยอมรับใน ตัวของMaitani ในแผนกออกแบบเองสูงขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้นทางฝ่ายขายซึ่งครั้งแรกก็มีความเห็นขัดแย้งกับแนวคิดของMaitani กลับกลายมาเป็นพันธมิตรสำคัญเมื่อเห็นยอดขายที่ถล่มทลายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนของPen ไม่เฉพาะในปีแรกเท่านั้นนะครับ ตามRecordกล่าวไว้ว่า ยอดขายของกล้องPen รวมตลอด20ปีที่อยู่ในสายการผลิต สูงถึง 17,000,000 units กว่าครึ่งของยอดขายเป็นรุ่น EE และ EES เพราะเหตุว่าใช้ง่ายและถูกใจเหล่าแม่บ้าน เหตุที่ว่าต้องปูพื้นเรื่องReputation ของ Maitani ในบริษัทก็เพราะว่าถ้าMaitaniไม่ได้สิ่งนี้จากคนในองค์กร ไอเดียโลกแตกของกล้องตัวต่อไปของMaitani รับประกันได้นะครับว่าไม่เกิดแน่นอน กล้องตัวนี้นะครับ Pen-F The ultimate of 18x24 ถ้าใครจำได้ในปี 1959 ปีเดียวกับที่ Pen เกิด มีเหตการณ์สำคัญในตลาดกล้องเกิดขึ้น คือเป็นปีเกิดของ Nikon F ด้วยนะครับ เหตการณ์นี้สะเทือนวงการกล้องระดับบนมาก ทุกบริษัทในญี่ปุ่นขณะนั้นพยายามพัฒนาSLR ของตนวางตลาดด้วยเช่นกัน ไม่เว้นOlympus ด้วยนะครับ แต่โปรเจกต์นี้ถูกมอบหมายให้ทีมออกแบบคนละทีมกับของMaitani เพราะMaitani ต้องควบโปรเจกต์กล้อง Pen ที่กำลังไปได้สวย แต่ในขณะเดียวกันด้วยวิญญานนักออกแบบ Maitani ก็ร่างแผนรอจังหวะเสนอสร้างอยู่เงียบๆ เมื่อเวลาพร้อม Maitani ก็นำเสนอ แบบร่างของโครงการพิสดาร ของเขากับหัวหน้าเพื่อขออนุมัติสร้าง Half frame format (18x24) Single lens Reflex Camera / The Pen-F ตามคาดนะครับ คนกำลังขึ้นหม้อ ขออะไรก็ได้เลยพ่อคุณ อนุมัติครับ ง่ายจนMaitani ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าเขาเองยังแปลกใจว่าการพัฒนากล้องPen-F เป็นไปอย่างไร้อุปสรรค ต่างจากPen ตัวแรก หน้ามือเป็นหลังมือ ดูแบบภายนอกของPen-Fก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยๆเล่าเรื่องความพิสดารทางเทคนิคของมัน จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:08:37 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดูรูปต่อกันก่อนนะครับ ว่าในเซตของPen-F นี่มันใหญ่พอๆกับ Nikon-F ยุคนั้นเลยนะครับ ขอให้สังเกตการตั้งชื่อรุ่นไว้ด้วยนะครับ SLR สมัยนั้นใช้F กันเกร่อนะครับ ไม่เห็นมีใครจะว่าอะไร ใครๆก็ใช้ Nikon,Canon,Konica ออก SLR มาก็เรียกFหมดนะครับ Olympus Pen ก็เลย F กับเขาบ้าง ขอให้สังเกตตอนนี้ให้ดีนะครับ เรื่องตั้งชื่อนี่จะไปมีผลกับMaitani ในตอนหน้านะครับ ดูรูปกัน จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:09:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยนั้นกล้องSLR อื่นๆตัวโตๆหนักๆ ดูโฆษณานี่สิครับเล็กสะใจมั้ย จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แม้แต่คนในตำนานช่างภาพ Eugene Smith ช่างภาพสงครามหัวเห็ด ยังใช้ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กลับมาต่อนะครับ ขอบคุณที่ยังมีคนติดตามอ่านนะครับ และต้องขอโทษบางท่านที่ผมลงทีเดียวหมดไม่ได้ครับ เพราะค้นไปเขียนไปน่ะครับ มาต่อนะครับ เรื่องPen-F วันนี้มาดูความซับซ้อนของการออกแบบของMaitani กันนะครับ เริ่มด้วยFormatของฟิลมที่เป็นSingle frame(เมื่อเทียบกับฟิลมถ่ายภาพยนต์)หรือHalf frameเมื่อเทียบกับฟิลม135 ด้วยขนาดของฟิลมทำให้สามารถออกแบบให้ขนาดของกระจกสะท้อนภาพเล็กลงและ ระยะห่างระหว่างท้ายเลนส์ถึงระนาบฟิลมก็สั้นลงด้วย แต่นี่เป็นข้อดีด้านแนวคิดออกแบบ ปัญหาคือไม่สามารถใช้ชุดกลไกกระจกสะท้อนและอุปกรณ์อื่นๆที่Olympus มีอยู่ในสายการผลิตได้เลย Maitani คิดค้นชุดกระจกสะท้อนภาพแบบครีบปลา(สวิงในแนวระนาบ)และชุดPorroPrism เพื่อนำภาพเข้าสู่View finderใหม่ทั้งหมด สิ่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานคิดค้นที่Originalมาก อย่างแรกของMaitani ในกล้องPen-F ปัจจุบันถ้าเห็นงานเขียนทางเทคนิคการถ่ายภาพ ที่อ้างถึงช่องมองแบบPen-Fก็แบบนี้แหละครับ ดูรูปของชุดนี้กันครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สิ่งประดิษฐ์ต่อมาที่เป็นเอกลักษณ์ของPen-Fคือระบบชัตเตอร์ครับ ในสมัยนั้นพวกSLRของบริษัทอื่นๆก็ใช้ระบบชัตเตอร์คล้ายๆกันคือเป็นแบบที่มีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบ และทุกๆยี่ห้อก็มีข้อจำกัดคล้ายๆกันคือความเร็วสัมพันธ์แฟลชครับสมัยนั้นอย่างเก่งก็ 1/60 Maitani มองปัญหานี้ของกล้องอื่นเป็นโอกาสของ Pen-F ครับ Pen-F ถูกติดตั้งระบบชัตเตอร์ใหม่ที่สุดที่มีลักษณะพิเศษคือมีการเปิดรับแสงอย่างสมบูรณ์ในครั้งเดียว ทำให้การSynchแฟลชทำได้ในทุกความเร็ว แม้ในความเร็วสูงสุดของPen-Fคือ 1/500ข้อนี้ทำให้ในยุคนั้นPen-Fได้ชื่อว่าเป็นSLRที่Synchแฟลชเร็วที่สุดนะครับระบบชัตเตอร์นี้ชื่อว่า Rotary metal focal plane shutter ครับ เป็นลิขสิทธ์เฉพาะของOlympus ครับ และเชื่อหรือไม่ครับ ระบบซื่งคล้ายกันนี้ถูกนำมาใช้กับ E-10 ในปี2000 นะครับ เหมือนเป็นที่ระลึกถึงMaitani อยู่ในกล้องDigital เลยนะครับ มาดูรูประบบชัตเตอร์นี้กันครับ รูปแรกขณะปิด จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 และตอนเปิดก็เป็นอย่างนี้ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 20 และรูปแผ่นชัตเตอร์มองจากหลังกล้อง จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:12:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 และด้วยความซับซ้อนของการออกแบบใหม่หมดทั้งระบบ Maitani ได้รับทะเบียนลิขสิทธ์ หลังจากพัฒนาPen-Fเสร็จสิ้น เป็นจำนวนถึง 50 ฉบับครับ ลองคิดดูว่าในยุคที่ญี่ปุ่่นได้ชื่อเสียงที่เลวว่าเป็นนักก๊อปปี้ บุคคลที่คิดย้อนกระแสและมีแนวคิดเป็นตัวของตัวเองเช่นนี้น่าศึกษานะครับ ในงานPhotokina ปี 1963 ก็มีบริษัทที่คิดเช่นนี้ครับLeitz แห่งเยอรมันนี เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเหตว่าปกติ Leica มักจะเป็นเป้าหมายในการก๊อปปี้แต่หลังจากวิศวกรของLeitzเข้าชม(มาจับผิดนั่นแหละ) Pen-F และทดสอบด้วยตัวเองกว่าสองชั่วโมง ก็ถึงกับเปล่งอุทานว่า "Excellent!" ครั้งนี้ตัวMaitani เองถือว่าเป็นความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งของเขาที่ได้รับการยอมรับจาก บริษัทที่เขาเองนับถือในความเป็นOriginal แต่นอกจากคำชม บรรดาวิศวกรของLeitz ก็หมายตา Maitani และ Olympus เป็นพิเศษ ไม่ใช่ในฐานะนักก๊อปปี้ แต่เป็นบริษัทคู่แข่งที่มีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นมาทัดเทียมกัน(เฮ้อ..เขียนถึงตอนนี้แล้ว นึกถึงประเทศตัวเองนะครับ ไม่ค่อยมีอย่างนี้เลยนะครับ) เป็นอันว่าขณะนี้Maitaniเขียนตำนานให้บริษัทไปสองตำนานแล้วนะครับ Pen-1959,Pen-F-1963 เอาตำนานมาเรียงคู่กันดู จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:13:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มาดูรุ่นทั้งหมดของ Pen-F Series กันนะครับ 1963 Pen-F 1966 Pen-FT 1966 Pen-FT Black 1966 Pen-FTV 1968 Pen-F Microscope 1969 Pen-FT Microscope และเลนส์ 17 Zuiko Pen F lenses 20mm/F3.5, 25mm/F2.8, 25mm/F4.0, 38mm/F3.5 Macro, 38mm/F2.8, 38mm/F1.8, 40mm/F1.4, 42mm/F1.2, 50-90mm/F3.5 Zoom, 60mm/F1.5, 70mm/F2.0, 100mm/F3.5, 100-200mm/F5.0 Zoom, 150mm/F4.0, 250mm/F5.0, 400mm/F6.3, 800mm/F8 Reflex. นอกจากนั้นยังมีผู้ผลิตอิสระทำอแดปเตอร์ให้Pen-Fสามารถใช้เลนส์ของ Nikon,Leica,Praktica, Exakta ได้ด้วยนะครับ Pen ปิดสายการผลิตลงเมื่อปี 1970 ดูรูปทั้งครอบครัวของPen-Fกันครับ กลับมาที่Maitani ขณะที่เขาทำการพัฒนากล้อง Pen,Pen-F Series นั้น ทีมออกแบบกล้องอีกทีมก็ทำการพัฒนา โครงการFull Frame Slr ควบคู่กันไปด้วย และทำการวางตลาดในปีเดียวกับที่ Pen-F ยุติการผลิตลง นี่คือหน้าตาของ Olympus FTL ครับ ถ้าใครเคยเป็นเจ้าของCanon FTb จะเห็นว่าเหมือนกันมากเลยนะครับ เลนส์ที่ใช้เป็นเมาท์เกลียวแบบเดียวกับPractica ผลปรากฎว่าเจ้งครับ ทำอยู่สองปีก็ปิดสายการผลิต Maitani คงมองโครงการนี้อย่างสลดใจเพราะเป็นโครงการที่ไร้ความเป็นเอกลักษณ์โดยสิ้นเชิง ด้วยความรู้สึกขัดแย้งเขาเองศึกษาและพัฒนาโครงการFull Frame SLR อย่างเงียบๆ ในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง เพราะคนอย่างเขา ถ้าซ้ำรอยใครอย่าทำดีกว่า มาดูSLR Full FrameโครงการแรกของOlympus กันครับ Olympus FTL จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาต่อกันเรื่องการพัฒนาโครงการ Full Frame SLR ของ Maitani ต่อนะครับ ในช่วงปี1970 ช่วงที่FTLออกชิมตลาดและท่าทางจะไปไม่รอดนั้นนะครับ Maitani เสนอแนวคิดทางเลือกของเขาแก่ผู้บริหาร ความแตกต่างของโครงการของเขาคือ Maitaniเสนอการพัฒนาระบบ(System)กล้องถ่ายภาพทั้งระบบที่สามารถตอบสนองการใช้งานของมืออาชีพได้ และมีความแตกต่างอย่างชัดเจนโดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ระบบและความต้องการของมืออาชีพ ประสบการณ์จากPen-F และคู่แข่งในตลาดก็เป็นตัวกำหนดได้ ความแตกต่างและความต้องการของลูกค้า บางส่วนการสำรวจตลาดคงช่วยได้ แต่สุดท้ายการสังเคราะห์ข้อมูลก็เป็นหน้าที่ของDesignerคือMaitani อยู่ดี จุดร่วมของSLRขณะนั้นคือ เทอะทะ ใหญ่ หนัก เสียงดัง ซึ่งทุกคนก็ดูเหมือนยอมรับกันเป็นปกติว่าถ้าเป็นSLR มันก็เป็นอย่างนั้น Maitani วิเคราะห์ว่า ทั้งหมดนั่นคือโจทย์ของเขา ระบบ M ที่เขาจะพัฒนาจะต้อง เป็น Professional system ซึ่ง เล็ก คล่องตัว เบา และมีระบบกลไกที่นุ่มนวล M-System ได้อนุมัติให้พัฒนา และออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1972 หน้าตาอย่างนี้นะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ดูอีกมุมครับ ให้เห็นชื่อ M1 ชัดๆ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ดูรูปตัดขวางอีกรูปนะครับ รูปนี้จะแสดงให้เห็นว่า M-1 มีปริซึมขนาดใหญ่ที่มีตำแหน่งติดตั้งต่ำมาจนเกือบชิดกระจกสะท้อน ทำให้ขนาดโดยรวมเล็กลงได้มาก จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:18:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 M1 โชว์ตัวครั้งแรกที่ Photokina 1972 ตามคาด Leitz สนใจเช่นเคยแต่คราวนี้ มีปัญหานะครับ Leica มีชุดอนุกรม M ของตัวเอง ทางOlympus ก็เปิดตัว M-1 เป็น System camera ครบระบบซึ่งคงไม่หยุดที่ M-1 แน่ๆ ทางLeitzขอเจรจากับOlympusครับ ว่าต้องมีใครก็ใครต้องถอยครับงานนี้ ผลคือ Olympus เปลี่ยนชื่อรุ่นจาก M-1 เป็น OM-1 ครับ แต่ในขณะนั้นมีกล้อง M-1 ประมาณ 10,000 ตัวถูกผลิตวางตลาดไปแล้วก็ต้องเลยตามเลยละครับ ในตลาดมือสองปัจจุบัน กล้อง M-1 ถือเป็น 1 ในกล้องสะสมที่หายากมากตัวหนึ่งนะครับ พอเปลี่ยนชื่อแล้วก็หน้าตาอย่างนี้นะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:19:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อันนี้ภาพระบบของOM จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จากรูปที่แล้วคงเห็นได้นะครับว่าระบบOM นี่ครอบคลุมขนาดไหน มีสโลแกนของOlympus บอกว่า จากแบคทีเรียถึงจักรวาลนะครับ ในปีแรกทีวางตลาด OM ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง ปีต่อมาก็มีการวางตลาด OM-2 กล้องมืออาชีพที่มีระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ ระบบวัดแสงกับระบบชัตเตอร์ก็เป็นเอกลักษณ์นะครับไม่เหมือนของยี่ห้ออื่น แต่สำคัญเน้นได้ภาพง่ายดาย อย่างมีคุณภาพ ถ่ายง่ายแค่ไหน National Geographic ยืนยันด้วยช่างภาพท่านนี้นะครับ คุณKo-Ko จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ความสำเร็จของ OM System สร้างยุคทองของMaitani หนึ่งปีหลังจากความสำเร็จของOM2 Maitaniได้เป็นChief of Camera Designer ในปี 1973 ในช่วงนั้น OM1,OM2 ก็พัฒนารุ่นย่อยมาเรื่อยๆและขายดีมาตลอด ระบบOMกลายมาเป็นระบบหลัก1 ระบบในวงการ Maitani ใช้เวลาถึง 17 ปี ในการก้าวขึ้นมาแทน Mr.Eiichi Sakurai ผู้แนะนำเขาเข้าสู่บริษัทนี้ ซึ่งในเวลานั้นเองMr.Eiichi Sakurai ก็ดำรงตำแหน่งเป็น senior executive director ซึ่งจะเกษียณอายุในปีต่อมา หมายเหตเรื่องเวลานี้สักนิดนะครับ ถ้าจำได้ความสำเร็จของโครงการออกแบบจากMaitani นี่ 3 โครงการแล้วนะครับ เพิ่งจะได้โปรโมท เก่งอย่างไรก็ต้องรอเวลาครับ ระบบอาวุโสนี่แข็งจริงๆครับ 17ปี จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ครั้งก่อนเล่าค้างไว้ถึงปี1973 และพระเอกของเราเพิ่งได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบนะครับ ช่วงนั้นชื่อเสียงของMaitaniก็เป็นที่รู้จักกันในแวดวงอุตสาหกรรมผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพเท่านั้น กับผู้คนทั่วๆไปก็ไม่มีใครรู้จักตะแกหรอกครับ จนกระทั่ง ในปี 1978 เป็นจุดเริ่มของเหตุการณ์สำคัญ ซึ่ง ทำให้ชื่อของ Maitani เป็นที่รู้จักกว้างขวางไปทั่วโลก ต้นปีนั้นOlympus Camera Corporation ตัวแทนจำหน่ายOlympus ในสหรัฐ เสนอขออนุมัตแผนโฆษณาชิ้นหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการพัฒนากล้อง และประวัตบางส่วนของ Maitani ต่อ Olympus Tokyo แผนโฆษณาชิ้นนี้ทำความกระอักกระอ่วนแก่ Olympus Tokyo เป็นอย่างมาก ด้วยเหตว่าด้วยวัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่น การสร้างสรรใดๆของพนักงาน จะถือว่าเป็นผลงานโดยรวมของบริษัท การชี้เฉพาะความสำคัญต่อบุคคลากรบางคนนั้น ยิ่งผ่านสื่อออกไปสู่สาธารณะ เป็นอันที่ยอมรับได้ยากอย่างยิ่ง แต่ความจริงก็หนีไม่พ้นว่าแนวคิดพื้นฐานและจุดเริ่มการพัฒนาของกล้องที่ถือว่าเป็น Bread&Butter ของบริษัทนั้น ก็มาจาก Maitani จริงๆ ในช่วงนั้น Board ของ Olympus คงตัดสินใจกันลำบากนะครับ เพราะปัญหานี้ตอบไม่ง่ายนะครับ Olympus Tokyo ตัดสินใจอยู่ปีกว่า ก็ตอบรับคำขอในเดือนตุลาคม ปี1979 เหตผลที่อนุมัตได้ปรากฎอยู่ในบทสัมภาษณ์ต่อนิตยสารShukan Gendaiในปีถัดมาดังนี้ Kunio Yanagida* writes : "A camera is made up of so many advanced technologies that a single designer could not hope to make the whole thing single-handed. The final product calls for the concerted efforts of a host of experts in many and various fields. All the more reason why Yoshihisa Maitani stands out in this daunting field for his conspicuous talent in tackling such fundamental questions as "What kind of camera are we trying to create?" and for his uniqueness and originality in creating new concepts and basic camera designs" *Author of the article "The Man Who Changed History by Compact Design" which appeared in the Japanese magazine Shukan Gendai in 1980. The English translation of the article appeared in the Olympus Visionage magazine. เห็นมั้ยครับ Maitani ผู้ซื่อสัตย์ต่อหลักการทำงาน ด้วยคาถาเดิมของอาจารย์ คือ การมองลึกถึงพื้นฐานของปัญหา และ ด้วยความเคารพศักดิ์ศรีของความคิดตัวเองในการสร้างงานที่ไม่ลอกเลียนใคร ไม่ว่าใครก็ปฎิเสธไม่ได้ มาดูรูปของโฆษณาชิ้นนี้กันครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:24:49 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ชอบจริงนะครับไอ้รูปตะกี้ตรงว่า They're more than cameras.They're inventions. นะครับ ผมว่าใครได้เครดิตอย่างนี้นะครับ มันภูมิไม่หยอกนะครับ. หลังAd นี้ออกไปนะครับ Maitaniมีหน้าที่เพิ่มอีกอย่างคือคอยเซ็นชื่อบนกล้อง ทั้งของคนเอามาให้เซ็นทั้งของบริษัทที่ทำออกเป็นที่ระลึก ปากกาที่เซ็นนี่เป็นปากกาหัวเพชรนะครับ เป็นของส่วนตัวของMaitaniนะครับ เมื่อสักอาทิตย์ก่อนยังเห็นใน e-bay เอา M-1 มีลายเซ็น Maitani ออกประมูลอยู่เลยนะครับ มาดูรูป Ad แบบรวมมิตรบ้างนะครับ ลองสังเกตตรงที่แกจั่วหัวไว้แถวๆกองเลนส์zuikoนะครับ สมัยนั้นทำคอมพ์มันไม่เป็นปลื้มนะครับ ต้องคิดเอง จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ในช่วงเวลาปี1973-1978ที่ OM กำลังขึ้นหม้อนะครับ มีกล้องอีกรุ่นที่Maitani พัฒนาขี้นแทนที่ Pen กล้องระบบHalf frame ที่เริ่มเสื่อมความนิยมลงนะครับ โครงการกล้องเล็กของ Maitani นะครับ กล้อง compact full frame ตัวแรกที่ มีระบบหาระยะชัด ในตัว ถ้าใครจำกันได้นะครับเจ้าพ่อกล้องเล็กในอดีตคือ Minox นี่ก็ทำกล้องเล็กในFormat 135 full frame มาก่อน Maitani แต่ถ้าใครเคยใช้ด้วยก็จะพบว่าการหาระยะชัดของMinoxและ ยี่ห้ออื่น นี่นะครับจะใช้วิธีปรับด้วย Scale ระยะบนตัวเลนส์ ไม่มีตัวช่วยโฟกัสในช่องมองภาพ ต้องประสบการณ์ล้วนๆละครับ ใช้กะเอา แต่Maitani ทำนะครับใน โครงการ Olympus compact full frame กล้องเล็กของเขามีหลายๆอย่างที่ มีนอกเหนือความคาดหมายของตลาดในเวลานั้น 1.มีระบบช่วยการหาระยะชัดในตัวแบบ กล้องRange-finder 2.มีระบบออโต้ชัตเตอร์สปีด จาก 10 sec ถึง 1/500 sec. 3.มีฝาปิดในตัว 4.มีปุ่มชดเชยแสงหลังกรณีถ่ายภาพย้อนแสง 5.มี Self timer ด้วย และทั้งหมดนี่นะครับ ตัวจิ๋วเดียว Maitani ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโครงการนี้ไว้ว่า “I designed the XA from the film out instead of from the camera in” เห็นอะไรหลังคำสัมภาษณ์ไหมครับ ตัวพื้นฐานของปัญหาเรื่องขนาด ก็คือฟิล์ม ถ้าจะคิดอะไรใหม่ก็เริ่มที่นี่ XA ออกวางตลาดในปี 1979 และเป็นช่วงเดียวกับ OCC ได้อนุมัตให้ใช้ประวัตMaitani ในสื่อได้ เพราะฉะนั้น ภาพโปรโมท XA ก็ออกมาแบบนี้ละครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:26:05 ]

ความคิดเห็นที่ 33 มีรูปเบื้องหลังเห็น Maitani ปั้น Clay-mold ด้วยนะ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:26:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34 XA นี่มีชื่อเล่นนะครับ เขาเรียก แคปซูลคาเมร่า ตอนนั้นที่ออกก็เป็นที่นิยมมาก ปัจจุบันก็ยังพอมีคนเก็บอยู่นะครับ เพราะมันน่ารักดีคุณภาพของรูปก็ดีด้วย หลังจากนั้นก็มีกล้องในซืรี่นี้ออกตามมาในปีถัดมา XA2 ครับ วางตลาดในปี 1981 และเป็นรุ่นสร้างชื่อให้บริษัทด้วยเพราะได้รางวัล G-mark ใครที่เรียนทางด้านออกแบบคงทราบนะครับว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ แค่ใหน มาดูรูปร่างของXA2กันครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ใช่ครับคุณไข่เจียว ตัวนี้ตัวแรก แต่ไม่มีกลไกอะไรนะครับ เป็นฝาสไลดเฉยๆ ก่อนจะผ่านตัว XA ไปจะขอเล่าย้อนถึง OM สักเล็กน้อย Maitani ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารของญี่ปุ่นหลังจากระบบ OM เป็นทื่แพร่หลายแล้วว่า M-System ในฝันของเขาครั้งแรก จะเป็นกล้องที่ชุดกลไกอยู่แยกกันหมดทั้ง กลักฟิล์ม ช่องเล็ง บอดี้ ชุดเลนส์ คล้ายๆกับHass นะครับ แต่เล็กๆ Maitani เรียกมันเล่นๆว่า OM-X นะครับ ไอ้เจ้า x นี่ถูกทำเป็น prototype แล้วด้วย แต่ติดปัญหาทางเทคนิคหลายจุดก่อนจะทำเป็น Production type ได้ ทางฝ่ายบริหารก็เร่ง Maitani ให้ออกProduct ออกมาก่อนให้ทันเวลา ตัว X นี่ถึงเก็บเข้ากรุไป ยิ่งภายหลังระบบ OM ติดลมแล้ว X ก็กลายเป็นความฝันโดยถาวรเลยครับ นี่รูปของ OM-X นะครับ ผมว่าดูจากรูปนี่ถ้ามีการพัฒนาแนวนี้นะครับ อาจได้เห็นOM digital back นะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:27:47 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มาต่อกันจากตอนเดิมนะครับ กล้องเล็กที่Maitaniภูมิใจ XA2 กล้องแคปซูลที่ขายดีมาก แต่ในเวลานั้นเองช่วงระหว่างปี 1981-1983 เทคโนโลยีใหม่ที่จะมาแทนระบบ Range finder กำลังเติบโตขึ้น การหาระยะชัดด้วยระบบ Autofocus ครับ นำทีมโดย Konica และตามมาด้วยบริษัทคู่แข่งอื่นอีกเพียบ Maitani ซึ่งเวลานั้นเป็น Chief of camera designer ก็จับตามองเทคโนโลยีใหม่นี้ด้วยเช่นกัน และในปี1983 Olympus ก็ออกกล้อง Autofocus ตัวแรก ตัวนี้นะครับ Olympus C-Af จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ที่ต้องกล่าวถึงช่วงการเข้ามาของระบบ Autofocus ด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงนี้จะไปมีผลกับMaitani และระบบ OM ในภายหลังอย่างรุนแรงเลยนะครับ ช่วงเวลานั้น Olympus และ Maitani มองการเข้ามาของระบบนี้ว่าเป็นเทคโนโลยีของผู้ใช้กล้องระดับเริ่มต้นหรือสมัครเล่น ดังนั้นจึงถูกพัฒนาไปอยู่ในกล้องระดับตลาด ซึ่งการคาดการณ์นี้ก็ถูกต้องเป็นบางส่วน ซึ่งกล้องระดับ Compact Autofocus ก็กลายเป็นตัวชูโรงของOlympus ในยุคหนึ่งจริงๆ ในส่วนของProfessional line กลับถูกพิจารณาในมุมมองที่ต่างออกไป ช่วงเวลานั้นKnow-how เรื่อง Autofocus สำหรับกล้องSLRเป็นเทคโนโลยีที่ต้องซื้อเข้ามาในมูลค่ามหาศาล และยังต้องเปลี่ยนการออกแบบใหม่หมดทั้งกล้อง เลนส์ Olympus ลังเลเรื่องนี้อยู่นาน และระหว่างนั้นMaitani ก็ทุ่มเทความคิดไปในระบบOM เดิมโดยพัฒนารุ่น OM-4 ในปี 1983 และ OM-3 ในปี 1984พร้อมทั้งขยายโรงงานด้วยทุนมหาศาล กว่าจะตัดสินใจเสร็จเรื่อง Autofocus SLR ก็ปี 1986 นั่นละครับ หนึ่งปีหลังจากคู่แข่งคือMinolta ออก Minolta 7000 ตัวนี้นะครับ OM-707 AF ตัวแรกและตัวเดียว จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เห็นกล้อง สองตัวที่ผ่านมานี่สุดทนจริงๆนะครับ รูปแบบมันทมิฬมากเลยนะครับ ผมว่าตอนนี้ทิ้งไอ้เจ้าAutofocus ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กให้มันเจริญไปตามตลาดเถอะนะครับ เราย้อนกลับมาค้นดูดีกว่าว่า Maitani พัฒนาอะไรกับ OM-4,OM-3 ในปี 83-84 จั่วหัวไว้นะครับเดี๋ยวมาต่อ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:29:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เบื้องหลังการพัฒนา OM-4 เพื่อความเข้าใจแนวคิดของ OM-4 คงต้องปูพื้นด้วยแนวคิดของกล้องที่มีชัตเตอร์อิเลคโทรนิคตัวแรกของOlympus กันก่อนนะครับ คือรุ่นOM-2 OM-2 เป็นรุ่นSLR ที่มีระบบชัตเตอร์อิเลคโทรนิค รุ่นแรกของ Olympus ซึ่งMaitani ได้วางแนวคิดพื้นฐานหลายๆอย่างของเขาลงในกล้องตัวนี้ แนวคิดหลักที่สืบเนื่องมาถึง OM-4 คือลักษณะการวัดแสง OM-2 ใช้ลักษณะการวัดแสงแบบที่เป็นเอกลักษณ์เรียกว่าระบบ OTF(Off The Film) คือการวัดแสงที่ระนาบฟิล์มโดยตรง โดยกระจกสะท้อนภาพจะปล่อยให้แสงบางส่วนผ่านสู่ระนาบฟิลม์ และมีการวางเซลล์วัดแสงอยู่ใต้กระจกสะท้อนภาพเล็งจุดวัดแสงไปที่ระนาบฟิล์ม ดังนั้น เมื่อระบบชัตเตอร์ทำงานในระบบออโต้ เซลล์วัดแสงจะทำการอ่านค่าแสงที่พอดีที่ระนาบฟิล์มโดยตรงและควบคุมการปิดม่านชัตเตอร์ในเวลาที่ภาพได้รับแสงเพียงพอ ระบบนี้ถือว่าก้าวหน้ากว่าคู่แข่งมากในเวลานั้นเพราะกล้องอื่นๆจะมีตำแหน่งการวางเซลล์วัดแสงไว้ด้านข้างปริซึมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีปัญหาเมื่อใช้ Mode Auto แล้วสภาพแสงมีการเปลี่ยนแปลง ภาพที่ได้จะมีการรับแสงที่ไม่ถูกต้อง คำอธิบายข้างต้นอาจฟังดูงงๆนะครับ เอาตัวอย่างอย่างนี้ดีกว่า สมมติคุณใช้กล้องNikon FE2แล้วตั้งModeออโต้ไว้แล้วกดชัตเตอร์ในขณะปิดฝาครอบเลนส์ไว้ คงเดาผลออกนะครับ ชัตเตอร์จะเปิดค้าง และถึงแม้จะเปิดฝาครอบเลนส์ออก มันก็จะค้างอยู่อย่างนั้น เพราะกล้องจะทำการวัดแสงในจังหวะสุดท้ายที่กดชัตเตอร์ แต่ถ้าเป็น OM-2 เมื่อเปิดฝาครอบออก ชัตเตอร์ก็จะปิดเมื่อได้รับแสงเพียงพอ เป็นไงครับ คงเห็นภาพกันแล้ว ทริคนี้ใช้ทดสอบกล้อง OM-2 มือสองได้ด้วยนะครับ มาดูรูปกัน จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ในMode Auto ระบบนี้ก็จะทำงานแม่นยำดี แต่สำหรับการวัดแสงทั่วไปในระบบManual และการประมาณค่าแสง ก่อนระบบAuto จะทำงาน จะต้องมีชิ้นส่วนพิเศษติดไว้ที่หน้าม่านชัตเตอร์นะครับเพื่อให้การวัดแสงคล้ายคลึงกับการวัดที่ผิวฟิล์มจริงๆ นี่ก็คือชิ้นนั้นนะครับ ไอ้เจ้าลายๆชิ้นนี้นี่Olympus ทำการเก็บตัวอย่างฟิล์มจากทั่วโลก มาทำการวิจัยหาค่าเฉลี่ยของการสะท้อนแสง และประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ซึ่งให้ค่าการสะท้อนเข้าสู่เครื่องวัดแสงใกล้เคียงกับฟิล์มที่สุด แผ่นลายๆนี่เป็นเอกลักษณ์ของ OM2 เลยนะครับ รูปครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:31:16 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ด้วยคุณสมบัตินี้ OM2 ก็ได้เครดิตว่าเป็นกล้องที่มีระบบวัดแสงที่ก้าวหน้ามากแต่ก็ยังมีเสียงบ่นจากผู้ใช้บ้างในช่วงหลังๆที่บริษัทอื่นเริ่มพัฒนาระบบของตัวเองขึ้นมาบ้าง เช่น ระบบวัดแสงเป็นแบบเฉลี่ยหนักกลางอย่างเดียว การคุมแฟลชยังทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ในผู้ใช้ที่ยังไม่เข้าใจระบบดีนัก สมองกลของOM-2 เทียบแล้วกลายเป็นล้าสมัยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง Maitani รวบรวม Feed back ดังกล่าวที่มีในตลาด และดังที่ทราบในตอนก่อนหน้า ถึงทิศทางของบริษัท Olympus ที่จะจับตลาดระดับบนด้วยSLR Manual focus Maitani ตอบสนองตลาดด้วย Concept นี้นะครับ "Master of Light" The OM-4 "เล่นกับแสง สร้างอารมณ์ภาพ." คุ้นๆมั้ยครับ สโลแกนนี้ ขออนุญาตท่านเจ้าของสโลแกนหน่อยนะครับ มันตรงนะครับ กับการตีความปัญหาของคุณMaitani ในตอนนี้ OM-2 มีการวัดแสงที่ฉลาดแล้วก็จริงแต่โดยการใช้ระบบออโต้ก็เป็นการปิดกั้นจินตนาการของช่างภาพบางท่าน อาจเถียงว่าในOM-2ก็มีแมนนวลให้เล่น แต่ปัญหาก็อยู่ที่มีระบบวัดแสงระบบเดียว ความถูกต้องและความเร็วก็เป็นปัญหา การได้ภาพก็สำคัญ มุมมองของช่างภาพก็สำคัญ Maitani ตีความปัญหานี้เป็นโจทย์คือ การหาจุดสมดุลย์ของการใช้ความสามารถของสมองกลอิเลคโทรนิค เพื่อ ตอบสนองการสร้างสรรภาพ ตามมุมมองของช่างภาพ เดี๋ยวมาดูว่า Context นี้ ออกมาเป็นรูปแบบทางกายภาพอย่างไร ผ่านการตีความของMaitani นะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:32:16 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ตามที่กล่าวไว้แล้วเรื่องแสงนะครับ Maitani แปลความออกเป็นการวัดแสงที่แม่นยำอย่างยิ่ง คือการวัดแสงเฉพาะจุด และสมองกลที่จะสามารถช่วยประมวลผลค่าของแสงในแต่ละส่วนสำคัญเหล่านั้น Spot metering and Multiple Spot metering ครับ แต่จะได้ลักษณะตามต้องการนี่ต้องออกแบบระบบวัดแสงที่เป็นหัวใจของคำตอบนี้ใหม่หมดครับ Maitani ทำครับ หัวใจใหม่ ถ่ายทอดข้อดีจาก OM2 ในเรื่องเส้นทางเดินของแสง แต่พัฒนารายละเอ๊ยดไปจากเดิมไกลครับ ดูหัวใจของ OM-4 กันครับ " ระบบกระจกคู่" ประกอบด้วยกระจกสะท้อนหลัก และกระจกรองแขวนอยู่ด้านหลัง มีหน้าที่แยกกันดังนี้ กระจกสะท้อนหลัก ทำหน้าที่สะท้อนภาพส่วนใหญ่เข้าสู่เพนตาปริซึมและจะยอมให้แสงบางส่วนประมาณ 20 %ผ่านผิวกระจกออกสู่กระจกรองด้านหลัง กระจกรองเป็นกระจกที่ถูกออกแบบผิวพื้นเป็นพิเศษเพื่อทำหน้าทีสะท้อนแสงส่วนที่รับเข้ามาจากกระจกหลักลงสู่เซลล์วัดแสง ดูรูปของมันครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 43 และดูให้ชัดขึ้นจาก กราฟิคดรออิ้ง จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ระบบประมวลผลก็ออกแบบใหม่ ให้รองรับจุดประสงค์ของ Maitani คือ สามารถประมวลผล เฉลี่ยหนักกลาง เฉพาะจุด และที่เป็นพิเศษ คือ ประมวลผลจากการวัดแสงเฉพาะจุดหลายจุด รูปของ แผงวงจรเป็นอย่างนี้ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 45 และได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ขายดีครับ ทำให้Olympusมั่นใจอย่างมากในแนวทางการพัฒนาของบริษัท ที่ไม่พัฒนาAutofocus camera ใน Professional line ขายดี หัวหน้าแผนกออกแบบก็ปลื้มนะครับ Maitani ยิ้มร่าเชียวครับ สังเกตรูปแกตอนนี้จะเริ่มย่นกว่ารูปช่วงที่ทำ XA นะครับ ด้วยการตอบรับเป็นอย่างดี ปีต่อมาOM-3 ซึ่งมีระบบชัตเตอร์แบบกลไก แต่ยังคงรายละเอียดในการวัดแสงก็ออกวางตลาด จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ในช่วงเวลานั้น การตอบรับของตลาดไปได้อย่างดีมากกับ OM System ทาง Olympus ทำการขยายโรงงานขนานใหญ่ ขนาดของโรงงานผลิตนั้น Maitani เองได้ระบุประมาณไว้ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่าOM System ใช้โรงงานทั้งสิ้นถึง 3 โรงงาน และ มีคนงานรวมถึง 3,000 คน ดูรูป OM-3 อีกด้านครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 กลับมาโฟกัสที่ Maitani นะครับ สิ่งหนึ่งที่ Maitani ริเริ่มขึ้นในบริษัท Olympus ขณะนั้น ที่น่าสนใจคือ Photo School ครับ ก่อตั้งและดำเนินงานโดยทุนของ Olympus เพื่อให้พนักงานที่สนใจการถ่ายภาพ เข้าอบรม และ อบรมพนักงานในแผนกงานออกแบบกล้องถ่ายภาพ Maitani เองก็สอนด้วย ด้วยประสบการณ์ของตนเองที่สามารถเข้าใจช่างภาพได้ก็เพราะรู้จักศิลปของมัน Maitani อยากถ่ายทอด ความเข้าใจนี้ให้แก่ลูกน้อง เพราะลองคิดดูนะครับ Maitaniเองก็เก่งขึ้นเพราะสาเหตุที่เข้าใจการถ่ายภาพได้ลึกซึ้ง แต่ด้วยวัยและงานบริหารที่มากขึ้น ถ้าสามารถทำการสร้างประสบการณ์และแนวคิดเช่นเดียวกันให้เกิดกับนักออกแบบผู้อื่นได้ จะได้Maitani เล็กๆอีกหลายคนซึ่งหนึ่งหรือมากกว่าในกลุ่มนั้น อาจเก่งกว่า พัฒนาบริษัทได้ดีกว่าก็เป็นได้ ผม High light ไว้ตรงนี้ ถึงความสามารถอีกอย่างนอกจากการออกแบบของMaitani ครับ การมองการไกล ผมว่าMaitani เองเข้าใจนะครับ HERO ที่มีชีวิตอยู่ตลอดกาล ไม่มีหรอกครับ มีเกิดก็มีดับ สร้างชิ้นงานไว้สักวันก็ล้าสมัย คนสืบทอดและแนวคิดต่างหากครับ จะอยู่ได้นานกว่า แล้วมีอะไรสะดุดบ้างหรือเปล่าครับ? ชีวิตของคุณ Maitani จะราบรื่น และสิ่งประดิษฐ์ทุกอันของแกประสบความสำเร็จเสมอเลยหรือครับ? ในเมื่อ Olympus มั่นใจว่าคิดถูกที่ไม่ใส่ระบบ auto focus เข้าในกล้องระดับมืออาชีพ ในขณะที่บริษัทอื่นไม่คิดแบบเดียวกัน ไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ Olympus ต้องเปลี่ยนความคิดนี้ไปหรือเปล่า และเมื่อไหร่ครับ? ผมว่าไม่ใช่แน่นอนครับ ก็คนนะครับ ต้องมีขึ้นลงดีเลวผิดถูก แน่นอน แต่ประวัติของMaitani ที่อ้างอิงได้นี่ จะระบุแต่ปีและรายละเอียดของกล้องที่ประสบความสำเร็จ รางวัลที่ได้ ต้องสังเกตด้วยนะครับว่าตำแหน่งของMaitani เองก็ไม่เล็กใน Olympus พวกที่ทำการรวมประวัติก็พนักงานนะครับ ของที่เกี่ยวกับระดับนายๆที่ไม่น่ารู้ก็ไม่บอกหรอกครับ แต่พวกผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในช่วงที่Maitani บริหารงานออกแบบ ที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เยอะมากเหมือนกันนะครับ แม้แต่OM line เองบางรุ่นก็แทบไม่มีคนรู้จักก็มีครับ แต่พวกนี้ก็ไม่ถูกทาง Olympus เอา ชื่อ Maitani ไปมีส่วนเลย ต้องอาศัยอนุมานเอาจากช่วงเวลาที่ของพวกนี้ถูกผลิตขึ้น ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของMaitani เองก็มากับความรุ่งเรืองของ OM System นั่นละครับ การตัดสินใจพัฒนาระบบOM ไปใน manual focus professional line และ การ Handle เทคโนโลยี Autofocus ไม่ดีพอทำให้ฐานลูกค้า Zuiko AF ในตลาดมีน้อยมากๆ ซึ่งมีผลกับการพัฒนาไปถึง OM Digital เป็นไปไม่ได้เลยในทางความคุ้มทุน Maitani เองก็ยอมรับในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งหลังจากเกษียณแล้วถึงเรื่องนี้นะครับ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 48 กลับมาต่อแล้วนะครับ จากที่ค้างไว้ในปี1984 Maitani ต่อ Line OM ของเขาด้วย OM-3 ตามที่เห็นรูปไปแล้วนะครับ ในช่วงนั้นเองเทคโนโลยีการใช้Sensor Module มาควบคุมระบบการFocus ของกล้อง SLR ก็ก้าวเข้ามาเป็นแนวโน้มที่สำคัญของกล้องในยุคหน้า แต่ไม่ใช่เทคโนโลยีของญี่ปุ่นครับ Honeywell เจ้าพ่อเทคโนโลยีจากอเมริกาเป็นเจ้าของ ดูรูปครับสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักHoneywell จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 49 Maitani และ Olympus มองเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไรในช่วงนั้นต้องให้Maitani ตอบเองละครับ รายละเอียดเรื่องนี้อยู่ในช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์เมื่อปี2002หลังจากเขาเกษียณอายุจากOlympusแล้วนะครับ มาดูรายละเอียดเป็นไทยกันครับ Auto focus OM A:ได้มีการคิดเกี่ยวกับระบบออโต้โฟกัสในช่วงเริ่มแรกของการวางแผนระบบOMหรือไม่ครับ M:มีการพิจารณาเรื่องนี้ครับแต่ในเวลานั้น ยังไม่มีข้อสรุปทางเทคนิคเกี่ยวกับระบบนี้เลยนะครับ แม้แต่ IC ก็ยังหาไม่ได้เลยนะครับเวลานั้น A:เป็นที่วิจารณ์เหมือนกันนะครับว่าการถดถอยของระบบOMนี่ เป็นเหตุจากการที่บริษัทล้มเหลวในการพัฒนาตามระบบออโต้โฟกัสได้ไม่ดีพอ M:แน่นอนครับว่านี่คือเหตุผลหนึ่ง เราจับตาดูระบบนี้ตั้งแต่ต้นดังที่ได้ตอบไว้แล้วนะครับ แต่ตอนนั้นเราไม่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งการผนวกระบบออโต้โฟกัสกับOM นี่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในระบบเลยนะครับ เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือปัญหาลิขสิทธิ์ เราลังเลกับเรื่องนี้มาก และด้วยเหตนี้การพัฒนาระบบก็ช้าไปด้วย อันนี้เป็นมุมมองจากบุคคลภายนอกนะครับสำหรับบริษัทเอง การจ่ายค่าสิทธิบัตรเป็นเรื่องใหญ่มาก จนบัดนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าบริษัทไหนจะHappyกว่ากัน ระหว่างบริษัทที่ทุ่มทุนเป็นพันล้านเยนกับค่าสิทธิบัตร กับบริษัทอย่างOlympus ที่แทบไม่ต้องเสียอะไรเลย A:แล้วตอนนั้นบริษัทเลยตัดสินใจว่าไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินขนาดนั้นหรือครับM:ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าต้องจ่ายเป็นเงินทั้งหมดเท่าไร ในเวลานั้น อาจจะเหมือนๆกับมินอลต้าที่มีเรื่องกับHoneywellตอนหลัง มินอลต้าเองก็ไม่รู้ว่า Patent fee