Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ไอ้หมื่นกลับมา พร้อมพี่ไมเคิล ไมเยอร์ส ย้อนรอย Hallween 8 ภาครวด

    John Carpenter's Halloween (1978) ฮัลโลวีนเลือด

    แนวหนัง สยองขวัญ

    หลังจาก Psycho ประสบความสำเร็จและเป็นที่กล่าวขวัญเมื่อปี 1960 ก็ยังไม่มีหนังสยองเรื่องไหนออกมาเด็ดเทียบเท่าได้อีกเลย จนกระทั่งเรื่องนี้นีแหละครับ ที่นอกจากจะทำออกมาดีแล้วยังช่วยปลุกกระแสหนังสยองไล่ฆ่าให้กำเนิดแบบเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย

    เนื้อเรื่องก็คือ ไมเคิล ไมเยอร์ส ฆาตกรโรคจิตที่เคยก่อคดีฆ่าพี่สาวตนเองเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ แล้วก็ถูกจับเข้าโรงบาลบ้า แล้วหลายสิบปีต่อมา ไมเคิลก็หนีออกจากโรงบาลเพื่อกลับไปยังแฮดดอนฟิลด์ อิลลินอยส์ จุดหมายก็เพื่อการเล่นเกมส์ฮาโลวีน (หรืออีกนัยนึง ไล่ฆ่าชาวบ้านนั่นเอง) และเป้าหมายที่โดนหนักเลยก็คือ ลอรี่ สโตรด (Jamie Lee Curtis) พี่เลี้ยงเด็กสาวที่ต้องมารับมือกับฆาตกรโหดแบบไม่ทันตั้งตัว

    ขณะเดียวกันนั่นเอง หมอแซม ลูมิส (Donald Pleasence) จิตแพทย์ผู้ที่ติดตามดูแลอาการของไมเคิลมาตลอดและเชื่อมั่นว่าไมเคิลยังไงก็รักษาไม่หาย เลยต้องรีบเดินทางไปยับยั้งเกมส์สยองของไมเคิลในครั้งนี้

    หนังสนุกครับ ... มันสนุกสำหรับผมน่ะนะครับ แต่กับชาวบ้านคงต้องเรียกว่าสยองล่ะครับ อย่างที่บอกว่านี่เป็นหัวหอกหนังสยองไล่ฆ่าที่ตามมาอีกเป็นพรวนน่ะนะครับ มันน่ากลัวแบบกำลังดี บรรยากาศหนังก็ให้อารมณ์ลึกลับ ไม่น่าไว้วางใจอยู่ตลอด ฉากฆ่าก็ไม่แหวะมาก แค่พอเห็นว่าโดนเชือด (ซึ่งเป็นการเดินรอยตามหนัง Psycho ครับ เรื่องนั้นก็เหมือนกันตรงที่ แม้จะมีฉากเอามีดถือมาไล่ทิ่ม แต่หากเอามาดูดีๆ หนังพวกนั้นไม่มีฉากไหนเลยครับที่เราเห็นจะๆ ว่ามีดบาดลงในเนื้อของเหยื่อ เราจะเห็นแค่ง้างและทำท่าแทงเท่านั้น)

    หนังเปิดเรื่องการฆ่าพี่สาวของไมเคิลได้น่าสนใจครับ ส่วนฉากต่อๆ มาก็ยังน่าติดตาม จะมีช่วงพักก็ตอนกลางๆ หน่อย ที่เราจะได้เห็นหน้าลอรี่และเพื่อนๆ ของเธอ (ที่จะต้องโดนฆ่าครับ ... ดูโหงวเฮ้งก็รู้แล้วล่ะ ) พอมาตอนท้าย เข้าวันฮัลโลวีน ฟ้าเริ่มมืด พี่ไมเคิลก็มาเดินเล่นทันทีครับ แล้วการฆ่าก็เริ่มต้นอย่างนิ่งๆ แต่ก็น่าหวาดผวานะครับ เพราะฉากในเรื่องค่อนข้างมืด มีหลืบอับๆ เพียบไปหมดเลยครับ ทำให้ก่ออารมณ์อึดอัดขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น

    จุดที่ผมว่ามันน่าเชื่อถือและทำให้หนังแน่น ไม่ได้ไร้สาระอย่างหนังไล่ฆ่ายุคหลังๆ ก็คือ คนที่โดนฆ่าตายส่วนมากก็ไม่ได้ตายเพราะโง่นะครับ ก็พวกเขาไม่รู้นี่หน่าว่าจะมีคนมาตามฆ่า ช่วงต้นที่หนังฉายการดำเนินชีวิตของพวกมันก็บอกน่ะว่า วัยรุ่นพวกนี้สนุกไปวันๆ และบ้านเมืองก็สงบจะตาย ไม่เหมือนพวกหนังยุคต่อๆ มาครับ อย่างพวกเจสันเงี้ย มันจะมีการบอกก่อนครับว่าที่แห่งนี้มีตำนานว่ามีฆาตกรมาเดินเล่น ซึ่งขนาดรู้แล้วพวกวัยรุ่นนั่นยังควายเดินคนเดียวให้มันฆ่าอีก

    แต่กับเรื่องนี้ ไม่มีครับ เหมือนจู่ๆ มีใครก็ไม่รู้โผล่มาเก็บพวกเขาทีละคน มันก็สยองอยู่นะครับ เพราะมันใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้น่ะ คนเสียสติมาไล่ฆ่าดื้อๆ ไอ้พวกที่โดนฆ่าก็ตายโดยไม่รู้ตัวทั้งนั้นครับ ส่วนลอรี่ จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ เพราะโดนไล่ล่าเป็นรายสุดท้ายพอดี และเธอก็ฉลาดครับ เริ่มสังเกตความผิดปกติบางอย่าง เช่น โทรไปเพื่อนไม่รับหรือมีใครก็ไม่รู้มาเดินข้างนอกบ้านน่ะ

    แล้วฉากต่อมาพอเธอได้เห็นเพื่อนเป็นศพ การหนีก็เริ่มขึ้น ซึ่งการล่าก็ดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้นครับ ด้วยความมืดที่ปกคลุมเมือง และดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยเธอได้เลยหลายๆ ครั้งเธอก็จนมุมจนอดเสียวไส้ไม่ได้ครับ แต่เธอก็รอดมาได้ แต่ก็หวุดหวิดครับ

    ส่วนตอนจบก็จบได้ดี ชนิดที่หนังแนวเดียวกันที่สร้างตามมาก็ล้วนเอาอย่าง แต่กับเรื่องนี้มันดูสมเหตุสมผลครับ และทำให้ตัวละครไมเคิลดูน่ากลัวมากขึ้นด้วย

    ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องยอมรับความแน่ของ ลุง John Carpenter กับ Debra Hill ที่ร่วมกันสร้างเรื่องนี้ขึ้นมานะ โดยมากพล็อตและชื่อตัวละครก็เอามาจากคนใกล้ตัวหรือไม่ก็หนังที่พวกเขาชอบนั่นล่ะครับ อย่างชื่อลอรี่ สโตรดก็เป็นชื่อแฟนคนแรกของลุง John นั่นแหละ หรือเมืองแฮดดอนฟิลด์ ก็เป็นเมืองบ้านเกิดของ Debra Hill นั่นเอง (แต่ของจริงอยู่ที่นิว เจอร์ซี่ย์ครับ ไม่ใช่อิลลินอยส์อย่างในหนัง) หรือชื่อตัวละครอย่าง หมอแซม ลูมิส หรือนางพยาบาลแมเรียน ก็เอามาจากตัวละครในหนัง Psycho ทั้งนั้นล่ะครับ

    แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นทุนต่ำครับผม สร้างด้วยงบจำกัดเพียง 300,000 เหรียญ ก็มีการประหยัดเต็มที่ล่ะครับ อย่างหน้ากากที่เขาใส่นั่น ตอนแรกเห็นว่าจะมีการออกแบบนะครับ แต่เพื่อประหยัดงบก็เลยเล่นง่ายๆ ครับ โดยให้ทีมงานเดินเข้าไปในร้านขายหน้ากากแล้วซื้อหน้ากากที่คาถูกที่สุดมา และหน้ากากที่ว่านั่นก็คือ หน้ากากกัปตันเคิร์ก จากหนัง Star Trek ครับ (เวรกรรม ตัวละครที่ผมชอบที่สุด ดันมีราคาหน้ากากถูกสุดเหรอวะเนี่ย ) แล้วก็เอามาทาสีขาว ตัดขนาดตาซะใหม่ แล้วก็กลายมาเป็นหน้ากากประจำตัวของพี่ไมเคิลนับแต่นั้นมาครับ

    แต่ครับ แต่ ... เฮ่อ พอหนังถ่ายทำเสร็จ ดันไม่มีบริษัทใหญ่ๆ เจ้าไหนยอมซื้อไปฉายแม้แต่รายเดียว จนในที่สุด Irwin Yablans ผู้อำนวยการสร้างเจ้าของบริษัท Compass International ก็เลยตัดสินใจเอาออกฉายครับ

    แล้วไงน่ะเหรอฮะ ... หนังลงทุนสามแสน พอออกฉายปุ๊บหนังทำเงินเฉพาะในอเมริกาก็ไปเข้าไปตั้ง 47 ล้านเหรียญแล้วน่ะ ทำให้หนังได้ชื่อว่าเป็นหนังอิสระที่ทำเงินสูงที่สุดในตอนนั้นเลยทีเดียวล่ะครับ (แล้วภาคต่อมา Universal ก็มาติดต่อขอจัดจำหน่ายหนังให้ครับ ... เป็นไงล่ะ)

    ถ้าท่านอยากดูหนังสยองดีๆ ซักเรื่อง ผมว่าอันนี้แหละครับที่ท่านน่าจะพึงพอใจ บรรยากาศดี และดนตรีเฉียบขาดที่ลุง John Carpenter แกโซโล่ด้วยตัวเอง (ซึ่งเพลงหลักของหนังเรื่องนี้ ท่านๆ ต้องคุ้นหูแน่ครับ เพราะละครบ้านเราเอามาใช้บ่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ) ก็เรียกว่าทำมันทุกงานครับ กำกับก็ทำ เขียนบทก็เอา ดนตรีก็ได้ ตอนนั้นแกไฟแรงครับ และมีความสามารถมากๆ ด้วย (มาหลังๆ ไฟเริ่มมอดครับ ทำหนังเมาๆ ยังไงก็ไม่รู้)

    ตื่นเต้น เข้าท่า คุ้มค่าสำหรับคอหนังสยอง

    สามดาวครับ

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&group=11&month=04-2006&date=02&gblog=616

     
     

    จากคุณ : เทพบุตรตบะแตก!! - [ 21 มี.ค. 50 13:05:32 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom