| ชอบมาก ห้ามพลาด (12 คน) |
| ชอบ (14 คน) |
| เฉยๆ (1 คน) |
| ไม่ชอบ (2 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (1 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 30 คน |
... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + ชวนแวะไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2006&date=14&group=1&blog=1
ข้อมูล: หนังมีความยาว 129 นาที / กำกับโดย Spike Lee จาก Do the Right Thing , Jungle Fever , Summer of Sam ฯลฯ / หนังได้รับเรท R จากบทสนทนาและฉากบางฉากที่มีความรุนแรง / ใน IMDB.com ให้คะแนนเรื่องนี้ 7.4/10 ส่วนใน http://www.rottentomatoes.com ให้เรื่องนี้ FRESH ด้วยคะแนน 89%
Dalton Russell (Clive owen) บอกเราตั้งแต่ต้นเรื่องว่า เขาได้วางแผนการปล้นที่สมบูรณ์แบบ คำถามที่เกิดขึ้นในใจผมคือ ในเมื่อมันเป็น การปล้นสมบูรณ์แบบ ไฉน เขากำลังพูดกับเราในที่คุมขัง ในเมื่อเป็นแผนปล้นสมบูรณ์แบบ เขาถูกจับได้อย่างไร ? Dalton ทิ้งคำใบ้ไว้เพิ่มด้วยประโยคที่ฟังแทบไม่ทันด้วยการเล่นคำอย่าง Why / Where / Who นี่แสดงออกให้เห็นถึงไดอะล็อกที่ชาญฉลาดตั้งแต่ต้นที่สอดแทรกลูกเล่น และ ลูกล่อลูกชน ให้คนดูต้องงงงวย ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นผุดขึ้นมาในใจ เป็น การเปิดเรื่องด้วยคำถามที่ประสบความสำเร็จ เพราะมันมีมากกว่า 1 คำถามที่เร่งเร้าความอยากรู้ของคนดู (พระเอกปล้นด้วยวิธีไหน เขาเป็นใคร เขาทำสำเร็จหรือไม่ ฯลฯ) และ คนดูจำเป็นต้องตั้งสมาธิให้ดี เพราะหนังเรื่องนี้มีรูปแบบคำถามเช่นนี้อยู่เกือบตลอดเวลาให้คนดูต้องคิดตาม
การบุกปล้นโดย Dalton Russell และลูกทีม ยึดธนาคารและคนข้างใน(inside)เป็นตัวประกัน พร้อมยื่นข้อเรียกร้องต่อตำรวจเป็นพาหนะที่จะพาพวกเขาหนีไป ในระหว่างการเจรจานั้น มีการก้าวเข้ามาของฝ่ายที่สามนั่นคือ Arthur Case ประธานบริหารของธนาคาร (Christopher Plummer) และ Madeline White (Jodie Foster) หญิงสาวลึกลับผู้ดูมีความเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหา ทั้งคู่มาเป็นปริศนาให้ตำรวจและคนดูต้องขบคิดว่า ทั้งสองมาเพื่อวัตถุประสงค์อันใด มีความลับอะไรที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน(inside)ธนาคาร และ ซ่อนอยู่ข้างใน(inside)ตัวนายธนาคารคนนี้
... Keith Frazier (Denzel Washington) นายตำรวจผู้รับผิดชอบคดี พยายามทุกหนทางที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เขาเชื่อมั่นว่า Dalton และ พวกพ้องไม่ใช่โจรใจคอโหดเหี้ยม แต่ยิ่งเวลาผ่านเลยไปสถานการณ์ก็ไม่สามารถคลี่คลาย จากเดิมที่คิดว่าเป็นคดีปล้นธนาคารธรรมดา มันชวนให้เขาสงสัยว่า มีอะไรมากไปกว่าที่เห็น เหตุการณ์ยิ่งขมวดปมตึงเครียดมากขึ้นเมื่อ ฝั่งโจรตัดสินใจยิงตัวประกัน 1 คนผ่านทางทีวีวงจรปิด และ นั่นนำไปสู่การบุกจับกุม ก่อนที่จะพบว่า ตำรวจไม่เจอโจรเลยแม้แต่คนเดียว มีแต่ตัวประกันที่แต่งชุดเหมือนกับกลุ่มโจร
ตัวประกันทุกคนถูกจับถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมือนกับฝ่ายโจร ทุกคนถูกหมุนเวียนสลับห้องไปมา ตัวประกันบางคนถูกบังคับให้มาออกคำสั่งเหมือนเป็นฝ่ายโจร นั่นทำให้ ตัวประกัน จำแนกไม่ได้ว่า ฝั่งโจรมีใครบ้าง พวกเขาจำเสียงได้เพียงคนเดียวคือเสียงของ Dalton Russell ซึ่งดันไม่ได้อยู่ในคนกลุ่มนี้อีกต่างหาก
... ทั้งที่เรารู้แน่ชัดอย่างหนึ่งว่า คนที่อยู่ข้างใน(inside)ธนาคารทั้งหมดนั้น มีคนเป็นโจรปลอมปนเป็นอยู่ข้างใน(inside)กลุ่มพวกเขาอีกที แต่การสอบสวนตัวประกันที่รอดออกมาไม่มีใครสามารถระบุได้ว่า ใครในหมู่พวกเขาคือฝั่งโจร แถม เงินในธนาคารยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ แล้ว โจรคือใคร? , Dalton หายไปไหน? ,พวกเขาบุกปล้นทำไม ? เป็นคำถามที่กลับมาผุดเพิ่มขึ้นให้งงกันเข้าไปใหญ่เมื่อหนังเดินเรื่องมาถึงตอนนี้
หรือนั่นจะเป็นความหมาย ของ การวางแผนปล้นสมบูรณ์แบบที่ Dalton กล่าวไว้ตอนต้น ?
... โดยปกติ หนังกลุ่มจารกรรมหักเหลี่ยมเฉือนคม จะเป็นการต่อสู้ของคนสองกลุ่ม เช่น โจรกับโจร หรือ โจรกับตำรวจ Inside man สร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอ กลุ่มบุคคลที่สาม ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้โจรกับตำรวจทำให้คนดูเดาไม่ถูกว่า คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายอะไร เป็นฝั่งผู้ร้ายหรือผู้ดี ซึ่งเมื่อดูจบคนดูก็จะพบว่าไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพราะหนังเรื่องนี้มีความบอกเราว่า ในโลกเราใบนี้นั้น ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และ ไม่มีคนชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ ในสังคมเรามีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกัน มีคนดีใน(inside)หมู่คนชั่ว มีคนชั่วใน(inside)หมู่คนดี และ ใน(inside)คนหนึ่งคนก็ย่อมมีทั้งดีและชั่วผสมปนเปกันไป
ฝั่งตำรวจ ที่ดูควรจะดีพร้อมก็พัวพันกับเงินกองโตที่ผิดกฎหมาย
ฝั่งคนร้าย ที่ดูควรจะเลวล้วนเห็นแก่ตัวก็ยังรู้จักสอนเด็กให้หลีกเลี่ยงความรุนแรงจากเกมส์
ฝั่งคนกลาง ก็ปนเปื้อนไปทั้งอดีตที่ชั่วร้ายและปัจจุบันที่พยายามชดเชย ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