นี่สุดท้ายมันจะเป็นเงินเท่าไร นี่เป็นเหตุว่าทำไมมินอลต้าถึงต้องทุ่มกำลังพัฒนาระบบออโต้โฟกัสของตัวเอง จุดนี้ก็น่าสนใจนะครับ Olympus เป็นบริษัทที่ระวังตัวมากเรื่องปัญหากับบริษัทอื่น ในตอนนั้นนี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องไม่อยากจะจ่ายอย่างเดียวนะครับ แต่ไม่อยากมีเรื่องมีราวกับ Honeywell ด้วย สำหรับOlympusเองตอนนั้นไม่มีสักคนที่จะขวางการเปิดเผยรายละเอียดในระบบของเรา เราก็อยากใช้Honeywell method ถ้าเขาอนุญาต แต่ที่เห็นพ้องกันตอนนั้นก็คือเราไม่อยากทะเลาะกับHoneywellทีหลังนะครับ A:ทีแรก ในOM707ก็ใช้ Autofocus sensor ของ Honeywell ใช่ไหมครับ M:ครับ A:ในตัวต่อมา OM101 ก็เห็นว่ามีช่องว่างทีเตรียมไว้ใส ่Autofocus sensor module ด้วยใช่ไหมครับอยู่ใต้ Mirror box M:ใช่ครับ มีช่องสำหรับโมดูลนี้ A:แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นกล้องAutofocus M:มีแนวโน้มอย่างนั้นครับ แต่เวลานั้นเรื่องปัญหาสิทธิ์บัตรก็เข้ามาพอดี A:แสดงว่าตอนนั้นถ้าหาทางออกเรื่องนี้ได้ ก็จะเห็นกล้องอีกหลายรุ่นที่เป็นAutofocus นะครับ M:เป็นอย่างนั้นนะครับ ผมว่าOM Single-digit ก็คงพัฒนาเป็นระบบAutofocus ด้วย A:อืม......ผมว่าผู้ใช้ OM คงตั้งตารอนะครับผมเข้าใจความรู้สึกนั้นนะครับ และต้องขอโทษเป็นอย่างสูงด้วย Based on an interview with Yoshihisa Maitani by Kouichi Akagi, Asahi Camera magazine, March 2002. ตัวต่อมา OM101 นะครับ ไม่ใช้ Honeywell AF Method จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:48:50 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ก่อนอื่นต้องกราบขอโทษด้วยที่ทำให้รอนะครับ และขอบคุณเพื่อนๆน้องๆทุกท่านที่เป็นกำลังใจนะครับ วันนี้แอบแว้บมาโพส1เฮือก หลังประชุมเสร็จ กลับมาทำงานที่รักสักทีนะครับ ขอโทษที่ต้องยืดเวลากลับมาโพสต่อนานไปหน่อย กลับมาต่อเรื่องกล้องนะครับ ตอนที่แล้วเล่าค้างไว้เรื่องความลุ่มๆดอนๆของ OLYMPUS ในการพัฒนา Autofocus การตัดสินใจหันเข็มของระบบOM ไปในทิศทาง Professional Manual Cameras เต็มตัว และการออก OM3,OM4,OM4T ที่มีเอกลักษณ์อย่างยิ่งเรื่องวัดแสง เดี๋ยววันนี้ขอย้อนเป็นเกร็ดความรู้เรื่องระบบ Autofocus ก่อนนะครับ ถ้าจำได้สาเหตหนึ่งที่Olympusบอกเลิกศาลากับระบบนี้ในกล้องOMตามคำสัมภาษณ์ของMaitani คือ Patent Fee ซึ่งต้องจ่ายให้ Honeywell จนกว่าจะหมดอายุตามกฏหมายในปี1995 คงมีคนสนใจว่ารายละเอียดมันเป็นอย่างไรและสุดท้ายแต่ละบริษัทเจ็บตัวกันมากน้อยแค่ไหน ดูกันได้ตามนี้นะครับ อันนี้คัดมาให้ดูกันจาก Photoguide Japan Record 1992 In February, the federal district court in Newark, New Jersey orders Minolta Camera Co. to pay Honeywell Co., Ltd. 96 million dollars in damages for patent infringement concerning autofocus technology. Honeywell also demands patent royalties and a ban on Minolta AF camera sales in the U.S. Minolta agrees to pay Honeywell 127.5 million dollars even while still claiming that they did not infringe on patent rights. They decide to settle to avoid a prolonged court battle and damage to the corporate image. Honeywell subsequently announces that it will seek settlements from other camera manufacturers such as Nikon, Canon, and Olympus. Honeywell had took the case to court in 1987. In August, Honeywell announces that a settlement has been reached with Nikon and Canon over its AF technology patent infringement. Nikon is said to have agreed to pay Honeywell 45 million dollars by 1995 when the Honeywell patent expires. Canon accepts a similar settlement. Olympus and Konica are reported to settle out of court. (Asahi Optical, Ricoh, and other firms are supposedly pursuing a similar solution.) Honeywell says that it will receive 124.1 million dollars from a number of firms including Matsushita Electric and Kyocera กลับเข้าเรื่องเดิมนะครับ ระหว่างที่ Maitani ดำรงตำแหน่ง Chief of Cameras Design Department นี้นอกจากกล้องOM ที่เขาพัฒนาโครงการเองแล้ว ยังมีกล้องอื่นๆที่Olympus ผลิตออกมาอีกในช่วงนั้น เช่น ในภาพเป็นกล้องตระกูลTrip ที่เริ่มผลิตในปี1984 นี่เป็นคำตอบสำหรับลูกค้าOlympus ที่ทุนทรัพย์จำกัด หรือ ใช้กล้องถ่ายภาพอย่างไม่ซีเรียสนัก จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:53:46 ]

ความคิดเห็นที่ 51 บทความทั้งหมดนี้คัดลอกมาจากคุณ nithi ครับ คอบคุณจริงๆครับที่รวบรวมข้อมูลมาให้ชาวกบอ่านกัน จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 14 มี.ค. 50 14:55:33 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โห มหากาพย์ อ่านจนตาแฉะเลย จากคุณ : xmachine (xmachine) - [ 14 มี.ค. 50 16:11:32 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ประวัติศาสตร์ โอลิมปัสครับ จากคุณ : NENO-C - [ 14 มี.ค. 50 16:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ตอนนี้ การใช้กล้องโอลิมปัส ก็เป็นการกล้าที่จะแตกต่างแล้วครับ จากคุณ : banhong - [ 14 มี.ค. 50 17:39:40 ]

ความคิดเห็นที่ 55 กระทู้นี้มีมานานแล้วครับ เมื่อก่อนไม่มีกล้องก็ติดตามอ่านจากใน ไทยดีโฟโต้ อ่านเรื่อยๆ จนซึมซับ เกิดแรงบันดานใจ เลือกใช้โอลิมปัส เพราะกระทู้นี้ จากคุณ : โทษที ชื่อนี้มีแล้ว - [ 14 มี.ค. 50 19:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณครับ ดีมากๆ ผมว่า E-300 ได้รับอิทธิพลจาก PEN ครับ การดีไซน์กระจกข้าง ไม่เหมือนใคร บอดี้ก็ไม่เหมือนชาวบ้าน ชอบ ไม่เหมือนใครดี อย่างรุ่นใหม่ E-410 จะเหมือน OM ตัวมันเล็กๆ รุ่นใหม่ Olympus ไม่กล้าออกกล้องบอดี้แปลกๆ แบบ E-300 ออกมา เพราะคนยังติดกับ SLR แบบมีกระโหลก กลัวขายไม่ค่อยได้ แต่ผมชอบ E-300 เทียบ D70  , 300D มันเรียบดี ไม่มีกระโหลก Olympus คิดได้ไง จากคุณ : GM (GreenMelon) - [ 14 มี.ค. 50 19:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณค่า จากคุณ : Big Rabbit - [ 14 มี.ค. 50 19:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 58 สมัยเกือบ 30 ปีที่แล้ว  OM 1 N ออกใหม่ๆ อยากได้ทั้งๆ ถ่ายรูปไม่เป็น ฝังใจไว้  พอจะมีเงินบ้าง  มีกิจกรรมอื่นๆ ให้เข้าแทรก  ยุ่งกับเรื่อง Computer เรื่องรถ จนรู้สึกซาๆ ไป หันมาใช้กล้อง  ช่วงแรกๆ ก็ใช้ คอมแพค  แต่แอบมาอ่านในห้องกล้อง  เข้าห้อง Oly บ่อยๆ  วันหนึง  E-500 ลดราคาพอสู้ได้เลยกัฟันซื้อ  ลองใช้มา  ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้มาก ถ่ายได้แต่ Mode Auto อย่างเดียว  วัดสง วัดแสง ไม่พูดถึง  เรื่องชัตเตอร์ เพิ่งมารู้เมื่อเช้าว่า  กล้องนี้มี ชัตเตอร์ B กับเขา เย็นวันนี้ เพิ่งถ่ายรูปกับเลนส์ 40-150 ใน Mode M  ได้ชัดแจ๋ว  ที่แล้วมาได้รูปที่ไม่ใช่รูป มีแต่จอดำๆ แล้วอุตริหาเลนส์กล้องอื่นๆ  หาเม้าท์มาทำซ่าถ่ายไปไม่ได้เรื่องเลย  ตอนแรกคิดว่า เลนส์ไม่ดี  มาวันนี้  ต้องกลับมาทบทวน  ตัวเราเองควบคุมแสง ควบคุมชัตเตอร์ และอื่นๆ ไม่เหมาะสมมากกว่า จนถึงวันนี้ ยังไม่กล้าโพสต์รูปมาให้วิจารณ์  เพราะกลัวพรรคพวกเอาใจ  แจ่มจัง สวยจริง เพราะแค่ถ่ายให้รูปชัด ยังทำไม่ได้ เลิกพูดถึงมุมกล้อง หหรือความเป็นศิลปไปเลย  เห็นเขาถ่ายกันสวนๆ  ได้แต่ชื่นชมความสามารถของท่านเหล่านั้น  "เมื่อไร  เราจะทำได้บ้างหนอ?" จากคุณ : ขอนเก่า - [ 14 มี.ค. 50 20:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 59 /me เป็นปลื้ม จากคุณ : แมวริษยา - [ 14 มี.ค. 50 20:40:35 ]

ความคิดเห็นที่ 60 oohhhh!! Epic : มหากาพย์กบน้อย แต่จะดีกว่านี้ถ้า P1 เคาะราคาไม่ถึง 5 หมื่น แล้วขอกันสั่นด้วยนะ.. รักตายเลย จากคุณ : น้องครับผม - [ 14 มี.ค. 50 20:45:03 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เยี่ยมมากเลยค่ะ จากคุณ : ภัทรกาล - [ 14 มี.ค. 50 22:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณค่ะที่นำให้อ่านกัน อ่านกี่ครั้งก็รู้สึกดีนะคะ เห็นด้วยกับคุณ banhong ค่ะ ตอนนี้ การใช้กล้องโอลิมปัส ก็เป็นการกล้าที่จะแตกต่างแล้ว รักโอลี่นะ จุ๊บๆ จากคุณ : next station - Asoke - [ 14 มี.ค. 50 23:13:54 ]

ความคิดเห็นที่ 63 GM (GreenMelon) /\ เห็นด้วยครับ เรื่อง E-300 ผมชอบเพราะการดีไซน์ ตอนนั้นที่ซื้อก็เพราะเทคโนโลยีที่ไม่เหมือนใคร E-300 เป็นกล้องที่แปลกมาก ผมมาค้นพบอารยะธรรมบางอย่างเมื่อนำมือหมุน โบราณ มาใส่ถ่ายภาพ มันบ่งบอกคุณสมบัติของเลนซ์แต่ละตัวได้ขาดดี.. แลด้วยเหตุนี้ ผมจึงบ้ามือหมุนไปซะ...งั้น... จากคุณ : ผู้ต้องมนต์ manual (Mr.balloon) - [ 15 มี.ค. 50 03:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ต่อจากเมื่อวานนะครับ กลับมานั่งต่อเรื่องนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ยังเชียร์ให้เขียนต่อ ก่อนมาเริ่มใหม่ผมกลับไปอ่านตอนเก่าๆและค้นข้อมูลเพิ่มก่อน พบเรื่องที่น่าสนใจที่น่าเล่าสู่กันฟังไว้และเพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลที่มีคุณูปการกับ บริษัทOLYMPUSและตัวMaitaniเอง เริ่มที่ท่านผู้นี้ก่อนนะครับ ผู้ก่อตั้งบริษัท MR.Osamu Yamashita วิศวกรผู้มีวิสัยทัศน์ จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 15 มี.ค. 50 08:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2462 นะครับ นับถึงตอนนี้ก็ 86 ขวบแล้วนะครับ ตอนนั้นบริษัทยังใช้ชื่อว่า Takachiho Seisakusho.ทำกล้องจุลทรรศน์นะครับยังไม่ทำกล้องถ่ายรูป ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันคงภูมิใจว่าปัจจุบันOLYใหญ่โตและก้าวหน้าแค่ใหน เดี๋ยวนี้ถ้าใครเข้าเวปของOLYจะเห็นว่าไม่เฉพาะกล้องจุลทรรศน์นะครับ Mobile lab ก็มีขายนะครับ ขอสดุดีในการวางรากฐานบริษัท จากคุณ : กว้างใหญ่ - [ 15 มี.ค. 50 08:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ไม่เห็นพูดถึงom2sp เลย มั่งเทพ จากคุณ : romerun - [ 15 มี.ค. 50 08:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เจ๋งมากครับ ยังมีกล้องที่น่าสนใจอีกหลายรุ่นนะครับ ว่างๆช่วยเอามาแนะนำพี่น้องในห้องนี้ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง จากคุณ : baul - [ 15 มี.ค. 50 14:03:18 ]

ความคิดเห็นที่ 68 จากคุณ : \\ton\\ - [ 15 มี.ค. 50 15:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ที่บ้านยังเก็บ XA2 เอาไว้อยุ่เลยนะ มีแฟลชต่อนอกของรุ่นนี้ด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายนานมาก ไม่รุ้ว่าจะยังใช้ได้หรือเปล่า จำได้ว่าสมัยเล่นกล้องฟิลม์ใหม่ๆ มีคนตามหารุ่นนี้กันมาก ผมก้อเลยบ้ากะเขาไปหามาไว้สักตัว จากคุณ : ตะวันใต้น้ำ (ตะวันใต้น้ำ) - [ 15 มี.ค. 50 23:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 70 A very good story.  It's very appreciate even read again and again. Should it be continued, sir? จากคุณ : alpha0ne - [ 24 มี.ค. 50 12:58:39 ]