CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    หวานมันส์ .... ชำแหละหนัง: Bridge To Terabithia, จินตนาการนี้แด่มิตรภาพของเราตลอดไป

      10 - 9.5 / 10 (5 คน)
      9 - 8.5 / 10 (6 คน)
      8 - 7.5 / 10 (3 คน)
      7 - 6.5 / 10 (1 คน)
      6 - 5.5 / 10 (0 คน)
      5 - 4.5 / 10 (1 คน)
      4 - 3.5 / 10 (1 คน)
      3 - 2.5 / 10 (0 คน)
      2 - 1.5 / 10 (0 คน)
      1 - 0 / 10 (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 17 คน

     29.41%
     35.29%
     17.65%
     5.88%
     0.00%
     5.88%
     5.88%
     0.00%
     0.00%
     0.00%


    Heavy Spoil




    .... Walden Media เป็นค่ายหนังที่สร้างแต่หนังที่ดัดแปลงวรรณกรรมเด็กซะส่วนใหญ่ เป็นค่ายหนังที่ประกาศตัวว่า ค่ายของตัวเองดัดแปลงจากวรรณกรรมเด็กได้หลากหลายประเภท และส่วนใหญ่แล้วหนังที่พวกเขาสร้างก็สนุกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีค่ายหนังดังๆอย่าง Disney หรือไม่ก็ New Line ขอถือลิขสิทธิ์หนังของค่ายนี้จัดจำหน่ายใน U.S. บ้าง หรือไม่ก็ทั่วโลกบ้าง! แต่ส่วนใหญ่แล้วค่ายนี้ถ้าบางเรื่องไม่มีบารมีที่จะจัดจำหน่ายพอ ทาง Walden Media ก็จะขอถือหุ้นจัดจำหน่ายแทน

    ผลงานเด่นๆของค่ายนี้ก็มีอยู่หลายต่อหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่จะจัดอยู่ 2 ประเภทสำหรับหนังค่ายนี้   โดยที่ประเภทแรกคือหนังที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมเด็กแต่ได้รับคำชมที่ดีอย่างสูง เช่น Holes, Winn-Dixie, I am David, Charlotte's Web และก็ที่ทุกๆคนคงคุ้นเคยดีอย่าง The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe (ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของค่าย จนกระทั่งประกาศสร้างภาคต่อเป็นที่เรียบร้อย) ซึ่งหนังเหล่านี้แทบสร้างชื่อให้กับค่าย Walden Media ในแง่ดีซะส่วนใหญ่ แต่ Walden Media เองก็มีหนังที่สร้างได้ไม่ค่อยจะดีออกมาก็พอสมควร ที่เหล่าเห็นๆก็คงจะคุ้นเคยกันดี เช่น Around the World in 80 Days, Hoot และ How to Eat Fried Worms ซึ่งทั้ง 3 เรื่องทำออกมาไม่ได้ประทับใจนักเท่าไหร่ เพราะเอาใจตลาดเด็กๆอยู่พอสมควร ซึ่งไม่ใช่แค่ค่ายนี้จะสร้างหนังที่ดัดแปลงวรรณกรรมเด็กเท่านั้น ค่ายนี้ยังสร้างหนัง 3 มิติที่เอามาฉายใน Imax อีกด้วย ซึ่งเป็นหนังของ James Cameron ทั้งนั้น อย่าง Ghosts of the Abyss และ Aliens of the Deep ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น Walden Media ถือว่าเป็นค่ายหนังที่นิยมดัดแปลงจากวรรณกรรมเด็กมาสู่หนังได้ถูกใจกับทุกเพศทุกวัยพอสมควร!


    Bridge To Terabithia เป็นวรรณกรรมเด็กอีกเรื่องที่ผมเองยังไม่มีโอกาสได้อ่าน และก็พึ่งรู้จักตัวหนังสือจริงๆก็ตอนที่หนังออกมาแล้ว ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีหนังโปรโมทเหมือนกับให้คนเข้าใจว่า นี่เป็นหนังแฟนตาซีปนมหากาพย์ แบบที่เคยทำ Narnia และก็ยังใช้ Credit ทีมสร้าง Narnia มาเป็นตัวโปรโมทซะด้วย

    .... แต่ความจริงแล้ว!

    นี่ไม่เชิงกับเป็นหนังแฟนตาซีเลย เพราะถ้าคุณคิดว่าจะเข้าชมหนังเรื่องเพื่อดูฉากต่อสู้หรือฉากใหญ่ๆแล้วล่ะก็ ผมแนะให้คุณเข้าไปดู 300 ดีกว่าครับ เพราะนี่เป็นหนังเด็กแต่มีแนวความคิดและอุดมคติแบบผู้ใหญ่มากๆ ยิ่งไปกว่า ในหนังยังแฝงประชญาอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนจะเข้าใจเสียด้วย ฉนั้นผมจึงขอเต็มปากว่าถึงแม้มันจะเป็นหนังเด็ก แต่เรื่องราวที่ถูกสอดแทรกไปประมาณหนังที่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งพอสมควร!

    เช่นเดียวกับผม ตอนแรกผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแฟนตาซีหลอกให้พ่อแม่พาเด็กๆเข้าไปดู แต่อ่านคำวิจารณ์หลายๆที่ก็พบว่า เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ทำให้คิดๆว่า มันน่าจะมีอะไรที่ดีจริงๆ พอได้เข้าไปดู ผมก็เห็นการปูเนื้อเรื่องเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังได้บอกความจริง ทั้งหมดที่เด็กทั้ง 2 คน ได้เห็นนั้น ล้วนแล้วเป็นจินตนาการ 100 % แต่มันแฝงอะไรบางอย่างที่ทำให้คนดูกินใจไปกับหนังได้


    Jesse เป็นเด็กชั้มมัธยมต้นที่ไม่ได้รับการยอมรับ และ และค่อนข้างเก็บตัวซะมากกว่าที่จะสนิทกับใคร คนที่ทุกๆคนล้วนจะเรียกเขาว่า "Loser" (ไอ้ขี้แพ้)

    Loser ในความหมายตัว Jesse เอง ไม่ใช่ประมาณว่า เรียนห่วย ทำอะไรไม่เป็น หรือ ไม่มีความคิด เพราะสิ่งที่ผมบอกไป Jesse กลับมีดีเรื่อง เรียน วาดภาพ และ วิ่ง ไม่แพ้เหมือนเด็กคนอื่นๆเหมือนกัน

    แต่ .... Jesse เป็น Loser ตรงที่เขาไม่สามารถคุยกับใครได้ เขาสามารถที่คบหาหรือเข้ากับใคร จนกลายเป็นเพื่อนซี้ได้ เขาเป็นผู้ที่ถูกกระทำทั้งในบ้านและในโรงเรียน ซึ่งก็เป็นการรังแกต่างๆนา ทั้งโดนเอาเปรียบ โดนเยาะเย้ย และ โดนพวกที่ใหญ่กว่าแกล้งเป็นประจำ เขาได้แต่เก็บตัว ไม่บอกใคร และไม่เขาหาใคร เขามีความคิดเก็บๆที่อยู่ในตัวเขาเองมากกว่า ที่จะไปแบ่งปันความคิดกับคนอื่นๆ ที่โชคร้ายก็คือเขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน และยังเป็น "Wendesday Child" ประจำบ้านนี้อีกด้วย ฉนั้นเขาจะไม่รู้สึกสงสัยกับตัวเขาเองว่า ทำไมเขาถึงถูกฝึกมาเพื่อเข้มแข็ง แต่ทำไมพี่น้องในบ้านเขากลับถูกสอนมาแบบถนุถนอม!

    คนประเภทแบบ Jesse เป็นคนที่ไม่ใช่แค่ขี้แพ้ แต่สังคมพื้นฐานจริงๆของเขากลับไม่ได้ยอมรับเขาเลย แม้แต่นิดเดียว (ซึ่งประเด็นของตัวละคร Jesse ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับประเด็นครอบครัวเรื่อง Little Miss Sunshine นักเท่าไหร่?)

    .... ฉนั้นคนแบบ Jesse จะไม่ได้การยอมรับเลย ถ้าเขาไม่เปิดโอกาสและโอกาสด้วยตัวเอง


    และเมื่อ Jesse เองได้พบกับ Leslie เด็กสาวผู้ที่ย้ายมาใหม่ที่โรงเรียนเขา และไม่น่าเชื่อว่าเธอเอง ก็ไม่ได้เพื่อนฝูงเลยตอนอยู่ที่โรงเรียนเก่า แต่ทำไมเธอไม่มีปัญหาชีวิตแบบ Jesse ล่ะ? เพราะว่า เธอเองเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เธอจะเป็นเด็กผู้หญิงที่สนใจต่างกับคนอื่น และก็มีจินตรนาการที่ทะลุปรุโป่งได้มากกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เธอทำให้ตัวเองมีความความสุขได้คือการเปิดใจ!

    ฉนั้นแรกๆที่ Jesse พยายามจะไม่สนใจ Leslie แต่ Leslie ดันสนใจเพราะว่า Jesse มีความอคติเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับผู้หญิงแบบ Leslie ที่เป็นคนทั้งน่ารัก และ ฐานะดี ซึ่งต่างกับที่ Jesse เป็น

    แต่เมื่อ Leslie ได้อยากเข้าหา Jesse สุดท้าย Jesse ก็เข้าใจว่า Leslie อยากรู้จักเขาจริงๆ และต่างคนก็มีอะไรที่คล้ายๆกัน ฉนั้นเมื่อ Jesse และ Leslie ได้เข้าใกล้มากขึ้น ก็เหมือนว่าพวกเขาได้พบกับเพื่อนที่แท้จริงในชีวิต

    และเมื่อวันนึงทั้งคู่ได้เล่นวิ่งแข่งกัน ก็ได้พบกับป่าแห่งนึงที่เหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นั่น และมีเชือกโหนที่ข้ามฟากไปที่ป่าอีกด้าน ที่นั่นอาจจะไม่ได้มีอะไรอยู่จริง แต่จินตรนาการของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้รู้สึกว่าป่าแห่งนี้มีความมหัศจรรย์แบบที่พวกเขาเห็นเท่านั้น เป็นที่ๆของพวกเขาตลอดไป และด้วยสิ่งที่พวกเขาจินตรนาการ Leslie จึงขอเรียกที่ๆอัศจรรย์แห่งนี้ว่า "Terabithia"

    Just close your eyes but keep your mind wide open.

    จงหลับตาไว้ และเปิดใจให้กว้าง เธอจะเห็นอะไรมากขึ้นกว่าเดิม!

    ฉนั้นผมถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมหนังถึงชื่อว่า "Bridge To Terabithia" เพราะว่า Bridge ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เชือกโหนที่เป็นสะพานข้ามไปอีกฝั่งของป่า แต่ว่ามันเป็นสะพานที่เชื่อมสายใยมิตรภาพระหว่างเพื่อนแท้ 2 คน ที่อาจจะเป็นเพื่อนที่แท้จริงในชีวิตทั้งคู่ได้ และมันยังเป็นสะพานที่สามารถเชื่อมโลกให้ความเป็นจริง และ จินตรนาการที่พวกเขาคิดเองได้

    แต่โลกแห่ง Terabithia ที่พวกเขาได้คิดขึ้นมาเองไม่ใช่แค่จินตรนาการอย่างเดียว แต่มันเปรียบเสมือนที่ๆมีกึ่งความเป็นไปจากโลกแห่งความเป็นจริงด้วย! เพราะว่าสัตว์ประหลาดที่เขาเห็นเองนั้น มันแปลผันมาจาก โลกที่ความจริงที่เขาอยู่เช่น พวกนกหรือกระรอก ก็เปรียบเสมือน คนที่ Jesse โดนรังแกที่โรงเรียนบ่อยๆ หรือ แม้กระทั่งเด็กหญิงที่ชอบเอาเปรียบนักเรียนทุกๆคนอย่าง Janice ที่ตอนหลังกลับกลายเป็นคนดีซะแทน เพราะเนื่องจากสิ่งที่ Jesse และ Leslie ได้แกล้งไป ก็ได้กลายเป็นยักษใหญ่ใจดีช่วยเหลือในป่า Terabithia อีกด้วย

    โลกของ Terabithia ที่ทั้ง Jesse และ Leslie ได้สร้างมา มันไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์แบบเพื่อนหรือมิตรสหาย แต่มันดปลี่ยนเป็นความรักแบบที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย! ถ้าคุณยังจำตอนที่ Jesse กับ Leslie กำลังจะแยกทางกลับบ้านครั้งสุดท้ายได้มั๊ย? นั้นแหละ ผมเองอาจจะคิดเอง แต่ผมคิดว่าเหมือน Jesse ได้หลงรัก Leslie อย่างเต็มที่แบบที่เขาไม่รู้สึกตัว ทั้งๆที่ตลอดมาเขาได้แต่แอบปิ๊งคุณครูสาวทีสอนวิชาดนตรีที่โรงเรียนของเขาเป็นประจำ

    วันนึงเมื่อครูสาวได้สนใจอยากพา Jesse ไปดูพิพิธพันธ์ศิลปะ Jesse เองก็ไม่ลังเลที่จะปฏิเสธ แต่สิ่งที่เขาไม่น่าจะทำไปเลยก็คือ เขาไม่ได้ชวน Leslie ไปด้วย ฉนั้นเมื่อเขาไม่ได้ชวน Leslie ไปด้วยผลลัพท์ก็คือ

    .... Leslie ได้รับอุบัติเหตุ และตายในที่สุด! (เพราะได้โหนเชือกข้ามไปแล้วมันขาดไปในที่สุด แถมไหลเวียนเรื่อยๆอีกด้วย)

    ซึ่งเมื่อ Leslie ได้ตายไป ก็คงทำให้ Jesse ทนไม่ได้กับการจากไปของเธอ และรู้สึกผิดกับการตายของเธอ แล้วเขายังโทษตัวเองว่า ถ้าเขาไม่เห็นกับเกิเลศกับตัวเองและถ้าเขาชวน Leslie ไป เธอเองคงไม่ต้องมาตายแบบนี้ และแค่ลืมคนใกล้ตัวแค่นี้ก็อาจทำให้ต้องเสียเพื่อนรักของตัวเองไปตลอดกลับแบบไม่มีทางกลับไปได้แบบนี้อีกต่อไป ซึ่งหลังจากช่วงที่ Lesie ตายไป Leslie ก็ไม่ต่างกับตัวเองหนังอย่าง City of Angel, Million Dollar Baby, Patch Adam หรือแม้กระทั่ง Flags of Our Fathers ที่มีความรู้สึก Guilty (ความรู้ผืด) ที่ไม่ต่างกันนัก!

    และเมื่อการตายของ Leslie ได้ผ่านไป Jesse ก็ได้เรียนรู้กับตัวเองแล้วว่า "อย่าลืมคนที่อยู่ใกล้ๆตัวต่อไป"

    ฉนั้นในตอนจบของหนังเขาจึงสร้างสะพานสู่ดินแดง Terabithia นี้ให้กับน้องสาวคนที่ใกล้ตัวที่สุดของเขา เพื่อให้จินตรนาการของเขาและ Leslie ไม่มีทางจางหาย เขารู้ดีว่าเขาแค่ต้องการจินตรนาการของของน้องสาวเขา จินตรนาการที่เขากับ Leslie สร้างไป จะได้ไม่ตายไปอีกต่อไป เพราะ Jesse ได้เรียนรู้แล้วว่าจะเปิดรับกับโอกาสและหาหนทางที่จะมีชีวิตต่อไป โดยปราศจากเพื่อนแท้หรือคนที่เขารัก

    และ Leslie ตายไป Jesse ก็สามารถทำให้ Terabithia เป็นจริงอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาช่วงชีวิตนึง ก่อนที่เขาจะโตขึ้นเป็นวัยรุ่นและเปิดรับกับโอกาสต่างๆที่กำลังจะมาหาเขาในภัยข้างหน้า และเขาก็อยากให้น้องสาวของเขาให้เปิดกว้างจินตรนาการมากขึ้น เพื่อไม่ให้มาทนทุกข์แบบเขาเอง ในช่วงชีวิตเสี้ยวนึงที่ผ่านมาของเขา

    ผมแอบไปทราบว่า Disney ไม่ยอมจะจัดจำหน่ายหนังเรื่องทั่วโลกเพราะเนื่องจากว่า ถ้าขืนจัดจำหน่ายไป Disney จะเสีย Credit ให้กับหนังเรื่องนี้ เนื่องจากมันเป็นหนังที่เศร้ามากๆ ซึ่งสโลแกนของหนัง Disney เป็นหนังที่จบแบบ Happy Ending ฉนั้นเราได้ดู Bridge to Terabithia ในนามของ Walden Media ถือว่าเป็นอะไรที่ถูกต้องแล้ว! แล้วหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่ดีอีกเรื่องนึงของค่ายนี้ ต่อจาก Narnia, Winn-Dixie และ Holes ที่เป็นหนังที่ชวนซาบซึ้งและประทับใจทั้งนั้น

    Bridge To Terabithia ไม่ใช่หนังแฟนตาซี อาจเป็นหนังเด็กก็จริงอยู่ แต่มันเป็นหนังเด็กในแนวคิดผู้ใหญ่ ไม่ต่างกับหนังที่ได้รับ 3 Oscar เรื่อง Pan's Liberynth ที่เป็นเรื่องราวจินตรนาการก็จริงอยู่ แต่ว่ามันมีแง่คิดที่ชวนซาบซึ้ง และมันเปรียบเปรือยได้หลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงมันวิพากย์วิจารณ์สังคมที่เราเป็นอยู่อีกด้วย นี่เป็นหนังที่พูดมากกว่าหลายๆคำ สิ่งมันจะไม่ตายจากไปในหนังเรื่องนี้ ก็คือจินตรนาการทุกๆรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นของเด็กหรือผู้ใหญ่มันมีค่าหมด หากเราเห็นค่าของมัน และยังเห็นแสงสว่างที่ชัดเจนของมัน เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างพร้อมเพียง บนโลกแห่งความจริง และจินตรนาการของเราเอง!



    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 50 14:40:39

    จากคุณ : billy bob - [ 23 มี.ค. 50 14:38:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com