ความคิดเห็นที่ 1 จุดเริ่มต้น... ย้อนกลับไปในปี 1992 ในย่าน Des Moines มลรัฐ Iowa Shawn Crahan ชายหนุ่มหยั่นหว่อหยุ่น ตราเด็กสมบูรณ์(อ้วน) มีความคิดที่อยากจะทำวงดนตรีขึ้นมาวงหนึ่ง เลยไปรวบรวมสมัครพรรคพวกมาเล่นดนตรีกัน และเมื่อได้สมาชิกครบ ก็รวมวงกันขึ้นมา ในนามของ PAINFACE โดยมีสมาชิกดังต่อไปนี้ Shawn Crahan กลอง-เพอร์คัสชั่น,Andres Colsefini นักร้องนำ,Paul Gray เล่นเบส,Donnie Steele กับ Quan Nong เล่นกีต้าร์ แนวเพลงกระเดียดไปทาง Death Metal ล้วนๆ โฉมหน้าพี่ชอว์น ตัวตลกโรคจิตของวง จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:11:42

ความคิดเห็นที่ 2 หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ออกมาฟอร์มวงใหม่กันอีก ในนาม THE PALE ONES โดยสมาชิกในวงนอกจาก Quan Nong มือกีต้าร์ที่ลาออกไป ก็ยังเป็นไลน์อัพเดิม (แล้วมันจะเปลี่ยนทำไมฟะ) แต่ Shawn ย้ายไปเล่นกลอง แล้วโยกให้ Andres ไปเคาะเพอร์คัสชั่นกับร้องนำไปด้วย จนกระทั่ง Paul ไปชวนชายหนุ่มตัวเล็ก เซ็กซี่ แต่น่ารัก กระทานาม JOEY JORDISON อดีตเด็กปั๊มผู้ไม่รักดี ที่ใฝ่อยากเล่นดนตรีจนโดนไล่ออก เดินเข้ามาพลางยกมือบอก “ผมอยากเป็นมือกลองคับ!!!” ทำให้ตา SHAWN ต้องกลับไปนั่งเคาะเพอร์คัสชั่นอย่างขมขื่น พอฟอร์มวงครบทุกตำแหน่งแล้ว พวกเขาก็พากันไปตระเวนเล่นตามคลับในย่าน Des Moines Iowa บ้านเกิดของพวกเขา Joey Jordison โคตะระมือกลองกระเดื่องโลกันตร์ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:12:54

ความคิดเห็นที่ 3 ในเวลาต่อมา ปี 1995 Joey ก็เปลี่ยนชื่อวง จาก THE PALE ONES กลายมาเป็น SLIPKNOT (อย่าถามหาเหตุผล เพราะทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ พลิกแผ่นดินหาเหตุผลก็ไม่เจอ) แล้วเดินหน้าทำเดโมอัลบั้ม Mate.Feed.Kill.Repeat พร้อมเพิ่มสมาชิกใหม่เข้ามาบางคน แล้วสร้างเอกลักษณ์ของวงด้วยการแต่งหน้า,ใส่หน้ากาก โดยไลน์อัพของ SLIPKNOT ยุคแรกรุ่นดรุณีประกอบไปด้วย Anders Colsefini – ร้องนำ+เพอร์คัสชั่น Shawn Crahan – เพอร์คัชชั่น+คอรัส Paul Gray – เบส+คอรัส Joey Jordison – กลอง Josh Brainard – กีต้าร์+คอรัส Donnie Steele – กีต้าร์ ตอนนั้นมีอีกสองคนที่มาช่วยงานในอัลบั้มนี้ คือ Mick Thomson คุณครูสอนกีต้าร์(ที่มาดไม่ให้เลย) กับ Craig Jones มือแซมเพิ่ล ที่มาช่วยเรื่องบันทึกเสียง แต่ในระหว่างที่กำลังอัดกันอยู่ Donnie Steele ก็ขอถอนตัวออกจากวงโดยให้เหตุผลว่า “ผมพบพระเจ้าแล้ว” (เหตุผลทางศาสนาคริสต์ หันหน้าเข้าหาพระธรรมซะงั้น สงสัยเนื้อเพลงคงเถื่อนมาก) ทำให้ต้องรับ Mick Thomson กับ Craig Jones เข้ามาเป็นสมาชิกถาวร สรุป Donnie Steels เป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากากเลย ตลอดเวลาที่ทำงานกับ Slipknot โฉมหน้าสมาชิกไลน์อัพแรก รวมอีตา Mick กับ Craig ด้วยอ่ะ แต่ไม่มี Donnie นะ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:13:41

ความคิดเห็นที่ 4 ก่อนนรกแตก หลังจากนั่งอัด,ยำ กันมาพักนึง ในที่สุด อีพีอัลบั้ม Mate.Feed.Kill.Repeat ก็ได้คลอดออกมา โดยออกขายต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน ปี 96 พอดี พวกเขาทำเอง ขายเอง ถ่ายปกกันเองอีกต่างหาก(รูปปก ไปถ่ายกันที่โรงรถ บ้าน Shawn) ตอนนั้นผลิตออกมาแค่ 1000 ชุด แต่ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากบรรดาแฟนๆเฮฟวี่หูเหล็ก เพลงในอัลบั้มส่วนใหญ่เป็นเหมือนเวอร์ชั่นเดโมของเพลงในอัลบั้มชุดแรก อย่าง เพลง Slipknot ที่มีชื่อเดียวกับวง ก็คือเพลง (SIC) ที่ยังไม่ได้สับสปีดให้เร็วกว่านรก,Only One,Tarttered & Torn ปัจจุบันกลายเป็นอัลบั้มหายากไปแล้ว (แต่กลับหาฟังได้ใน YOUTUBE อิอิ) แปะปกชุดนี้ให้ดู ทายซิใครเป็นพรีเซ็นเตอร์? จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:14:36

ความคิดเห็นที่ 5 ตระเวนทัวร์ หลังจากวาง MFKR ทางวงก็ได้เริ่มตระเวนเดินสายตามที่ต่างๆมากขึ้น โดยโชว์แรกที่พวกเขาเล่นต่อหน้าสาธารณชน ในนามของ SLIPKNOT เกิดขึ้นเมื่อปี 1996 ที่ Des Moines reggae club the Safari(เข้าใจว่าน่าจะเป็นร้านเหล้า) ทางวงตอนนั้นยังใส่แค่หน้ากาก ยังไม่มียูนิฟอร์ม,หมายเลขประจำตัว และยังไม่แบ่งตำแหน่งบนเวทีอย่างชัดเจน แปะคลิปแสดงสดยุคแรกๆให้ดู อีตา Andres นี่แต่งตัวโรคจิตใช้ได้เยย อิอิ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:16:27

ความคิดเห็นที่ 6 ออกตระเวนทัวร์กันไปได้พักนึง SLIPKNOT ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวงอีกครั้ง ในขณะที่วงกำลังวางแผนเข้าสตูดิโอทำงานชุดแรก โดยไปรับ Corey Taylor นักร้องนำวง Stonesour วงบ้านใกล้เรือนเคียงบ้านเดียวกันของSlipknot มาเป็นสมาชิกคนใหม่ และ Greg Welts มาเป็นมือเพอร์คัสชั่นอีกคน(จะมีตำแหน่งเพอร์คัสชั่นทำไมเยอะแยะฟะ) โดยตอนนั้นทางวงเริ่มมีการแบ่งหมายเลขประจำตัวให้กับทุกคนในวง พร้อมกับเริ่มใส่ยูนิฟอร์มวง ขึ้นแสดงสดบ้างแล้ว เรื่องของการรับ Corey เข้ามา พวกเขาให้เหตุผลว่า ต้องการนักร้องที่มีเสียงและเมโลดี้ที่หลากหลาย เมื่อ Corey เข้ามาปุ๊บ มันจึงทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน เพราะ Corey มี เรนจ์เสียงที่กว้าง ร้องเพลงได้หลายสไตล์  จะให้ร้องแบบหวานปานน้ำค้าง หรือ แหกปากกระชากแล้วลากไปขยี้ ก็ทำได้สบาย แต่ Andres ถนัดคำรามกับสำรอกมากกว่าจะมายืนร้องให้ชัดเจน ทำให้ทางวงต้องลดบทบาทของ Andres ไปนั่งเคาะเพอร์คัสชั่นกับร้องคอรัสแทน อาจจะเป็นด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ในปี 1997 Andres ต้องขอออกจากวงในที่สุด โดยอ้างกับเพื่อนร่วมวงและมิตรรักแฟนเพลงด้วยเหตุผลยอดฮิต ที่นิยมกันทั้งโลก “ทัศนคติทางดนตรีไม่ตรงกัน”  พอออกจากวงปุ๊บ เฮียแกก็กลับไปเป็นแกนนำ กลุ่ม PAINFACE ต่อ Corey Taylor นักร้องผู้ที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใส รุ่งโพธิ์ทอง กับวงแปลกๆอย่าง Slipknot จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:17:18

ความคิดเห็นที่ 7 พอได้ Corey เข้ามาทำหน้าที่ร้องนำ พวกเขาก็เดินหน้าทำสตูดิโออัลบั้มชุดแรก แล้วนำเดโมไปเสนอตามค่ายเทปต่างๆ จนไปถูกตาต้องใจ Ross Robinson โปรดิวเซอร์ที่กำลังมือขึ้นอย่างมาก ในการโปรดิวซ์งานให้กับ Limp Bizkit,Soulfly และ Korn ให้พวกเขาได้เกิดๆๆๆๆๆๆๆๆ ดังระเบิดระเบ้อมาแล้ว พวกเขาเซ็นสัญญากับทาง Roadrunner Record แล้วเริ่มลุยงานไปพร้อมๆกันในปี 1997 โดยยกพลไปทำอัลบั้มกันที่ มาลิบู แคลิฟอร์เนีย แต่ก็มีปัญหาเรื่องสมาชิกในวงที่เข้าๆออกๆ ตลอด โดยในระหว่างบันทึกเสียง Greg Welts มือเพอร์คัสชั่นก็ขอลาออกไปเปิดร้านแทททู แถว South Dakota ส่วน Josh Brainard มือกีต้าร์อีกคนก็ขอลาออกไปด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง แต่ก็ได้ Chris Fehn เข้ามาเป็นมือเพอร์คัสชั่นแทนที่ และ James Root มือกีต้าร์วง Stonesour มารูดสาย(เล่นกีต้าร์) คู่กับ Mick  อีกคน แล้วก็ได้ Sid Wilson ดีเจโรคจิต ผู้ที่นับโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สาม มาทำหน้าที่สแคร๊ทแผ่นให้สะเด่าทรวง (เรื่องโรงพยาบาล เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลังเน้อ) จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ไลน์อัพที่สมบูรณ์เสียที ไลน์อัพทั้งหมด 9 คน ประกอบไปด้วย (แถมเบอร์ประจำตำแหน่งกับฉายาให้ด้วยนะตัวเอง) (#0) Sid Wilson – เทิรน์เทเบิ้ล (#1) Joey Jordison – กลอง (#2) Paul Gray – เบส+คอรัส (#3) Chris Fehn – เพอร์คัสชั่น+คอรัส (#4) James Root – กีต้าร์   (#5) Craig "133" Jones – แซมเพิ่ล+ดูแลงานห้องอัด+ดูแลเว๊บไซต์ของวง (#6) Shawn "Clown" Crahan – เพอร์คัสชั่น+คอรัส (แถมตำแหน่งโฆษกประจำวงให้ด้วยอ่ะ) (#7) Mick Thomson – กีต้าร์ (#8) Corey Taylor – ร้องนำ   พอได้สมาชิกครบทุกตำแหน่งแล้ว พวกเขาก็เดินหน้าทำสตูดิโออัลบั้มชุดแรกกันอย่างเต็มที่ โดยมี Ross Robinson ทำหน้าที่เป็น Producer ให้ แล้วการบันทึกเสียงก็เสร็จสิ้นในช่วงต้นปี 1999 (สำหรับเรื่องราว,ที่มาที่ไปของแต่ละคนนั้น ขอยกเอาไว้ในช่วงท้ายนะครับ) จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:20:25

ความคิดเห็นที่ 8 ประตูนรกเปิด และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น 29 มิถุนายน 1999 ก็คือวันที่พวกเขาวางแผงสตูดิโออัลบั้ม SLIPKNOT ออกสู่สาธารณชน ด้วยความแปลกใหม่ของซาวด์ดนตรีที่ดิบ เกรี้ยวกราด ก้าวร้าว เสียงร้องที่แผดกร้าว ดุดัน มีมิติ เนื้อหารุนแรงสุดลิ่มทิ่มประตู ที่สะท้อนถึงมุมมองต่างๆของวง ผ่านทางลายมือของ Corey เอง (ประมาณ พวกเราแม่ งไม่ชอบสิ่งรอบตัว,พวกเราเกลียดขี้หน้ากัน,กรูเกลียดโลกนี้ แม้กระทั่งบ้านเกิดของตัวเอง) และ ภาพลักษณ์ที่สยดสยองพองเกล้าของสมาชิก ทำให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก อเมริกันชนทั้งหัวดำหัวแดงหรือแม้แต่เอเชียตาดำๆ ที่ได้ฟังต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “สุย่อปาเลอ” ซิงเกิ้ลต่างๆ อย่าง SIC (เวอร์ชั่นสมบูรณ์ของเพลง Slipknot) Wait And Bleed,Eyeless,Spit it Out และเพลงชาติของเหล่า The Maggots ทั้งหลาย SURFACING ทยอยขึ้นชาร์ตกันอย่างไม่เกรงใจใคร แม้กระทั่ง MTV ก็เปิด MV เพลง Wait And Bleed กันได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ดีถึงขนาดถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 1001 อัลบั้มที่ควรฟังก่อนตาย!!! (ชีวิตนี้กรูจะฟังครบ 1001 อัลบั้มที่ว่ามาหมดไหมวะ?) ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวไปในข้างต้น ส่งผลให้พวกเขาโด่งดังเป็นพลุแตกในเวลาอันรวดเร็ว อัลบั้มนี้ขายดีมาก จนต้องมีการออกรีแพ๊คเกจใหม่ และเพิ่มเพลงพิเศษในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน และได้ขึ้นเล่นในงาน Ozzfest ของน้าโป่ง หินเหล็กไฟ เอ๊ย! Ozzy Osbourne ตะหาก จนกลายเป็นขาประจำของงานนี้ไปโดยปริยาย   หน้าปกสตูดิโออัลบั้มชุดแรก มีใครพอจะไปประกวดดัชชี่ได้บ้างไหมฮะ? จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:23:15

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่ออัลบั้มประสบความสำเร็จ แน่นอนว่า ต้องมีการออกทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้ม ใครที่ได้ชมการออกทัวร์ในช่วงแรก จะรู้สึกได้ถึงพลังดิบ ความดุเดือด ได้เป็นอย่างดี ทั้งโยกหัว 360 องศา กันอย่างไม่กลัวปวดคอ หรือรังแคกระจาย (เลียนแบบ ทีวี 360 องศา ไปได้) ขึ้นไปขย่มกลอง :-)น้ำลาย สารพัดฟักกิ้งทั้งคำพูดและท่าทาง ต่อยกัน(หลอกๆ) บนเวที และการแสดงสุดแสนโรคจิตชวนอ้วกมากมาย ยกตัวอย่าง พี่ Shawn ไปเก็บอีกาที่ตายแล้วมาใส่ขวดโหล แล้วดองเอาไว้ แต่แทนที่แกจะเอาไปสะสมหรือส่งให้โรงพยาบาลศิริราชเอาไปเก็บไว้ข้างๆโหลดองซีอุย แกกลับเอาขึ้นไปขึ้นเวทีตอนทัวร์ด้วย ระหว่างที่เล่นอยู่ ก็เปิดฝาขวดโหลที่ดองอีกาไว้ เอาขึ้นมาดมแล้วก็อ้วกแตกกลางเวที บางทีอ้วกคนเดียวไม่พอ ก็กระโดดลงไปหาเหล่ามิตรรักแฟนเพลง พร้อมเชิญชวนให้แฟนๆดมแล้วอ้วกแตกตามๆกันไป(มันบ้าเปล่าวะ) รวมไปถึงลีลาผาดโผนต่างๆที่แฟนเห็นแล้วต้องเสียวไปตามๆกัน และสมาชิกที่มักจะมีปัญหาบาดเจ็บระหว่างแสดงมากที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก DJ Sid ผู้ที่นับญาติกับหมอและมีโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สาม เพราะตลอดเวลาออกทัวร์ พี่ท่านได้แสดงความหวาดเสียวด้วยวิธีต่างๆมากมาย เช่น จุดไฟเผาตัวเอง,ทำสเตจไดวิ่ง และกระโดดจากลำโพงสูง (กี่เมตรไม่รู้ แต่สูงกว่าเวทีเยอะ) ลงไปหาแฟนเพลง และหลังจากโดดเสร็จ ก็มักถูกหามส่งโรงพยาบาลเสมอ สร้างความเอือมระอาแก่บรรดาแพทย์และนางพยาบาล ที่มักแอบสบถในใจเมื่อเวลาเห็นรถเข็นที่เข็น Sid เข้ามาแอดมิทอยู่เสมอว่า “มรึงมาอีกแล้วเหรอ?” (ฮา) แต่เวลาเข้าโรงพยาบาลทีไรแกก็จะใช้เวลารักษาตัวไม่นานนัก ก่อนที่หมอจะปล่อยให้แกออกไปเจ็บตัวต่อที่อื่น นี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ในวีรกรรมต่างๆของ พี่ Sid จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:25:53

ความคิดเห็นที่ 10 ลืมคลิปอ่ะตัวเอง ขออภัย จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:26:19

ความคิดเห็นที่ 11 อันนี้ไม่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บระหว่างทัวร์ แต่ขอแปะหน่อย คลิปนี้เป็นเคสล่าสุดของ Sid ประมาณปี 2008 ที่เจ้าตัวถูกส่งหามเข้าโรงพยาบาล อันนี้ไม่ได้เจ็บระหว่างทัวร์ แต่แกเซ่อซ่าทำหัวตัวเองแตก เพราะดันไปชนขอบประตูในสตูดิโอของตัวเอง (ฮา) โดยมีอีตา Shawn คอยถ่ายไว้ เอาไปประจานลง DVD โดยวีดีโอตัวนี้อยู่ในDVD สารคดี Nine : Making Of All Hope Is Gone ที่แถมมากับสตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุด All Hope Is Gone ในแพ๊คเกจแบบดิจิแพ๊ค มีเฉพาะต่างประเทศ ใครอยากได้ก็สั่งซื้อเอา โฉมหน้าอีตา Sid ตอนหัวแตก หน้าตาก็ดี๊ดี แต่ชอบหาเรื่องเจ็บตัว ฮ่าๆ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:27:10

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่องของหน้ากาก (อย่าลบกระทู้ผมเลยนะค้าบ คือพยายามดัดแปลงคำพูดแล้วนา) คำถามหนึ่งที่ทางวงมักเจอประจำช่วงแรกๆ(หรืออาจจะตลอดกาลก็ได้) คือ ทำไมต้องใส่หน้ากาก? Corey เองเคยบอกไว้ว่า “หน้ากากนี้คือสิ่งที่สะท้อนความรู้สึกของพวกเรา มันทำให้เราปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้ และมันจะค่อยๆเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเรา มันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราใช้สื่อสารกับแฟนเพลง” มีคนเคยบ้าจี้ไปถาม Shawn ว่า “ที่ใส่นี่เพราะอยากเด่นเหรอ?” ปรากฏว่าพี่แกฉุนมาก จนด่ากลับ “แล้วมันเรื่องอะไรของมรึงล่ะเฟ้ย ถ้ากรูไม่ใส่เสื้อผ้ากรูก็หนาวเดะ มันเป็นเรื่องของการแสดงออกของพวกกรู และจะบอกอะไรให้นะเฟ้ย ถึงแม้พวกกรูไม่ใส่หน้ากาก พวกกรูก็มีปัญญาทำดนตรีดีๆให้ทุกคนฟังได้อยู่แล้วละโว้ย” โมโหจนน่าเบี้ยวเยย จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:28:22

ความคิดเห็นที่ 13 IOWA พอเสร็จสิ้นทัวร์โปรโมทอัลบั้มแรก พวกเขาก็ไม่รอช้า เดินหน้าเข้าสตูดิโอเพื่อทำงานชุดต่อไปทันที ในปี 2001 โดยทางวงยังคงร่วมงานกับ Ross Robinson เช่นเคย พวกเขาตั้งชื่ออัลบั้มที่สองอย่างเรียบง่ายว่า IOWA เหมือนเป็นการบ่งบอกพื้นเพและถิ่นที่อยู่ของตัวเอง และออกวางแผงในวันที่ 28 สิงหาคม 2001 อัลบั้มชุดนี้ Slipknot ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรีและเนื้อหาที่ยังคงรักษาความโรคจิตไว้ได้ และหน้ากากที่เปลี่ยนให้ดุดันขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นอัลบั้มที่ยกระดับของวงให้อยู่เหนือขึ้นไปอีกขั้น ด้วยเพลงฮิตที่ทยอยกันขึ้นชาร์ตมากมาย อย่าง People=Shit,Left Behind,My Plagues ที่ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Resident Evil  และอีกเพลงชาติของเหล่า The Maggots ทั้งหลายแหล่ The Heratic Anthem ที่ดนตรีย้าวยาว แถมท่อนฮุคก็แสนจะร้องย้ากยาก อย่าง “IF YOU 555,Then I’m 666” ผู้เขียนบางทีพอได้ฟังเพลงนี้ ถึงท่อนฮุคทีไร ต้องชูนิ้วเป็นจำนวน 5 กับ 6 ทุกที (ฮา) อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จมากๆ มากกว่าชุดแรก ซึ่งคุณงามความดีของอัลบั้มชุดนี้ ประกอบไปด้วย - มีชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 44 สาขา Best Metal Performance จากเพลง Left Behind - มีชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 45 สาขาเดียวกัน จากเพลง My Plague - ติดอันดับ 50 อัลบั้มแห่งปี จากนิตยสารดนตรีชื่อดัง NME ในปี 2001 - ได้ยอดขายระดับแพลทตินั่ม ในสหรัฐอเมริกา - ปี 2009 ได้รับการโหวตให้เป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมในศตวรรษที่ 21 จากนิตยสาร Kerrang! ในอังกฤษ โดย IOWA ได้รับการจัดอันดับให้อยู่อันดับที่ 3 เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของ Slipknot อย่างแท้จริง ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้อีกต่อไปแล้ว ปล.ขอบคุณคห.32 ครับที่แก้ให้ พิมพ์จนเพลินเลย ปกสตูดิโออัลบั้มชุดสอง IOWA หัวแพะๆๆๆ เชือดๆๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 53 16:20:40 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:29:40

ความคิดเห็นที่ 14 นอกเหนือจากอัลบั้มปกติแล้ว 22 พฤศจิกายน ปี2002 Slipknot ก็ได้คลอด DVD Disasterpieces ออกมาตอกย้ำความสำเร็จกันอีกครั้ง DVD ชุดนี้มี3แผ่น แผ่น 1 เป็นบันทึกการแสดงสดของวงที่ ลอนดอน อารีน่า ประเทศอังกฤษ เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2002 ความยาวราวๆ ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งบันทึกภาพไว้ตั้งแต่บรรยากาศรอบนอก,แจกลายเซ็นหน้างาน,การเตรียมงานสร้าง,การเตรียมตัวก่อนขึ้นแสดง (ภาพตอนนี้ถ่ายได้น่ากลัวมั่ก) จนกระทั่งเล่นสด หากใครได้ชมแล้ว บอกได้สองคำว่า “สะเด่า” เพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงฟอร์มสดมาก ครบเครื่องเรื่องต้มยำจริงๆ แถม(น่าจะเป็นที่แรกๆ) ที่Joey โชว์ความเมพด้วยการกลับหัวตีกลอง (แกติดระบบไฮโดรลิกไว้ที่กลองชุด ทำให้สามารถยกขึ้น-ลง-กลับหัว-เอนตัว ได้ตามใจชอบ) แผ่น 2 ก็เป็น MV ในอัลบั้ม IOWA ทั้งหมดที่ได้ออกอากาศ ส่วนแผ่น 3 เป็น CD Single เพลง Purity ที่โดนแบนออกไปจากอัลบั้มแรก และแน่นอนว่า DVD ชุดนี้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเช่นเคย และด้วยที่ประสบความสำเร็จกันขนาดนี้ ทำให้ Shawn เริ่มพูดถึงอนาคตของวงกับนิตยสารดนตรีแห่งหนึ่งเอาไว้ว่า “การที่พวกเราประสบความสำเร็จมากๆ ทำให้บางทีพวกเราอาจจะยุบวงกันก็ได้ เพราะยังไงซะ เลิกมันซะตอนนี้ ดีกว่ามาเลิกอีกทีตอนที่มันห่วยไปแล้ว” Shawn กล่าว จนบางครั้ง ผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของ Shawn ในเวลาต่อมา ดูความเมพของ Joey กัน ตีกลอง 360 องศา! (อย่าลืมทำเสียงให้เหมือนพิธีกรช่อง3ด้วยล่ะ) จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:31:04

ความคิดเห็นที่ 15 แปะภาพหน้ากากของวงในชุดที่สอง โดยคอสตูมเปลี่ยนมาเป็นยูนิฟอร์มสีดำ สไตล์พนักงานโรงงาน พร้อมดีไซน์หน้ากากให้สยองขนยิ่งขึ้น   จากซ้าย Shawn-Chris-James-Corey-Mick-Paul-Sid-Joey-Craig จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:33:01