Arthur Case ประธานบริหารของธนาคาร เข้าใจว่า เมื่อคนเราทำผิดไปหนึ่งครั้งเราสามารถชดเชยได้ด้วยการทำดีอีกร้อยครั้ง แท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อใดที่คนเราเปื้อนสีดำเรามิอาจทำให้สะอาดได้ด้วยการเอาสีขาวมาล้างมันออกไป เราจำเป็นต้องชำระล้างมันจึงจะหมดไปได้ เช่นเดียวกับ คนร้ายที่ทำผิดฆ่าคนตาย ย่อมไม่สามารถหนีความผิดได้ด้วยการทำบุญทำทานเป็นร้อยวัด เพราะ คนเราไม่สามารถทำบุญชดเชยบาปได้นั่นเอง
... การชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบของทั้งสามฝ่ายถูกเขียนบทขึ้นมาอย่างสมดุล แต่ละฝ่ายล้วนมีการแสดงที่ยอดเยี่ยมช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับฝั่งตัวเอง ฝั่งโจรนำทัพโดย Clive Owen เราจะเห็นหน้าเขาเต็มๆไม่เกินสิบนาทีเพราะช่วงเวลาที่เหลือมีผ้าปิดหน้าปิดตา แต่การแสดงของเขาภายใต้ชุดคลุมทึบสามารถแสดงออกถึงความมั่นใจ ความฉลาดและการเป็นดารานำได้อย่างมีพลัง ฝั่งตำรวจนำทัพโดย Denzel Washington เป็นอีกเรื่องที่เขาเล่นได้ดีและไม่มีลักษณะ over acting ให้มากมายเหมือนหลายๆเรื่องในช่วงหลังของเขา ยังมี Willem Defoe แม้ว่าบทของเขาจะดูกระจุ๋มกระจิ๋มก็รับส่งกับ Denzel ได้ดี และ ฝั่งสุดท้ายคือ Jodie Foster ควงแขนมากับ Christopher Plummer โดย Jodie รับบทคนฉลาดได้อย่างดูฉลาดกว่าที่น่าจะคาดหวังเสียด้วยซ้ำ แค่เธอมองเฉยๆไม่ต้องพูดอะไรก็ทำให้เราเชื่อได้ว่า คนๆนี้มีกึ๋นกว่าคนปกติสามัญ
... และเมื่อหนังดำเนินมาช่วงท้าย หลังจากที่ตำรวจต้องปล่อยเหล่าตัวประกันเอาไปเพราะเอาผิดไม่ได้ ช่วงเวลาถัดจากนี้ หนังท้าทายความสามารถคนเขียนบทอย่างมาก เพราะคนดูย่อมคาดหวังไว้แล้วว่า หนังต้องมีอะไรดีๆ และ ต้องมีคำอธิบายที่น่าพึงพอใจ ไม่ใช่จบแค่นั้น สำหรับคำอธิบายของสิ่งที่เรียกว่า แผนปล้นสมบูรณ์แบบ
และเราก็ได้พบว่า แผนการสมบูรณ์แบบ เป็น ผลลัพธ์ของการเขียนบทที่สมบูรณ์แบบ ในการตามเก็บรายละเอียดและเหตุผลของการปล้นได้ครบครัน ซึ่งหนังให้ความสำคัญกับจุดนี้มากจนไม่สนใจรายละเอียดที่มาที่ไปของตัวละครเสียด้วยซ้ำ แผนการที่สมบูรณ์แบบสามารถอธิบายได้ว่า เพราะอะไร การปล้นครั้งนี้จึงไม่มีคนตาย , ไม่มีการแจ้งของหาย , จับตัวคนร้ายไม่ได้ , ทำไม Dalton Russell หายไปอย่างลึกลับ ,ทำไมเงินในธนาคารยังอยู่เท่าเดิม , และ ไม่มีผู้ต้องหา มันเป็นการวางแผนปล้นที่มีวัตถุประสงค์มากไปกว่าการปล้น และ สามารถทำการสำเร็จทั้งสองวัตถุประสงค์ บทสรุปสุดท้ายที่ปิดฉากด้วยการทิ้งแหวนไว้กับตำรวจ และ มอบของขวัญแต่งงาน เป็นการย้ำการทำงานที่ดีของคนเขียนบท ที่ดูออกได้ชัดเจนว่า มีการวางแผนมาดีตั้งแต่ต้น มุกหรือปมที่หยอดไว้ตอนต้นแต่ละอย่างถูกวางเอาไว้อย่างมีวัตถุประสงค์
... จากหนังตัวอย่างชวนให้คิดว่า Inside man เป็น Action -thriller ประเภทสร้างความกดดันท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด แต่พอดูๆไปกลับกลายเป็นว่า หนังไม่ได้มีความตั้งใจในการเร่งจังหวะให้ตื่นเต้นกดดันแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังบรรยายกลวิธีการทำงานของทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด จนเอื่อยๆเรื่อยๆชวนให้ง่วงเหงาหาวนอนเสียด้วยซ้ำในช่วงครึ่งแรก จึงไม่น่าแปลกใจว่า เพราะอะไร ฉากเปิดเรื่องจึงเริ่มด้วยเพลงประกอบ Chaiyya Chaiyya ที่ดูครึกครื้นร่าเริง เพราะนี่ไมใช่หนังในแนวดูขึงขังจริงจัง แต่เป็นหนังที่มีทีท่าหยอกเย้าเราคนดูอยู่ตลอดเวลา เป็นหนัง Action -thriller ที่เรียกรอยยิ้มคนดูได้ตลอดทั้งเรื่อง หลายมุกที่เล่นกันสนุกสะท้อนถึงบทที่เขียนมาดี มีจังหวะจะโคน มีไดอะล็อกที่เฉียบคม และ ทำให้หนังมีเสน่ห์ในตัว เช่น ช่วงทายปริศนาระหว่างโจรกับตำรวจ หรือ ช่วงตามหาแฟนเก่าชาวอัลเบเนีย หรือจะเป็นบทสนทนาสั้นๆเช่น มุกไล่ให้ไปหาหมวกเอาเอง (มุกนี้ทั้งฉลาดทั้งขำ)
... แม้จะเป็นหนังตลาดแบบขายสไตล์เต็มตัว ผู้กำกับ Spike Lee ก็ยังคงทิ้งลายเซ็นต์ตัวเองไว้ในหนัง ในการสะท้อนสังคมและสอดแทรกสาระเข้าไป การพูดถึง คนตัวเล็กๆ และ ชนกลุ่มน้อย ก็ยังคงปรากฏในหนังเรื่องนี้
เราจะเห็นได้ว่า การคลี่คลายสถานการณ์ในเรื่องนั้น ไม่ได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยตัวพระเอกที่เก่งเพียงคนเดียว ทุกๆรายละเอียดของการทำงาน ความสำเร็จมันมีส่วนมาจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่เราอาจจะละเลยมองข้าม เช่น ในเรื่อง คนอัลเบเนียอาจเป็นชนชาติที่เรานึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าอยู่ตรงไหนทวีปอะไร แต่ เขากลายเป็นกุญแจสำคัญหนึ่งในหนัง , คนขุดถนนอาจเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแต่เขาเป็นคนที่จะพาเราไปพบเบาะแสบางอย่าง , ตำรวจยศเล็กๆกลายเป็นคนที่ช่วยชี้สิ่งที่เป็นเส้นผมบังภูเขา ฯลฯ คนกลุ่มน้อยนี้เป็นเหมือนตัวแทนคนผิวสีที่เป็นตัวละครเอกเสมอๆในหนังของ Spike Lee นอกจากนี้หนังยังเสียดสีคนอเมริกาที่มักจะถืออำนาจบาตรใหญ่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งและไม่แคร์คนอื่น อย่างในเรื่องที่มองชาวซิกข์เหมารวมไปเป็นคนอาหรับ มองข้ามความสำคัญของผ้าโพกหัวของเขาอย่างไม่มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับมองคนกลุ่มอื่นๆในสังคมที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน
(มีต่อ)
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
16 เม.ย. 49 18:04:24
]