ความคิดเห็นที่ 15
พอจะมีข้อ นำเสนอบางประการครับ จากประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผมต้องขอเรียนก่อนว่า
1.ผมไม่ใช่เซียน 2.ผมไม่มีเครื่องเสียงราคาแพง 3.ที่ผมจะบอกกล่าวนี้ เป็นแค่ข้อสังเกต หรือข้อแนะนำ ไม่ใช่ "golden rule" เพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ตรงกับความคิดของหลาย ๆ ท่าน หรือแม้แต่มันอาจจะ ผิด ก็ได้ (ถ้าความ ถูก ผิด ในโลก audio มี่อยู่จริง)
ขอให้เริ่มจากการหยิบแผ่นที่ตัวเองชอบขึ้นมาก่อน...เอ้า สมมติว่าเป็น concertgebow ในยุค 40 หรือว่า แผ่นเก่า ๆ ของ kreisler หรือว่าจะเป็นเพลงไทยเดิม ของวง ครู บุญยง เกตคง เพลง เก่า ๆ ของครูเอื้อ ก็ไม่เกี่ยง ลองถามตัวเองดูซิครับว่า มันจะเป็นไปได้ไหม ที่จะเนรมิตเสียง เก่า ๆ คร่ำครึในแผ่นพวกนี้ ให้สดใหม่สมจริงเหมือนเราเข้าไปฟังใน concert hall ? สำหรับตัวผม คำตอบคือ NO ! ถ้ายังงั้น อะไร คือสิ่งที่เครื่องเสียงควรจะทำได้ ? อะไร คือสิ่งที่เครื่องเสียงควรจะปลุกผี ขึ้นมาให้ได้ ? อะไร จึงจะทำให้สมเหตุสมผลกับการที่เราจะต้องเสียเวลา เงินทอง ไปมากกว่าปรกติ ทั้ง ๆ ที่ minicompo 5.1 เล่นได้สารพัดแผ่น ราคาไม่เกินหมื่น มีให้เป็นตัวเลือกอยู่แล้วในตลาด ?
ผมไม่แคร์ ว่าเราจะมีตอบเดียวกันหรือไม่ แต่ขอแค่เรามีคำถามเดียวกัน ผมก็คิดว่าเราคงจะคุยกันได้รู้เรื่องครับ .......................................................................... สิ่งที่ผมให้ความสำคัญ ในการเลือกซื้ออุปกรณ์เล่นกลับ แต่ละชิ้นนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกๆ คือ 1.Tone 2.Meaning of Tone ( expressivity,dynamic...etc )
1.Tone เพียงแค่เสียเวลาสัก 10 นาที คลิกไปดูใน wikipedia คุณก็จะได้ความรู้คร่าว ๆ เกี่ยวกับ Tone ในระดับเบื้องต้นอย่างเพียงพอ แต่ถ้าอยากจะเข้าใจให้ได้อย่างลึกซึ้งแท้จริง ก็อาจจะต้องใช้เวลา...ทั้งชีวิต เท่าที่ผมเคยฟัง อุปกรณ์ที่มีผลอย่างสำคัญในเรื่องของ tone
- ลำโพง : ผมชอบ tone ของลำโพงกรวยกระดาษ ขอบผ้า , ทวีตเตอร์กระดาษ 3นิ้ว ขึ้น แต่ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ก็คงไม่มีทางเลือก นอกจาก ทวีตเตอร์โดมผ้า ส่วนกรวยโลหะ นั้น ผมฟังไม่ค่อยถูกหูครับ (โปรดอ่านข้อ 3ในตอนแรกอีกครั้ง) : 3 ทางขึ้นไปถ้าเป็นไปได้ หมายถึงลำโพงที่ใช้ตัวขับ 3 ตัวขึ้นไป โดยทฤษฎีนั้น ถ้าจะให้ลำโพงตอบสนองได้เต็มย่านความถี่สำหรับดนตรี คลาสสิค คือ ประมาณ 40-15,000 hz นั้น ต้องครอบคลุมไม่ต่ำกว่า 8-9 octave ทีเดียว ซึ่งต้องใช้ถึง 4 ตัวขับเป็นอย่างน้อย (เพราะต้องเผื่อให้แต่ละตัวทำงานเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อยด้วย) แต่ 3 ทาง ในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึงลำโพงยุคใหม่ ที่มี super tweeter และแน่นอนว่า ผมไม่สนใจลำโพงประเภท 2.1 , 3 ทางที่ผมว่า ก็คือลำโพงประเภท ที่ มีตัวขับ woofer หรือ lower midrange แยกจาก midrange แยกจาก tweeter หรือ harmonic เท่าที่ผมดู ลำโพงสามทางที่ว่า ที่ราคาไม่แพงมาก ปัจจุบันก็พอมีอยู่ แต่ผมไม่เคยไปฟังเลย คงต้องลองพลิกหาดูเองตามหน้าโฆษณาครับ อีกทางหนึ่งคือลำโพงโบราณ หรือลำโพงญี่ปุ่นเก่า ๆ แต่ผมไม่แนะนำวิธีนี้สำหรับผู้เริ่มต้น เพราะเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลสำคัญคือ เสียง ลำโพงโบราณถูก ๆ บางรุ่น อาจเอามาฟังได้เพราะจริง แต่ว่า ต้องเอามาจัดการอะไรบางอย่างเสียก่อน อย่างเช่น ตู้ใหม่ cross over ใหม่ และส่วนใหญ่จะฟังดีแค่บางความถี่ และบ่อย ๆ ที่เสียงจะออกแนวขุ่น ๆ โดยเฉพาะลำโพงค่ายญี่ปุ่น เบสก็จะมาแบบ one note bass ถ้าฟังแจ๊สล่ะก็ ไม่เลวเชียวล่ะ แต่ไม่แนะนำสำหรับเพลงคลาสสิคครับ ( แต่ผมก็เคยได้ยินบางคนเอามาปรับแต่งจนฟังดี ได้เหมือนกัน แต่ผมไม่มีความรู้ด้านนี้เท่าไหร่ จึงไม่ขอพูดถึงครับ ) ส่วนลำโพงโบราณที่เสียงดีมาก ๆ นั้น มีแน่ แล้วก็แพงมากด้วย แต่นั่นมันก็เป็นอีกโลกหนึ่งครับ สำหรับ ลำโพงประเภท single driver นั้น ถ้าคุณฟังแต่ violin sonata แผ่น เก่า ๆ สุนทราภรณ์ นั้น ก็พอได้ครับ แต่ผมฟังนาน ๆ ไปแล้วก็รู้สึกไม่ไหวจริง ๆ : ให้ความสำคัญกับความถี่ต่ำ (ประมาณ 40-200 hz ) ก็สืบเนื่องมาจากข้อข้างบนนั่นล่ะครับ จริง ๆ แล้วไม่ต้องเลือกลำโพงที่บอก spec ถึง 40 hz ก็ได้ ขอแค่ 60 hz แบบคุณภาพ แค่นี้ ผมก็อยากจะไปขอฟังด้วยแล้วครับ ถ้าเป็น 3 ทาง ส่วนใหญ่ woofer ก็จะมีขนาด 8-12 นิ้ว ขึ้นไป แต่ถ้าหาได้แต่ลำโพง 2 ทางจริง ๆ อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่อยากจะให้ woofer เล็กกว่า 5 นิ้วครึ่ง ครับ แต่ต้องทำใจนะครับ ถ้าหากว่าฟังเบา ๆ แล้วรู้สึกโหวง ๆ หรือว่า ฟัง beethoven 7th แล้วไม่มันเท่าที่ควร ก็ต้องอะลุ้มอะล่วยไปครับ ควรจะเน้นไปที่เสียงกลางที่เป็นธรรมชาติ กับเบสที่ คลายตัวอย่างเป็นธรรมชาติแทนครับ ไม่ควรฝืนมันมาก :sensitivity ควรเลือกลำโพงที่มีความไวสูงสักหน่อยก็จะดีครับสัก 90 db up มักจะให้ tone ที่ฟังดูสบายหูกว่า แต่ต้องระวังเรื่องความเพี้ยนด้วย ถ้าจะให้สุด ๆ ก็ ลำโพง horn....แต่สำหรับคนที่ใช้ลำโพง horn เต็มย่านความถี่ คงไม่มีธุระอะไรแถวนี้แล้วล่ะมั้งครับ ?
-Amplifier ใครที่ทนอ่านมาถึงนี่ ( ขอชมเชย ! ) คงจะเดาได้ไม่ยากว่า ผมชอบ amp หลอด ใช่แล้วครับ ผมคิดว่า amp หลอดให้โทน ที่เป็นธรรมชาติมากกว่า transistor (อ่านข้อ 3 ข้างบนอีกครั้ง) โดยเฉพาะ single end แต่ว่า ผมไม่แนะนำให้ใช้หลอดสำหรับผู้เริ่มต้นครับ เหตุผลสำคัญก็คือเรื่องเสียงอีกเช่นเคย คือแอมป์หลอดส่วนใหญ่ที่ราคาไม่แพง นั้น มักจะให้เสียง ไม่ smooth ไม่ราบเรียบเสมอกันทุกย่านความถี่ มันจะมีความถี่บางช่วงที่ฟังดี (มักเป็นที่เสียงกลาง) แต่เบสอุ้ยอ้ายมาก หรือ เสียงแหลมไม่แตกตัวเป็นต้น ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของผมนั้นคิดว่า สาเหตุหลักก็น่าจะมาจาก เรามักจะขับมันกับลำโพงที่ไม่ไวพอ ( ไม่ถึง 100 db /1w ) , หลอดไม่มีคุณภาพ ,หรือ สมรรถภาพของ output transformer เป็นต้นครับ
ก็สรุปว่า แนะนำให้ใช้ transistor ครับ ถ้าห้องไม่เกินประมาณ 3.5x5x3.5 (กxยxส) ลำโพงไว 90 db up ก็ขอกำลังสัก 20-40w ก็น่าจะพอครับ
*สักเล็กน้อยสำหรับท่านที่สนใจ และกล้าเสี่ยง ผมคิดว่า อินทิเกรตของอังกฤษในยุค 80 เช่น nad ,rotel นี้ ให้เสียงย่านเบสที่น่าสนใจครับ แต่ว่ามันจะไม่กรุ๊งกริ๊งเหมือนรุ่นใหม่ ๆ ยิ่งเทียบกับราคาขาย ที่ปัจจุบันแอมพวกนี้ หาซื้อได้ในราคา 4,000-8,000 ถ้าเล่นได้ดี ไม่เคยเสีย ไม่เคยซ่อม ก็น่าเสี่ยงครับ
..................................................... 2. Meaning of Tone พิมพ์มาถึงนี่ก็ชักจะลังเลครับ....เพราะข้อนี้ จะทำให้คนที่ยังลังเลอยู่นั้น มั่นใจโดยทันที ว่าไอ้นี่ มัน บ้า แน่นอน! ยังไงก็ตาม ขอให้ไปอ่านข้อ 3 อีกครั้งนะครับ
ถ้าเครื่องเสียงมี tone ที่ดีพอประมาณแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ ทำให้ tone นี้มีความหมายครับ ไม่ใช้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เครื่องเสียงที่สามารถทำให้เสียงมีความหมาย ได้นี้ ควรจะต้องมีความสามารถด้าน dynamic ที่ดีในระดับหนึ่งครับ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ -speaker positioning คงต้องรบกวนให้ไปอ่านเรื่องนี้ตามหนังสือเครื่องเสียงทั่วไป หรือในเวป audio ทั้งหลายมีเขียนอยู่เยอะแยะครับ หาอ่านไม่ยาก แต่ที่ยากก็คือ การประเมินผลครับ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า นี่คือ ตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ? อืม..ตรงนี้มันยากจริง ๆ แล้วยิ่งแต่ละคนก็ย่อมจะมีเสียงที่ต้องการไม่เหมือนกันซะด้วย สำหรับบางคน และเพลงบางแนว ตำแหน่งลำโพงอาจจะไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ได้ สำหรับตัวผมจะหาจุดที่รู้สึกว่า ให้เสียงของ woofer ได้ดีที่สุด เล่นกันเป็นวงมากที่สุด จะคอยสังเกตเสียง cello ,bass , piano มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแถว ๆ หางเสียง การจางหายของเสียง ผมไม่ได้หมายถึงตำแหน่งที่ได้ยินเสียงพวกนี้ชัดที่สุด แต่...อ่า ผมไม่อยากพูดประโยคนี้ออกไปเลย...(เพราะมันทำให้ผมดูเหมือนคนบ้ายิ่งขึ้นไปอีก) ผมหมายถึงตำแหน่งที่ให้เสียงที่มีความหมาย... ในแบบที่ผมเชื่อว่ามันควรจะเป็นสำหรับแผ่นนั้น ๆ นักดนตรีคนนั้น , วงนั้น ๆ
สิ่งที่อยากจะบอกคือ ตำแหน่งที่ดีที่สุดในห้องสำหรับ wooferอาจจะไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับความถี่อื่น คือ กลาง หรือ สูง เพราะมันมีลักษณะการกระจายเสียงไม่เหมือนกัน และส่วนใหญ่เราจะใช้ box speaker ที่ตัวขับเสียงมันแปะมาอยู่ในตู้เดียวกัน ที่ผมเลือกให้ความสำคัญกับความถี่นี้ เพราะ เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ มีความถี่หลักอยู่ตรงนี้ ถ้าเรา set ตำแหน่งลำโพง โดยใช้แผ่น นักร้องหญิง กับ กีตาร์ใส ๆ เรามักจะหลงให้ความสำคัญกับความถี่กลาง ผลก็คือ มันจะเพราะอยู่แผ่นเดียว...พอเปลี่ยนแผ่นอื่น แนวอื่น ก็จะรู้สึกว่ามันไม่ลงตัว มันไม่เป็นวงเดียวกัน หรือ เครียด ๆ ชอบกลเป็นต้น ....................................................
ก็ ต้องขอขอบคุณ ท่านที่อ่านมาเรื่อย ๆ จนถึงนี่ครับ ถ้าอ่านมาถึงนี่แล้ว มีความรู้สึกว่า ไอ้คนเขียนนี้มันเพี้ยนแน่นอน ผมก็ต้องขอบอกว่า คนที่ตามอ่านมาจนจบ ก็คงจะมีเชื้อไม่ทิ้งกันสักเท่าไหร่หรอกครับ อิ อิ ^__^
เท่านี้ล่ะนะครับ โชคดี
จากคุณ :
Mr.Tea
- [
30 พ.ย. 51 16:35:28
A:124.121.26.73 X: TicketID:025103
]
|
|
|