ความคิดเห็นที่ 16 รอยร้าวเล็กๆ หากใครที่ได้ชม Live ในช่วง Disasterpiece หรือ งานอื่นๆ จะได้เห็นว่า Sid กับ Shawn มักจะชกต่อยกันบนเวทีอยู่เสมอ หลายๆคนอาจจะคิดว่าต่อยเล่นๆสนุกๆ เอาฮากัน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ฮาอย่างที่คิด เพราะนั่นคือการชกต่อยกันจริงๆ ทั้งคู่มักจะหาเรื่องต่อยกันบนเวที เพราะด้วยความสำเร็จของวง ทำให้พวกที่ต้องการหาผลประโยชน์จากทางวงต่างคอยเข้ามาปั่นหู สร้างกระแส หรือยุยงให้วงแตกแยกกันเอง โดยเฉพาะ Shawn ที่มักจะโดนปั่นหูอยู่บ่อยๆ และข่าวลือต่างๆอีกมากมาย ทำให้ต้องเอาเรื่องส่วนตัว มาแสดงออกในงานหลายครั้ง เรียกได้ว่า วงSlipknot พร้อมวงแตกกันได้ตลอดเวลา จนกระทั่งก่อนทำงานชุดที่สาม ทุกคนได้หันหน้ามาพูดคุยกัน และเคลียร์กันไปได้ด้วยดี ตัวอย่างคงเป็นประมาณนี้แหละ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:34:59

ความคิดเห็นที่ 17 Side Project to Vol.3 จบทัวร์โปรโมทอัลบั้ม IOWA และเคลียร์เรื่องส่วนตัวได้แล้ว สมาชิกในวงก็ตกลงที่จะแยกย้ายออกไปพักผ่อน,ทำงานตามที่ตัวเองอยากจะทำ ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป Corey กับ Mick จึงกลับไปทำวง Stonesour อีกครั้ง โดยมี DJ Sid ไปแจมด้วยบางโอกาส, Joey ก็ไปทำวง Murderdolls กับเพื่อนซี้อย่าง Thursday13 ที่ไม่ใช่ฐานะมือกลอง แต่เป็นมือกีต้าร์ แถมยังเล่นได้ดีมากด้วย (ก่อนจะมาเอาดีด้านตีกลอง Joeyเล่นกีต้าร์มาก่อน) Shawn ก็ไปทำวง To My Surprise กับสุดยอดโปรดิวเซอร์(ประชด) อย่าง Rick Rubin ซึ่งในเวลาต่อมา Rick ก็กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ของ Slipknot ในชุดที่ 3 ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ตัวเองถนัด จนกระทั่งปลายปี 2003 Slipknot ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อเข้าสตูดิโอทำงานชุดที่ 3 อัลบั้มนี้ทางวงหันมาทำงานกับ Rick Rubin โปรดิวเซอร์มาดซานตาครอส(ไม่เชื่อไปหารูปดูดิ) ที่เคยทำงานร่วมกับ Johny Cash,System Of a Down และ Slayer มาแล้ว และถ้าดูในเครดิตที่ผ่านมาของอีตา Rubin ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า แกทำงานกับศิลปินหลากหลายแนวมาก ตั้งแต่ Johny Cash,Run DMC,Mel C,AC/DC,Linkin Park หรือล่าสุดกับMetallica แสดงให้เห็นว่าทางวงกำลังจะทำอะไรที่แปลก และแตกต่าง จากสองอัลบั้มก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน มาดูพี่ Joey เล่นกีต้าร์ กับMurderdolls กัน ระหว่างนี้แกก็เริ่มจะ Head Million บ้างแล้ว (หัวล้าน อิอิ) จริงๆแล้วมีหลายคลิปนะ แต่อยากให้ดูภาพรวมของวงด้วย รวมไปถึงความเรื้อนของเพื่อนแกอย่าง Thursday13 นักร้องนำ ด้วยการโชว์แปรงฟันระหว่างแสดงสด (ลืมแปรงก่อนออกจากบ้านหรือไงโว้ยยยยย) จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:37:01

ความคิดเห็นที่ 18 มาดูทางด้าน Stone Sour ของ Corey กับ James บ้าง ภาพรวมคงเป็นประมาณนี้แหละ อเมริกันร๊อค เท่ๆ Stonesour - Through Glass จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:39:56

ความคิดเห็นที่ 19 24 พฤษภาคม 2004 สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ใช้ชื่อว่า Vol.3 Subliminal Verse ก็ได้ออกวางขาย โดยเปิดตัวสูงสุดในบิลบอร์ตชาร์ต อันดับที่ 2 ในอเมริกา,ออสเตรเลีย,แคนาดา และที่อื่นๆเช่นเดียวกัน อัลบั้มนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ Rick ที่แผ่กระจายไปทั่วอัลบั้มอย่างชัดเจน เริ่มมีการใส่ท่อนโซโล่เข้ามาในเพลงต่างๆ,เสียงสังเคราะห์ที่ลดบทบาทลงไป,ความโหดที่เริ่มบางเบา และเพลงในแบบอะคูสติก ของเพลง Circle และ Vermillion Part2 แต่ขอโทษ นิยามคำว่าอคูสติกของSlipknot ไม่ใช่อคูสติกแบบใสๆ ใส่เทคนิคอเพ๊กจิโอ หรือ โชว์สเกลนะพี่ เพราะอารมณ์ของทั้งสองเพลงนี่หมองหม่นมาก แต่ถึงจะมืดมนยังไง ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ Knot อยู่ดีแหละ ต้องยอมรับว่าทุกอย่างในอัลบั้มนั้นเป็นไอเดียของ Rick ล้วนๆเลยพะย่ะค่ะ ใครไม่เคยฟัง Mick กับ James โซโล่กีต้าร์นี่ ชุดนี้ได้ฟังกันอิ่มเลย ซึ่ง Paul Grey เองก็พูดถึงอัลบั้มชุดนี้ว่า “มันคือการเกิดใหม่อีกครั้งของ Slipknot”  หากเทียบกับงานของ Ross Robinson เท่าที่ผู้เขียนได้(เสร่อ)วิเคราะห์ออกมา Ross ทำSlipknot ให้ใส่กันตูมๆๆ โยกกันให้หัวหลุดมากกว่าจะมาโชว์สกิลการเล่นดนตรี ส่วนตัวผู้เขียนที่พิศมัยในความดิบ เถื่อน เฮฟวี่ หนักกระโหลกทั้งหลาย พอได้ฟังชุดนี้เสร็จ คำพูดของ Shawn ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “เลิกซะตอนนี้ ดีกว่ามาเลิกตอนที่มันห่วยไปแล้ว” ก็ลอยเข้ามาในสมองทันที เพราะผู้เขียนเองค่อนข้าง “คาดหวัง” กับชุดนี้ไว้พอสมควร ว่าฟังแล้วต้องโยกลืมตายเหมือนสองชุดแรกเป็นแน่แท้ พอได้ฟังจนจบก็เลยรู้สึกผิดหวัง (ขนาด Corey เองยังแอบด่า Rick ลับหลังเลย ตอนทำงานกันไม่ยอมมา ชอบโผล่หัวมาแล้วก็มารื้อเพลงตอนที่พวกกรูทำกันเสร็จแล้ว) แต่เชื่อป่ะ ว่าชุดนี้กลับได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากบรรดาสื่อต่างๆ แถมยังมีซิงเกิลฮิตติดตัวอยู่บ้าง อย่าง Duality,Vermillion,The Blister Exist และ Before I Forget ที่ทางวงสร้างความฮือฮาใน MV ด้วยการถอดหน้ากากออกทีวีกันทุกคน (แต่ไม่มีช๊อตที่เห็นหน้าเต็มๆสักช๊อต เห็นแค่มือ,คาง,ปาก และลูกกะตา) ส่วนคุณงามความดีของอัลบั้มนี้ มันทำให้ Slipknot คว้ารางวัลแกรมมี่มานอนกอดเป็นครั้งแรก ในปี 2006 สาขา Best Metal Perfomance จากเพลง Before I Forget แถมนิตยสาร Kerrang ก็จัดให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดลำดับที่ 31 แห่งศตวรรษที่ 21 (เว่อร์ชิ...หาย) ส่วนเพลง Before I Forget ก็ได้ถูกบรรจุลงในเกม Guitar Hero ภาค 3 ให้ชาวร๊อคเอาไปโซโล่เล่นกันอีกด้วย ปกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 หน้าปกเป็นรูปหน้ากาก The Maggot ที่ Shawn เป็นคนดีไซน์ด้วยตัวเอง จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:42:48

ความคิดเห็นที่ 20 และนี่คือลุคของวงในชุดที่ 3 คอสตูมจะคล้ายกับชุดที่แล้ว ส่วนหน้ากากมีดีไซน์ที่แตกต่างจากเดิมพอสมควร เปลี่ยนไปจนเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร ยกเว้นอีตา Craig,Joey,Chris และ Mick เท่านั้นที่หน้ากากไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ เรียงตามภาพ SID         JOEY           COREY          SHAWN            JAMES PAU         CHRIS                             MICK               CRAIG ถามว่าน่ากลัวกว่าเดิมไหม? สั้นนะๆ “ขนลุกฟ่ะ” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:45:57

ความคิดเห็นที่ 21 ฝันที่เป็นจริง... สำหรับแฟนเพลงชาวไทย บางทีต้องขอบคุณอัลบั้มนี้ด้วยซ้ำเลยนะ เพราะมันทำให้เราได้มีโอกาสชม 9 หนอนนรกจาก Iowa มาเล่นที่ประเทศไทยเสียที หลังจากปล่อยให้ Maggots ชาวไทยต้องรอแล้วรอเล่า จากความร่วมมือของสนับสนุนหลายๆแห่ง อย่าง Channel [V] Thailand,เครื่องดื่ม M-Max โดยงานนี้มีชื่อสั้นๆว่า M-Max Live Never  Stops Concert on [V] Rock Day - Slipknot Live in Bangkok ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 จัดกันที่ลาน Active Square เมืองทองธานี ที่เดิมที่เคยจัดงานของ Linkin Park(รอบแรก) มาแล้ว ส่วนความมันส์เป็นยังไง ใครที่ได้ไปดูก็เอามาแชร์ๆกันหน่อยนะครับ ขอนอกเรื่องนิดหน่อยนะ...สำหรับผมเอง ถือเป็นจุดด่างพร้อยอย่างหนึ่งในชีวิตเลยนะ เพราะผมไม่มีโอกาสไปชม ไม่ใช่ไม่อยากไปนะ แต่ไม่มีปัญญาไป (เรียนอยู่ม.ต้นเอง แถมบ้านก็จ๊นจน) ถึงขนาดต้องตัดคูปองชิงรางวัลบัตรคอนเสิร์ต จากนสพ. โดยที่ไอ้นสพ.ก็ถามย๊ากยาก ว่าอัลบั้มชุดที่ 3 ชื่อว่าอะไร? พอถึงวันประกาศผล ปรากฏว่ามีชื่อผมด้วย ผมงี้ดีใจจนตัวลอย เอาไปอวดเพื่อนในห้องยกใหญ่ แต่พอมาเช๊คอีกที ผมได้แค่เสื้อที่ระลึกจากค่าย Roadrunner แทน ไม่ได้บัตรชมคอนเสิร์ต รู้สึกเซ็งเป็นบ้าเลย ฮือๆ หากยังพอมีวาสนา พวกมันเปลี่ยนใจเลือกกลับมาเล่นที่กรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่ง ขอสัญญากับตัวเองเอาไว้เลยว่า จะไม่พลาดอย่างเด็ดขาด!!! (เพราะมีปัญญาไปแล้ว อิอิ) จริงๆมีรูปมากกว่านี้ แต่คอมเสีย ภาพเลยหายหมด เหลือแค่ภาพเดียว ภาพงานแถลงข่าว Slipknot กับ พวงมาลัย จะกลัวหรือจะขำดีวะ? แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 53 16:15:07 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:47:34

ความคิดเห็นที่ 22 นี่คือของดูต่างหน้าสำหรับแฟนเพลงที่ไร้ซึ่งวาสนาอย่างผม ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกอาฆาตแค้นตัวเอง แม้จะมีแค่เพลงเดียว แต่มันกระตุ้นความอยากของผมมากๆ เพลง (SIC) เห็นแล้วนึกในใจ พวกมันไม่ร้อนกันมั่งเหรอวะ? แต่ลีลาโยกหัวนี่ขอคารวะจริงๆ มันเคยคอเคล็ดบ้างไหมวะ? จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:48:45

ความคิดเห็นที่ 23 ช่วงปี 2004-2005 จะบอกว่าเป็นช่วงมรสุมของSlipknot ก็ว่าได้ เพราะวงมีกิจกรรมต่างๆล้นมือจริงๆ ทั้งออกทัวร์โปรโมทอัลบั้มชุด 3 กันอย่างไม่หยุดหย่อน ตระเวนเล่นไปทั่วทั้งงาน Ozzfest,Big Day Out ของ MTV,ทัวร์แอฟริกาใต้,แวบมาประเทศไทยตามที่พูดไว้ข้างต้น แถม Joey ยังไปรับจ๊อบนอก ช่วยตีกลองให้วง Metallica ชั่วคราว เพราะน้า ลาร์ช อัลริช มือกลองแก๊แก่ประจำวงดันป่วยขึ้นมาซะก่อน ทำให้Joey ต้องไปตีแทนชั่วคราว โดยปีนั้นJoey ต้องตีกลอง สลับกับน้า Dave Lombardo โคตรกลองกระเดื่องปีศาจแห่ง Slayer กับช่างเทคนิคของวง Metallica ก็ถือว่าช่วยๆกันไป เท่านั้นยังไม่พอ บรรดาตัวหลักอย่าง Corey,James,Paul และ Joey (โจอี้มันคงบ่น กรูอีกแล้วเหรอวะ?) ต้องไปทำโปรเจ็ครวมดาวสาวสยาม เอ๊ย! โปรเจ็ค Roadrunner United ต่างหากเล่าเฟ้ย! โดยโปรเจ็คนี้เป็นการรวบรวมวงดนตรีในค่าย Roadrunner ทั้งหมดมาสังฆกรรมทำเพลงหนักกะโหลก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของค่ายนี้ โดยเป็นการเอานักดนตรีตามตำแหน่งของแต่ละวง มารวมๆกันแล้วช่วยกันทำเพลงขึ้นมา (แบบเอามือกีต้าร์วงนู้น,นักร้องวงนี้,เบสวงนั้น กลองวงโน่น มารวมกันแล้วทำเพลงขึ้นมา) แล้วออกวางขายในวันที่ 11 ตุลาคม 2005 ก็ขายได้นิดๆหน่อยๆ มาดูเพลง SIC เวอร์ชั่น Roadrunner United กันบ้าง โดยเจ้าของเพลงอย่าง Corey,Paul,Joey และมือกีต้าร์วงอื่น (ถอดหน้ากากเล่นกันนะเว้ย) แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 53 16:22:14 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:51:09

ความคิดเห็นที่ 24 กลับมาที่ Slipknot กันบ้าง 1 พฤศจิกายน 2005 ก็ได้ออก DVD 9.0 Live ออกมาดูดตังค์ในกระเป๋าแฟนๆอีกครั้ง อันนี้จะเป็นบันทึกการแสดงสดทัวร์โปรโมทชุดที่ 3 ตามสถานที่ต่างๆ เช่น สิงค์โปร์,โตเกียว,โอซาก้า,ลาส เวกัส,ฟีนิคส์ อริโซน่า,นิวยอร์ค ซิตี้ และ ดัลลัส โดยแบ่งออกเป็นสองแผ่น ส่วนยอดขายก็ถือว่าโอเค (ก็ยังขายได้ดีอีกอ่ะแหละ) แต่ในเรื่องความมันส์นั้น ส่วนตัวคิดว่ายังสู้ Disasterpieces ไม่ได้ คือ พกวเขายังเล่นดนตรีกันได้สนุกเร้าใจเหมือนเดิม แต่เสียงร้องของ Corey เริ่มดร๊อปแล้ว (ก็เข้าใจอยู่อ่ะนะ ว่าคงแหกปากแบบนี้ไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก) ปกอัลบั้ม 9.0 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:52:42

ความคิดเห็นที่ 25 ปี 2006 หลังจากหมดทัวร์ หมดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Slipknot แล้ว ทางวงก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปทำงานตามที่ตัวเองถนัดอีกเหมือนเดิม Shawn ออกไปทำโปรเจ็คต์ใหม่ วง Dirty Little Rabbits กับโปรดิวซ์ให้วงอื่นบ้างเล็กๆน้อยๆ DJ Sid ก็ออกโซโล่เดี่ยว The New Leader ในนาม DJ Starscream สองคู่หู Corey กับ James ก็ไปทำอัลบั้มใหม่กับ Stonesour ชุดที่สอง Joey เหนื่อยหนักกว่าชาวบ้านหน่อย นอกจากรับจ๊อบตีกลองให้วง Korn ก็ไปหัดเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงชาวบ้านชาวช่องเหมือนกัน นอกนั้นคนอื่น หายเฮด (หายหัวไปหมด ไม่มีข่าวคราว) โดยก่อนที่จะเข้าสู่ปี 2007 Slipknot ก็ออก DVD  Volminal : Inside The Nine ในวันที่ 5 ธันวาคม 2006 (ต้อนรับวันพ่อเรอะ) มีทั้งหมด 2 แผ่น แผ่นแรกเป็นหนังสั้น ที่ถ่ายด้วยกล้องวีดีโอธรรมดาๆ บันทึกเรื่องราวก่อนและหลังเวทีเอาไว้ พร้อมไลฟ์ในงาน Summer Sonic ที่ญี่ปุ่น ปี2005 อีกนิดหน่อย แล้วก็ MV ในชุด 3 ทั้งหมด ส่วนแผ่นสองเป็นบทสัมภาษณ์ของสมาชิกทั้ง 9 คน เกี่ยวกับเรื่องมุมมองต่างๆ และทัศนคติส่วนตัวของแต่ละคน กิจวัตรหลังเสร็จงานของ Slipknot โดยที่แต่ละคนถอดหน้ากากออกหมด! ส่วนตัว ไม่เคยชม DVD ชุดนี้ เลยไม่สามารถอธิบายทุกส่วนได้ทั้งหมด เลยเอาข้อมูลจากทางเว๊บไซต์มาให้อ่านแทน ดูหน้าหล่อๆของ คอรี่ไปก่อนแล้วกัน จาก DVD นี้แหละ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:57:22

ความคิดเห็นที่ 26 All Hope Is Gone เงียบหายกันไปพักหนึ่ง พอปี 2007 พวกเขาก็ได้ฤกษ์งามยามดี กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อทำสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ของวง โดยคราวนี้พี่แกย้ายโลเกชั่นไปบันทึกเสียงกันที่สตูดิโอย่าน IOWA บ้านเกิดของพวกเขา (สามชุดที่ผ่านมา ทำงานกันที่แคลิฟอร์เนียเป็นส่วนใหญ่) แล้วใช้บริการของโปรดิวเซอร์ที่ชื่อไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่สำหรับผม Dave Fortman ผู้เคยโปรดิวซ์ให้วงดังๆอย่าง Mudvayne,Evanessence,Simple Plan  มาแล้ว  Joey บอกว่า นี่คืออัลบั้มที่เฮฟวี่ที่สุดของ Slipknot (กรูว่า IOWA เฮฟวี่กว่าอีกนะ) คนเขียนเนื้ออย่าง Corey เองก็พูดถึงเนื้อหาในชุดนี้ว่า “เนื้อหาในชุดนี้มันจะเกี่ยวกับเรื่องที่ผิดพลาดของผม แต่จะนำเสนอออกมาในอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกว่าสามชุดที่แล้ว” พร้อมคุยด้วยว่า “นี่เป็นงานที่ดีที่สุดที่เราเคยทำมาเลยทีเดียว”   ส่วน Shawn ก็ออกมาพูดถึงงานชุดนี้ว่า “ปกติผมจะเล่นกลองหรือนั่งเคาะอะไรไปเรื่อยอย่างเดียว แต่คราวนี้ผมมีโอกาสได้ลงไปคลุกคลีทำงานทุกขั้นตอน สิ่งที่ผมได้ทำมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มันจะทำให้ผมรู้จักเติบโตและพัฒนาได้อีก” โดย Corey ทิ้งท้ายอีกครั้งว่า “บางทีอัลบั้มนี้อาจทำเซอร์ไพรซ์พวกคุณก็ได้นะ แน่นอนว่ามันยังเป็น Slipknot อยู่ แต่มันจะถูกยกระดับขึ้นมาอีกหน่อย บางทีอาจทำให้ใครหลายคนช๊อคเลยก็ได้นะ” (ชักสังหรณ์ไม่ดีอีกแล้วกรู – ความรู้สึกของผู้เขียน หลังจากได้อ่านบทสัมภาษณ์เสร็จ) เบื้องหลังการทำงานในชุดนี้ แค่น้ำจิ้มๆพอ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:00:55

ความคิดเห็นที่ 27 26 สิงหาคม 2008 All Hope Is Gone ก็ได้ออกวางแผงสู่สาธารณชนให้ The Maggots ทั้งหลายซื้อไปบูชา(แต่ที่ญี่ปุ่นวางขายวันที่ 20 เร็วกว่ากำหนดเดิมหน่อย)  ความดีงามของอัลบั้มนี้ในแง่ของยอดขาย อัลบั้มนี้มันทำให้ Slipknot ก้าวขึ้นไปอยู่บนอันดับ 1 ของบิลบอร์ตชาร์ตได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของวง รวมไปถึงชาร์ตต่างๆในแต่ละประเทศทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะแม้ชุด IOWA จะขายดีขนาดไหน มันก็ไม่เคยวิ่งขึ้นไปอยู่ที่ 1 ในตลาดต่างประเทศนอกจากอเมริกาเลย ในส่วนของเพลง อัลบั้มนี้เป็นอีกอัลบั้มหนึ่งที่ปล่อย Single ออกมาให้ฟังหลายเพลง (Vol.3 ปล่อยมาแค่ 3 เพลง) อย่าง Psychosocial,Dead Memories,Snuff,Sulfur และ All Hope Is Gone ก็ได้รับความนิยมพอสมควร ส่วนเพลง Psychosocial ก็มีชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ปี 2009 สาขาเจ้าประจำอย่าง best metal performance ด้วยเช่นกัน แต่ก็แห้วไป (วงรุ่นพี่ Metallica เอารางวัลนี้ไปครองในปีนั้น ให้ๆน้าแกไปเหอะ Death Magnetic ของแกดีจริงๆ) ภาพรวมของอัลบั้ม พอได้ฟังจนจบก็รู้สึกอยากกลับไปฟังชุดสาม เพราะอัลบั้มนี้เนื้อหามันยังมืดหม่นตามสูตร แต่เพลงมันกลับไม่ค่อยเฮฟวี่เท่าที่โจอี้มันคุยไว้อ่ะ ไอ้ที่เฮฟวี่สุดๆ ที่ได้ฟังก็มีแค่ All Hope Is Gone ที่ผู้เขียนฟังแล้วโยกหัวหลุด นอกนั้นก็มาในแนวเรื่อยๆมาเรียงๆ เหมือนวงมันกลายพันธ์ไปทำเพลงแนว อเมริกัน ฮาร์ดร๊อค มากกว่า จะบอกว่าเป็นร่างอวตารของ Stonesour ก็ว่าได้ เอาที่ชัดๆเลยก็เพลง Snuff นี่แหละ ฟังแล้วตุ๊ดแตกกันเลยทีเดียวเชียว (ด่ามันซะขนาดนี้ แต่เพลง Snuff เป็นเพลงที่ผมไม่เคยเอาออกจาก I-Pod ผมเลยตั้งแต่ปี 2008) ปกชุด 4 โชว์หน้ากากใหม่ สงสัยได้แรงบันดาลใจจากหน้าปก ปาล์มมี่ ชุด Beautiful Ride จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:03:01

ความคิดเห็นที่ 28 อีกทีกับหน้ากากชุดใหม่ ยูนิฟอร์มเที่ยวนี้มาในสไตล์ชุดสูท หรือ พนักงานออฟฟิศ แลดูดีขึ้นมานิดหน่อย ส่วนหน้ากาก ที่เปลี่ยนไปเยอะคือรายของ Corey ที่หน้ากากมันโรคจิตขึ้นเรื่อยๆ(แต่ชอบนะ) ส่วนของ Shawn กับ Sid ก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ถ้าไม่สังเกตที่จมูกก็ไม่รู้ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:04:09

ความคิดเห็นที่ 29 ธรรมเนียมที่ทำกันทุกครั้งเวลาออกอัลบั้มคือ ทัวร์นรกค่ะ Slipknot ก็ตระเวนทัวร์ตามงานประจำอื่นๆเหมือนเดิม เช่น อังกฤษ,เยอรมัน,ออสเตรเลีย,ญี่ปุ่น (ไม่แวะมาไทยบ้างวะ จะได้ไปดู) ปี2009 ก็ไปเล่นในงานใหญ่ๆอย่าง Mayhem Fes,Download,Rock Am Ring ก่อนที่จะจบทัวร์ตอนสิ้นเดือนตุลาคม 2009 ใครสนใจอยากชมก็ไปหาดูได้ใน youtube หรือถ้าหาไม่ได้ก็ใช้วิชามาร “บิด” เอาแล้วกัน ไม่ยากหรอก ผมก็ดูจากในนั้น อิอิ (นอกเรื่องอีกแล้วนะ) มีโอกาสได้ดูวงเล่นสดในงาน Download 2009 ทาง “บิด”  บอกตรงๆว่า Corey คงร้องแบบเดิมไม่ได้แล้วล่ะ คงเป็นธรรมชาติของนักร้องสไตล์นี้ที่แหกปากมาตลอด ตอนรุ่นๆก็ยังได้หรอก แต่พออายุมาก แกคงแหกปากไม่ไหวแล้วล่ะ สังเกตได้ตอนที่วงเล่นเพลงสองชุดแรก แค่คำรามได้ก็แทบยกมือไหว้แล้ว ส่วนดนตรีก็ยังคงมาตราฐานเดิม ยังเล่นได้ดีและเฮฟวี่เหมือนเดิม (บ่นขนาดนี้ ถ้ามันมาไทยก็ไปล่ะวะ) คลิปนี้คงพิสูจน์ได้อย่างดีอ่ะนะ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:06:41

ความคิดเห็นที่ 30 RE-AGAIN ก่อนสิ้นสุดทัวร์ วันที่ 9 กันยายน 2009 (09/09/09) Slipknot ก็เอาอัลบั้มชุดแรกกลับมาวางขายใหม่ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของวง โดยนอกจากจะมีเพลงปกติกับเวอร์ชั่นรีมิกซ์นิดๆหน่อยๆแล้ว ยังแถม DVD สารคดีสั้นๆ รวม 35 นาที พร้อม MV เพลง Spit It Out,Wait and Bleed (เวอร์ชั่นจริงและเวอร์ชั่นแสดงสด) และโคตรเพลงอย่าง Surfacing รวมอยู่ด้วย และในแพ๊คเกจ Box-Set จะมีแถมพวงกุญแจ (เด็ดสุด เพราะเป็นรูปหน้ากากทุกคนในวง) เสื้อยืด หมวกไหมพรม บัตรห้อยคอ เทือกนั้น ใครซื้อชุดนี้ให้ รักตายเลย จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:10:40

ความคิดเห็นที่ 31 เข้าสู่ ปี 2010 ทางวงก็แยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเองเหมือนเดิม (มันก็งานเดิมๆกับที่เคยบอกแหละ) โดยมีข่าวมาตลอดว่า ที่พักวงไป เพราะเตรียมทำอัลบั้มชุดใหม่กัน แต่ Joey ก็ออกมาปฏิเสธ บอกว่า เราจะกลับมาทำงานชุดใหม่กันตอนปี 2012 ดังนั้นก็รอไปก่อนนะ ----------------------------------------------------- เนื้อหาหลักของวง ขอจบไว้ที่ตรงนี้นะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านเนื้อหาอันยาวเหยียดขนาดนี้ แต่เดี๋ยวดึกๆหน่อย เราจะไปต่อกันในส่วนของสมาชิกในวง รับรองว่า สยิวแน่ ถ้ามันใส่หน้ากากนี้เล่นสด นี่เท่มากเลยนะ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:12:15

ความคิดเห็นที่ 32   ขอบคุณบทความมากๆเลยครับ บูชาสุดๆเลยวงนี้ ตอนมาไทย สุดๆไปเลยครับ ตอน Corey ให้นั่งลง แล้วบอกให้ กระโดดพร้อมกัน ป.ล. แก้บทความนิดนะครับ My Plague (Abuse Mix) จากอัลบั้ม IOWA อยู่ใน Resident Evil OST. ภาคแรกนะครับ ไม่ใช่ภาค 2 จากคุณ : FreaksZone เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:14:21

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ ^^ จากคุณ : MetalForever เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:27:37

ความคิดเห็นที่ 34 จะ จะ จะ จะ เจิม จากคุณ : -นักเลงเพลงสยาม- เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:27:50

ความคิดเห็นที่ 35   โอ้ววววว ขอบพระคุณที่มารีวิวให้อ่านกันค่ะ จากคุณ : aey_omu เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 18:51:52

ความคิดเห็นที่ 36 นับถือครับที่เขียน จากคุณ : live[Z]less เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 19:12:32

ความคิดเห็นที่ 37   ความเป็นเมทั่ลมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วครับโดยเฉพาะกับ Slipknot วงเมทั่ลที่ผมชอบที่สุด แม้ว่าช่วงหลังแทบจะกลายเป็น stone sour อยู่แล้ว 55 แต่ช่วงนี้ korea girls group ก่อนละกัน รู้สึกตันๆยังไงไม่รู้กับเมทั่ลช่วงนี้ แต่ยังไงก็อยู่ในสายเลืิดอยู่แล้ว Maggots!!! จากคุณ : Berbazys Kamilia เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 19:15:42

ความคิดเห็นที่ 38   ขอบคุณมากครับอ่านเพลินเลย จากคุณ : kugiraoka เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 19:16:36

ความคิดเห็นที่ 39   โพสซ้ำ ขอโทษครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 53 19:25:04 จากคุณ : kugiraoka เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 19:16:51

ความคิดเห็นที่ 40   ขอช่วยได้ไหม ในฐานะลูกแมลงวัน ขอเจิมเรื่องคอรี่ย์ เพลงEyelessจำได้ไหม ถ้าเด็กรุ่นหลังๆไม่เคยฟังนอท แต่ถ้าฟังวงBring me the horizon คงจำได้ว่าทางวงเคยคัฟเวอร์เพลงeyelessของนอทด้วย ท่อน " You can't see California without Marlon Brando's eyes" มันเกี่ยวอะไรกับมาลอน แบรนโด ไม่เกี่ยวเลย! ถ้าจำไม่ผิดนะ คอรี่ย์ได้ยินท่อนนี้จากคนบ้าที่นั่งอยู่แถวๆตึกตอนที่ต้องไปเซ็นสัญญากับRoadrunner ในนิวยอร์ก เลยหยิบมาใส่ในเพลง ส่วนท่อน " I am my Father's son He's a phantom, a mystery and that leaves me NOTHING! " ท่อนนี้พูดถึงพ่อของเขา คอรี่ย์ไม่เคยเจอพ่อมาเลยตั้งแต่เด็กๆเนื่องจากแม่ขอไว้ว่าให้ไปให้พ้นจากชีวิตของคอรี่ย์ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อตัวเองเลย มีแต่เศษรูปเก่าๆ และมันก็เติบโตจนเป็นอีกหนึ่งบาดแผล... จน Scarlett อดีตศรีภรรยาของคอรี่ย์ไปเกลี่ยกล่อมจนแม่สามียอมบอกชื่อพ่อ และสการ์เล็ตไปจ้างนักสืบจนตามหาพ่อจนเจอที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อพ่อลูกได้พบกัน...ก็ร้องไห้โฮ พ่อคอรี่ย์เคยให้สัมภาษณ์สั้นๆเกี่ยวกับลูกชายว่า เขาภูมิใจมาก เคยถามเด็กข้างบ้านว่างานของSlipknotมันเยี่ยมขนาดไหน จนเด็กเอางานมาให้ฟัง เขาก็รู้แล้วว่าลูกชายเขานั้นเจ๋งสุดๆไปเลย จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 19:55:28

ความคิดเห็นที่ 41   ส่วนเรื่องชีวิตคู่คอรี่ย์ประมาณปี2004-2007 แต่งงานกับ Scarlett Stoneมีลูกชายหนึ่งคน ชื่อGriffin Taylor และก่อนหน้านั้นมีลุกสาวชื่อAngeline(ช่วงปี1992) มาดูรุปกันน่ารักจัง จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 20:40:01

ความคิดเห็นที่ 42   อันนี้ภรรยาเก่า จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 20:41:22

ความคิดเห็นที่ 43   รูปนี้กับภรรยาใหม่Stephanie Luby เพิ่งแต่งงานเมื่อ13 พ.ย.ปีที่แล้วเอง เป็นรูปที่สวยมาก สนใจดูต่อได้ที่นี้ http://www.earth13.com/2009/12/stephanie-corey/ จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 20:56:04

ความคิดเห็นที่ 44   เอ็มวีSnuff ที่หลายคนเห็นฝีมือของป๋าชอนเบอร์6 เนื้อเพลงคอรี่ย์บอกเอามาจากชีวิตจริง ซึ่งคาดว่าเขียนถึงศรีภรรยาคนเก่า เขาบอกว่าคนๆนั้นอยู่เคียงข้าง และผ่านอะไรมากกับผมเยอะ (คอรี่ย์เคยมีปัญหาติดเหล้ามากจนเคยจะกระโดดฆ่าตัวตัวจากหน้าต่างโรงแรม แต่สการ์เล็ตช่วยไว้ มีช่วงที่คลอดGriffinใหม่ๆ คอรี่ย์ก็เมาเละเทะจนสการ์เล็ตต้องหนีกลับไปอยู่บ้านแม่) ผมนึกว่าเธอจะรู้สึกดีๆเหมือนผม แต่เธอกลับทำผมผิดหวัง ถ้าคิดในทางกลับกันมันก็ดี เพราะผมได้คิดอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับตัวเองบ้าง จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 21:13:32

ความคิดเห็นที่ 45   The Maggots มารายงานตัวอีกคนนึง เป็นวงเมทัลวงแรกที่ผมฟังตั้งแต่ประมาณ ป.2 ไม่ก็ ป.3 แต่อัลบั้มหลังๆก็ต้องยอมรับว่าเสียงเฮีย Corey เบาลงจากอัลบั้มแรกไปเยอะ อาจเพราะวัยที่ร้องแนวนี้ได้น้อยลงตามสภาพร่างกายของแก แต่ผมก้ยังศรัทธาในตัวแกอยู่ดี จากคุณ : สะกดไม่ถูก เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 21:41:52

ความคิดเห็นที่ 46 รายงานตัวซื้อตั้งแต่เทปผีที่คลองถมเห็นพัฒนาการแล้วบอกว่า ทำไมชุดหลังๆมันต๊ะติ๊งโหน่งงี้ว้า จากคุณ : ขุนนางหนุ่มสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 23:18:50

ความคิดเห็นที่ 47 Introducing : The Members Of Slipknot ในส่วนนี้จะเป็นการแนะนำตัว 9 หน้ากากนรก Slipknot โดยเท่าที่ผมลองไปค้นประวัติมา พบว่า แต่ละคนมีแบ๊คกราวด์ที่น่าสนใจหลายคน รวมไปถึงรสนิยมส่วนตัวบางอย่างที่ไม่เข้ากับบุคลิกของแต่ละคนเลยพับเผื่อย! โดยผมจะแนะนำเฉพาะสมาชิกปัจจุบันเท่านั้น พร้อมหน้ากากตั้งแต่ชุดแรกถึงล่าสุด นะฮะ ส่วนไอ้พวกที่ลาออกไปแล้วไม่ขอพูดถึงนะ เพราะผมก็แทรกๆไว้ในเนื้อหาหลักบ้างแล้ว เรียงตามหมายเลขนะครับ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:38:24

ความคิดเห็นที่ 48 0# Sid Wilson (ชื่อจริง Sidney George Wilson) เกิด : 15 มีนาคม 1978 ดีเจโรคจิตผู้มีหมอเป็นผู้ปกครองคนที่สอง เป็นคน IOWA โดยกำเนิดนะ (แต่พ่อแม่ของซิด เป็นคนอังกฤษ ที่ย้ายเข้ามาอยู่ Des Moines ) ซิดเป็นเด็กพิเศษอย่างนึง คือเกิดมาก็มีนิ้ว งอกขึ้นมาอีกนิ้วหนึ่ง ก่อนที่จะให้หมอที่ประตูผี โพลีคลินิก ไปตัดออก พอ Shawn มารู้เรื่องนี้เข้า หลังจากที่รับซิดเป็นสมาชิกใหม่แล้ว ถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย “นี่มันนิ้วของพระเจ้านะโว้ย มรึงจะตัดออกหาพระแสงหอกง้าวยาวเก้าคืบยิงปืนข้ามแม่น้ำสะโตงทำไมฟะ! มรึงจะไปแคร์สายตาชาวบ้านทำไม? แมร่งเจ๋งจะตาย” ซิดเข้ามาในฐานะมือเทิร์นเทเบิ้ลของวงในปี 1997 เป็นสมาชิกที่ละอ่อนสุดในวง และด้วยความเป็นเด็ก จึงทำให้การแสดงของพี่ท่านดูผาดโผน โจนทะยาน และเจ็บตัวอยู่เสมอ จนบางครั้งต้องนั่งรถเข็นขึ้นไปแสดงสดเลยทีเดียว ซี่งแกก็เป็นที่รู้จักของแฟนๆ เพราะเรื่องแบบนี้แหละ และด้วยความโรคจิตปนเถื่อนแอนด์ชอบเจ็บตัวนี่เอง ทำให้เขามีแฟนคลับเป็นของตัวเองพอสมควร คนญี่ปุ่นชอบอีตานี่มากเลยนะ แถมยังเคยเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อทำเพลง OST. ให้กับหนังอย่าง Death Note มาแล้ว ซิดเคยให้คำนิยามกับตัวเองเอาไว้ว่า “กรูชื่อซิด กรูเป็นดีเจที่ชอบเรื่องลามกสกปรกเป็นที่สุดใน Slipknot กรูบ้า กรูทำลายล้าง แถมมีเบอร์ 0 เป็นหมายเลขประจำตัวด้วยนะโว้ย!!” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:40:58

ความคิดเห็นที่ 49 หน้ากากของซิด มีต้นแบบอยู่ที่หน้ากากกันแก๊ส โดยจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ยังคงโครงสร้างแบบเดิมอยู่ ตอนนี้มีทั้งหมด 8 อัน ความหมาย : “มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเกินไปว่ะ ถ้าอยากรู้ความหมายจริงๆ เอาไว้ถามวันหลังเหอะ” (อ้าว อาเฮียนี่) จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:42:32

ความคิดเห็นที่ 50 1# Joey Jordison (ชื่อจริง Nathan Jonas Jordison) เกิด : 26 เมษายน 1975 มือกลองกระเดื่องนรกโลกันต์ ที่ได้รับการยอมรับจากนักดนตรีและแฟนๆทั่วโลก แถมยังเป็นแกนนำหลักของ Slipknot อีกด้วย โจอี้มีนิสัยรักเสียงเพลงตั้งแต่เด็ก โดยเขาบอกว่า “ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกจับมานั่งอยู่หน้าวิทยุ หรือไม่ก็ หน้าทีวี ตลอด ผมเริ่มชอบเสียงเพลงและดนตรีก็ตอนนั้นแหละ” พอโตขึ้น เขาก็เริ่มจับเครื่องดนตรี หัดเล่นกีต้าร์ เล่นไปเล่นมาจนมาถึงจุดหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนของเขา เมื่อครอบครัวเขาซื้อกลองชุดให้เป็นของขวัญ เมื่อตอนเขาอายุครบ 8 ปี  แล้วก็เริ่มตั้งวงเล่นดนตรีเล็กๆกันในโรงเรียน พอย่างเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่ม โจอี้ก็เริ่มหันมาสนใจเพลงร๊อค แล้วเริ่มตีกลองอย่างจริงจัง โดยมี Eric Carr วง Kiss กับ Lars Ulrich แห่งคณะ Metallica เป็นฮีโร่ แต่ก็เล่นกีต้าร์ไปด้วย จนปี 1995 เขาก็ได้รู้จักกับ Paul Gray และสนิทกัน จึงถูกชักชวนให้เข้ามาเล่นดนตรีกับ Slipknot และประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน จนเขาได้รับฉายา ว่าเป็นมือกลองที่ตีได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เฮฟวี่เมทัล อย่างไม่เป็นทางการ(แต่ก็ให้ๆมันไปเหอะ) เป็นรองโฆษกของวง ต่อจาก Shawn เพราะจะเป็นคนออกมาให้ข่าวเรื่องวงเสมอ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:45:23

ความคิดเห็นที่ 51 หน้ากากของโจอี้เป็นลายคาบูกิ ที่โจอี้บอกว่า เขาเลือกสวมหน้ากากอันนี้ เพราะวันหนึ่งแม่เขากลับมาจากงานฮัลโลวีน เมื่อเขาเดินมาเปิดประตูให้แม่แล้วเห็นแม่ตัวเองใส่หน้ากากอันนี้มาด้วย เขาถึงกับตกใจ และประทับใจไปในตัว เลยตัดสินใจเอาหน้ากากอันนี้แหละ โดยเขาจะออกแบบหน้ากากของตัวเองทุกครั้งเมื่อออกอัลบั้มใหม่ จากตอนแรกยังเป็นสีขาวล้วน ไปๆมาๆเริ่มเติมลวดลายให้น่ากลัวยิ่งขึ้น ความหมาย : “มันหมายถึงความรัก ความสวยงาม ความเกลียดชัง และความน่าขยะแขยงไปในคราวเดียวกัน” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:46:30

ความคิดเห็นที่ 52 2# Paul Gray (ชื่อจริง Paul Dedrick Gray) เกิด : 8 เมษายน 1972 เสียชีวิต : 25 พฤษภาคม 2553 มือเบสที่เล่นด้วยมือขวา เกิดที่ LA. แคลิฟอร์เนีย แต่ก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่ IOWA ในเวลาต่อมา ตอนที่ยังวัยรุ่น เขาก็เล่นดนตรีกับวงอื่นๆอยู่พอสมควร เช่น Anal Blast(ชอบชื่อนี้ว่ะ), Vexx, Body Pit และ Inveigh Catharsi จนกระทั่งปี 1995 เขาก็ได้มาเล่นเบสให้วง Slipknot และก็เล่นมาเรื่อยๆ โดยระหว่างนั้นก็มีไซด์โปรเจ๊ค วง Unida ไปด้วย เจ้าตัวเคยโดนตำรวจจับในข้อหาเสพยาแล้วขับรถในปี 2003 แต่ก็รอดพ้นมาได้ด้วยดี เขาได้รับการโหวตว่าให้เป็นมือเบสยอดเยี่ยม จากรายการแกรมมี่อีกด้วย ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ก็ยังต้องรอให้มีการชันสูตรศพก่อน ถึงจะระบุสาเหตุการตายได้ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 00:16:22 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:50:00

ความคิดเห็นที่ 53 พอลใส่หน้ากากหมู ที่มีส่วนผสมของบีเวอร์+หมู+ฮัลนิบาล เล๊คเตอร์ รวมกัน โดยมีติดเข็มเอาไว้ที่ปากด้วย ความหมาย : “ผมไม่รู้ว่ามันมีความหมายพิเศษหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ผมหายใจไม่ค่อยออกว่ะ” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:51:23

ความคิดเห็นที่ 54 3# Chris Fehn (ชื่อจริง Christopher Michael Fehn) เกิด :  24 กุมภาพันธ์ 1972 หนึ่งในสองมือเพอรคัสชั่นจาก Ankeny เมืองทางเหนือของ IOWA เขาเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย เวนย์ สเตจ(มีแบทแมนเป็นเจ้าของล่ะมั้ง) ก่อนที่จะจับพลัดจับผลูมาเคาะ หรือ ขย่ม เพอร์คัสชั่น แทน Greg Welts ที่ลาออกไป เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของวงในปี 1997 โดยเวลาแสดงสด นอกจากจะเคาะเพอร์คัสชั่นแล้ว เขายังทำหน้าที่เป็นคอรัส(ที่คำรามเป็นอย่างเดียว) ให้คอรี่อีกด้วย ปัจจุบัน เขาอาศัยจังหวะตอนที่ Knot พักวงอยู่ ไปทำไซด์โปรเจ๊ค วง Will Heaven โดยไปเล่นเป็นมือเบสของวง จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:57:11

ความคิดเห็นที่ 55 หน้ากากของคริส ได้รับแรงบันดาลใจจาก พิน๊อคคิโอ+หน้ากากเทนงูของญี่ปุ่น รวมกัน โดยมีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่จมูกที่ยื่นยาวออกมา เป็นสมาชิกที่มีหน้ากากน้อย เพราะพี่แกไม่ค่อยเปลี่ยนหน้ากากเท่าไหร่ โดยจะเปลี่ยนแค่สีของหน้ากากเท่านั้น นอกนั้นเหมือนเดิม ความหมาย : “มันสะท้อนถึงความสนุกสนานในตัวผม และผมใช้มันเป็นข้อผูกมัดตัวเอง เพราะเวลาที่ใส่มัน จะรู้สึกร้อน,อึดอัด และเจ็บปวด ซึ่งมันจะส่งผลให้คุณแสดงความก้าวร้าวออกมา” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:59:21

ความคิดเห็นที่ 56 4# Jim Root (ชื่อจริง James Donald Root) เกิด : 2 ตุลาคม 1971 อดีตเด็กบริกร,พนักงานปริ๊นกระดาษ,กระเป๋ารถเมล์ ก่อนจะมาเป็น มือกีต้าร์ริธึ่มประจำวง (แต่ปัจจุบันก็สลับกันโชว์สกิลแข่งกับ Mick Thomson) เขาเข้ามาเป็นมือสมาชิกคนสุดท้ายของวง โดยเข้ามาแทนที่ Josh Brianard มือกีต้าร์คนเก่าที่ลาออกไปในโค้งสุดท้าย จากคำชักชวนของ Corey ที่เป็นเพื่อนสมาชิกวง Stonesour ของเขา เมื่อเขาเข้ามาเป็นสมาชิกวง เขาก็ได้งานชิ้นแรก เป็นงานบันทึกเสียงเพลง Purity กับ Me Inside  ที่ยังอัดไม่เสร็จ พออัดเสร็จ ก็ปิดอัลบั้มทันที และจากนั้นเขาก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญอีกคนของวง เป็นคนที่ทำให้ผมได้รู้ว่า กีต้าร์ Fender ทรง Telecaster มันสามารถเล่นแนว Heavy Metal หรือทำซาวด์หนักๆได้ด้วย แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 11:50:02 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:04:23

ความคิดเห็นที่ 57 ตอนที่จิมเข้ามาใหม่ๆ เขายังไม่มีหน้ากากเป็นของตัวเอง จึงต้องไปเอาหน้ากากของ จอร์ช มือกีต้าร์คนเก่ามาใช้ แต่จิมก็ใส่ได้ไม่นานเพราะว่ามันอึดอัด ใส่ไม่สบาย เลยต้องออกแบบหน้ากากของตัวเองใหม่ ที่มีลวดลายและแรงบันดาลใจมาจากตัวตลก ความหมาย : “ผมจำไม่ได้ว่าเจ้าหน้ากากอันนี้มันมาได้ยังไง ผมจำได้แค่ว่าไอเดียนี้มันวิ่งเข้ามาในหัวผม และผมก็รู้สึกดีกับมันมากที่ได้ใส่มัน” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:07:03

ความคิดเห็นที่ 58 5# Craig Jones (ชื่อจริง Craig Michael Jones) เกิด : 11 กุมภาพันธ์ 1972 หนึ่งในสมาชิกที่ทำตัวลึกลับที่สุดของวง เป็นสมาชิกที่ “กึ่ง” บุกเบิกคนหนึ่งของ Slipknot โดยช่วงแรกเขาแค่มาช่วยงานในห้องอัดอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อตอนทำเดโมอัลบั้ม Mate Feed Kill Repeat แต่พอ Donnie Steele มือกีต้าร์จอมธรรมะลาออกไป เขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกของวงในตำแหน่ง Sample หาเสียงสังเคราะห์แปลกๆมาใส่ในเพลง เป็นคนดูแลงานในห้องอัดของวง และเป็นคนดูแลเว๊บไซต์ทางการของวงด้วย (แถมยืนโยกอยู่บนเวทีเฉยๆในช่วงหลัง) เขาเป็นคนที่หารูปใบหน้าหลังหน้ากากได้ยากที่สุด เพราะพี่ท่านไม่ค่อยปรากฏตัวตามสื่อ เล่นคอนเสิร์ตจบแล้วก็จะรีบกลับบ้านเป็นคนแรก (ไม่รู้จะรีบไปไหน) เป็นคนที่เงียบมาก Ross Robinson เคยพูดถึงเขาเมื่อตอนทำงานในห้องอัดว่า “ตอนนั้นผมอยู่กับเขาสองคนในห้องอัด เขานั่งอยู่ด้านหลังห้อง ไม่พูดอะไรเลย ผมเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก เลยหันไปนั่งทำงานอย่างเดียว เวลาผ่านไปนานจนน่าอึดอัด เราไม่ได้เอ่ยปากคุยกันเลย จนช่วงหนึ่ง เขาก็พูดออกมาว่า “ถ้ากรูไม่ได้เป็นหนึ่งใน Slipknot กรูคงต้องเป็นฆาตกรโรคจิตแน่เลยว่ะ” เล่นเอาผมขนลุกเลยนะ” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:08:30

ความคิดเห็นที่ 59 เป็นหนึ่งในสมาชิกที่แฟนๆจดจำได้มากที่สุด ด้วยหน้ากากดำน้ำ ที่มีเข็มทะลุออกมาอย่างสุดเท่ห์  และมีความโดดเด่นมากๆเวลาอยู่บนเวที ช่วงอัลบั้มแรกๆน่าจะใช้เข็มจริง(เพราะตอนแสดงสด มักจะเห็นว่ามีสนิมเกาะอยู่ที่เข็ม) แต่ช่วงหลังๆคงใช้เข็มปลอมแล้วล่ะมั้ง ดูมันนิ่มๆพิกล ความหมาย : “หน้ากากนี้คือตัวแทนของความเจ็บปวด” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:09:28

ความคิดเห็นที่ 60 6# Shawn Crahan (ชื่อเต็ม Michael Shawn Crahan) เกิด : 24 กันยายน 1969 อีกหนึ่งเพอร์คัสชั่น ที่พ่วงตำแหน่งแกนนำของวงไปด้วยในตัว หากไม่มีเขา ก็คงไม่มีวงดนตรีที่ชื่อ Slipknot แน่นอน เขาเป็นนักแอลกฮอลล์ตัวจริง เป็นโฆษกประจำวงด้วย นอกจากเขาจะเล่นเพอร์คัสชั่นแล้ว เวลาอยู่บนเวทีก็พ่วงตำแหน่งคอรัส(เรียกว่าคอรัสดีไหมนั่น) ไปด้วยในตัว เวลาอยู่บนเวทีเขาจะพกกล้องวีดีโอแฮนด์เอลไว้ตัวหนึ่ง เพื่อเอาไว้บันทึกภาพเก็บตกหรือไฮไลท์ระหว่างแสดง แล้วเอามาหลอกขายใน DVD (ฮา) ปัจจุบันนอกจากทำงานหลักให้ Slipknot แล้ว เขาก็เป็นโปรดิวเซอร์ ป๋าดันให้วงรุ่นใหม่บ้างเล็กๆน้อยๆ,ทำไซด์โปรเจ๊คของตัวเองอย่างวง To My Surprise และเริ่มเรียนรู้การถ่ายหนังจากเพื่อนๆของเขาแล้ว ในส่วนเครื่องดนตรีของเขาจะพิเศษกว่าชาวบ้านหน่อย คือใช้วัสดุชนิดเดียวกับที่ผลิตเครื่องบินอวกาศ(ลงทุนเป็นบ้าเลย) จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:10:09

ความคิดเห็นที่ 61 หน้ากากของลุงชอว์นให้เด็กมองก็รู้ได้เลยว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวตลกโบโซ่ แต่เป็นโบโซ่ที่น่ากลัวมากกว่าน่ารัก จากนั้นก็เริ่มปรับเปลี่ยนให้ดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ตรงจมูกที่ยังสีแดงอยู่ (แต่เวลาแสดงสด มันจะใช้หน้ากากในรูปที่ห้ามากกว่า) ความหมาย : “ใครที่อยู่ตรงนี้ผมจะฆ่าแมร่งให้หมดทุกคนเลย!!! อะไรนะ? ออ หน้ากากผมน่ะเหรอ? มันหมายถึงความตายไงล่ะ” ตั้งใจตอบคำถามหน่อยสิว้อย จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:11:03

ความคิดเห็นที่ 62 7# Mick Thomson (ชื่อจริง Mickael Gordon Thomson) เกิด : 3 พฤศจิกายน 1973 อดีตคุณครูสอนกีต้าร์ (จะมีใครกล้าไปเรียนกับมันวะ?) มือโซโล่กีต้าร์หลักของวง ที่เข้ามาเป็นสมาชิกวงแทนที่ Donnie Steele มือกีต้าร์จอมธรรมะที่ลาออกไป เป็นมือกีต้าร์ที่ชอบเลข 7 เอามากๆ(เป็นพวกเดียวกับพี่เจ เจตรินเลย) โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “มันเป็นเลขนำโชคของผมน่ะ ก็ผมเป็นคนชอบ 7” (ฮา) ชอบอย่างเดียวมันคงไม่พอ พี่ท่านจึงเอาร่างกายที่คุณพ่อคุณแม่ให้มา ไปสักเลข 7 ลงบนตัว แล้วก็ทำอินเลย์กีต้าร์ของเขา ให้มีคำว่า SEVEN อยู่บนคอกีต้าร์ด้วย และด้วยความที่เคยเป็นครูสอนกีต้าร์มาก่อน ทำให้เขาเป็นมือกีต้าร์ที่เทคนิคแพรวพราวมากที่สุดคนหนึ่งในวงการเฮฟวี่เมทัล ส่วนทาง IBANEZ บริษัทกีต้าร์ที่มิคชอบใช้อยู่บ่อยๆ ก็มักจะเข็น Signature ของมิคเองออกมาให้แฟนๆได้ซื้อหามาใช้กัน จากนี้ก็ยังไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับกีต้าร์อคูสติกของ Ovation ด้วย (เข้ากับลุคมากพะยะค่ะ) เห็นมาดดุๆแบบนี้ แกเป็นคนรักแมวนะ (เหมือนผมเลย) เห็นไหมล่ะ ว่ารสนิยมช่างขัดกับภาพลักษณ์จริงๆ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:13:45

ความคิดเห็นที่ 63 หน้ากากของมิคกี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหน้ากากของเจสัน แห่งศุกร์ 13 ฝันหวาน สังเกตุได้ว่าจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก นอกจากสีของหน้ากาก และหน้าตาที่ค่อยๆดุขึ้นมาทีละนิด ความหมาย : “จริงๆแล้วหน้ากากของผมมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ ผมแค่ปรับให้มันดุๆขึ้นนิดๆหน่อยๆ ตามสภาพอารมณ์ของผมในขณะนั้น” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:15:45

ความคิดเห็นที่ 64 8# Corey Taylor (ชื่อจริง Corey Todd Taylor) เกิด :  8 ธันวาคม 1973 มาถึงสมาชิกเบอร์สุดท้ายสักที สำหรับพี่ คอรี่ เทย์เลอร์ เขาเป็นพี่คนโตสุดจากบรรดาพี่น้องทั้งสามคนของเขา เขาอยู่กับแม่มาตลอดโดยที่ไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อเลย (ส่วนที่เหลือไปอ่านที่ คห.40 ได้เลย เพราะพันธมิตรผมลงให้แล้ว อิอิ) เป็นนักร้องที่มีภาพลักษณ์บนเวทีกับหลังเวที ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บนเวทีจะกระโชกโฮกฮาก แหกปาก ชูนิ้วกลาง พูดคำหยาบ ประจำ แต่พอลงจากเวทีมา แกจะเรียบร้อยเป็นที่สุด(ขนาดที่น้าชอว์นยังเคยบอก มันจะเรียบร้อยไปไหนวะ?) ตอนเด็กๆแม่กับยายของเขา จะชอบเปิดเพลงของเอลวิส เพรสลี่ย์ กล่อมทุกวันคืน จนกระทั่งแกกลายเป็นสาวกของ เอลวิสไปโดยปริยาย (สร้างภาพขิงๆ อิอิ) ช่วงวัยรุ่นแกค่อนข้างอิสระมาก ตระเวนสายเป็นนักร้องให้กับวงต่างๆ จนกระทั่งเริ่มฟอร์มวงดนตรีของตัวเองกับเพื่อนซี้อย่าง โจเอล เอ๊คแมน ในนามของ Stonesour จะเรียกว่าเป็นหัวหน้าวงเลยก็ไม่ผิด แต่กว่าจะได้ออกชุดแรกก็ต้องรอจนถึงปี 2002 เพราะคอรี่ต้องไปเป็นนักร้องให้กับ Slipknot และก็ประสบความสำเร็จกับ Slipknot มาโดยตลอด ส่วนตัวคอรี่เองค่อนข้างมีปัญหาอาการติดเหล้า จนถึงขนาดจะกระโดดตึกตายมาแล้ว แต่ก็ได้ภรรยาเก่า Scarlet คอยช่วยไว้ เลยผ่านมาได้ด้วยดี ปัจจุบันแกก็แต่งงานใหม่ไปแล้ว กับภรรยาใหม่ที่ชื่อ Stephanie Luby (ที่มองไกลๆเหมือน Amy Winehouse ปลอมตัวมาชัดๆ) จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:20:56

ความคิดเห็นที่ 65 หน้ากากของคอรี่ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเจ้าฆาตกรโรคจิตนาม The Letherface กับ ไมเคิล เมเยอร์ส แห่ง Halloween โดยที่สองชุดแรกทรงผมเดร๊ดล๊อคบนหน้ากากของแก ก็เอามาจากผมจริงๆของแกเอง (ลงทุนจริงๆ) แต่ถ้าถามว่าอันไหนน่ากลัวสุด คงเป็นอันล่าสุดนี้แหละ ดูจิตๆดี ความหมาย : “มันหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต่อต้าน มันคือความรู้สึกโกรธ,เกลียด,โหดเหี้ยม,เหยียดหยาม และทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ข้างใน” จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:22:50

ความคิดเห็นที่ 66 ในที่สุดก็จบลงเรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับกระทู้นี้ ยอมรับว่าใช้พลังหมดไปทั้งร่างกายจริงๆ เกิดมาไม่เคยเขียนบทความไหนที่ยาวขนาดนี้มาก่อนเลย (โฮะๆ) ก่อนอื่นขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย,เว๊บทางการ,เว๊บแฟนคลับ หนังสือ Music Express หนังสือ Slipknot ของทีมงาน Teritorys (สะกดงี้ป่าวหว่า) ความทรงจำส่วนตัวของผม และคุณ Dancing on the corpse's ashes ที่คอยเสริมข้อมูลในส่วนที่ขาดไปได้เป็นอย่างดี หลังจากเสร็จกระทู้นี้ คงต้องหลบไปพักก่อนสักระยะ พอร่างกายฟิตเต็มที่ก็จะกลับมาเขียนเรื่องราวของวงเมทัลจากต่างประเทศใหม่ (วงต่อไปน่าจะเป็นวงที่ขึ้นต้นด้วย "L" ที่ใส่หมวกสีแดง) ขอบพระคุณทุกท่านครับที่ติดตามและให้กำลังใจตลอด และเสียสละเวลาอันมีค่าอ่านเนื้อหากระทู้ที่ผมเขียน ยาวเหยียดขนาดนี้ ขอบคุณครับๆๆๆๆ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:31:27

ความคิดเห็นที่ 67   ขอเพิ่มอีกเล็กๆน้อยๆ ป๋าชอนชอบไปทำงานให้กับวงต่าง ส่วนใหญ่จะเป็นงานรีมิกซ์เช่นกับวง bring me the horizon, suicide silence ส่วนงานที่ไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ คือ    * 2000: L.D. 50 - Mudvayne    * 2001: Invitation to the Dance - 40 Below Summer    * 2003: To My Surprise - To My Surprise    * 2005: The Imbuing - Gizmachi    * 2008: The American Nightmare - Dirtfedd ป๋าชอนเป็นสมาชิกที่อาวุโสสูงที่สุดในวง ส่วนซิดอายุน้อยที่สุดในวง เรื่องหน้ากาก เราชอบของซิดอันล่าสุด เพราะเวลาพูดมันจะมีเสียงเหมือนเวลาหุ่นยนต์ขยับด้วยเท่มากกกกกก จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 16:55:21

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณมากๆ รอ(ลืม)กระทู้นี้อยู่เลย เริ่มฟังติดมาชุด Sic นี้แหล่ะ ตอนแรกฟัง บ่นว่าเพลงห..อะไร(ว่ะ) ฟังไป 2 - 3 เพลงติดเลย..... ขอบคุณมากๆ "L" หมวกแดง เดาว่า limp bizkit แง๋..!!! แม่นบ่ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 17:57:26 จากคุณ : DJ-kornkyoko เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 17:55:15

ความคิดเห็นที่ 69 โคตรชอบ จากคุณ : P3NG เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 19:05:09

ความคิดเห็นที่ 70 ตามมาค่ะ เย้ ~ ไม่ด๋อยแล้วว 555 จากคุณ : Miss.bloom เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 19:32:23

ความคิดเห็นที่ 71 จะได้ขึ้นกระทู้แนะนำเหมือนพวกเกาหลีไหมเนี่ย ลองดูทู้แนะนำดิ มีแต่....เฮ้อออออ จากคุณ : dragon alone เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 19:37:07

ความคิดเห็นที่ 72 รู้จักมาจากเพลงWait And Bleed ที่ฟังจนร้องได้ ปัจจุบัน กำลังติด Dead Memories อยู่ โยกไม่ได้ แต่ได้อารมณ์ดี จากคุณ : Fares เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 19:44:32

ความคิดเห็นที่ 73 กระทู้แบบนี้แระที่ต้องการ เข้าเฉลิมกรุงมาทีไรเจอแต่ jj kk เต็มไปหมด จากคุณ : Retroboy เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 20:47:55

ความคิดเห็นที่ 74 เข้ามาดูความเห็นเพื่อนๆ ด้วยใจระทึก อยากให้ขึ้นกระทู้แนะนำจริงๆแฮะ อยากให้เพื่อนๆที่เป็นชาวร๊อค หรือแฟนๆเกาหลี ได้กดเข้ามาอ่านกันเยอะๆ จะได้คึกคักๆๆๆๆๆ อิอิ ใครก็ได้ ดันขึ้นไปให้หน่อยสิ คริคริ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 21:20:00 จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 21:18:37

ความคิดเห็นที่ 75 เอ้าฮึ้บ มาช่วยดันด้วยคนค่า ไม่ได้ติดตามผลงานเพลงของวงนี้อย่างใกล้ชิดเท่าไหร่ เรียกว่าเป็นแฟนคลับพี่โจอี้มากกว่าของวงนี้ แหะ ๆ แต่ก็ชอบหลายๆ เพลงของวงนี้อยู่เหมือนกันค่ะ เคยเห็นแต่หน้าจริงของป๋าโจอี้อยู่คนเดียวเองตอนที่แยกไปทำโปรเจกต์ RoadRunner เพราะบังเอิญเมื่อก่อนตีกลองเลยติดใจในฝีมือป๋ามาก ๆ กระทู้นี้ทำให้รู้ประวัติของวงเยอะขึ้นมากๆ เลยค่ะ รู้สึกเหมือนเพิ่งออกมาไม่กี่อัลบั้มเอง ตอนแรกนึกว่าออกเป็นสิบๆ อัลบั้มแล้วซะอีก แหะๆ แล้วไหนจะแนะนำสมาชิกแต่ละคนอีก >< แอบเห็นหน้าจริง Sid ด้วย หล่อใช่เล่นนะเนี่ย ได้เห็นหน้ากากของแต่ละคนแบบชัดๆ อีกตังหาก 555+ ว่าแล้วก็ช่วยกันดันค่า อยากเห็นกระทู้นี้ติดแนะนำเหมือนกัน แต่เราก็ฟังเพลงของเกือบทุกประเทศนะคะ เกาหลีก็ฟัง ก็ติดตามอยู่หลายวงเช่นกัน (แต่วงที่ติดตามช่วงนี้บ่มีงานเลย -..-) จากคุณ : Zhang ANQI เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 21:32:24

ความคิดเห็นที่ 76   มาเพิ่มอีกเรื่องการทำงานกับRick Rubinในอัลบั้ม Vol:3 ที่หลายคนบอกว่านอทเปลี่ยนไป(แต่เราชอบมาก) นั้นเปลี่ยนจากโปรดิวเซอร์คู่บุญรอส รอบินสัน มาเป็นริค รูบินโปรดิวเซอร์มือทองสุดยอดกูรูที่เคยทำงานกับวงsystem of a down,weezer,red hot chilli peppers และอื่นๆอีกมากมาย ทว่ามันไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ทางวงคิด เนื่องจาก จ่ายเงินไปแล้วคุณโปรดิวเซอร์กลับโผล่มาบางครั้งเดือนละครั้ง ไม่พอยังรื้องานมาทำใหม่หมดบ้าง หรือบางครั้งเมื่อทางวงอยากได้คำแนะนำจากริค รูบินเขากลับไม่อยู่ ทางวงจึงต้องทำงานเองในคฤหาสถ์ของริค ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคฤหาสถ์ของอดีตนักมายากลชื่อก้องแฮรี่ ฮูดินี่ ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากนักดนตรีหลายคนที่ต้องมาทำงานที่แห่งนี้ว่าผีโค-ตะ-ระจะเฮี้ยนจนChad Smith มือกลองวงred hot ทนไม่ไหวไม่กล้านอนค้าง ทาง9หน้ากากบ้ามีหรือจะไม่โดน ก็มีการรับน้องอย่างประปราย เช่น  นอนอยู่อากาศกลับเย็นยะเยือก ได้ยินเสียงคนเดินทั้งที่ไม่มีใครอยู่ ประตูเปิดเอง อุแว้กกกก กลับมาเข้าเรื่องถึงความติสท์แตกของริค ซึ่งทำให้วงวีเซอร์ต้องแก้งานใหม่ทั้งอัลบั้ม คอรี่ย์เคยให้สัมภาษณ์ถึงริค รูบินทำนองว่าเงินทางวงก็จ่ายไปแล้ว แต่นานๆทีโผล่หัว แถมมาทีก็แก้งานใหม่หมด คอรี่ย์ยอมรับว่าริคนั้นมีพรสวรรค์และฝีมือยอดเยี่ยมมาก แต่ไม่ใช่อยากจะมาก็มาจะไปก็ไป ทางวงมีกำหนดเวลาซึ่งริคควรคำนึงถึงข้อนี้ด้วย จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 22:14:41

ความคิดเห็นที่ 77   เขาว่ากันว่าชายใดเล่นดนตรีสาวจะชอบ ถ้าจะจริง เพราะว่าพี่จิท เบอร์4ก็ใช่ย่อยคว้าหัวใจของนักร้องวงLacuna coil จากอิตาลี ติ๊นา(นักร้องหญิงสุดเลิฟ) คริสติน่า สแคเบีย มาครอบครองหลังจากเจอกันในงานOzzfestปี2004 ช่างหวานวี้ดวิ้วกันมาก จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 22:55:30

ความคิดเห็นที่ 78   ส่วนโจอี้มือกลองร่างเล็กจริงๆ แต่ฝีมือแพรวพราวกว่าจะมาถึงขั้นนี้แน่นอนว่าต้องฝึกหนักมาก โดยพอเลิกเรียนเสร็จกลับมาบ้านก็จะซ้อมกลองอย่างน้อย 5 ชั่วโมง สังเกตชุดโจอี้กันเปล่า ว่า แขน-ขาเสื้อจะสั้น ในชุดแรกๆโจอี้ตัดแขน-ขาเสื้อเอง พอมีเงินทุนเลยสั่งทำแขน-ขาสั้น ไม่ใช่เพราะความสูง แต่โจอี้บอกว่าจะได้เล่นกลองถนัด ฝีมือไม่ใช่ขี้ๆเพราะเขาไปเล่นให้วงตำนานอย่างMetallicaและKornมาแล้ว จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 23:14:09

ความคิดเห็นที่ 79   ใครเล่นเฟซบุ๊คไปแอดโจอี้กันได้ที่ http://www.facebook.com/pages/Joey-Jordison/9829795999#!/JoeyJordison สาวๆจะเชียร์โจอี้เยอะเป็นพิเศษ ปล.เคยทำผมสีเดียว แบบเดียวกับโจอี้เด๊ะๆ จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 23:19:57

ความคิดเห็นที่ 80   โจอี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหลายคนหันมาเล่นกลองเยอะพอสมควร ส่วนตอนนี้กำลังเดินสายกับRob Zombieอยู่ จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 23:22:25

ความคิดเห็นที่ 81 รอดู Limp Bizkit ต่อ วงโปรดๆ ทั้งนั้น :) จากคุณ : liljoenewyork เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 03:49:14

ความคิดเห็นที่ 82 มาติดตามอ่าน+ดูครับ... เป็นวงโปรดวงหนึ่งของผมเช่นกันครับ^^ ยินดีด้วยนะครับที่กระทู้ไม่ด๋อยแล้ว ขอบคุณมากๆครับ^^ ... จากคุณ : ScreamChorus เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:25:49

ความคิดเห็นที่ 83 เข้ามาเสพย์อีกคน ^^ ติดตามมาตั้งแต่อัลบั้มแรกอะไรดลใจก็ไม่รู้ตอนนั้นถึงซื้อเทปมาฟัง สงสัยตอนนั้นอยากฟัง Hard Core หนักๆแรงมั้ง เหอๆ ตอนนี้ในโทรศัพท์ตอนนี้มีเพลงของ Slipknot อยู่ 20 เพลงได้มั้ง ที่ชอบที่สุดก็ Wait & Bleed กับ Left Behind ว่าแต่เหมือนเคยอ่านเจอว่า Wait & Bleed นี่เป็นเพลงที่พวกเค้าไม่ค่อยจะชอบกันเลย ทำไมเหรอครับ ใครรู้มั่ง ? ป.ล. อัลบั้มต่อไปกว่าจะเริ่มก็ปี 2012 เลยรึ อีกตั้ง 2 ปีกว่า T-T ~ Trying to Find the Answers, Trying to Hide the Tears ~ จากคุณ : Enixma เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 15:04:55

ความคิดเห็นที่ 84   MV "Duality" เป็นสุดยอด MV ตลอดกาลของค่าย Roadrunner จากการโหวตของพนักงานในค่ายทั่วโลกครับ และอีตา Shawn ก็ติดตัวเต็งเลือกตั้งผู้ว่ารัีฐ IOWA อีกด้วย ไม่ธรรมดา!! แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 18:35:22 จากคุณ : สะกดไม่ถูก เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 18:34:53

ความคิดเห็นที่ 85   ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่ชอบ แต่รู้ว่าอัลบั้มนี้โจอี้หั่นท่อนโซโล่ของมิคไปซะเหี้ยน ส่วนเพลงนี้ ที่ไม่ชอบเพราะมันธรรมดาไปหรือเปล่า ทางวงยังไม่คิดว่าจะดังเลย เคยอ่านผ่านๆมาเหมือนกันว่า ใครรู้ความหมายจริงๆของเพลง wait and bleed จะกลายเป็นสมาชิกคนที่10ของสลิปนอทไปเลย ตอนนี้อยู่ระหว่างจัดห้อง ไปค้นเจอสมบัติมที่ถูกลืมวีดีโอWelcome to our neighborhood!! แล้วทำไมไม่ซื้อดีวีดีเล่า เพราะมีลูกเล่นเยอะกว่า คำตอบคือ สมัยนั้น ดีวีดียังไม่มี จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 22:07:48

ความคิดเห็นที่ 86 โหวดๆ ตกมาเยอะเหมือนกันนะนิ ช่วยกันๆ เอาขึ้นแนะนำ จากคุณ : แค่เนี้ยต้องให้บอก เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 01:34:40

ความคิดเห็นที่ 87 ขึ้นแนะนำได้แล้วค่ะ เย้ !! จากคุณ : Miss.bloom เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:56:28

ความคิดเห็นที่ 88 ข่าวล่าสุด Paul Gray มือเบส เสียชีวิตแล้วครับ   R.I.P. .. แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 23:11:19 จากคุณ : Chin So Bi เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 23:10:57

ความคิดเห็นที่ 89 ...Good Bye... เมื่อเช้าได้รับข้อความจากคุณ Dancing on the corpse's ashes ว่า Paul Gray เสียชีวิตแล้ว เล่นเอาผมช๊อคมาก ขอลงรายละเอียดของคุณ Dancing on the corpse's ashes ทีอยู่อีกกระทู้ Chris Diebel โฆษกของโรงแรมดังกล่าว บอกว่า พอล เกรย์เช็คอินเมื่อวันเสาร์ และจะเช็ค เอ้าท์วันจันทร์ พอตอนเช้าวันจันทร์ทางญาติของพอลโทรมาหาทางโรงแรมขอให้พนักงานของโรงแรมดูว่าพอลเป็นอะไรหรือเปล่า ด้านสิบตำรวจเอก Dave Disney บอกว่าเมื่อพนักงานพบร่างไร้วิญญาณของเกรย์ เขาจึงโทรแจ้ง911 โฆษกของทางโรงแรมยังบอกว่าคืนก่อนที่พอลจะเสียชีวิตนั้นไม่มีใครเห็นหรือได้ยินสิ่งใดผิดปกติจากห้องพักของมือเบสคนนี้ทั้งสิ้น พอล เกรย์เคยมาพักที่โรงแรมแห่งนี้มาแล้ว และทำตัวเหมือนแขกของโรงแรมทั่วไปไม่ได้เรียกร้อง หรือโวยวายใดๆทั้งสิ้น ทางด้านสิบตำรวจเอกDisneyยังไม่สรุปคดีนี้ถึงแม้จะไม่พบสิ่งผิดปกติหรือไม่ทราบว่าสาเหตุใดพอลถึงมานอนโรงแรม ผมลองนั่งคุยกับเพื่อน คิดว่าคงชันสูตรพรุ่งนี้ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 00:03:16

ความคิดเห็นที่ 90 Feedback หลังจากได้ข่าวว่า Paul จากเราไปแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างก็เข้ามาในหัวผมเต็มไปหมดเลย มันอาจจะมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป แต่ก็อดคิดไม่ได้ ผลกระทบหลังจาก Paul ตาย - Slipknot อาจยุบวง - All Hope Is Gone อาจจะเป็นชุดสุดท้ายตามที่เคยมีข่าวลือ - อาจจะไม่ได้มาเล่นที่ประเทศไทยอีกแล้ว - ฯลฯ ก็คงต้องรอข่าวของเพื่อนๆในวง และ คดีอีกทีว่าเป็นยังไง ขอบคุณ Paul มากๆ เราจะไม่ลืมคุณเลย ไปเล่นดนตรีให้พระเจ้าฟังบนสวรรค์นะ จากคุณ : bigdoxdakkass เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 00:12:01

ความคิดเห็นที่ 91 คุณ bigdoxdakkass ข้อมูลแน่นมาก ผมให้ห้ากะโหลกเลย จากคุณ : manoman เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 01:07:39

ความคิดเห็นที่ 93 RIP (#2) Paul Gray T^T อย่าเพิ่งยุบวงเลยน๊า ~ I won’t let this Build up Inside of Me ~ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 08:16:39 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 08:12:47 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 08:12:04 จากคุณ : Enixma เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 08:10:46

ความคิดเห็นที่ 94 แจ๋วครับ ผมแฟนวง Soulfly คอรีย์แกซี้เฮียแมกซ์ (Slipknot เคยเอา Roots Bloody Roots ไปเล่นด้วย http://www.youtube.com/watch?v=bSk-K4TnwJM ) Soulfly อัลบั้ม 3 คอรีย์ก็ไปช่วยร้องเพลง Jump da f_ck up ด้วย ^^ ิัอันนี้ Live ครับ จากคุณ : กุ๊กคุง เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 11:03:04

ความคิดเห็นที่ 95 จขกท. จะโกรธไหมถ้าผมจะบอกว่าผมได้ไปดูคอนเสิร์ตแถมยังโดนขวดน้ำที่คอรี่ดื่มเสร็จแล้วขว้างใส่หัวด้วย ประทับใจสุดๆ เป็นคอนเสิร์ตอันดับหนึ่งในดวงใจเลยครับงานนี้ ปล. RIP Paul * * * * * จากคุณ : Lostmaggots เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:50:56

ความคิดเห็นที่ 96 นับถือ จขกท จากใจจริงๆเลย u r big fans of slipknot! จากคุณ : boscream เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:27:07

ความคิดเห็นที่ 97 ... จากคุณ : samma เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:18:12

ความคิดเห็นที่ 98 คห. 94 ขอแย้งนิดนึงนะครับ เพลงJump da f_ck up อยู่ในอัลบั้มชุดที่ 2 ของ soulfly  นะครับ ชุด primitive จากคุณ : in_my_metal เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:25:14

ความคิดเห็นที่ 99 ว่าจะอ่านและให้กีบอย่างเดียว แต่เม้นหน่อยแล้วกันว่าตามมาอ่านแล้วนะคะ เพื่อเป็นการให้กำลังใจจขกท.ที่อุตส่าห์สละเวลาหาข้อมูลแล้วยังต้องมาโพสแล้วโพสอีกตั้งหลายรอบ 2 Thumps up !!! จากคุณ : Matriarchal Miaw เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:55:33