Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    The Mist : เมื่อ “หมอก” บังตา (สปอย)

    ผู้เขียนเคยดูหนังสารคดีเรื่อง The Fog of War ประเด็นว่าด้วยประวัติศาสตร์สงครามอเมริกาที่ล้วนแต่มีเหตุตั้งต้นมาจากความคลุมเครือของสถานการณ์ ความไม่รู้ทำให้เราฟุ้งซ่านและโต้ตอบกับสิ่งที่คิดว่าเป็นอันตรายนั้นด้วยความโง่เขลา ความไม่รู้ที่ต่อยอดเป็นความหวาดระแวงส่งผลสืบเนื่องเข้าสู่สงครามเย็นกับชาติมหาอำนาจ เหตุการณ์ประเภทนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่ เพราะก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า “สงคราม” การตอบโต้กับสิ่งที่ไม่รู้จริงก็เคยเป็นไปอย่างไร้ซึ่งเหตุผล ( ความเกรงกลัวต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นที่มาของการบูชายัญ หรือการทรงเจ้าเข้าผีตามลัทธิต่างๆ ) แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่เหตุการณ์เก่าเก็บในอดีตซะทีเดียว ทุกวันนี้โลกเรายังดูเหมือนไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต อย่างที่เห็นๆ กัน การรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้จริงหรือสถานการณ์ที่คลุมเครือ ยังคงเป็นไปอย่างฟุ้งซ่านสะเปะสะปะ ไม่มีทิศทางที่แน่นอนและขาดจุดยืนที่มั่นคง

    The Mist คือหนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับแฟรงก์ ดาราบองต์แห่ง The Shawshank Redemption และ The Green mile เช่นเคย ดาราบองต์มาพร้อมบทภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากงานเขียนของสตีเฟน คิง หัวใจของเรื่องมีประเด็นเดียวกันกับ The Fog of War ว่าด้วยหมอก ความคลุมเครือ และความสูญเสียที่เกิดมาจากความไม่รู้

    หมอกควันประหลาดเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งหลังจากพายุลูกใหญ่ได้พัดผ่าน เดวิด เดรย์ตัน (โธมัส เจน) พร้อมลูกชายและเพื่อนบ้านผิวสีที่ไม่กินเส้นกัน ขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อหาซื้อเสบียงมาตุนไว้ระหว่างรับมือกับปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกรี้ยวกราดนี้

    ไฟฟ้าดับ โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ การคมนาคมหยุดชะงัก ชาวเมืองหลายสิบคนติดอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตหลังจากหมอกควันที่หนาทึบเข้าครองเมืองจนมองอะไรไม่เห็น ชีวิตแห่งโลกยุคโลกาภิวัตน์ถูกต้อนเข้าสู่สถานการณ์จำลองของยุคปฐมกาลประหนึ่งการทดลองของพระเจ้าเพื่อยืนยันถึงสัจธรรมอะไรบางอย่าง มนุษย์จะรับมือกับปัญหานี้ได้ดีแค่ไหนเมื่อต้องตกอยู่ในยุคสมัยแห่งอวิชชา มนุษย์ในโลกไอทีผู้ฉลาดล้ำจะกลับคืนสู่แสงสว่างแห่งปัญญา (enlightenment)ได้หรือไม่ ? หากต้องดำรงชีวิตอยู่ในยุคมืดแห่งอารยธรรมอีกครั้ง

    ท่ามกลางหมอกที่ทึบทึมปรากฏเสียงร้องประหลาดของบางสิ่ง ชายชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในซุปเปอร์มาเก็ตพร้อมบอกเล่าถึงหายนะที่แฝงตัวอยู่ในหมอก ทุกคนตกอยู่ในความหวาดกลัวและไม่กล้าพอที่จะเดินออกไปข้างนอก

    ประตูร้านถูกปิดเพื่อปฏิเสธสิ่งที่จะเข้ามาขณะเดียวกันก็เพื่อปฏิเสธการก้าวออกไปของคนในกลุ่ม ทว่าหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ยังยืนยันที่จะกลับไปหาลูก เธอวิงวอนขอความช่วยเหลือในขณะที่ประตูความเมตตาของทุกคนถูกปิดตาย ( เพื่อเอาตัวรอดและผู้ชมส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจปฏิเสธให้ความช่วยเหลือนั้น) ด้วยความผิดหวังในมนุษยธรรมที่หดหายเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว เธอสาปช่างให้ทุกคนตกนรก ( ผู้ชมที่เห็นดีด้วยในตอนแรกจึงถูกสาปแช่งไปด้วยโดยปริยาย ) ก่อนที่จะเดินออกไปหาลูกของตนด้วยอาวุธป้องกันตัวเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ “ความหวัง”

    สงครามทางความคิดเกิดขึ้นเป็นระยะในทางรอดที่เต็มไปด้วยเสบียงเลี้ยงชีพนี้ การแบ่งแยกกลุ่มชนด้วยพรมแดนทางสีผิว ( ชนวนสงครามกลางเมืองของสหรัฐในอดีต) ฐานะทางสังคม (ระหว่างชนชั้นแรงงานและผู้รากมากดีมีหน้ามีตาในสังคม) ความเชื่อทางศาสนา (ระหว่างการอธิบายโลกด้วยความเชื่อและการค้นพบเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในยุคมืด) ในที่สุดผู้คนก็ถูกแบ่งให้แตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า เมื่อสังคมเล็กๆ นี้เรียนรู้ว่าอำนาจที่มั่นคงต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ (ยุคประชาธิปไตยครองโลก) การแบ่งแยกฝักฝ่ายชัดเจนมากขึ้น สงครามแย่งชิงมวลชนก็เริ่มต้นปรากฏ (เหมือนประเทศไทยขณะนี้ที่อำนาจในสังคมมักอ้างประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงมวลชน ทั้งๆ ที่ความจริงล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว)

    ตลอดเวลาที่หมอกหนายังคงปกคลุมเมือง ความร้ายกาจของสัตว์ประหลาดปรากฏอยู่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่น่าแปลกที่บ่อยครั้งหายนะมักเกิดขึ้นจากพฤติกรรมประหลาดๆ ของมนุษย์เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวง สังคมในซุปเปอร์มาเก็ตตึงเครียดขึ้นทุกขณะ จนท้ายที่สุดเดวิด เดรย์ตัน พระเอกของเรื่องก็รวบรวมคนในกลุ่มเดียวกันจำนวน 5 คนหนีขึ้นรถเพื่อไปให้พ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายและเริ่มมองไม่เห็นทางรอดนี้

    เดวิดขับรถไปจนสุดกำลังเครื่องยนต์แต่หมอกที่ปกคลุมเมืองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย ความหวังถึงทางรอดเริ่มริบหรี่เมื่อปรากฏเสียงกรีดร้องของบางสิ่งดังเสียดแทงออกมาจากไอหมอก ทุกคนในรถซึ่งล้วนแต่เป็นที่รักของผู้ชมตลอดเวลาการฉาย (เราย่อมรู้สึกว่าพวกเขาคือกลุ่มคนที่ใช้ได้และพร้อมต้อนรับเข้ามาเป็นพวกได้อย่างสนิทใจ) ฟากหนึ่งของผู้หญิงคือปัญญาความรู้ (หนังให้รายละเอียดว่าเธอทั้งสองมีอาชีพเป็นครูและแก้สถานการณ์ด้วยเหตุผลเสมอ) ฟากหนึ่งของผู้ชายคือกำลังกายและสติที่มั่นคง ทว่าฉากจบของเรื่องกลับเป็นการตบหน้าผู้ชมแรงๆ เพื่อสั่งสอนให้เรียนรู้ถึงสัจธรรมบางอย่างร่วมกัน เป็นความจริงซึ่งหญิงวัยกลางคนตอนต้นเรื่องได้เรียนรู้มาแล้วก่อนนั้น

    เดวิดเก็บปืนที่บรรจุกระสุนซึ่งเหลืออยู่ 4 นัดติดตัวมาด้วยหวังใช้เป็นอาวุธเมื่อต้องผจญกับภัยร้าย อาวุธที่ทุกคนเห็นตรงกันว่ามันคือทางรอด ( อย่างน้อยก็ตอนที่คุณนายคาร์โมตี้ถูกยิง ผู้ชมรู้สึกรักปืนกระบอกนั้นอย่างบอกไม่ถูก) ทว่าหนังเรื่องนี้กลับยืนยันที่จะเดินออกไปในทางที่ทุกคนคิดไม่ถึง เป็นฉากจบที่รุนแรงในความรู้สึกและประทับรอยลอยฟุ้งอยู่ในความคิดของผู้ชมได้อย่างยาวนาน

    เมื่อความกลัวเริ่มหลอกหลอนรุกเร้าให้สติและปัญญาที่เคยทำงานได้ดีต้องฟุ้งซ่าน เมื่อThe Mist ทิ้งทางออกอันเป็นฉากจบของเรื่องเพื่อเตือนให้ผู้ชมได้ตระหนักว่าเมื่อหมอกเริ่มบังตาจนมองไม่เห็นทาง ประตูสุดท้ายที่จำเป็นต้องเปิดอยู่เสมอนั่นคือ “ความหวัง”

    The Mist อาศัยวิธีการถ่ายทำเพื่อช่วยบอกเล่าประเด็นของเรื่อง เน้นการปรับโฟกัสจากเบลอจนชัดให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ สอดรับกับเรื่องที่ว่าด้วยความคลุมเครือและความชัดเจนได้เป็นอย่างดี หนังแสดงให้เห็นว่าความคลุมเครือเป็นที่มาของปัญหาซึ่งปรากฏอยู่ในหลายๆฉากของเรื่อง ตัวอย่างเช่น หมอกอันเป็นสัญลักษณ์หลัก การคาดเดาไปต่างๆนานาของผู้คนถึงสาเหตุการเกิดขึ้นของหมอกประหลาดแต่ก็ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ข้อพิพาทที่โต้แย้งกันในทางคดีก่อนที่จะถูกชี้ชัดออกมาเป็นคำพิพากษา (ผ่านบุคลิกทนายความผิวสีเพื่อนบ้านของเดวิดที่มักอ้างกฎหมายเป็นที่ตั้งและไม่เชื่ออะไรเด็ดขาดหากไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่รับฟังได้) ภรรยาของเดวิดที่จดรายการสินค้าด้วยลายมือหวัดจนอ่านไม่ออก (เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความคลุมเครือ) ข้อถกเถียงถึงเสียงแปลกๆ ที่เดวิดได้ยินแต่ไม่มีใครเชื่อ เดวิดเดินชนสะเปะสะปะอยู่ในความมืดเมื่อเครื่องปั่นไฟหลังร้านดับลง ความลังเลสงสัยของผู้จัดการร้านถึงความสามารถในการยิงปืนของพนักงานร้านร่างแคระ หรือแม้แต่การเล็งปืนก่อนยิงแต่ละครั้งที่จะต้องมองเป้าให้ชัดเจนแน่นอน รวมไปถึงความรักของหนุ่มสาวที่ไม่กล้าเปิดใจกันและกันเนื่องจากความสัมพันธ์ยังคงคลุมเครือไม่ชัดเจน เป็นต้น

    ในสถานการณ์ที่สับสนคลุมเครือ ทุกคนเรียกร้องหาทางออกหรือต้องการการชี้นำไปสู่ทางรอด หนังแสดงให้เห็นว่าทางรอดมีอยู่เสมอในแต่ละปัญหา (แม้แต่แมลงก็ยังบินไปตามลำแสง) ทางรอดระดับกายภาพซึ่งถือได้ว่าหยาบที่สุด นั่นคือการตุนเสบียงเลี้ยงชีพท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน ซุปเปอร์มาเก็ตคือจุดหมายหลักที่รวมคนหลากหลายประเภทเข้าไว้ด้วยกันก่อนที่จะถูกคัดออกด้วยอุปสรรคในระดับถัดไป

    ทางรอดในระดับที่ละเอียดลงมาคือสติและปัญญา หนังสื่อผ่านพนักงานร้านร่างแคระผู้มีสติดีเยี่ยมซึ่งสามารถควบคุมสถานการณ์ที่วุ่นวายให้สงบลงได้ และอาจารย์หญิงวัยชราที่มีปัญญาความรู้ประหนึ่งลำแสงนำทางอยู่เสมอ ( ผู้เขียนชอบฉากที่เธอกล่าววิจารณ์ถึงงบประมาณอันน้อยนิดที่รัฐบาลจัดสรรให้การศึกษา ในขณะที่ทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาอาวุธสงคราม อีกฉากหนึ่งที่ชอบมากคือตอนเธอจุดไฟใส่สเปรย์เพื่อฆ่าแมลงยักษ์ เห็นอย่างชัดเจนถึงพลังความรู้ที่เป็นดังอาวุธในตัวเธอ) หลายคนตายเพราะขาดสติ ในขณะที่หลายคนตายเพราะความโง่เขลา สำหรับกลุ่มคนที่ยังรอด พวกเขาเคลื่อนรถออกไปจากซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้ที่เป็นเสียยิ่งกว่านรก ลำแสงของไฟตัดหมอกพุ่งตรงไปข้างหน้าสู่ความหวังในชีวิต ทุกคนที่ติดอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตมองรถคันนั้นด้วยความอิจฉาประหนึ่งพาหนะที่ฉุดดึงผู้มีบุญขึ้นสู่สวรรค์ ทว่าการคัดกรองในระดับที่ลึกซึ้งที่สุดยังคงรออยู่

    เมื่อความรู้สึกมืดแปดด้านแลไม่เห็นทางออกใดๆ เริ่มย่างกรายเข้ามาปกคลุมปริมณฑลแห่งชีวิต หลายคนเลือกที่จะหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายเพราะสำคัญผิดว่านั่นคือทางออกเพียงหนึ่งเดียว The Mist แสดงให้เห็นว่าตัวละครหลายคนที่มีจิตใจอ่อนแอเลือกที่จะตายแทนการต่อสู้ คนกลุ่มนั้นยอมแพ้การต่อสู้ที่ไม่มีแม้กระทั้งการออกแรงกำลัง ยอมแพ้ให้กับการงัดข้อในหัวใจและปล่อยให้ความสิ้นหวังของตนมีชัยชนะ

    เดวิดเดินทางเอาตัวรอดมาได้จนถึงบททดสอบสุดท้าย เมื่อรถหยุดลงเพราะน้ำมันหมด แรงขับเคลื่อนในชีวิตก็หยุดลงด้วยเช่นกัน เสียงประหลาดนำพาความกลัวมาสู่หัวใจของทุกคนที่ยังรอด หมอกทึบยังคงบังตาให้มองไม่เห็นทางไปต่อ ความไม่รู้หรืออวิชชาบดบังสติและปัญญาที่เคยมีจนหมดสิ้น ความฟุ้งซ่านของเดวิดนำมาซึ่งฉากจบอันเป็นตลกร้ายที่ขมขื่นเกินบรรยาย ฉากจบที่ผู้ชมได้แต่กล่าวคำว่า “เสียดาย”

    เสียดายที่เดวิดมองไม่เห็นแสงของความหวังซึ่งหลบเร้นอยู่ในหมอกมืด เขาพลาดบททดสอบสุดท้ายของพระเจ้า และต้องโทษถูกจองจำให้มีชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดบาปนั้นตลอดไป หนังเผยให้เห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในฉากจบ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดจากมิติอื่น ไม่ใช่เพื่อนร่วมโลกที่วิปริต หากแต่มันคือสัตว์นรกที่อาศัยอยู่ในหัวใจของมนุษย์

    เช่นเดียวกับ The Shawshank Redemption หนังเรื่อง The Mist ชี้ให้เห็นพลังของความหวัง ความหวังที่นำมาซึ่งทางออกได้เสมอ (หนังเรื่อง The Shawshank Redemption กล่าวถึงทางออกในการแหกคุกชอร์แชงค์ของแอนดี้และทางออกจากความผิดบาปสู่อิสรภาพในใจของเรด ) และเช่นเดียวกับ The Green mile หนังเรื่อง The Mist ชี้ให้เห็นว่าคุกที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกจองจำอยู่ในความมีชีวิต

    The Mist จบลงอย่างหดหู่ทว่าฝากแง่คิดที่ทรงพลังถึงผู้ชมว่าอย่าได้ละทิ้งความหวังแม้เพียงเสี้ยววินาที

    ปัจจุบันโลกของเราก็เสมือนติดอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ยักษ์เช่นกัน ของกินของใช้ช่างพร้อมสรรพตามกระแสการไหลบ่าของโลกทุนนิยม โลกแห่งวัตถุที่ปัจจัยสี่ยังคงถือว่าหยาบเกินไปแก่ความอยู่รอดหากสติปัญญาและความหวังเริ่มจางหายจากจิตใจของมนุษย์ นี่คือสาเหตุว่าทำไมสงครามร้อยพันประเภทถึงได้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา มนุษย์เราเลือกที่จะฆ่าฟันกันเองอย่างไร้ซึ่งเหตุผล ขณะที่อุกกาบาตยังไม่ได้ถล่มโลก เอเลี่ยนจากดาวอื่นก็ยังไม่ได้บุก น่าแปลกที่โลกเรากลับรีบร้อนเข้าสู่ปัญหาก่อนที่ปัญหาจริงๆ จะเริ่มต้นเกิดขึ้นซะอีก

    น่าคิดเหมือนกันว่าเหตุการณ์ร้ายในฉากจบของ The Mist เกิดขึ้นหลังจากล้อรถของเดวิดหยุดหมุนเนื่องจากน้ำมันหมด หากวันหนึ่งโลกของเราหมุนมาถึงจุดที่น้ำมันในแผ่นดินหมดลง สงครามแย่งชิงความอยู่รอดคงจะลุกลามร้ายแรงอย่างมหาศาล

    และท่ามกลางหมอกควันแห่งปัญหาที่เหมือนว่าจะไม่มีทางออก ณ จุดนั้นมนุษย์จะยังคงเหลือความหวังอยู่ไหมหนอ ?

    จากคุณ : beerled - [ 14 มี.ค. 51 09:57:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom