CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    <<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Up , ว่าด้วย ชีวิต + ความทุกข์ + ความรัก และ การเดินทางของ ปู่ซ่า กับ ด.ช.ฮะโหน่ง >>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (407 คน)
      ชอบ (141 คน)
      เฉยๆ (37 คน)
      ไม่ชอบ (1 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (3 คน)

     69.10%
      ชอบมาก ห้ามพลาด (407 คน)
     23.94%
      ชอบ (141 คน)
     6.28%
      เฉยๆ (37 คน)
     0.17%
      ไม่ชอบ (1 คน)
     0.51%
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (3 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 589 คน


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูปและเรื่อง Partly cloudy + อ่านความเห็นอื่นๆ + มาแสดงความเห็นกันต่อที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=16-06-2009&group=14&gblog=166

    (กระทู้โหวตสำหรับ Partly cloudy --> http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7978563/A7978563.html )




               ผมเพิ่งส่งบทความเรื่อง Revolutionary road ไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะไปดู Upลูกโป่ง  ทำให้ภาพชีวิตคู่ จากหนังสองเรื่องนี้ ซ้อนทับกันระหว่างดูโดยอัตโนมัติ ทั้งๆที่ ตัวหนังคนละแนวกันอย่างสิ้นเชิง

    ทั้งสองเรื่อง นำเสนอ ชีวิตคู่ตั้งแต่ช่วงวัยหนุ่มสาว ที่แต่ละคน มีความฝันส่วนตัวเก็บอยู่ในใจ เหมือนกับเราทุกคน ที่ บ้างก็ฝันอยากมีงานดีๆ , ฝันอยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ , ฝันอยากไปเที่ยวเมืองนอก ฯลฯ

    คู่รักบางคู่ ถูกดึงดูดให้มาคบกันด้วยความใฝ่ฝัน เช่น จุดเริ่มต้นของ แฟรงค์ กับ เอพริล ใน Revolutionary road  ที่เริ่มต้นพูดคุยถึงความฝันในอนาคต หรือ การพบกันบนชั้นสองของบ้านร้างใน Upลูกโป่ง  ที่ทำให้เรารับรู้ความฝันในวัยเด็กของ คาร์ล กับ ภรรยา ที่มีเหมือนๆกัน (การผจญภัย /Paradise fall)

    และ ความเหมือนนี่เองที่ดึงดูด คนสองคน ให้เริ่มเรียนรู้และกลายมาเป็นคู่รัก



    แต่ เมื่อชีวิตคู่พัฒนาเข้าสู่การเป็น สามี-ภรรยา หลายๆอย่างในชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ภาระรับผิดชอบก็มากกว่าการเป็นแฟนสมัยวัยรุ่น เพราะ ต้องทำงาน หาเงินเลี้ยงชีพ , ดูแลสุขภาพ , จัดการเรื่องบ้านช่อง ฯลฯ ทำให้ความฝันสมัยวัยเยาว์อาจต้องถูกเก็บใส่ลิ้นชัก เพราะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า

    อย่างที่เห็นจากภาพชีวิตหลังแต่งงานของ คาร์ล และ เอลลี่ ที่ไม่มีเวลาออกผจญภัย เพราะ ต้องทำงานหาเงิน ครั้นมีเงินเก็บที่สะสมไว้ ก็ ต้องทุบเอามาใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นมากกว่า เช่น ด้านสุขภาพหรือความเป็นอยู่ ครั้น อายุมากขึ้นสภาพร่างกายไม่อำนวยให้เดินทางไปไหน

    ความฝัน ของ คาร์ล กับ เอลลี่ ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ไม่ว่าจะเป็น ความฝันในวัยเด็กเช่น การเดินทาง หรือ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแทบทุกคู่ชีวิตคือ การมีลูก

    บางคู่เมื่อความฝันล่ม ชีวิตคู่ของพวกเขาก็ล่มตาม เพราะมัวสนใจแต่ไล่ตามความฝัน จนลืมให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์เหมือนคู่รักใน Revolutionary road

    แต่ สำหรับ คาร์ล กับ เอลลี่ ทั้งคู่มี ความรัก ให้กันมากพอที่จะประคับประคองการเป็นคู่ชีวิตจนแก่เฒ่า จนกระทั่ง วันที่ เอลลี่ ลาจากคาร์ลไป

    เหตุการณ์หนึ่งชั่วชีวิตข้างต้นดำเนินเรื่องเป็น หนังเงียบไร้บทสนทนา ภายในเวลา สิบนาที

    และเป็น สิบนาที ที่ยอดเยี่ยม เทียบเคียงได้กับ ครึ่งแรกของ Wall-E ที่ไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนา ผู้ชมก็ซึมซับ ความคิดและความรู้สึกตัวละครได้สมบูรณ์ แถม Upลูกโป่ง ยังมีความยากกว่าตรงที่ สิบนาทีที่เล่าคือระยะเวลาหลายสิบปีของคนสองคน




              ช่วงเวลาถัดมา หลังการเสียชีวิตของ เอลลี่ หนังเปลี่ยนชีวิตของ คาร์ล เด็กชายที่อยากเป็นนักผจญภัย ให้กลายเป็น ปู่ซ่าhoho ท่าทางขวางโลก ขังตัวเองในบ้าน ขี้รำคาญเด็กๆ และ กำลังเผชิญกับปัญหาที่นักธุรกิจกำลังเวนคืนที่ดินรอบด้าน โดยบ้านของปู่ซ่า เป็นพื้นที่สุดท้ายที่เหลืออยู่

    ปู่ซ่า ใช้ชีวิตอยู่กับ ความทรงจำในอดีตผ่านข้าวของที่เคยใช้ร่วมกันกับเอลลี่ เช่น บ้าน , ตู้ไปรษณีย์ ฯลฯ เขาจึงไม่คิดที่จะย้ายบ้าน หรือ ไปอยู่บ้านพักคนชราเหมือนที่ใครๆแนะนำ

    วันหนึ่ง ลูกเสือสำรองหุ่นตุ้ยนุ้ยหน้าตาเหมือนโหน่งสามช่า หรือ ด.ช.ฮะโหน่งหนุ่มน้อยปะแป้ง โผล่เข้ามาในชีวิตของ ปู่ซ่า

    ด.ช.ฮะโหน่ง สะสมเข็มกลัดที่แสดงถึงความสามารถของลูกเสือได้เกือบครบเพื่อเลื่อนขั้น เหลือเพียงเข็มกลัดสำคัญจาก ‘การช่วยเหลือคนชรา’ ซึ่ง ด.ช.ฮะโหน่งหวังว่าจะได้มาจากการช่วยเหลือปู่ซ่า แต่ ปู่ซ่า ไม่สนใจที่จะให้ใครมาช่วยเหลือ แถมแกกำลังจะหนีจากผู้คน เพื่อจะได้ปกป้องบ้านหลังนี้ไว้แทนที่จะถูกจับไปอยู่บ้านพักคนชรา

    ปู่ซ่า ตัดสินใจพา บ้าน ลอยขึ้นท้องฟ้าด้วยลูกโป่ง มุ่งหน้าไปอเมริกาใต้ ไปยัง Paradise fall ดินแดนที่เขากับภรรยาเคยวาดฝันจะได้มานั่งเคียงข้างกัน

    ปู่ซ่า ไม่ทันรู้ตัวว่า ด.ช.ฮะโหน่ง หลงติดมากับบ้านลอยฟ้าหลังนี้ด้วย ส่งผลให้ทั้งคู่กลายเป็น คู่หูจำเป็น ออกเดินทางสู่ดินแดนดันไกลโพ้น




               จากเนื้อหาข้างต้น ถ้าอยู่ในมือคนเขียนบทที่ไม่คิดอะไรมาก Upลูกโป่ง  ก็จะกลายเป็น หนังฮาๆ ผจญภัย เจออะไรแปลกๆ ได้ข้อคิดนิดหน่อย แล้วกลับบ้าน- จบ -

    แต่เมื่ออยู่ในมือทีมคนเขียนบทจาก Pixar เนื้อเรื่องที่เหมือนจะไม่มีอะไร แค่ประเด็น คุณปู่กับอดีตรัก แต่พอนั่งดูๆไป กลับมีประเด็นอะไรต่อมิอะไรสอดแทรกมากมาย โดยการสร้างปูมหลังของแต่ละตัวละคร ล้วนมีผลต่อเนื่องต่อคนรอบข้าง

    ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความโดดเดี่ยวของคนสองคน , ความสูญเสียและความเจ็บปวด (grief) , ชีวิตที่ยึดติดและไม่อาจปล่อยวาง , การใช้ชีวิตครอบครัว , การไล่ตามความฝัน , การเติมเต็มทางจิตใจ ฯลฯ

    บทหนังหันมาเล่นแง่มุมลึกๆของ 'ความเป็นมนุษย์' มากกว่าเรื่องก่อนๆ , โดดเด่นในด้านการใส่ปมทางจิตวิทยาของตัวละคร มีจินตนาการหลากหลาย และ มีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าหลายเรื่องของ Pixar แล้วเล่าออกมาเนียนๆ เหมือน เรื่องเบๆที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่แท้จริงล้วนแฝง สัญลักษณ์ทางจิตใจของตัวละคร

    การเดินทางของ ปู่ซ่า กับ ด.ช.ฮะโหน่ง มี ความหมายลึกซึ้งทางจิตใจต่อทั้งคู่ยิ่งนัก




               ทันที ที่พวกเขาไปถึงหน้าผาใกล้ๆน้ำตก Paradise fall พวกเขาพบ แม่นกอีก๋อยเจ็ดสี นกดื่มชา ที่กำลังถูก ฝูงสุนัขพูดได้ไล่ล่า ด้วยความบังเอิญ

    แม่นกอีก๋อยเจ็ดสี กำลังหาทางกลับบ้านเพื่อไปหา ลูกตัวเล็กๆที่ส่งเสียงร้องข้ามหุบเขา รอการกลับมาของแม่

    ด.ช.ฮะโหน่ง อยากเลี้ยง แม่นกอีก๋อย แต่ ปู่ซ่า ไม่อนุญาต ฮะโหน่ง ก็ยังไม่หงุดหงิด แต่พอ รู้ว่าแม่นกอีก๋อยถูกคนร้ายจะจับเอาเข้าเมือง เขาอ้อนวอนขอให้ปู่ซ่า ช่วยกันพา แม่นกอีก๋อย กลับไปหาลูก แต่ ปู่ซ่าปฏิเสธ ทำให้ ฮะโหน่งโกรธมากมาย

    เพราะอะไร ฮะโหน่ง ถึงมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องนี้มาก



    นกหนาวแม่นกอีก๋อย & ฮะโหน่งหนุ่มน้อยปะแป้ง

               บทสนทนาช่วงหนึ่งที่ฮะโหน่งเล่าให้ปู่ซ่าฟัง ทำให้เรารู้ถึง ชีวิตครอบครัวที่พ่อแม่แยกทาง เขาอาศัยอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยง แต่ พ่อก็เหมือนไม่ค่อยอยู่บ้าน ความทรงจำเดียวเกี่ยวกับพ่อที่งดงามและชัดเจนที่สุด ก็เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานเต็มที

    ด.ช.ฮะโหน่ง อาจไม่ได้ถูกทิ้งทางกายภาพคือยังรู้ว่าพ่อยังไปๆมาๆ แต่ เด็กกลุ่มนี้ถูกทอดทิ้งทางด้านความรักและห่วงใย ซึ่งทำให้พวกเขาเติบโตมาด้วยความเหงา , โหยหาความรักความอบอุ่น

    และมันช่วยให้เราเข้าใจในเวลาต่อมาว่า เข็มกลัดลูกเสือที่ติดเสื้อเขามากมาย ไม่ใช่แค่เพราะเขารักการเป็นลูกเสือ หรือ หวังสะสมเพื่อเลื่อนขั้น แต่ หากเขาสามารถเก็บ ไอเท็มเข็มกลัด ช่วยเหลือคนชรา ได้สำเร็จ คนที่จะมาติดเข็มให้เด็กๆในวันงานต้องเป็นพ่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่ เขามุมานะกับการเก็บเข็มกลัดอันนี้ให้ได้

    เพราะ ‘การเก็บไอเท็มเข็มกลัดครบ’ คือ ‘โอกาสที่จะได้พบกับ พ่อ’

    เมื่อมาเจอเหตุการณ์ที่ ปู่ซ่า ไม่ช่วย แม่นกอีก๋อย กลับไปหาลูก สำหรับเด็กที่โดดเดี่ยวอย่างฮะโหน่ง นอกจากจะมองว่า ปู่ซ่าใจร้าย แต่ลึกๆแล้ว เชื่อว่า เขากำลังแทนตัวเองกับลูกนกโดยไม่รู้ตัว

    เพราะการปล่อยให้แม่นกถูกจับ ก็จะทำให้ ลูกนกต้องขาดพ่อแม่ ซึ่งความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งเป็นเช่นไร ฮะโหน่งรู้ดีเป็นที่สุด

    แม่นกอีก๋อย จึงเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ในชีวิตของทั้งคู่ที่ขาดหายไป นั่นคือ สัญลักษณ์ของ 'ความเป็นพ่อแม่' ซึ่ง ด.ช. ฮะโหน่ง โหยหา และ ปู่ซ่ากับภรรยา เคยฝันอยากจะเป็น




              กลับมามองที่มุมของ ปู่ซ่า

    การสูญเสียคู่ชีวิต เป็น ปัจจัยเครียดอันดับหนึ่งที่มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์

    หากสูญเสียคู่ชีวิตในวัยทำงาน ยังพอจะมี ญาติ หรือ เพื่อน หรือ ลูกหลาน อยู่เป็นเพื่อนพูดคุย ยังมีโอกาสพบเจอคนใหม่ๆในอนาคต

    แต่กับชีวิตของ คาร์ล ที่มีชีวิตทั้งชีวิตเพื่อเอลลี่ อยู่กันแค่สองคน เมื่อเอลลี่จากไปในวัยชรา เหลียวซ้ายแลขวา คาร์ลก็มองไม่เห็นใคร

    หากจะมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้ให้กับเขาได้ในเวลานี้ คงมีเพียง ความทรงจำในอดีตที่อยู่ในรูปของวัตถุ เช่น สมุดบันทึก , บ้าน , ตู้ไปรษณีย์ ฯลฯ

    เขาจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อ ตู้ไปรษณีย์ถูกรถชน หรือ เมื่อบ้านจะหลุดลอย เพราะนั่นแปลว่า สิ่งยึดเหนี่ยวเขากับเอลลี่ กำลังจะลอยหาย


               คาร์ล หลงลืมอะไรไปบางอย่าง

    เขาลืมไปว่า เอลลี่มีชีวิตอยู่ในอดีต แต่ เขากำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

    การจมอยู่กับอดีต มีแต่จะทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างให้เจ็บปวด แต่ เรามักไม่ทันรู้ตัว ยกเว้นเสียแต่จะมีคนชี้ให้เห็น

    ตัวอย่างที่เห็นชัดของคาร์ลคือเมื่อ ฮะโหน่ง และ แม่นกอีก๋อย ผ่านเข้ามาในชีวิต

    เหตุการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างดึงบ้านไม่ให้ลอยหนีกับช่วยนกตรงหน้า ปู่ซ่า เลือก วิ่งไล่คว้า บ้าน ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย โดยไม่ใยดี แม่นกอีก๋อย ที่ถูกจับ แสดงภาพคนที่ จมอยู่กับอดีต จนมองไม่เห็น ปัจจุบัน

    จนเมื่อผู้คนรอบตัวที่เสมือนครอบครัวใหม่ ล้วนเดินหนีไปจากชีวิต ปู่ซ่าจึงได้เรียนรู้ว่า บ้านก็เป็นเพียงสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นตัวแทนความสุขในอดีต ต่อให้เขาทะนุถนอมมันอย่างไร เอลลี่ ก็ไม่มีวันกลับมา และ ต่อให้บ้านพังทลายก็ไม่ได้แปลว่า เอลลี่หรือความรักจะลดน้อยลง

    เหตุการณ์ที่ต้องเลือกครั้งที่สอง ปู่ซ่า จึงมีความกล้าหาญที่จะเลือก ครอบครัวใหม่ แล้ว ปล่อยบ้านให้ลอยจากไป


             


    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 52 11:49:16

    แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 52 11:48:40

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 16 มิ.ย. 52 11:39:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com