CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... Poseidon , จมเร็ว จบเร็ว

      ชอบมาก ห้ามพลาด (12 คน)
      ชอบ (23 คน)
      เฉยๆ (24 คน)
      ไม่ชอบ (5 คน)
      ไม่ชอบ เสียดายเงิน (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 65 คน

     18.46%
     35.38%
     36.92%
     7.69%
     1.54%


    … เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป + ชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=05-2006&date=12&blog=1


    idea ข้อมูล: หนังมีความยาว 99 นาที , กำกับโดย Wolfgang Petersen , หนังได้รับเรท PG-13 , หนังเป็นงานรีเมคที่สร้างมาแล้วหลายครั้ง ตัวต้นฉบับที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุดคือThe Poseidon Adventure (1972) , ใน IMDB.com ให้คะแนนเรื่องนี้ 5.8/10 ส่วนใน http://www.rottentomatoes.com ให้เรื่องนี้ Rotten ด้วยคะแนน 35%


    ...ในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผู้คนมากหน้าหลายตามีความสุขอยู่บนเรือสำราญขนาดใหญ่นาม Poseidon และแล้วโดยไม่มีใครคาดฝัน คลื่นยักษ์พัดพาเรือให้พลิกคว่ำ ก้นลอยฟ้าหน้าสู้ท้องทะเล คนกลุ่มหนึ่งหาทางปีนขึ้นไปสู่ทางออก และ คนส่วนใหญ่นั่งรอความหวังในห้องโถงที่จมอยู่ใต้ผืนน้ำ ช่วงเวลา 99 นาทีที่เหลือของหนังรีเมคเรื่องนี้ จึงเป็นช่วงเวลาของการพยายามเอาชีวิตรอดของกลุ่มคนที่พยายามหาทางขึ้นไปสู่ก้นเรือ (อย่างงไป อย่าลืมว่าตอนนี้ก้นลอยชี้ฟ้าอยู่) โดยผู้ร้ายของเรื่องไม่ใช่คน แต่เป็น สถานการณ์ต่างๆที่มาไล่ล่าชีวิตของตัวละคร  อาทิเช่น น้ำท่วม , ลิฟต์ตกใส่หัว , ทะเลเพลิง ฯลฯ

    ...เมื่อเป็นหนังที่พูดถึงเรือสำราญขนาดใหญ่ที่พลิกคว่ำกลางทะเล มันคงอดไม่ได้ที่จะเห็นภาพเรือสองลำนี้มาอยู่เคียงคู่กัน ถึงแม้จะเป็นเรือยักษ์ทั้งคู่แต่ทั้งสองต่างมีบุคลิกนิสัยที่แตกต่างกัน

    Titanic เป็น คนโรแมนติกจริงจังมีความตื่นเต้นเป็นองค์ประกอบย่อย ในตอนที่เจอกันครั้งแรก เธอเป็นคนที่มีเวลาให้เรามากพอในช่วงของการทำความรู้จักคุ้นเคย เมื่อเธอจากไปจึงทำให้ติดอยู่ในความทรงจำและโศกาอาดูร

    Poseidon  เป็น ขาลุยผู้พิศมัยความตื่นเต้นและสถานการณ์กดดัน เขาเหมือนคนที่ไม่พิรี้พิไรในการทำความรู้จัก ในช่วงแรกนั้นเขาจึงแค่ทักเราผ่านๆไปทำให้เรารู้จักแค่ผิวเผิน นั่นทำให้เมื่อเขาจากไปเราจึงจดจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้มากนัก แค่จำได้ว่า ช่วงเวลาที่อยู่กับเขามันตื่นเต้นดีเท่านั้นเอง

    Poseidon ... ได้รับการแนะนำในตอนต้น ด้วยการถ่ายภาพวนรอบตัวเรือจากด้านนอก แล้วพาคนดูเข้าไปข้างใน ก่อนที่จะแนะนำตัวละครสำคัญๆให้คนดูพอรู้จักอย่างรวดเร็ว พร้อมใส่ลักษณะจำเพาะของตัวละครทีมเดียวกันพอเป็นพิธี อาทิเช่น คุณพ่ออดีตนายกเทศมนตรีที่มีความขัดแย้งกับลูกสาวที่มากับคนรัก , นักพนันสุดห้าวกล้าได้กล้าเสียผู้หว่านเสน่ห์ไปทั่วตัวเรือ จนไปเจอกับ แม่ลูกคู่หนึ่ง ที่ดูเหมือนจะสองฝ่ายจะจูนคลื่นได้ตรงกัน , ชายวัยกลางคนที่รอโทรศัพท์จากชายคนรักที่ดูเหมือนจะไร้เยื่อใย และ คู่หนุ่มสาวที่เพิ่งพบกันโดยฝั่งชายหนุ่มบริกรบนเรือแอบพาสาวขึ้นเรือ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมน้องที่ป่วยอยู่ ช่วงเวลาแนะนำตัวละครและแนะนำเรือนั้น เป็นไปอย่างตามสูตรสำเร็จเหมือนกับจงใจจัดให้ตัวละครมาบอกคนดูพอเป็นพิธี ก่อนที่จะรีบพาคนดูไปพบกับคลื่นยักษ์กลางท้องสมุทร

    เมื่อเรือถูกคลื่นซัดพลิกกลับหัวกลับหาง กลุ่มคนชนกลุ่มน้อยที่แนะนำไปตอนต้น จะพาคนดูไประทึกกับการหนีเอาตัวรอดออกจากเรือที่กำลังจะจมดิ่งสู่ภายใต้พื้นสมุทร และ แน่นอนสิ่งที่คนดูจะได้พบตามสูตรหนังหายนะ(disaster)เหล่านี้ก็คือ ความตื่นเต้นระทึกขวัญ ของ ภัยที่มาคุกคาม , ความหวาดหวั่นหวาดกลัว ของ ภาวะที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด, ความประทับใจซาบซึ้ง ของ การเสียสละและเสียชีวิต คนดูจะสนุกไปได้เรื่อยๆกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อเอาตัวรอดหลุดไปเป็นเปลาะๆ

    ...ไม่รู้ว่าผู้กำกับ Wolfgang Petersen ผูกพันอะไรกับเรือเป็นพิเศษหรือไม่ เพราะหนังของเขาลุยมาแล้วทั้งเรือดำน้ำ, เรือหาปลา และล่าสุดก็เรือสำราญ ผลงานที่จัดลำดับได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีซของเขาก็เป็นหนังเกี่ยวกับเรือ นั่นคือ Das Boot หนังที่เข้มข้นกดดันและให้ฉากจบที่หดหู่ ชนิดที่ใครได้ดูก็ยากจะลบออกไปจากความทรงจำ

    สังเกตได้ว่าหนังของ Wolfgang Petersen มักจะเป็นหนังที่มีพลังของความเป็นหนังแอคชั่นขับเคลื่อนในตัวเองตลอดเวลา แล้วรายล้อมรอบนอกด้วยความเป็นดราม่าหรืออะไรก็ตามแต่(ธริลเลอร์,ไซไฟ ฯลฯ) งานยุคกลางของเขาทั้งสามเรื่อง จัดอยู่ในกลุ่มหนังแอคชั่นคุณภาพที่ดูสนุกไม่ว่าจะเป็น In the Line of Fire , Outbreak , Air Force One จากนั้น งานของเขาจะเริ่มขยายขนาดสเกลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนมาเป็นเมกะโปรเจคต์กับ The Perfect Storm และ Troy สิ่งที่ถดถอยไปในสองงานยุคหลังนี้คือ พลังขับเคลื่อนในตัวกลับเหือดแห้งไปอย่างน่ากังขา แม้ว่า สองเรื่องหลังมีองค์ประกอบที่เพียบพร้อม มีโปรดักชั่นที่ดี มีงานกำกับภาพที่ตระการตา มีผู้กำกับสามารถคุมหนังสเกลใหญ่ทำได้ดี มีนักแสดงชื่อดัง แต่ ตัวหนังนั้นกลับราบเรียบไม่หลงเหลืออะไรให้จดจำหรือชวนดูซ้ำรอบสอง เหมือนกับมีดีแค่เปลือกรอบนอกเท่านั้น และ Poseidon ก็มาตกอยู่ในยุคเดียวกับสองเรื่องหลังนี้ ยุคที่หนังดูสนุกได้เพลินๆแต่เป็นแค่หนังป๊อบคอร์นที่กินหมดตอนดูหนังก็ไม่ได้อยากจะเอามากินซ้ำที่บ้านอีก

