ความคิดเห็นที่ 1 School voucher (S1 E18 Six Meeting Before Lunch) คือคูปองที่ให้สิทธิแก่นักเรียนบางคน เพื่อจะเลือกเรียนที่โรงเรียนไหนก็ได้ตามใจชอบโดยรัฐบาลจะจ่ายค่าเรียนให้ เช่น แทนที่จะเรียนในโรงเรียนรัฐในพื้นที่ใกล้บ้าน ก็สามารถเอา voucher ไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนราคาแพงก็ได้   ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุน School voucher บอกว่า จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ยากจนได้เข้าถึงการศึกษาที่ดีได้ และจะช่วยให้โรงเรียนต้องพัฒนาการเรียนการสอนของตัวเอง เพื่อที่จะแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆและดึงดูดนักเรียนมาได้ แต่ฝ่ายที่ต่อต้าน voucher บอกว่ามันจะเป็นการทำลายระบบ public schools เพราะเท่ากับว่าโรงเรียนรัฐจะได้เงินสนับสนุนน้อยลง ซึ่งจะทำให้ครูโรงเรียนรัฐมีจำนวนและคุณภาพน้อยลง และvoucher เป็นการให้โอกาสกับนักเรียนบางคนเท่านั้น จากคุณ : Pat :o) - [ 12 มี.ค. 52 10:12:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Education Reform... but how? (S2 E07 The Portland Trip & S6 E11 Opposition Research) Sam & Toby รู้สึกตันเมื่อต้องเขียนสปีชเรื่องการศึกษา เพราะSam รู้สึกว่าไม่ได้พูดถึงไอเดียใหม่ๆที่จะแก้ปัญหาเดิมๆเลย สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่พอที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาได้ SAM: Oratory should raise your heart rate. Oratory should blow the doors off the place. We should be talking about not being satisfied with past solutions, we should be talking about a permanent revolution. TOBY:  Where have I heard that? SAM: Permanent revolution? TOBY: Yeah. SAM: [darkly] I got it from a book. TOBY: What book? SAM: The Little Red Book. TOBY: You think we should quote Mao Tse-tung? SAM: We do need a permanent revolution. TOBY: Still, I think we'll stay away from quoting Communists. SAM: You think a Communist never wrote an elegant phrase? .. SAM: Toby, you're the one for the last six months who's been saying we need a radical approach... TOBY: [raising his voice] Yes, yes I have, and I got shouted down in every meeting! I'd love to write a speech about a radical new approach to education, but we don't have one! So unless we can come up with an idea and implement it before land in Portland, I'd prefer not to paint a picture in the interest of great oratory. [sighs] Let's take a walk. SAM:  Can't great oratory inspire an idea that can be implemented? TOBY: We had six months. We're not doing it half-assed, we're not doing it tonight. Let's go. แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 52 10:23:01 จากคุณ : Pat :o) - [ 12 มี.ค. 52 10:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หนึ่งในปัญหานั้นก็คือเรื่องครูที่มีไม่พอ ถ้าจะลองนโยบายใหม่ที่จะเพิ่มครูก็ไม่รุ้ว่าจะเอาครูมาจากไหน Charlie จึงเสนอว่า ควรมีการให้นักศึกษาเรียนฟรีแลกกับการเป็นครูหลังจากเรียนจบ แต่ก็เจอปัญหาเดิมอีก คือจะเอาเงินมาจากไหน   BARTLET:  Yeah. [reads from speech] "As you know, I began my campaign...'' [looks at Toby] What happened to 100,000 new teachers? TOBY:  Sir? BARTLET:  No money? TOBY:  No teachers. BARTLET:  Toby! TOBY:  There aren't a 100,000 new teachers. We can't make people be teachers. BARTLET:  We can give incentives. TOBY:  In certain public districts there are tax incentives... BARTLET:  Well, it's not doing the trick. CHARLIE:  The government will send you to college or law school or medical school if you spend three years in the armed forces. Why not... SAM: [pacing] College tuition to anyone who wants to go college in exchange for they teach in a public school where we send'em for three years. BARTLET: Why can't that idea be floated? TOBY: Anybody know how we pay for it? BARTLET: That comes later. ********************* ในตอนช่วงเริ่มต้นแคมเปญ Santos บอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาอยากลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี คือการได้พัฒนาระบบการศึกษา ซึ่งวิธีที่จะเพิ่มคุณภาพของการศึกษา ก็มีตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนวันเรียน จาก180 วัน เป็น 240วัน และการคุมคุณภาพครู ถ้าครูไม่เก่งก็ปลดออกซะ "America is 48th in the world in literacy; that's down 18 spots in the last 50 years. Why? Well, for starters the 180 days a year school year... We're in a global economy now. Japan's at 243 days, Germany's at 240." แต่นโยบายเหล่านี้ของ Santos ดูจะไม่ค่อยเป็นที่สนใจของประชาชนใน New Hampshire เท่าไหร่ จน Bartlet (เจ้าถิ่น) ต้องแอบโทรมาบอก Josh ว่า สิ่งที่ Santos ควรจะนำมาเป็นประเด็นคืออัตราการออกจากโรงเรียนกลางคันใน New Hampshire ซึ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ “I haven’t done enough. Santos should say that.” แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 52 10:23:56 จากคุณ : Pat :o) - [ 12 มี.ค. 52 10:14:22 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Other issues: CJ's comic moments - The Jackal & Notre Dame joke The Jackal นี่ Sorkin ใส่มาเพราะเคยเห็น Allison Janney ร้องเพลงนี้แล้วถูกใจ เลยเขียนบทเพิ่มให้เลย Notre Dame joke - ฮาตอนที่ Bartlet บอกให้ ชาร์ลีเอาเนื้อเพลง Notre Dame fight song มาให้ CJ ร้อง CHARLIE : He wanted me to tell you that we're approaching South Bend and that he likes to hear the song at a brisk and steady tempo. C.J.: Oh, kill me now! จากคุณ : Pat :o) - [ 12 มี.ค. 52 10:32:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Same-sex Marriage เป็นเรื่องที่ฮ๊อตมากที่อเมริกาในตอนนี้ หลังจากที่ประชาชนในแคลิฟอร์เนียโหวตให้ยกเลิกคำตัดสินของศาลที่อนุญาตให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ SKINNER With 85 votes. 29 Democrats voted for it. It passed the House with 342 votes. Our polling numbers are the same as yours. 60% of Americans oppose legally sanctioned gay marriage. The people want the bill. Congress wants the bill. The President needs to sign the bill. JOSH Public opinion can be wrong, Matt. The public opposed interracial marriage and school integration. You want me to reach back into the nostalgia file? SKINNER That's entirely different. JOSH [exasperated] How's it different? SKINNER The government has a responsibility to protect the rights of minorities, but it can't impose the minority's values on the majority. JOSH Freedom of choice isn't a minority value just because the majority doesn't agree with the minority's choice. ****** SKINNER Ask me the question. JOSH He compared homosexuality to kleptomania and sex addition, Matt. SKINNERYes. JOSH The Majority Leader. The leader of your own party. SKINNER He was wrong and I told him so. JOSH For cryin' out loud! SKINNER Ask me the question, Josh! JOSH How can you be a member of this party?!? SKINNER You've been holding that in for way too long, man. JOSH This party who says that who you are is against the law. SKINNER You know, I never understand why you gun control people don't all join the N.R.A. They've got two million members. You bring three million to the next meeting... call a vote... All those in favor of tossing guns - [Snaps fingers] - Bam! Move on. JOSH That's a heck of a strategy, Matt. I'll bring that up in a meeting. SKINNER I agree with 95% of the Republican platform. I believe in local government. I'm in favor of individual rights rather than group rights. I believe free markets lead to free people and that the country needs a strong national defense. My life doesn't have to be about being a homosexual. It doesn't have to be entirely about that. ****************** ประเด็นนี้คุณ Quaver เริ่มไว้แล้วในกระทู้ที่แล้ว  ขออนุฐาตยกมาให้เลยนะคะ ความคิดเห็นที่ 32   เรื่องการยกเลิกการแต่งงานของเกย์ในแคลิฟอร์เนีย เคยได้ยินข่าวมาพักหนึ่งแล้วนะคะ ที่แอลเลนเขาออกมาคัดค้านหัวชนฝา  จนเฮียฌอนออกมาพูดตอนรับออสการ์ เราน่ะแปลกใจนะ คือว่าถ้าประเด็นนี้ไปอยู่รัฐอื่นๆที่เล็กๆและเคร่งศาสนาสักหน่อยจะยังไม่แปลกใจขนาดนี้ แต่มาเกิดที่รัฐตื่นทอง  ซึ่งเรามองว่าเป็นรัฐของพวกฮิพและรักอิสระน่ะ ตอนมีข่าวออกมาแรกๆทำเราอึ้งไปพักใหญ่เลย เราอยากเห็นสภากาแฟในแซนฟานจริงๆ  คงระอุดุเดือดแน่นอน ถ้าถามเรา เราว่ากฎหมายนี้มันละเมิดสิทธิมนุษยชนนะคะ มันคือเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเต็มๆ   สิทธิที่เรามีกับตัวต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น....นี่คือความเชื่อของตัวเรา เรามองยังไงก็มองไม่ออกว่า  การแต่งานของกลุ่มเกย์นี่มันละเมิดสิทธิ์คนอื่นตรงไหน ประเทศที่ยกย่องตัวเองในเรื่องเสรีภาพอย่างอเมริกา ลึกๆลงไปแล้ว  ข้อจำกัด(แฝงศาสนา)นี่มีอะไรประหลาดเกินคาดเดาจริงๆ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 52 15:34:24 จากคุณ : Quaver    - [ 7 มี.ค. 52 15:32:28 ] จากคุณ : Pat :o) - [ 12 มี.ค. 52 10:47:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องการศึกษา ดูแล้วแอบดีใจที่อเมริกาก็มีปัญหาเรื่องการศึกษาเหมือนกัน สื่งที่ Sam พูดนี่ยกมาใช้กับประเทศเราได้เลยนะ ส่วนนึงที่เป็นปัญหาของการศึกษาไทยคือเรื่องครู เรามีครูไม่พอ และคนที่มาเป็นครูก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งมาก (ดูคะแนนเอนต์ของคณะครุศาสตร์ เทียบกับคณะอื่นๆสิ) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอาชีพครูได้เงินน้อย คนที่มีความสามารถเลยไปเรียนอย่างอื่นที่จะทำเงินได้มากกว่า  แต่ถ้าจะบอกว่า รัฐบาลควรขึ้นเงินเดือนครู ก็จะเจอปัญหาว่า จะเอาเงินมาจากไหน ตอนนี้งบประมาณของกระทรวงศึกษานี่มากกว่างบกระทรวงอื่นทั้งหมดแล้ว   (22% ของงบกลาง) แต่งบเกือบทั้งหมดใช้จ่ายเป็นเงินเดือนครูและพนักงานการศึกษาต่างๆ เหลือน้อยมากที่ใช้พัฒนาคุณภาพของการเรียนการสอนในด้านอื่นๆ   ถ้าจะให้ขึ้นเงินเดือนครูจนถึงในระดับที่ 'พอสู้ได้' กับเงินเดือนของอาชีพอื่นๆ จนถึงขนาดที่เราดึงคนเก่งมาเป็นครูได้ สงสัยจะต้องเพิ่มงบกระทรวงศึกษาเป็นสองเท่า สิ่งที่ในอเมริกาแตกต่างจากเมืองไทย ที่เห็นได้จากตอน Six meetings คนที่สนับสนุนระบบ school voucher คือว่า เขาเชื่อว่าเด็กที่ได้ voucher จะสามารถเลือกโรงเรียนที่มีมาตรฐานการศึกษาดีกว่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเลือกโรงเรียนเอกชน แต่ในประเทศไทย เรารู้สึกว่าความแตกต่างของคุณภาพของการศึกษาของแต่ละโรงเรียนไม่ใช่ระหว่างโรงเรียนรัฐกับโรงเรียนเอกชนนะ แต่แตกต่างระหว่างโรงเรียนในเมืองใหญ่กับโรงเรียนชนบทมากกว่า ยิ่งโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประเภทโรงเรียนที่มี นักเรียน 6 ชั้น ครู3 คนเนี่ย ทำให้การเรียนรู้ของเด็กทำได้ไม่เต็มที่ ได้เงินสนับสนุนก็เพียงน้อยนิดเลยพัฒนาไม่ขึ้นซักที ซึ่งช่องว่างของการเรียนในระหว่างน.ร.ในโรงเรียนในเมืองกับในชนบท ทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆมันไม่หมดไปซะที เช่น ด้านโอกาสในการศึกษาต่อหรือด้านรายได้ แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 52 14:18:29 จากคุณ : Pat :o) - [ 12 มี.ค. 52 14:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 วินิคกับซานโตสคิดต่างกันเรื่อง education LIVE DEBATE SAWYER : Congressman Santos, throughout this campaign, you have said that you want to be known as the Education President. Now, what does that mean? What is the proper role of the federal government in education? SANTOS : Level the playing field. Help close the gap between Beverly Hills High and Harlem High. We have got to change a system that says the quality of your education depends on where you live. VINICK : Throw more money at the problem; that's the Democratic way... SANTOS : Well, you want to throw money at the border. VINICK : Let me finish. Before you vote for someone who thinks you can buy higher test scores for poor students, know this: the highest spending school system in the country has the lowest test scores. Washington, D.C. spends more than every state; $15,000 per pupil with nothing to show for it. SANTOS: I'm not talking about just throwing money at the problem. I'm talking about supporting the new approaches that have already succeeded in some school districts. The President can spread those good ideas around the country and he can make sure that every student gets the chance that he or she deserves. VINICK : Except the chance to go to a private school. The Republican Congress passed a federally funded voucher program for Washington, D.C. to help poor students who can't afford to go to private schools. We got more applications than we could handle. Poor minority parents desperately want to get their kids out of failing public schools. The Democrats won't let them. SANTOS : Oh, that's right, the big, bad Democrats won't take money away from public schools to give them to private schools. What's next, taking money away from police departments to pay for private security guards? VINICK : The federal budget contributes about seven cents out of every dollar spent on public schools. Now, if you enact every bit of the Santos education plan, then that will go up to eight cents. Do you really think you get to call yourself the Education President if you're only going to cover half the education budget? SANTOS : Well, the federal share is much higher than that if you include headstart, and I can understand why you don't include headstart in the total of federal funding, Senator, since you voted against it. VINICK : Headstart doesn't work. VINICK : I wish headstart did work, but it doesn't. By grades four and five, headstart graduates do no better academically than their equally poor classmates who didn't attend headstart. So yes, I have voted against expansions of an 8-billion... 6-billion dollar program that's not raising academic achievement. SANTOS : Headstart does raise scores in the early years and then we let them slip. Our whole school system has been slipping for years and our rankings with other countries in math and science achievement... we've got to find a way to turn that around. If we provide the school systems and teachers with everything they need and the flexibility to experiment with fresh new approaches, I think that American students can be number one in the world in math and science in ten years. VINICK : That's a lie. It's a lie that every President, Democrat and Republican, has been telling for 20 years: we're going to be number 1 in ten years. Go ahead, Google it right now. I'm not saying that every President knew it was a lie when he said it or that Congressman Santos knows it's not true, but I do. So let me tell you what our goals should be our realistic goals. First of all, let's stop pretending that everyone can or should go to college. Every airline needs high-paid mechanics and none of them have to go to college. There are plumbers in some parts of the country that make a better living than dentists. Now, I'm not talking about lowering our ambitions. I'm talking about targeting our ambitions correctly. Now, it's true: some other countries have raised their academic standards over and above what they were once. But we still have the best scientists in the world, the best doctors, and by far the most Nobel prizes. If a kid does well in one of those foreign high schools, guess where he or she wants to go to college. That's right; Harvard, Stanford, Cal-Tech, the University of Texas, and a hundred other American universities that are better than anything they have in their countries. So, if we're going to have a practical approach to education, we're going to have to admit that not every one can go to MIT. But most of the kids who do go to MIT come from American public schools. SANTOS : So, give up on headstart, just give up on early education, and then give up on those kids who don't test well. They'll find their way, don't worry about them. VINICK : I'm not going to give up on public schools. SANTOS : Well, you haven't proposed a single thing that will make them better not one new idea. I'm going to keep trying new ideas. Some might work, some might not, and I'll level with you about that. We'll keep the good ideas and get rid of the bad. And I won't let a day go by in this White House where I don't work hard to improve our public schools. In fact, I'm going to stake my Presidency on that, right here, right now. And if in four years from now, you don't think I've improved public education in this country then do not vote for my reelection. จากคุณ : มาลัยฯ - [ 12 มี.ค. 52 23:26:15 A:124.121.211.73 X: TicketID:108292 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อิอิ ไม่ได้ดูเรื่อง The West Wing หรอกครับ แต่เห็นประเด็นน่าสนใจดี เลยขอมาเวิ่นเว้อด้วย ขออภัยล่วงหน้าหากออกทะเลเยอะหน่อย ^_^ เรื่องการศึกษาของเมืองไทยเนี่ย ยิ่งปฏิรูปก็ยิ่งเละ คิดได้อย่างไร ให้แต่ละโรงเรียนเขียนหลักสูตรเอาเอง จากเมื่อก่อนที่มีหลักสูตรมาให้ มาตรฐานการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียนก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว มาเขียนหลักสูตรเอง ยิ่งเละกันใหญ่ เรื่องการ entrance ก็เหมือนกัน เปลี่ยนระบบกันทุก 4-5 ปี แถมมาตรฐานแย่ลง เด็กคณะวิศวะใช้คะแนนภาษาไทย-สังคมสูงๆ เข้าไป พอไปเรียนฟิสิกส์ขั้นสูงเลยตกกันตรึม วิชาที่ใช้สอบเข้า ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความสำเร็จในการเรียนของคณะนั้นๆเลย หรือเหตุผลที่ต้องให้น้ำหนักคะแนนไทยสังคมเยอะๆ เป็นเพราะครูน้อยใจที่เด็กไม่สนใจวิชาเหล่านี้ โดยเฉพาะเด็กแผนวิทย์ที่สนใจพวกเลข ฟิสิกส์ เคมี ชีวะมากกว่า คิดว่าระบบรุ่นที่เราสอบ (บอกอายุรึเปล่าเนี่ย) ที่ให้สอบเดือน ต.ค. 1 ครั้ง เดือน มี.ค. อีก 1 ครั้ง แล้วใช้คะแนนที่ดีที่สุด เลือกเข้าคณะต่างๆ ดูเป็นวิธีที่ดีสุดแล้ว เพราะเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีในระดับหนึ่ง มาตรฐานเด็กที่เรียนร่วมคณะที่ผ่านการสอบแบบนี้ดูใกล้เคียงกัน ไม่แปลกแยกกันมาก (แถมตอนนั้น คณะวิศวะ คะแนนไทย-สังคม สอบให้เกิน 30 เป็นพอ แถมไม่เอามาคิดเป็นคะแนนรวมอีก) . ... เรื่องเงินเดือนครู ต่อให้รัฐมีงบมากขึ้น สามารถเพิ่มเงินเดือนครูได้เยอะๆ ก็ยังไม่แน่เลยว่า คนเก่งๆ อยากจะมาเป็นครูมากขึ้นรึเปล่า แล้วถ้าคนเก่งๆ มาเป็นครูมากขึ้นจริงๆ คุณภาพการศึกษาจะดีขึ้นจริงหรือ เราเรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่อันดับต้นๆ (ที่หลายๆคนมองว่าน่าจะมีมาตรฐานการศึกษาในเกณฑ์สูง) แต่ครูมีปะปนกันทุกรูปแบบจริงๆ เหมือนเสี่ยงดวงว่าจะเจอครูสอนดีหรือไม่สอนเลย ให้เด็กอ่านเอง อ้างว่า Child Center ตลอด ครูบางคนทุ่มเทการสอนมาก ตรวจการบ้านตลอด ทำชีทเสริมมาสอนเด็ก แต่อาจได้เงินเดือนน้อยกว่าครูบางคนที่มัวแต่ทำอาจารย์ 3 มัวแต่ทำแผนการสอนที่ไม่เคยเอามาใช้สอนเด็กจริงๆ เป็นแค่ผลงานที่ทำเพื่อจะขอเลื่อนขั้น ขอเพิ่มเงินเดือน จากคุณ : oopza - [ 13 มี.ค. 52 02:16:48 A:192.168.0.17 X:58.64.51.167 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนในเรื่องครูต่างจังหวัดที่ในแต่ละโรงเรียนมีน้อยซะจนน่าใจหาย อันนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษาอย่างเดียวอ่ะ แต่มันเป็นทุกอย่างเลย “ประเทศไทย คือ กรุงเทพ” ทุกอย่างอยู่ที่กรุงเทพหมด โรงเรียนดีๆ มหาวิทยาลัยดีๆ หรือ แม้แต่โรงพยาบาลดีๆ อยู่ที่กรุงเทพหมด เวลาใครป่วยเป็นโรคร้ายแรงต้องถ่อมารักษาที่กรุงเทพทั้งนั้น เพราะโรงพยาบาลต่างจังหวัดขาดยา เครื่องมือ ขาดคน ถ้าไม่มารักษาก็ตายสถานเดียว ไม่เหมือนของอเมริกาที่ทุกรัฐจะมีเมืองใหญ่ๆ หลายๆเมืองคอยรองรับเรื่องพวกนี้ครบถ้วน ปัญหานี้ คงแก้ยากๆมากๆอ่ะ ไม่รู้ว่าการที่อเมริกาเป็นรัฐรวม คือ แต่ละรัฐต้องได้รับการกระจายอำนาจมีทุกอย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จในตัวเองเหมือนเป็นประเทศย่อยๆ ในขณะที่ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว มันมีผลในเรื่องนี้ไหม ไม่รู้ว่าประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นรัฐเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง แต่ปัญหานี้จนปัญญา ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เรื่องค่านิยมในการเลือกสถานที่เรียนของคนไทยกับอเมริกา เท่าที่ผ่านการดูซีรีส์และพบเจอในชีวิตจริง ประเทศไทย หลายคนเชื่อว่าโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียงทั้งหลายที่เข้ายากๆ เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนอื่นๆ (อาจเป็นเพราะมีเปอร์เซ็นต์เด็กที่เอ็นท์ติดมากกว่าที่อื่นรึเปล่าก็ไม่รู้) ถึงมีนักการเมือง คนมีชื่อเสียงในแวดวงทั้งหลาย พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ลูกตัวเองเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ ทั้งที่โรงเรียนเอกชนดีๆก็มีอยู่ อย่างน้อยก็คงจะเอาไปพูดได้ล่ะมั้งว่าลูกข้าเรียนโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ อเมริกา การเรียนโรงเรียนเอกชน ทำให้โอกาสที่จะได้เข้าเรียนมหาลัยดีๆ โดยเฉพาะพวก Ivy League มีสูงขึ้นไปด้วย ครอบครัวที่มีฐานะก็สบายไป แต่ครอบครัวชนชั้นกลางที่อยากให้ลูกได้ดี ก็ต้องปากกัดตีนถีบช่วยลูกอย่างเต็มที่ เพราะค่าเล่าเรียนสูงเว่อร์ๆเลย แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การเข้ามหาวิทยาลัยของคนอเมริกา มันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แม้คุณจะจบ community college หรือไม่ได้เรียนมหาลัยเลย ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีชีวิตดีๆ ไม่ได้ (Living An American Dream ซะจริงๆ) การไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะ การเป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นพนักงานขายในห้าง ในซุปเปอร์มาร์เก็ต งานเหล่านี้ค่าตอบแทนมันไม่ได้น้อยมาก (เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ) มันพออยู่ได้สบายๆ พอหาที่พักดีๆ พอหารถขับได้ แต่ถ้าเป็นเมืองไทย ก็ลำบากอยู่นะ จากคุณ : oopza - [ 13 มี.ค. 52 02:17:16 A:192.168.0.17 X:58.64.51.167 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่รู้เกี่ยวกับกระทู้รึเปล่า แต่มีข่าวว่า ลูกสาวของผู้ว่าฯซาร่า เพลิน ที่ท้องก่อนแต่งช่วงที่คุณแม่กำลังหาเสียงเป็นรองประธานาธิบดีอยู่ และเพิ่งคลอดลูกไปเมืองต้นปี ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ารักกันดีกับพ่อของลูก จะแต่งงานกันเร็วๆนี้ ปรากฏว่าล่าสุด ถอดหมั้นกันซะแล้ว http://www.usmagazine.com/news/bristol-palin-levi-johnston-split-2009113 จากคุณ : Domingo - [ 13 มี.ค. 52 12:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ oopza คะ ... ถึงไม่ได้ดู The West Wing แต่ก็มาคุยได้นะคะ แต่สงสัยว่าทำไมคราวนี้สมาชิกยังไม่เข้ามากันเลย ขอบคุณคุณมาลัยที่มาโพสท์ debate ระหว่าง Vinick กับ Santos ด้วยค่ะ อ่านแล้วมีทั้งส่วนที่เห็นด้วยกับ Republican และ Demoncrat ถึงแม้ว่า Vinick จะบอกว่า voucher จะสามารถช่วยให้เด็กนักเรียนใน Washington DC ที่อยู่ในโรงเรียนที่ไม่ได้ ได้มีโอกาส แต่เราว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนอ่ะ แล้วนักเรียนที่เหลือจะทำไง มันเหมือนบอกว่าเราจะเลือกช่วยนักเรียนสองคนจากโรงเรียนที่อยู่ชนบทให้ได้มาเรียนในกรุงเทพ ส่วนนักเรียนที่เหลือก็เรียนในโรงเรียนเดิมต่อไป   ส่วนที่เราเห็นด้วยกับ Vinick คือที่บอกว่า "First of all, let's stop pretending that everyone can or should go to college. Every airline needs high-paid mechanics and none of them have to go to college. ...Now, I'm not talking about lowering our ambitions. I'm talking about targeting our ambitions correctly. " ตอนนี้ในเมืองไทย พ่อแม่มีค่านิยมที่จะต้องให้ลูกจบปริญญา ทั้งๆที่บัณฑิตตกงานกันเกลื่อนกลาด ในขณะที่เราขาดแคลนช่างฝีมือเฉพาะด้านเป็นอย่างมาก จนอาจจะทำให้การลงทุกจากต่างประเทศบางอย่างจะไม่ขยายตัว ทำไมเราพยายามไม่ยกระดับการศึกษาสายอาชีพ ผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ --------- ขอพูดเรื่องการเอนทรานซ์หน่อยละกัน  การเข้าเรียนมหาวิยาลัยดังๆในอเมริกา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคะแนนของคุณอย่างเดียว แต่นักเรียนต้องแสดงให้เห็นว่ามีความตั้งใจจริง มีambition มีความสามารถและความสนใจรอบด้าน ถ้ามีนักเรียนสองคน คนแรกได้เกรด4 หมด แต่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมอะไรเลย  แต่คนที่สองได้ 3.5 แต่เป็นคนที่เข้าร่วมชมรมต่างๆ มีกิจกรรมเสริม แสดงให้เห็นว่าพร้อมจะพัฒนาเป็นผู้นำในทุกๆด้าน มหาวิทยาลัยเค้าก็เลือกคนหลังนะ Leadership ไม่ได้มาจากการเรียนเก่ง แต่เป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว แต่ในประเทศไทย เด็กๆต้องท่องหนังสือกันหัวบาน เพื่อที่จะเอาคะแนนมาแข่งกัน ด้านอื่นไม่มีผล จากคุณ : Pat :o) - [ 13 มี.ค. 52 13:50:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อยากดูอ่า ไม่มีตังค์ซื้อแล้วววว มีผู้ใดให้ยืมมั๊ยอ่า จากคุณ : jl (janthimal) - [ 13 มี.ค. 52 16:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ เดี๋ยวจะให้คนแถวนี้หลังไมค์ไปหาูนะคะ จากคุณ : Pat :o) - [ 13 มี.ค. 52 19:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Every airline needs high-paid mechanics and none of them have to go to college. There are plumbers in some parts of the country that make a better living than dentists. Now, I'm not talking about lowering our ambitions. I'm talking about targeting our ambitions correctly. รู้สึกว่าอาชีพ plumber เนี่ย ถูกยกมาเวลามี debate อยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดก็ Joe the Plumber ของ Obama ช่างประปาที่นู่นคงได้ค่าจ้างต่องานเยอะจริงๆ แหละ ไม่งั้นพอมีท่อรั่วที บางบ้านต้องลงมือซ่อมเอง เพราะไม่อยากเสียตังค์แพงๆ ไปจ้างช่างประปา แต่เมืองไทยเนี่ย จะมีไหมที่ plumber ที่ได้รายได้สูงๆ เรื่องการเรียนมหาวิทยาลัย มันไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคนจริงๆ แต่ลองคิดว่า ถ้าวันหนึ่งเรามีลูก แล้วลูกบอกว่าไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัย เราคงไม่ยอมแน่ๆ อย่างน้อยคงบอกให้เรียนจบมหาวิทยาลัยก่อน แล้วจะไปทำอะไรต่อก็ได้ มันเป็นค่านิยมจริงๆ สลัดไม่ออกด้วย ....................................................... เรื่องการเข้ามหาวิทยาลัยของอเมริกา ที่พิจารณาจากทั้ง GPA การทำกิจกรรมและการเขียน SOP เนี่ย มันเป็นดุลพินิจค่อนข้างมาก (แต่ก็มีบรรทัดฐานในการคัดเลือกที่ชัดเจนพอสมควร) หากเอามาใช้ในเมืองไทย เกรงว่าจะมีบางคนที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้แบบงงๆ ประมาณว่า เกรดไม่ดี กิจกรรมก็ไม่เด่น แต่เข้ามาได้ไง เพราะนามสกุลรึเปล่า ตอนที่คณะนิเทศจุฬา เพิ่งเปิดหลักสูตรอินเตอร์ เค้ารับสมัครแบบนอกรอบ ตอนนั้นเค้าพิจารณาจากคุณสมบัติ 3 ข้อ ผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกต้องมีครบ 3 ข้อ จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง รู้สึกว่าจะเป็น 1. GPA ไม่ต่ำกว่า x.xx 2. คะแนนเอ็นท์ 3. ...... แต่พอมีลูกบุคคลสำคัญเข้ามา เค้าเปลี่ยนกฎเฉยเลยว่าเอาคุณสมบัติแค่ 2 ใน 3 ก็พอ (ถ้าจำไม่ผิด ลูกบุคคลสำคัญคนนั้นจะ GPA ไม่ถึง) ท้ายสุด เด็กคนนั้นติดเข้ามา แต่มีเด็กอีกหลายคนที่คุณสมบัติครบ 3 ข้อแต่ดันไม่ติด เกิดการโวยวายกันยกใหญ่ ในที่สุด เด็กคนนั้นก็ต้องระเห็จไปสมัครเอ็นท์แบบปกติและได้เรียนที่คณะอื่น แต่ก็ยังอยู่ในจุฬาอยู่ดี จะว่าไป แม้แต่การสอบเอ็นทรานซ์ ยังโกงกันได้เลย มีข้อสอบรั่วด้วย คะแนนสอบทั้ง 2 ครั้งของเด็กคนนั้น ถูกเอามาประจาน เอามาเปรียบเทียบกันอย่างยกใหญ่ว่าคะแนนสอบครั้งหลังสูงขึ้นอย่างเว่อร์ๆ น่าสงสารเด็กแทน ถ้าเด็กไม่มี what it takes ที่จะเข้ามหาวิทยาลัยนั้นๆ ทำไมที่บ้านไม่ส่งไปเรียนเมืองนอกซะเลย จะได้ไม่เป็นขี้ปากชาวบ้านเพิ่มขึ้นไปอีก ระบบ Admission ของอเมริกา ไม่รู้ว่าการที่เป็นลูกนักการเมือง นักธุรกิจชื่อดัง หรือมีพ่อแม่จบจากมหาวิทยาลัยนั้นๆ จะมีส่วนช่วยในการให้เข้ามหาวิทยาลัยได้รึเปล่า เราคิดว่ามีส่วนแน่นอน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าเป็นลูกบุคคลสำคัญ แต่เกรดเน่า กิจกรรมไม่มี ก็คงเข้ายากอยู่ดี ................................................. คุณ Domingo ตั้งประเด็นเรื่องลูกของ Sarah Palin ขึ้นมา ทำให้ชวนนึกถึงเรื่องการท้องในวัยรุ่นที่มีเพิ่มขึ้นมากทั้งที่อเมริกา ทั้งไทย จะโยงไปเรื่องการทำแท้ง โยงไป pro-life กับ pro-choice ได้รึเปล่าเนี่ย อิอิ เราเป็นพวก pro-choice นะ ยอมให้มีการทำแท้งได้ ยังมีเรื่อง same-sex marriage และ Proposition 8 อีก เดี๋ยวค่อยมาทยอยพูดละกัน จากคุณ : oopza - [ 13 มี.ค. 52 23:48:10 A:58.64.106.144 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขออภัยค่ะ ช่วงนี้ยุ่งมากมาย จะปิดเทอมแล้วส่งงานไม่เว้นแต่ละวัน -_-" ประเด็นการศึกษานี่ตอนดูครั้งแรกอึ้งมาก คิดมาตลอดว่าเมกาเป็นรัฐสวัสดิการ ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องพวกนี้ ที่ไหนได้... "งบประมาณของกระทรวงศึกษานี่มากกว่างบกระทรวงอื่นทั้งหมดแล้ว (22% ของงบกลาง)" นี่หมายถึงไทยหรือเมกาคะ ถ้าเป็นไทยนี่อึ้งจริงๆนะ ไม่น่าเชื่อเลย แปลว่าจ้างครูนี่ใช้เงินมากกว่าสร้างทางด่วนอีกเหรอเนี่ย ว่าแต่เด็กเมกาเค้าเรียนกันปีนึงแค่นั้นจริงๆเหรอ ประเทศไทยเราเรียนมากกว่ากี่เท่าก็ไม่รู้ แต่ทำไมผลผลิตที่ได้ถึงไม่สัมพันธ์กับเวลาเรียนเลยล่ะ ปล. เรื่องลูกของเพลิน หึหึ ก็หมั้นกันไปอย่างนั้นสินะ ผักชีชัดๆ (วันนี้บ่นแต่เรื่องประเทศชาติ ฮะ ฮะ) จากคุณ : ทินา (ทินา) - [ 14 มี.ค. 52 04:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อวานพิมพ์ไปตั้งเยอะ  กดส่งเสร็จเจอความวุ่นวายของเว็บ...กร๊ากกก หายเกลี้ยง! ฟามจริงช่วงนี้เราไม่ว๊างไม่ว่าง...เอิ้กกก ขำตัวเอง  มุขส่วนตัวมากกก วันนี้เขียนเรื่องเบาๆก่อนเนอะ เราน่ะขอบคุณคุณภัทรที่เลือกตอนSix Meeting Before Lunchเลยค่ะ เพราะได้กลับไปดูแล้วมันมีแก็กตลกเล็กๆซ่อนอยู่ตรึม ไอ้ตอนแรกที่โทบี้เข้ามาริบแชมเปญน่ะแล้วบอกว่ามันเป็น  Tempting fate เราก็อะไรหว่า...Tempting fate  ชะตารักเหรอ นึกไปถึงนิยายประโลมโลกที่เคยอ่านไปโน่น กว่าจะเข้าใจความหมายก็มั่วงงไปเลย การลุ้นลงคะแนนของพวกกลุ่มสตาฟบวกจอชนี่  เหมือนเด็กๆเลยอ่ะ ตอนนี้นะเราชอบเรื่องบาร์กล้วย เบียร์แพนด้า เบียร์โคอาร่าระหว่างจอชกับดอนน่ามากเลย ดูไปนั่งหัวเราะจนปวดท้อง banana bar ของจอช คือ  Panda bear ของดอนน่า ไอ้ d กับ e ของดอนน่ามันทำให้เบียร์แพนด้ากลายเป็นบาร์กล้วยหอมไปได้ ...ทำเอาอยากเห็นลายมือดอนน่าที่จอชเอามาเสียดสีขึ้นมาทันที แล้วแพนด้าในความคิดของจอชก็คือไอ้หมีตัวเล็กโคอาล่า เรานั่งดูตอนนี้แล้วคิดว่าถ้าแซมไม่ตัดช่องน้อยหนีไป เรื่องราวระหว่างแซมกับมัลลอรี่จะเป็นไงนะ ขอแค่นี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเก็บเรื่องการศึกษาบ้านเขากระทบชิ่งบ้านเราอีกที จากคุณ : Quaver - [ 14 มี.ค. 52 16:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอคั่นด้วยข่าวเศร้านะคะ Ron Silver ที่รับบทเป็น  Bruno นักวางแผนแคมเปญคนเก่ง เสียชีวิตเมื่อวานนี้ด้วยโรคมะเร็งในหลอดอาหาร Rest in peace แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 52 10:57:33 จากคุณ : Pat :o) - [ 16 มี.ค. 52 10:55:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 >>คุณ Domingo ตั้งประเด็นเรื่องลูกของ Sarah Palin ขึ้นมา ทำให้ชวนนึกถึงเรื่องการท้องในวัยรุ่นที่มีเพิ่มขึ้นมากทั้งที่อเมริกา ทั้งไทย จะโยงไปเรื่องการทำแท้ง โยงไป pro-life กับ pro-choice ได้รึเปล่าเนี่ย อิอิ<< เรื่องทำแท้งมีคุยกันในครั้งก่อนๆค่ะ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7467884/A7467884.html http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7531623/A7531623.html แต่ถ้าอยากคุยอีกก็เขียนมาได้เลยค่ะ ชอบ Banana bar vs Panda Bear เหมือนกันค่ะ ฝ่ายหญิงก็แถไปได้เรื่อยๆ ส่วนฝ่ายชายก็ช่างกระทบกระเทียบนะ "My penmanship is distinctive!" คนอเมริกันนี่ก็ชอบแพนด้าพอๆกับที่คนไทยเห่อช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยเลยเนอะ ที่ National Zoo มี Panda cam ด้วยนะ ดูแพนด้าได้สด 24 ชั่วโมง หมั่นไส้ Josh อ่ะ Donna แต่งตัวสวยเซ็กซี่ออกไปเดท ดันไม่สังเกตเล้ย จากคุณ : Pat :o) - [ 16 มี.ค. 52 15:45:23 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอพูดในแง่การศึกษาเมืองไทยละกันนะคะ อยู่ต่างจังหวัดเนี่ย มันจะมีโรงเรียนดังๆประจำจังหวัดเลย ที่ประมาณว่า ใครๆ ก็ต้องพยายามสอบเข้าให้ได้ ตอนสอบเข้าเนี่ย มันจะมีโควต้าบ้านใกล้โรงเรียน คือไม่้ต้องสอบ แค่อยู่ในทะเบียนบ้านที่ใกล้โรงเรียนก็มีโอกาสเข้าได้เลย ซึ่งสัดส่วนโควต้าบ้านใกล้เนี่ย สมัยเราเค้าจะให้ 10% ของจำนวนนักเรียนที่เปิดรับทั้งหมด ดังนั้น เด็กที่สามารถสอบเข้าได้ จึงค่อนข้างเป็นเด็กเก่งจริง หัวกะทิของจังหวัด แต่ต่อมา กระทรวง กลับเปลี่ยนกฎรับเด็กเข้า เป็นว่า ให้โควต้าบ้านใกล้เนี่ย เกิน 50% ซึ่งเราจำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ ว่าเท่าไหร่ แต่เยอะอ่ะ กลายเป็นว่า ไอ้เด็กที่เรียนเก่ง แต่ไม่ได้อยู่ อ.เมืองเนี่ย ต้องไปแข่งกันมากขึ้น เพื่อจะเข้าไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดให้ได้ เราจำได้ว่า ครูที่สอนเราเนี่ย ด่าระบบนี้แบบเสียๆหายๆ เพราะกลายเป็นว่า เด็กที่ได้เข้ามาเรียนโรงเรียนดีแต่ความสามารถในการเรียนรู้ มันไม่เท่าเด็กที่ผ่านการสอบยากๆ จนสอบเข้ามาได้เนี่ย ครูพูดถึงขนาดว่า รัฐอยากให้เด็กไทย โง่เท่าๆกัน -*- ไอ้คนเก่ง ต้องไปเข้าโรงเรียนลำดับรองๆลงไป ซึ่งครูก็ไม่ได้เก่งมากมาย ส่วนเด็กที่เข้าโรงเรียนดีๆ กลับไม่เก่งพอที่จะเรียนได้ ปัจจุบัน ไม่รู้แล้วว่า กฎรับเด็กเข้าเรียนเป็นยังไงบ้างแล้ว ส่วนเรื่องเอนท์ โอย อันนี้สงสารเด็กรุ่นใหม่มากๆ ล่าสุดมีสอบ GAT PAT ที่เด็กม.5 ต้องสอบ เพื่อเอาคะแนนเก็บไว้ ไปยื่นสำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย ค่าสอบตรงนี้อ่ะ แพงมากกกกกกกกกกกก.... ที่เห็นๆ ก็ประมาณ 1800-2200 นะ เห็นแล้วโห ดีนะไม่มีลูก ทำไมค่าสอบมันแพงหูฉี่ขนาดนี้ แต่เห็นว่าเค้าเปลี่ยนวิธีการคิดคะแนนใหม่ ข้อไหนตอบผิด เอาคะแนนมาลบจากคะแนนที่ได้ แต่ได้ยินปุ๊บ "แบบนี้เราก็มั่วค.ควายไม่ได้แล้วดิ๊" สมัยเอนท์ วิชาเลข ตอบแต่ค.ควาย 555+ ส่วนเรื่องการเรียนการสอนในโรงเรียน พ่อแม่คงต้อง Home school เอามั๊ง ถึงจะได้สอนได้ตรงใจตัวเอง ได้รู้เรื่องครูสมัยนี้มานิดหน่อย อย่างเช่นเด็กต้องเรียนพิเศษกับครูที่สอนในห้องเรียนนั่นแหละ ไม่งั้นไม่ได้ข้อสอบ หรือทำข้อสอบไม่ได้ หรือได้คะแนนไม่ดี แต่อย่างว่าล่ะ ครูก็มีครอบครัว ต้องกินใช้เหมือนกัน ถ้าจะพึ่งเฉพาะเงินเดือนครูคงไม่พอ กลายเป็นว่า เด็กแทนที่จะทุ่มเทกับเวลาเรียนในห้องไปเลย กลับต้องเอาเวลาหลังเลิกเรียน ไปตระเวณเรียนพิเศษกับครูที่สอนในห้องเรียน ซะอีก กลับเข้ามา tww ตอน Josh แซว Donna เรื่องชื่อ มันรู้สึกได้ว่า Josh ชอบ Donna นิดๆนะเนี่ย ((ทำไมคิดจะจีบเค้าช้าแบบนี้ ไม่ได้เรื่องเล้ย ตา Josh)) เรามีคำถามถามนิดนึง จากตอน 611 ทำไมจะ run president เนี่ย ต้องเริ่มที่ NH ล่ะ ที่บอกว่า 30% เป็น Franco - America ช่วยอธิบายตรงนี้หน่อยได้เปล่าคะ งงตั้งแต่ตอนที่ดูแล้ว เหมือนตัดสินกันไปเลยว่า ถ้าจะ run จริงๆ จะรอดไม่รอดให้ดูที่รัฐนี้ สุดท้ายจริงๆ เรื่อง Pro-life กะ Pro-choice จากที่คุยกันมาสองครั้ง กลับไปนั่งคิดแบบไตร่ตรองแล้ว เราขอเลือก Pro-life ดีกว่า เราคิดว่า ถ้ามีการให้ทำแท้งเสรีได้เนี่ย คนก็จะไม่คิดว่าการคุมกำเนิดสำคัญ แบบพลาดขึ้นมา ชั้นไปทำแท้งก็ได้ พอเลือกPro-life ทำให้คิดเลย ตัวเองนี่โคตร conservative จากคุณ : =U_U= PoRpLe - [ 18 มี.ค. 52 12:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ที่บอกว่า 30% เป็น Franco - America ช่วยอธิบายตรงนี้หน่อยได้เปล่าคะ ต้องอิงประวัติศาสตร์คือสมัยที่พวกยุโรปย้ายมาตั้งรกรากที่อเมริกา ตอนแรกๆจะเป็นชาวอังกฤษกับฝรั่งเศสค่ะ คนฝรั่งเศสก็อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น อีกอย่างคือ NH อยู่ติดแคว้น Quebec ของแคนาดาซึ่งเป็นฝรั่งเศสด้วย Wikipedia บอกว่า NH จัด Primary เป็นที่แรกตั้งแต่ 1920 แต่ออกกฎหมายมาย้ำในปี 1977 ว่าต้องจัดเป็นที่แรก บางรัฐที่อยากให้ Primary ของตัวเองมีความสำคัญมากขึ้น ก็พยายามเลื่อนวันขึ้นมาให้เร็วขึ้น NH ก็เลื่อนหนี (คงเหมือนเป็น ego ของ NH เนอะ) แต่ก่อน NH Primary เป็นเหตุการณ์ที่จะชี้ตัวว่า ใครจะเป็น party nominee และเป็นเครื่องวัดทัศนคติของประชาชนต่อตัวผู้ลงสมัคร เพราะว่า primary จะนับคะแนนโหวตที่แต่ละคนได้รับโดยตรง แทนที่จะเป็นจำนวน delegates  เลยทำให้ผู้ลงสมัครที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักได้มีข่าวมากขึ้น เราว่าถึงใครจะเป็น pro-choice แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้อง conservative เสมอไปนะ เพราะมันเป็นแค่เรื่องๆเดียว อาจจะ progressive ในเรื่องอื่นก็ได้ แล้วก็มี pro-choice ในหลายระดับด้วยนะ บางคนไม่เห็นด้วยกับการทำแห้ง แต่บางคนไม่ยอมแม้กระทั่งการเพาะเซลล์ สำหรับ stem cell research เรื่องโควต้า ก็พูดยากนะ ถ้าให้โควต้ากับเด็กในพื้นที่ห่างไกลมาเรียนในโรงเรียนดีเยอะๆ เราก็อาจจะพัฒนาคุณภาพคนได้ไม่เต็มที่ เพราะว่าพื้นฐานของเด็กอ่อนอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ให้โควต้า เด็กในเมืองก็เก่งเอาๆ เด็กในพท.ไกลๆก็ไม่มีโอกาสได้ก้าวขึ้นมาเลย เพราะว่าคุณภาพของโรงเรียนชนบทมันไม่ถึงจริงๆ เหมือนว่า เราอยากมี คนที่เก่งระดับห้าดาว 2 คน กับ ระดับ สองดาว 8 คน หรือว่าเอาแบบระดับ 3 ดาว สิบคนเลย แบบไหนจะดีกว่า ตอบไม่ได้เหมือนกัน จากคุณ : Pat :o) - [ 19 มี.ค. 52 20:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าให้ขยายความเรื่อง primary กะ delegates จะเป็นการรบกวนเกินไปเปล่าคะ คืองงมาตั้งแต่อ่านข่าวเลือกตั้งแล้ว ทำไมการเลือกตั้งของเค้ามันดูยุ่งยากจัง แล้วมันทำให้การเลือกตั้งมีประสิทธิภาพต่างจากการเลือกตั้งแบบไทยๆอย่างไร จากคุณ : =U_U= PoRpLe - [ 19 มี.ค. 52 21:12:24 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ได้เลยค่ะ แต่ขอติดไว้ช่วงบ่ายๆนะคะคุณ porple เมื่อกี้ฟังเรื่องเล่าเช้านี้ มีส.ส.ฝ่ายค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายก โดยการเอารูปแต่งงานของนายกเมื่อ 20 ปีที่แล้วมา ชี้ให้ดูว่าตุ้มหูเพชรของภรรยานายก ไม่ได้อยู่ในบัญชีทรัพย์สิน .... เอ่อ จะจับผิดกันทั้งที มีหัวคิดแค่นี้เองเหรอ ไม่คิดเหรอว่าตุ้มหูเพชรนี่มันซื้อๆขายๆได้ ตั้ง 20 ปีที่แล้วเนี่ย จากคุณ : Pat :o) - [ 20 มี.ค. 52 07:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 23 กว่าจะได้กลับมา..ขอโทษจริงๆค่ะ แต่จะไม่ว่างอีกประมาณอาทิตย์นึงแน่ะค่ะเลยรีบกลับมาตอบก่อน ขอRIPก่อนเลย บรูโน่เราว่าเขาเป็นคนพิเศษนะ ความเป็นเดโมแครตของเขาไม่ได้ให้เขาตีกันจนเอาแต่กระแนะกระแหนรีพับลิกัน(อย่างจอช) เราชอบฉากที่ก่อนประกาศผลเลือกตั้งน่ะ ที่เขานั่งคุยกับหัวหน้าสตาฟอีกคนที่ชวนเขาไปรันแคมเปญแบบนี้ด้วยกันอีกต่อไป แต่บรูโน่ปฏิเศษแล้วบอกว่าจะไปซื้อบ้านมีสวนสวยๆ  เลิกทำงาน...อะไรทำนองนี้  เหมือนกับว่าเขาพอแล้ว มันดูแบบ...คนอย่างบรูโน่ที่ชอบเอาชนะมาตลอดนี่นะ  หยุดเป็นกับเขาเหมือนกันด้วย มาเรื่องคูปองการศึกษา คือว่าเราตัดสินใจยากจริงๆล่ะ เราอยากถามว่า  เงินน่ะมันใช้แก้ปัญหาได้ทุกอย่างจริงหรือเปล่า  ถ้าได้ทุนสนับสนุนรร.รัฐจนมากพอ  คุณภาพการศึกษาเด็กมันจะดีขึ้นจริงๆงั้นเหรอ ตัวเราเองเชื่อเรื่องคุณภาพครูมากกว่า เราคงต้องยอมรับความจริงด้วยมั้งว่า  ยุคสมัยนี้แล้วคนเรียนเก่ง  จะเลือกเรียนเพื่อออกมาเป็นครูมีมากน้อยแค่ไหน  หรือยังมีอยู่หรือเปล่า แล้วมันก็เหมือนปัญหาโลกแตกว่า  เมื่อครูไม่มีคุณภาพชีวิตมีหนี้สิน  ก็ไม่อาจเต็มที่กับการสอนในห้อง  จนลามไปเรื่องกั๊กเรียนในห้อง  ไปปล่อยข้อสอบที่เรียนพิเศษ ...จะแก้  แล้วแก้ไงล่ะ ล้างหนี้ให้ครู  แล้วครูก็ใช่ว่าจะสอนมีประสิทธิภาพขึ้น คิดไปคิดมาเหมือนว่ายวนในอ่างชอบกล ...เอ๊อ  เราข้ามมาเมืองไทยนี่หว่า  เอิ้กกกก ไกลไปละ แต่เราว่าคุณภาพครูเมืองลุงแซมคงไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไรหรอกมั้ง แถมยังน่ากลัวเรื่องความปลอดภัยเพิ่มเข้าไปอีก เพราะเราคิดประเด็นเรื่องคุณภาพครูไง เราว่าเราเลยมองเรื่องSchool voucher ในทางที่เห็นด้วยมากกว่า ในเด็กที่ด้อยโอกาสแต่คุณภาพสมองเขาเกินกว่าที่ครูจะสอนได้กับสภาพร.ร.จะให้ได้ การคัดค้านไปแบบนั้นก็เหมือนการตัดโอกาสที่เขาควรได้รับไปหรือเปล่า อย่างเด็กพวกในฮาเร็มไง เราเคยดูหนังเรื่องหนึ่งจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร  มีประโยคหนึ่งบอกว่า  เกิดในฮาเร็ม  อยู่ในฮาเร็มและตายในฮาเร็ม ...มันบ่งบอกว่า อนาคตของพวกเขาไม่มี  เป็นได้แค่เข้าร่วมแก็งค์ไม่งั้นก็ไม่มีที่คุ้มหัว   คุณภาพชีวิตแบบอยู่ไปวันๆเพื่อรอวันตายเท่านั้นเอง งั้นถ้ามีเด็กสักคนที่สมองดี  กีฬาเยี่ยมจนได้ทุนหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ก้าวไปสู่อีกโลกที่ดีกว่า  โลกที่มอบโอกาสอีกครั้งในชีวิตน่ะ   การส่งเสริมให้ School voucher   ก็คือการเปิดทางใหม่ให้เด็กเดินต่อไปได้ เรามองในแง่นี้ล่ะ ส่วนเรื่องเงินทุนสนับสนุนร.ร.รัฐอะไรนั่นเรามองว่าเป็นเรื่องการบริหารจัดการส่วนการเมือง คุณอย่าผลักภาระส่วนนี้มาให้เด็ก  มันต้องดูแยกออกไป คือเราไม่ค่อยเข้าใจระบบการศึกษาสมัยมัธยมของอเมริกาเท่าไรนะคะ เหมือนกับว่าเขาต้องบริหารจัดการเรื่องเงินทุนเอง จำได้ว่ามันเคยมีเรื่องว่า ร.รมีการตัดงบทางด้านดนตรีออกไปจากแผนการศึกษาเพราะมันไม่มีประโยชน์ โห..เราฟังแล้วช็อคอ่ะ  เหตุผลแบบนี้มันทิ่มแทงมากเลย เหมือนกับเมืองไทยที่เราเพิ่งมารู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาตัดวิชาศีลธรรมออกไปด้วยเหตุผลไม่ทราบได้นี่ล่ะ ซึ่งหนักข้อยิ่งกว่าเพราะเป็นกฎกระทรวงแล้วทุกร.ร.ต้องทำตามไม่มีการเลี่ยง เราว่ายากแล้วล่ะกับโลกปัจจุบันที่จะทำให้ทุกร.ร.อยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน ยิ่งการสั่งสมอายุความเชื่อถือยิ่งนานก็ยิ่งตามทันกันได้ยาก มันไม่ต่างจากเด็กอยากติดพระเกี้ยวมากกว่าเรียนมอเอกชนแม้จะระดับการศึกษาอาจพอๆกันก็ตาม เอาแค่ร.รเตรียมก็ได้นี่คะ  ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเรียนที่แตกสาขาออกไป นี่ขนาดนำหน้าชื่อเหมือนกันนะ  ความรู้สึกมันยังอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบเลย เราชักมั่วแล้วล่ะ เราว่าปัญหาการศึกษาทั่วโลกอยู่ตรง เราจะหาครูที่ดีพอและมีพอสอนให้เด็กมีคุณภาพที่ดีขั้นได้หรือเปล่า แล้วเงินมันจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าเงินเดือนครูเท่ากับเงินเดือนหมอ(บวกออกคลีนิค)  เราแน่ใจไหมว่าจะได้ครูคุณภาพดีทั้งสมองและจิตใจ การขาดแคลนครูนี่มันเกิดจากปัญหาเรื่องเงินจริงๆหรือเปล่า เรายังข้องใจเรื่องนี้อยู่นะ ครูอย่างเรื่องdead poet society  มันมีมากแค่ไหนล่ะ เราชอบความคิดแซมตรงที่พูดกับมัลลอรี่ว่า   education is the silver bullet. Education is everything...... Schools should be palaces. The competition for the best teachers should be fierce. คือว่าถ้าทำได้จริง  มันคงเปลี่ยนโลกการศึกษาไปอีกหน้านึงเลย กับการเมืองไทย อย่างหนึ่งที่เราชอบปชป.คือการประกาศแต่ไหนแต่ไรว่าจับจองกระทรวงการศึกษา กระทรวงม้านอกสายตาของการกอบโกยตั๋งหนับ เพียงแต่ว่า  เรารู้สึกว่า  กระทรวงนี้  นักการเมืองเขี้ยวลากดินสู้ปลัดกระทรวง  ข้าราชการประจำไม่ไหวหรอก เป็นกระทรวงคลื่นใต้น้ำที่แตะทีก็ลุกฮือที ไม่รู้เราจะมีได้โอกาสเห็นโลกใหม่ของการศึกษาไทยหรือเปล่า มีข่าวเปลี่ยนโน่นนี่ให้เราไม่รู้เรื่องได้ตลอดเวลา สักวันการศึกษาเวียดนามนำลิ่วทิ้งไม่เห็นฝุ่นจะหัวเราะไม่ออก  มัวแต่คิดเรื่องยิบย่อยถอยหลังลงคลองอยู่ได้ (เราดูถูกเวียดนามไปนะนี่  เพราะจริงๆป่านนี้ระบบการศึกษาเขานำหน้าเราไปแล้วด้วยซ้ำนะ) ในตอนนี้เราชอบอีกฉากนะ คือฉากจับผิดโซอี้ของซีเจ สะดุดเรื่องกุญแจรถก็จับได้เลย...เก่งจริงๆ แล้วตอนชาร์ลีตอบโซอี้เรื่องจูบ อื๋ยยยยย You'd better believe it. when I kiss you, i want a good two miles between your mouth and the Oval Office. ขอโทษจริงๆนะคะ เราไม่มีเวลาดูตอนอื่นเลย ดูได้แค่ตอนนี้ตอนเดียวเอง จากคุณ : Quaver - [ 23 มี.ค. 52 00:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เราถามคุณภัทรได้ไหมคะ คือเราข้องใจเรื่องการแต่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดมาโดนตลอดเลยค่ะ คือการคัดสรรน่ะต้องหาคนที่เป็นแบบไหนกันแน่ เป็นพรรคเดียวกันหรือต่างพรรคก็ได้ แล้วทำไมถึงดำรงตำแหน่งได้จนกว่าจะตายล่ะ แบบว่าป่วยจนอัลไซเมอร์ก็ยังครองตำแน่งอยู่แบบนั้นเหรอ งั้นตำแหน่งนี้มันตำแหน่งลอยๆ  ไม่ต้องทำหน้าที่จริงงั้นเหรอคะ จำได้มันมีตอนหนึ่งในเรื่องนี้ ที่เจ้ดแต่งตั้งผู้พิพากษาชาวละติโน่ที่ถูกจับขังคุกน่ะ นั่นคือการแต่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดด้วยใช่ไหมคะ รบกวนไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไว้รอคุยกันครั้งหน้าก็ได้ค่ะ เราขอต่อคิวจากคุณ=U_U= PoRpLe ค่ะ   ^ ^ จากคุณ : Quaver - [ 23 มี.ค. 52 00:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เรื่องการเลือกตั้ง เราไปเจอกระทู้เก่าๆที่พูดถึงเรื่องนี้ค่ะ ขอก๊อปมาแปะละกัน ถ้าเขียนเองไม่รู้ว่าจะครอบคลุมเท่านี้รึเปล่า แต่สรุปเป็นสเต็ปๆ ให้ตามนี้ค่ะ 1. ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งปธน. 2. ช่วงนี้ผู้ลงสมัครจะแคมเปญเพื่อแข่งกันเองในพรรค 3. Primaries & Caucus เพื่อหา delegates ที่สนับสนุนผู้ลงชิงตำแหน่งปธน. 4. National Conventions ของแต่ละพรรค ซึ่ง delegates มาลงคะแนนว่าจะเสนอใครเป็นตัวแทนพรรค ในการชิงเก้าอี้ ปธน. 5. ช่วงนี้ผู้ลงสมัครจะแคมเปญเพื่อแข่งกับพรรคตรงข้าม 6. Presidential Election  ซึ่งผู้ลงสมัครต้องพยายามชนะเพื่อให้ได้เก้าอี้ใน Electoral college 7. Electoral College โหวตเลือกปธน. ----------------------------------- ข้อความต่อไปนี้มาจากคุณ Uggie กระทู้นี้ค่ะ http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/2008/02/P6307395/P6307395.html ความคิดเห็นที่ 2   ในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา การแข่งขันสนามแรกคือ การแข่งขันกันเองภายในพรรคเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรค ซึ่งในบั้นปลาย แต่ละพรรคการเมืองจะตัดสินคัดเลือกตัวแทนพรรคใน "ที่ประชุมใหญ่ระดับ ชาติของพรรค" (Party National Conventions) โดยการลงคะแนนเสียง ของเหล่า Delegates (ตัวแทนผู้ลงคะแนน) ซึ่งได้รับเลือกตั้งหรือคัดเลือก มาจากแต่ละมลรัฐ รวมกับตัวแทนผู้บริหารระดับสูงของพรรค (ซึ่งกลุ่มหลัง มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก) ผู้สมัครที่จะได้รับการเสนอชื่อ เป็นตัวแทนพรรคต้องได้รับเสียงเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน Delegates ทั้งหมด ทุกประเภทรวมกัน สำหรับพรรค Democrat มีจำนวน Delegates ทั้งสิ้น 4,409 คน ในจำนวนนี้ ประกอบด้วย (1) Delegates จากมลรัฐต่างๆ 3,253 คน ซึ่งได้รับเลือกตั้งหรือคัดเลือก ให้มาลงคะแนนสนับสนุนผู้สมัครรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ และ (2) Superdelegates ซึ่งเป็นผู้นำของพรรค สมาชิกรัฐสภา ผู้ว่าการมลรัฐ สมาชิกคณะกรรมการแห่งชาติของพรรค เป็นต้น อีกจำนวน 796 คน ซึ่งสามารถเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายใดก็ได้ ทั้งนี้ ผู้สมัครที่ ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนพรรค Democrat ต้องได้รับคะแนนเสียงจาก Delegates ทั้งหมดเกินกว่า 2,025 เสียงขึ้นไปในที่ประชุมใหญ่ สำหรับพรรค Republican มีจำนวน Delegates ทั้งสิ้น 2,380 คน ในจำนวนนี้ประกอบด้วย (1) Pledged Delegates ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ลงคะแนนที่มี พันธสัญญาในการลงคะแนนให้ผู้สมัครรายใดรายหนึ่งเป็นการฉพาะ มีที่มาจากการเลือกตั้งหรือคัดเลือกจากมลรัฐต่างๆ จำนวน 1,917 คน และ (2) Unpledged Delegates ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ลงคะแนนที่ไม่มีพันธสัญญา ให้ต้องลงคะแนนให้ผู้สมัครรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ อีกจำนวน 463 คน ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งซึ่งในทางปฏิบัติเป็นที่รู้กันว่าจะลงคะแนนให้แก่ ผู้สมัครรายใด อีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้นำพรรคคล้าย Superdelegates ของพรรค Democrat ทั้งนี้ ผู้สมัครที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนพรรค Republican ต้องได้รับคะแนนเสียงจาก Delegates ทั้งหมดเกินกว่า 1,191 เสียงขึ้นไป ในที่ประชุมใหญ่ สำหรับการเลือกตั้งปี 2008 พรรค Democrat กำหนดจัดการประชุมใหญ่ ของพรรคที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ในวันที่ 25-28 สิงหาคม ส่วนพรรค Republican จัดขึ้นที่เมืองมินเนียโพลิส-เซนต์พอล รัฐมินเนโซตา ในวันที่ 1-4 กันยายน จากคุณ : uggie*   - [ 6 ก.พ. 51 11:22:04 A:71.105.170.58 X: จากคุณ : Pat :o) - [ 23 มี.ค. 52 14:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 3   จะเห็นว่า ตัวละครที่มีความสำคัญในการคัดเลือกตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดี คือเหล่า Delegates ของแต่ละมลรัฐ ซึ่งได้รับคัดเลือก จากกระบวนการเลือกตั้งที่เรียกว่า Primary และ Caucus (การเลือกตั้งขั้นต้น) ซึ่งในแต่ละมลรัฐและในแต่ละพรรคมีกฎกติกาในการจัด Primary และ Caucus แตกต่างกันออกไป สำหรับพรรค Democrat มีหลักการทั่วไปคือ ผู้มีสิทธิ์ออกไปลงคะแนนเลือก ผู้สมัครที่ตนต้องการ เมื่อเสร็จสิ้นการลงคะแนน จะมีการคำนวณสัดส่วน ของคะแนนที่ผู้สมัครแต่ละคนได้รับคิดเป็น % ของคะแนนเสียงทั้งหมด จากนั้นจะจัดสรรจำนวน Delegates ที่แต่ละคนได้รับในสัดส่วนเดียวกับ คะแนนเสียงของแต่ละคน นั่นคือ ถ้าผู้สมัคร ก. ได้คะแนนเสียง 30% ของ ทั้งหมด ก็จะได้รับจัดสรร Delegates (Pledged Delegates) 30% ของ จำนวน Delegates ทั้งหมดในมลรัฐนั้น ในกรณีของพรรค Democrat ผู้สมัครต้องได้รับคะแนนเสียงเกิน 15% จึงจะ ได้รับการจัดสรร Delegates ผู้สมัครที่ได้คะแนนนิยมจากการเลือกตั้งต่ำ กว่า 15% จะไม่ได้ Delegates ในมลรัฐนั้นเลย โดย Delegates ในสัดส่วน ของตนจะถูกกระจายไปยังผู้สมัครรายอื่น ส่วนพรรค Republican มีกระบวนการแตกต่างออกไป กล่าวคือ ในหลายมลรัฐ ใช้ระบบ Winner take all หรือ ผู้ที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดจากการเลือกตั้งได้รับ Delegates ของมลรัฐนั้นไปทั้งหมด ไม่ได้จัดแบ่งตามสัดส่วนคะแนนเสียง ส่วนบางมลรัฐจัดแบ่งจำนวน Delegates เป็นสัดส่วนเดียวกันกับคะแนนเสียง ที่ผู้สมัครแต่ละคนได้รับ แต่ในกรณีของพรรค Republican ไม่มีการบังคับ เกณฑ์ขั้นต่ำ 15% เหมือนดังพรรค Democrat จากคุณ : uggie*   - [ 6 ก.พ. 51 11:22:57 A:71.105.170.58 X: ] จากคุณ : Pat :o) - [ 23 มี.ค. 52 14:27:52 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 4   ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2008 ไปจนถึงกลางปี 2008 จึงเป็นเทศกาลหาเสียงแข่งขันกันเอง ภายในพรรคของเหล่าผู้สมัคร เพื่อช่วงชิงเสียงข้างมากของ Delegates ที่จะไปลงคะแนนเสียงให้ตนในที่ประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรคตน เหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญที่ต้องจับตามอง ได้แก่ Caucases ที่มลรัฐ ไอโอวา ในวันที่ 3 มกราคม ซึ่งเป็นการลงคะแนนเสียงครั้งแรกของ ประชาชน และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการแข่งขันชิง ตำแหน่งประธานาธิบดี ตามด้วย Primaries ที่มลรัฐนิวแฮมเชียร์ ในวันที่ 8 มกราคม และ Super Tuesday ซึ่งเป็นการทำ Primaries และ Caucuses พร้อมกันครั้งใหญ่ที่สุดในหลายมลรัฐ (Democrat 23 รัฐ และ Republican 20 รัฐ) ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นมีรางวัลเป็นจำนวน Delegates ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวน Delegates ทั้งหมดของแต่ละพรรค Iowa Caucuses: It isn"t just Iowa. มลรัฐไอโอวาเป็นบันไดขั้นแรกของการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ อเมริกามาตั้งแต่ปี 1972 (ก่อนหน้านั้นการเลือกตั้งขั้นต้นเริ่มต้นที่มลรัฐ นิวแฮมเชียร์) เพราะเป็นสนามแข่งขันวัดคะแนนนิยมที่เป็นทางการสนามแรก อีกทั้งเป็น สนามที่เปิดกว้างสำหรับผู้สมัครให้แข่งขันกันบนพื้นฐานที่เท่าเทียม แม้ว่ามลรัฐนี้จะมีจำนวน Delegates ไม่มาก (พรรค Democrat มี 57 คน โดย 45 คนมาจากการเลือกตั้ง และ 12 คน เป็น Superdelegates และ พรรค Republican มี 40 คน โดย 37 คน มาจากการเลือกตั้ง และอีก 3 คน เป็น Unpledged Delegates ในฐานะตัวแทนพรรค) โดยเฉพาะเมื่อวิเคราะห์ ด้วยหลักคณิตศาสตร์การเมืองดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความหมาย แต่ไอโอวา กลับเป็นสนามสำคัญที่ผู้สมัครแทบทุกคนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จากคุณ : uggie*   - [ 6 ก.พ. 51 11:24:18 A:71.105.170.58 X: ] จากคุณ : Pat :o) - [ 23 มี.ค. 52 14:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 5   ไม่ใช่เพียงอยากเปิดตัวด้วยชัยชนะ หากเพราะชัยชนะที่ไอโอวา จะช่วยสร้างโมเมนตัมให้แก่ตัวผู้สมัครในสนาม Primaries และ Caucuses อื่นๆ ที่จะตามติดมา และจะส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้ลงคะแนน ในมลรัฐอื่นๆ รวมถึงการปรับยุทธศาสตร์การหาเสียงของตัวผู้สมัครเอง ผลของ Iowa Caucus มีอิทธิพลในการกำหนดความเป็นไปของ การแข่งขัน เพราะเป็นสัญญาณชี้ว่าผู้สมัครรายใดมีโอกาสที่จะชนะศึก ได้จริง ช่วยยกระดับม้านอกสายตาให้กลายเป็นผู้สมัครตัวจริง และตัดผู้สมัครที่ได้คะแนนนิยมน้อยออกจากการแข่งขัน Caucus เป็นการเลือกตั้งขั้นต้นที่แสดงถึงเสน่ห์ของประชาธิปไตย เพราะ ผู้ใช้สิทธิ์ไม่ได้ออกจากบ้านมาลงคะแนนเฉยๆ แต่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ด้วย คำว่า Caucus หมายถึงการประชุมกลุ่มเล็กของผู้สนับสนุนหรือ สมาชิกพรรค มีการจัดแบ่งหน่วยเลือกเป็นหน่วยย่อยตามโบสถ์ โรงเรียน โรงยิม ห้องสมุด กระบวนการจะเริ่มต้นด้วยการรับฟังนโยบาย จากผู้สนับสนุนผู้สมัครแต่ละคนแล้วค่อยลงคะแนน ในกรณีของ Republican เมื่อฟังนโยบายเสร็จก็จะไปลงคะแนนลับ สมัยก่อนเป็นการเขียนชื่อผู้สมัครที่ต้องการเลือกลงบนกระดาษเปล่า แต่สำหรับกรณีของ Democrat ยิ่งมีเสน่ห์ เพราะจะแบ่งห้องประชุมลงคะแนน ออกเป็นส่วนๆ เมื่อผู้ใช้สิทธิ์ต้องการเลือกผู้สมัครรายใดก็จะเคลื่อนตัวไปยืน รวมกลุ่มในพื้นที่ของผู้สมัครรายนั้น จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะนับคะแนนเสียง ของแต่ละคนว่าได้เกินกว่า 15% หรือไม่ หากไม่ถึง ประชาชนจะมีเวลา เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังพื้นที่ของผู้สมัครรายอื่นที่คะแนนถึง ช่วงนี้ผู้สนับสนุน ผู้สมัครที่ยังอยู่ในการแข่งขันจะพยายามพูดจูงใจให้ผู้ลงคะแนนรอบสอง เลือกมายืนข้างตน เป็นข้อความบางส่วนคัดลอกจากที่นี่ค่ะ http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02edi06140151&day=2008-01-14&sectionid=0212 จากคุณ : uggie*   - [ 6 ก.พ. 51 11:25:09 A:71.105.170.58 X: ] จากคุณ : Pat :o) - [ 23 มี.ค. 52 14:29:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ส่วน เรื่อง Supreme Court อันนี้ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่ไปอ่านในwiki มา เค้าบอกว่า ไม่มีกำหนด qualification ของคนที่ปธน.จะเสนอชื่อเป็น supreme court judge แล้วแต่ปธน. เห็นว่าจะเหมาะสม ดังนั้น ส่วนใหญ่ปธน.ก็จะพยายามเสนอคนที่มีความคิดใกล้เคียงกับตัวเอง พอปธน.เสนอแล้ว senate ก็จะโหวตว่ายอมรับหรือไม่ (Yay หรือ Nay) บางคนที่ได้รับการเสนอชื่อจากปธน. แต่มีทีท่าว่าจะไม่ผ่าน ก็อาจจะโดนถอนชื่อออกก่อนให้ senate โหวตก็มี Supreme court justices จะอยู่ในตำแหน่งนี้จนตาย, ลาออก, เกษียณตัวเอง หรือโดนขับออก (impeach) ถ้าเป็นกรณีที่คุณ Quaver ถาม ว่าถ้าเป็น alzeimer เราว่าเค้าคงขอลงออกก่อนจะถึงขั้นรุนแรงนะ ตอนนี้คนที่อายุแก่ที่สุดคือ 88 ปี >>จำได้มันมีตอนหนึ่งในเรื่องนี้ ที่เจ้ดแต่งตั้งผู้พิพากษาชาวละติโน่ที่ถูกจับขังคุกน่ะ นั่นคือการแต่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดด้วยใช่ไหมคะ << ใช่ค่ะ Season 1 เลย Robert Mendoza ได้รับเลือกจากบาร์ทเลต ให้เป็น Supreme court judge nominee ในตอน The Short List โดนจับข้อหาเมาแล้วขับ  ในตอน Celestial Navigation จนกระทั่งได้รับโหวตคอนเฟิร์มในตอนต้น Six Meeting before lunch นี่แหละค่ะ http://westwing.wikia.com/wiki/Roberto_Mendoza เราสงสัยจากตอนที่โหวต ว่าทำไมเค้าโหวต Yay-Nay ไม่พูดว่า Yes- No เลยล่ะ ใครรู้บ้าง แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 52 15:28:29 จากคุณ : Pat :o) - [ 23 มี.ค. 52 15:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เราสงสัยจากตอนที่โหวต ว่าทำไมเค้าโหวต Yay-Nay ไม่พูดว่า Yes- No เลยล่ะ ใครรู้บ้าง ^^^ ตอนเราดู เราเดาว่ามันต้องเป็นภาษาลาตินแน่ๆเลย --------------------------------------------------------------------- ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องการเลือกตั้งค่ะ ก่อนจะดู TWW คิดว่าในซีรี่ย์มันต้องมีอธิบายแน่ๆ แต่กลับไม่มีแฮะ วิธีเืลือกยุ่งยากดีจัง จากคุณ : =U_U= PoRpLe - [ 23 มี.ค. 52 15:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ภาษาอังกฤษแบบโบราญค่ะ จากคุณ : มาลัยฯ - [ 26 มี.ค. 52 01:25:36 A:124.120.227.222 X: TicketID:108292 ]