Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    The Curious Case of Benjamin Button : L-if-e ถ้าชีวิตนี้ไม่มีคำว่า “ถ้า” (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)

    หลายคนอาจบ่นว่า 166 นาทีของหนังเรื่องนี้นานเกินไปจนรู้สึกน่าเบื่อ ในขณะที่บางคนอาจติว่าความหวือหวาน่าตื่นเต้นก็ดูจะน้อยเกินไปสำหรับหนังที่มีทุนสร้างสูงถึง 150 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ผมถือวิสาสะเอาเองว่าเสียงตำหนิข้างต้นอาจมาจากผู้ชมที่นิยมดูหนังเพื่อฆ่าเวลา ดูเพียงเพื่อความเพลิดเพลินชั่วขณะก่อนที่จะต้องรีบไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เห็นว่าสำคัญกว่าหรือไม่ก็อาจสมาธิสั้นที่ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน

    หากเวลาฉายเกินสองชั่วโมงของหนังเรื่องหนึ่งคือความน่าเบื่อสำหรับผู้ชมยุคนี้ หนังในดวงใจอย่าง Ben Hur, Titanic , The Lord of the Rings หรือแม้แต่ Forrest Gump หนังต้นแบบของ The Curious Case of Benjamin Button เรื่องนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสได้แจ้งเกิดทั้งในเวทีล่ารางวัลและในความทรงจำอันทรงคุณค่าของผู้ชมหลายๆ คน

    ผมคงนิยามได้สั้นๆ ว่า The Curious Case of Benjamin Button เป็น “หนังดีที่ต้องดู” เรื่องหนึ่งของปี หนังมาพร้อมความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ทั้งเนื้อหา วิธีการนำเสนอและงานสร้างที่หากพลาดไปไม่ได้ชมก็เรียกได้ว่าน่าเสียดายอยู่ไม่น้อย

    The Curious Case of Benjamin Button เล่าเรื่องราวของเบนจามิน (แบร็ด พิตต์) เด็กชายที่เกิดมาภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ธรรมดา นั่นคือร่างกายที่หดเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่นและหยาบกร้านจนทำให้ทารกน้อยผู้นี้ถูกมองเป็นผู้เฒ่าวัย 80 ซึ่งกำลังใกล้จะตาย พ่อของเบนจามินรับไม่ได้กับสภาพของลูกชายจึงนำไปทิ้งไว้ที่บ้านพักคนชราซึ่งมีควินนี่ (ทาราจิ พี เฮนสัน)แม่บ้านผิวดำเป็นคนดูแล ควินนี่ซึ่งไม่สามารถมีลูกของตัวเองได้รู้สึกเอ็นดูเบนจามินตั้งแต่แรกเห็น เธอเลี้ยงดูเบนจามินด้วยความรักมากเท่าที่แม่คนหนึ่งจะให้ได้พร้อมๆ กับเตรียมใจถึงความตายของเบนจามินซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ

    แต่แทนที่ร่างกายจะเสื่อมโทรมเบนจามินกลับดูอ่อนเยาว์ลงเรื่อยๆ วัยเด็กในร่างชราของเขาถูกห้อมล้อมด้วยผองเพื่อนผู้แก่เฒ่า แต่ละคนล้วนมีความน่าสนใจที่แตกต่าง คนแล้วคนเล่าที่เดินเข้ามาและจากไปจากชีวิตของเบนจามินช่วยบ่มเพาะวิธีคิดแบบ “ปล่อยวาง” ให้เค้าได้ซึมซับเรียนรู้ว่าความตายและความไม่แน่นอนเป็นเรื่องปกติของชีวิต

    เบนจามินรู้จักเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งชื่อว่าเดซี่ซึ่งมาเยี่ยมคุณยายของเธอ ณ บ้านพักแห่งนี้ เดซี่เป็นรักแรกพบของเบนจามินแต่ทั้งสองก็ไม่สามารถใกล้ชิดสนิทสนมกันได้เนื่องจากภาพลักษณ์ที่ไม่เหมาะสม (ประมาณว่าเบนจามินมักถูกมองเป็นเฒ่าหัวงู) สิ่งอัศจรรย์บังเกิดกับควินนี่เมื่อเธอตั้งครรภ์ลูกของตัวเอง ควีนนี่คลอดลูกสาวและทะนุถนอมลูกน้อยของตนจนเบนจามินในฐานะพี่ชายเริ่มรู้สึกเหมือนถูกแย่งความสำคัญ จิตใจที่โตเป็นวัยรุ่นและร่างชราที่อ่อนล้าก็เริ่มจะมีเรี่ยวแรง เบนจามินพร้อมแล้วสำหรับการก้าวออกจากสถานอนุบาลเพื่อเผชิญโลกภายนอกอันท้าทาย

    แต่ละเหตุการณ์ที่พัดผ่านเสมือนสายลมใหญ่ซึ่งพุ่งเข้ามาปะทะชีวิต แต่ละคนที่เบนจามินพานพบล้วนมอบบทเรียนอันมีค่าให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบก้าวกระโดด  เบนจามินมีโอกาสได้รู้จักพ่อบังเกิดเกล้าและเข้าใจที่มาของตนเอง เค้าเจอกับเดซี่ (เคต บลานเชตต์) ซึ่งขณะนี้โตเป็นสาวและงามจับตา เดซี่ฝันที่จะเป็นนักเต้นบัลเล่ย์ผู้โด่งดัง ความรักของเบนจามินและเดซี่ผลิบานอีกครั้งในช่วงวัยที่เท่าเทียมและคู่ควร ทุกสิ่งในชีวิตดูสวยงามและสมบูรณ์ก่อนที่รอยเลื่อนแห่งวัยจะถ่างแยกออกจากกันอีกครั้ง

    ในขณะที่ระยะกระจัดแห่งวัยของทั้งสองเพิ่มมากขึ้น เบนจามินและเดซี่เรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นนิรันดร์ของความรัก

    ผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ถ่ายทอดภาพของ The Curious Case of Benjamin Button ได้อย่างนุ่มนวลจนดูผิดตา จากหนังคัลต์สุดเซอร์เรื่องโปรดของผมอย่าง Fight Club ทำให้แทบไม่อยากเชื่อว่าเดวิด ฟินเชอร์จะสวมรอยเป็นโรเบิร์ต เซเมกคิส ผู้กำกับ Forrest Gump ได้เนียนตาขนาดนี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า The Curious Case of Benjamin Button มีหนังต้นแบบเป็น Forrest Gump ด้วยฝีมือการประพันธ์บทภาพยนตร์ของเอริก รอธ หลายอย่างในชีวิตของเบนจามินละม้ายคล้ายคลึงกับฟอเรสต์ กัมพ์ ทั้งความแปลกแยกจากผู้คนรอบข้างที่ออกจะประหลาดกว่าความแปลกแยกตามปกติ คำสอนของแม่ที่มีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อการดำเนินชีวิต ( คำสอนที่คล้ายคลึงกันจากหนังทั้งสองเรื่องทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าแม่ของเอริก รอธ จะต้องเคยสอนเค้าแบบนี้แน่ๆ ตอนเป็นเด็ก) ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตซึ่งล้วนแต่มีความน่าสนใจ ความรักที่ยั่งยืนซึ่งมักจะเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กรวมตลอดถึงเนื้อหาที่ว่าด้วยการปล่อยวางรวมถึงการมองโลกและชีวิตในแง่ดี

    วิวัฒนาการชีวิตแบบย้อนกลับของเบนจามินสะท้อนถึงแนวคิดที่น่าสนใจหลายอย่างเช่นเดียวกับอุดมการณ์ของช่างทำนาฬิกาที่ต้องการจะย้อนเวลาเพื่อให้ลูกชายที่ตายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความต้องการที่จะย้อนกลับไปในอดีตสะท้อนถึงความไม่พอใจในปัจจุบัน เรามักสร้างเหตุการณ์สมมติบางอย่างขึ้นเพื่อกำหนดเงื่อนไขในการมีความสุขโดยเฉพาะเงื่อนไขในอดีตที่ผ่านมาแล้ว เช่น

    ถ้าโลกนี้ไม่มีสงคราม ถ้าไม่เกิดมาเป็นคนดำ ถ้าได้เป็นศิลปิน ถ้าได้ว่ายน้ำผ่านช่องแคบอังกฤษ ถ้าได้เป็นนักบัลเลย์ผู้มีชื่อเสียง ถ้าได้มีลูกเป็นของตนเอง ถ้าลูกที่เกิดมาไม่ผิดปกติ ถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุ ถ้ามนุษย์ไม่ต้องแก่ชรา ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้

    ร้อยพันเงื่อนไขที่เราสร้างขึ้นเพื่อผูกมัดและรัดรึงตัวเองให้ต้องตกเป็นทาสความคิด ชีวิตนี้จึงมากมายไปด้วยเงื่อนไขและคำว่า “ถ้า”

    ช่วงหนึ่งของ The Curious Case of Benjamin Button ทำให้ผมนึกถึงหนังอังกฤษที่แสดงโดยกวินเนธ พัลโทรว์เรื่อง Sliding Door (1998) เนื่องจากเห็นว่ามีประเด็นเกี่ยวกับเหตุและผลซึ่งเป็นเงื่อนไขในชีวิตคล้ายๆ กัน

    เวลาที่เรามีอยู่ในขณะนี้ (ตอนที่อ่านบทความมาถึงจุดนี้) ชีวิตอาจจะไม่หวือหวาน่าตื้นเต้นหรือไม่โลดโผนสนุกสนานเท่ากับความสุขที่เคยพบเจอในอดีต แต่หากลองตระหนักว่าการมีชีวิตในแต่ละวินาทีคือพรวิเศษจากพระเจ้าและเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตคือสิ่งที่มีค่าควรแก่การหวงแหน การตัดพ้อหรือไม่พอใจปัจจุบันอาจกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปในทันที

    เรามีความสุขได้ทั้งที่โลกนี้ยังมีสงคราม แม้จะเกิดมาเป็นคนดำ แม้ไม่ได้เป็นศิลปิน แม้ยังไม่ได้ว่ายน้ำผ่านช่องแคบอังกฤษ  แม้ไม่ได้เป็นนักบัลเลย์ผู้มีชื่อเสียง แม้จะไม่มีลูกของตนเอง แม้ลูกที่เกิดมาจะไม่ปกติ แม้จะประสบอุบัติเหตุ แม้จะต้องแก่ชรา แม้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีต

    The Curious Case of Benjamin Button มอบหลายฉากประทับใจให้ผู้ชมได้กลับมาใคร่ครวญ โดยเฉพาะฉากตลกๆ ที่ชายคนหนึ่งถูกฟ้าผ่า 7 ครั้งแต่ก็ยังไม่ตาย บางคนอาจเห็นเป็นโชคร้ายซ้ำซ้อนครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่บางคนอาจเห็นโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าในการได้มีชีวิต

    เบนจามินเก็บเกี่ยวความสุขในชีวิตเต็มที่พร้อมตระหนักถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง พลังงานในชีวิตของเบนจามินถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าในทุกๆ ขณะเสมือนนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่กระพือปีกบินอยู่ตลอดเวลา (ฮัมมิ่งเบิร์ดยังเป็นนกที่บินถอยหลังได้คล้ายกับชีวิตของเบนจามิน) เบนจามินมีโอกาสได้ท่องเที่ยวทั้งโลกภายนอกและโลกภายใน ได้เยี่ยมเยือนทุกมุมของโลกและทุกแง่มุมของช่วงวัยในชีวิต

    หลังจาก The Curious Case of Benjamin Button จบลง ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือเพื่อคำนวณเวลาที่หนังเรื่องนี้ใช้ไป แต่แทนที่จะมองเห็นตัวเลขบนหน้าปัด ผมกลับนึกถึงอายุของตัวเองและเริ่มสงสัยถึงเวลาที่เหลืออยู่


    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 17:12:43

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 13:08:54

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 02:56:40

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 02:55:05

    จากคุณ : beerled - [ 17 ก.พ. 52 02:50:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com