    เห็นได้ชัดเจนว่า Poseidon เป็นงานจงใจขายความตื่นเต้น ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรถ้าหนังสามารถทำคะแนนตรงนี้ได้อย่างมีคุณภาพเต็มสิบ เพียงแต่ว่า สิ่งที่เอามาขายนั้น มันมาแบบสูตรสำเร็จเกินไป และ มันมาในยุคสมัยที่คนดูได้เห็นอะไรมามากมายแล้วบนจอ หลายฉากทำให้ตื่นเต้นได้จริงแต่ก็เป็นแค่ “ความตื่นเต้นมาตรฐาน” ฉากคลื่นยักษ์ซัดถล่มเรือพลิกคว่ำน่าจะทำให้ตื่นตาตื่นใจ ผมเองยังกลับรู้สึกเฉยๆ หลายฉากมาในลักษณะที่เรียกว่าเดาทางได้ การทุ่มทั้งลำไปกับฉากแอคชั่นนั้นจริงอยู่ว่ามันตื่นเต้นจริงแต่มันไม่ได้ยอดเยี่ยมพอที่ ส่วนแอคชั่นของหนังจะทำให้คนดูจดจำประทับใจได้เหมือนที่เขาเคยประสบความสำเร็จกับงานเก่าๆอย่าง Air force one ที่เป็นสูตรสำเร็จเน้นเฉพาะความสนุกเหมือนกัน Air force one ดูจบแล้วยังสามารถดูซ้ำได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ

    นับได้ว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะทั้งที่จริงแล้วโดยตัวหนัง Poseidon เอง นอกจากจะเล่นกับสถานการณ์ภายในเรือที่ต้องเอาตัวรอดแล้ว หนังยังสามารถเล่นกับสถานการณ์ภายในจิตใจของตัวละครที่ต้องติดอยู่ในเรือ เช่น การตีแผ่ความรู้สึกนึกคิดหรือการเผยด้านมืดในใจของกลุ่มคนที่ดิ้นรนเอาตัวรอด (มีอยู่ฉากเดียวซึ่งก็รวดเร็วและตื้นเขินเสียเหลือเกิน) แต่ ตัวละครกลุ่มตัวเอกนี้เป็นเหมือน กลุ่มคนดี มากเกินไปจนไม่มีความขัดแย้งระหว่างบุคคล(จะมีก็ตัวร้ายแบบสุดขั้วเหมือนการ์ตูนอยู่แค่คนเดียว)

    หากหนังกำหนดส่วนเหล่านี้เพิ่มเข้าไป น่าจะสามารถทำให้หนังมีดีมากไปกว่าแอคชั่นลุยน้ำไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนหนังไม่ได้สนใจเท่าไหร่ หรือ สนใจก็ไม่มีเวลาให้มากพอ

    จึงอาจจะกล่าวได้ว่า หากเรือ Poseidon มีชื่อเสียงเพราะความยิ่งใหญ่อลังการแล้ว จมเพราะ คลื่นยักษ์ หนัง Poseidon อาจจะได้รับการจดจำอย่างรวดเร็วและก็คงจะจมลงอย่างรวดเร็วเพราะ ความเร็ว

    ... หนังแนะนำเรือเร็ว แนะนำตัวละครเร็วๆลวกๆ เรือจมเร็ว หนังจบเร็ว ทุกอย่างมันเร็วจนไม่ได้อะไรนอกจากความตื่นเต้นเป็นช่วงๆ ความเป็นดราม่าที่หนังพยายามปูไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใด เพราะตัวละครทั้งหลายถูกจับใส่เข้ามาพร้อมยัดคาแรกเตอร์สั้นๆแล้วก็เดินหน้าลุยกันอย่างเดียว การตายของตัวละครในเรื่องจึงเป็นการตายที่คนดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรไปด้วย , แม่ลูกพลัดพรากจากกันก็ไม่ได้จะรู้สึกอินมากนัก เราแค่อยากให้ขึ้นถึงข้างบนไวๆมากกว่า นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ผูกพันกับใครมากพอ

    ... งานสร้าง , รายละเอียดในฉาก , CG ,การกำกับภาพ (ฉากเปิดตัวเรือแม้จะสั้นๆ แต่ก็ถ่ายให้เห็นความอลังการและฝีมือการถ่ายทำที่ต้องยกนิ้วให้) ในหนังทุกอย่างสมบูรณ์แบบครบครันไม่มีข้อให้ตำหนิ นักแสดงในหนังจัดได้ว่าเป็นกลุ่มนักแสดงที่ไม่โด่งดังมากแต่ก็มีฝีไม้ลายมือที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็น Kurt Russell , Josh Lucas , Emmy Rossum , Jacinda Barrett (เธอคนนี้คือนางฟ้าในหนังของผมจาก Ladder 49 , Bridget Jones 2 พอมาเรื่องนี้เธอกลายเป็นแม่ไปซะแล้ว) มีส่วนช่วยหนังได้มาก แต่ด้วยความเร็วที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่รั้งรอให้นักแสดงอ้อยอิ่งแสดงอารมณ์ความรู้สึก หนังที่ไม่มีเวลาจะให้นักแสดงได้โชว์อะไรมากมาย จนรู้สึกว่าน่าเสียดายเหมือนกันที่นักแสดงอย่างคุณลุง Richard Dreyfuss ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันคุ้มฝีมือซักเท่าไหร่ นอกจากตีหน้าเศร้าในช่วงเวลาสั้นๆ


    สิ่งที่ชอบsmile

    1.ความตื่นเต้นกดดัน ... ทำให้คนดูลุ้นได้เป็นเฮือกๆเหมือนกัน เป็นความตื่นเต้นระดับมาตรฐาน ช่วงที่ชอบมากคือช่วงที่ติดกันอยู่ในท่อระบายอากาศ  หนังเล่นกับที่แคบและกดดันความรู้สึกคนดูได้ดี

    2.นักแสดง ... สองชายหนุ่ม Kurt Russell  + Josh Lucas  มีพลังและความกระตือรือร้นในตัวมากพอที่จะเป็นผู้นำตัวละครในเรื่องหาทางออก และ นำคนดูไปข้างหน้า โดยไม่ถูกกลืนไปพร้อมคลื่นยักษ์


    สิ่งที่ไม่ชอบmad

    1.เร็ว ... ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วและผ่านไปเร็ว และ นั่นหมายถึง ตัวหนังด้วยที่แม้จะสนุกตื่นเต้นขณะดู แต่เมื่อออกมาจากโรงมันก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    2.สั้น ... ผมอยากให้หนังยาวกว่านี้ ไม่ใช่เพราะว่าหนังดีมากจนอยากดูนานกว่านี้ แต่ความยาว 99 นาทีของหนังมันหมดไปเหมือนไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือออกมาด้วยเลย หากหนังกลับไปปูรายละเอียดมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องยาวขนาดTitanic ก็ได้ อย่างน้อยมันคงจะทำให้มีอะไรดีกว่านี้ หลายตอนเลยที่หนังแสดงให้เห็นว่า หนังสามารถไปเพิ่มน้ำหนักที่ส่วนดราม่าได้ได้ แถมหนังยังมีต้นทุนจากนักแสดงที่มีคุณภาพอยู่แล้ว เช่น ความสัมพันธ์พ่อ-ลูก ตัวอย่างช่วงสั้นๆ ตอนโหนข้ามทะเลเพลิง  เห็นได้ว่า ถ้าจะทำซึ้งก็ทำได้แต่ไม่ทำ

    สรุป ... ดูก็ตื่นเต้นดี (ไปดูโรงดิจิตอลของพารากอน ไม่รู้สึกแตกต่างจากโรงธรรมดาเท่าไหร่) ไม่ได้ดูก็ไม่ถึงขั้นเสียดาย รอดูแผ่นได้ ตัวหนังน่าจะทำออกมาได้ประทับใจคนดูมากกว่านี้ เสียดายที่หนังไปเน้นแต่ความตื่นเต้นจากฉากแอคชั่นทั้งหลายมาก จนไม่มีเวลาเหลือเผื่อให้อารมณ์อื่นๆอีก ผลลัพธ์ออกมาจึงกลายเป็นแค่หนังหายนะที่ดูตื่นเต้นตกใจแต่จบแล้วก็จบกัน เป็นหนังที่เปลือกนอกดีพร้อม(นักแสดง/งานสร้าง/เทคนิก/ถ่ายภาพ) เหมือน Troy แต่ภายในไม่แข็งแรงพอ


    ปล ... จขกท. จะไม่อยู่ ช่วง เสาร์นี้ถึงพุธหน้า หากมีความเห็น , คำถามหรือคำด่าฮ่าฮ่าฮ่า ขออภัยที่ไม่ได้อยู่ตอบในกระทู้ ฝากกระทู้ + บล็อกให้เพื่อนๆดูแลหน่อยจ้า แล้วมีคำถามจะกลับมาตอบ มาแลกเปลี่ยนพูดคุยอีกที จะพยายามเขียน always ให้เสร็จทันคืนนี้ก่อนไป


    ปล 2 ... ขอเป็นหน้าม้าพาไปดูหนัง และ ฟังเพลง

    Blog หน้าม้า >> ขออาสาเป็นหน้าม้า ขออาสาเป็นป๋าดัน เชียร์หนัง .. Always: Sunset on Third Street (หนังของเขาดีจริงๆ)
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=5&month=04-2006&date=24&blog=1


    Blog ฟังเพลง >> ไปแล้วมาเล่าต่อ ... งาน The Symposium of Mozart music & intelligence (เข้ามาอ่านแล้วจะฉลาดขึ้น ?)
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=5&month=05-2006&date=11&blog=1

    แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 49 17:02:31

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ วันวิสาขบูชา 16:58:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป