Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นาคปรก เปลือก หรือ แก่น (Spoil)  

(บทความนี้อาจเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องบ้าง หากไม่อยากเสียอารมณ์ไปดูหนังก่อนนะครับ)


“คุณว่าศาสนาเสื่อมลงบ้างไหมครับ?”

          ก่อนอื่นต้องขอปรบมือดังๆให้กับทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้  ใครจะว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมอย่างไรก็ช่าง  แต่นี่เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่ผมรอที่จะได้เห็นมานานแล้ว  หนังไทยที่นอกจากดวงตาแล้วก็ต้องใช้สมองในการชมด้วย  ประเด็นที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาในแง่มุมของศาสนาที่ยากต่อการแตะต้องมาตลอด  นับว่าผู้สร้างต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก  ทั้ง ทีมเขียนบท ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และที่สำคัญเสี่ยเจียงคนออกเงินครับ  การสะกิดต่อมชาวพุทธครั้งนี้ผมว่าให้ภาพที่เบาบางกว่าการสาดเลือดของบางสี การยึดทำเนียบของบางกลุ่ม แต่กลับหนักหน่วงทางความคิด และ ประเทืองปัญญาต่อคนดูมากกว่าหลายเท่า  และ ขอโทษครับ!! หนังเรื่องนี้ดีจริงๆ

          เรื่องราวของ 3 โจร “สิงห์” (เร  แมคโดนัล) , “ป่าน” (สมชาย  เข็มกลัด) และ “ปอ” (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) ผู้เป็นน้องชายของป่าน  ได้นำเงินซึ่งได้จากการปล้นรถขนเงินมาซ่อนไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง  ต่อมาจุดที่ซ่อนเงินไว้กลับมีโบสถ์ถูกสร้างขึ้นมาทับไว้  ด้วยความจำเป็นและต้องการหนีจากตำรวจ  จึงได้บังคับให้ “หลวงตา” (สะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์) ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ในวัดบวชให้กับ ‘สิงห์’ และ ‘ป่าน’ โดยมี ‘ปอ’ คอยดูลาดเลาเป็นเด็กวัดอยู่ด้วย  ทั้งสามคนกบดานอยู่ภายในวัด และ แอบใช้เวลากลางคืนขุดหาถุงเงินที่ถูกซ่อนเอาไว้  ซึ่งในตลอดเวลาทั้งสาม  โดยเฉพาะ ‘สิงห์’ และ ‘ป่าน’ จะต้องประพฤติตามกฏระเบียบของพระ  เพื่อไม่ให้พระในวัดรวมไปถึงชาวบ้านสงสัย  แต่เมื่อมารจะเข้ามาอยู่ในผ้าเหลืองนั้นจะทนได้จริงหรือไม่ และ ศาสนาจะสามารถขัดเกลาจิตใจของคนชั่วได้หรือเปล่า ทั้งสามคนจะได้เงินไปหรือไม่ สุดท้ายแล้ว ‘ธรรม’ หรือ ‘อธรรม’ กันแน่จะเป็นฝ่ายชนะ .... หาคำตอบด้วยการซื้อตั๋วไปดูเองนะครับ  รับรองหักมุมทุกจบ...

          เคยมีคนบอกว่า  ในการทำหนังมี 3 สิ่งที่แตะต้องไม่ได้  นั่นคือ ‘สถาบัน’ (อันนี้ไม่ควรแตะต้องจริงๆครับ) , ‘การเมือง’ และ ‘ศาสนา’  เนื่องจากเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน  แต่ผมกลับคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนในสังคม และ มีพลวัตรการเปลี่ยนแปลงที่สูงมาก  แต่การเปลี่ยนแปลงกลับไม่ได้ไปคู่กับการพัฒนา  มีคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์จากทั้งการเมืองและศาสนา  ส่วนคนอื่นๆกลับอยู่กับความเชื่อแบบเดิมๆ  และกลายเป็นเหยื่อ  ทุกวันนี้การเมืองเริ่มมีคนแตะต้อง (ไปจนถึงปู้ยี่ปู้ยำแล้ว)  แต่ศาสนาก็ยังคงอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเดิม  ไม่รู้เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้หรือเปล่าที่ทำให้ศาสนาดูห่างไกลไปจากวิถีชีวิตทุกที  ผมชอบที่คุณทรายให้สัมภาษณ์ที่รายการของช่อง The nation ว่า “การที่เราไม่พูดถึงมัน  ไม่ได้หมายถึงว่ามันจะหายไป”... โดนครับ!!!

          หนังเรื่องนี้  พูดถึงด้านมืดของคน  ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตาม  ขึ้นชื่อว่า ‘คน’ ก็ล้วนมี ‘กิเลส’ มี ‘ด้านมืด’ ด้วยกันทั้งนั้น ในส่วนของนักแสดง  ทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  โดยเฉพาะ ‘เร  แมคโดนัล’ ที่แทบไม่เชื่อว่าเป็นคาแรคเตอร์เดียวกับหลวงพี่ผู้ล่วงรู้ใน ‘5 แพร่ง’นั่นเอง  

          สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อให้คนดูก็คือ “จริงๆแล้วศาสนาไม่มีวันเสื่อม แก่นแท้ของศาสนายังมีคุณค่า แต่คนต่างหากทีเสื่อม”  ทำให้ผมได้คิดว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมี “เปลือก” และ “แก่น”  เช่นเดียวกับสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสในทุกวันนี้ “เปลือก” คือสิ่งห่อหุ้มที่เรามักได้เห็นและรับรู้  “แก่น” คือเนื้อในของสิ่งที่มันเป็นอย่างแท้จริง  ในความคิดของผมแล้ว “เปลือก... อาจหนากว่าแต่ไม่มีวันที่จะแข็งแกร่งเกิน ...แก่น”  ส่วนใครจะมองเห็นแค่เปลือก หรือ ทะลุไปถึงแก่น ก็คงแล้วแต่ล่ะครับ

         โจรทั้ง 2 คน  อยู่ในผ้าเหลืองผู้คนกราบไหว้  งานนี้ดูง่าย  ผ้าเหลืองคือ ’เปลือก’ ส่วน ‘แก่น’ ก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ  ไม่ว่าจะผ่านพิธีใดๆก็ตาม  การที่ผู้คนกราบไหว้ก็เนื่องจากเขามองเห็นที่ ‘เปลือก’ ซึ่งก็ไม่ผิด  เพราะเขาเองยังไม่มีเวลาต่อการพินิจพิเคราะห์ถึงแก่นที่แท้จริงของโจรทั้งสาม  แต่หากมองในแง่นี้  ไม่ว่าโจรจะทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามก็ไม่อาจแปดเปื้อนต่อศาสนาได้เลย  เพราะแก่นของสามคนนี้ไม่ใช่ศาสนา  แต่เป็นมาร  เป็นคนละเรื่องกันทีเดียว  

         การที่มีคนออกมาโจมตีว่าหนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสมก็เพราะเขากลัวว่าคนจะมองเห็นแก่นเหมือนกับชาวบ้านในเรื่อง  แต่อย่าลืมนะครับ  ชาวบ้านเพิ่งเห็นพระโจรไม่กี่ครั้ง  แต่เราอยู่กับศาสนามากี่ปี  น่าแปลกครับ  ที่ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของแก่น  “แก่นแท้แห่งความดี”  แต่เรากลับรักษาเพียงเปลือกให้งดงามแทนที่จะให้คนมองทะลุเข้าถึงแก่น  อาจเป็นเพราะเราเริ่มรับรู้ว่าการมองแก่นนั้นยากกว่า ก็เลยมีคนบอกว่า  งั้นก็ไม่ต้องพยายาม  ดูแค่เปลือกเอาก็พอแล้ว  น่าสงสารนะครับ ... ชาวพุทธ แก่นง่ายๆแค่นี้ยังมองไม่เห็น  แล้วจะมองเห็นแก่นแท้ของคำสอนพระพุทธองค์ได้อย่างไร .... นี่ไงครับ  ศาสนายังอยู่  แต่คนเสื่อม เพราะไม่มองที่แก่น  

          ในเรื่องนี้  ทุกคนล้วนมี “เปลือก” และ “แก่น” อย่างชัดเจน  “ปอ” และ “ป่าน”  สองพี่น้องที่เป็นโจรปล้นเงินเพื่อเอากลับไปรักษาแม่ที่ตาบอด  แม้ว่าจะทำชั่วแต่ก็ด้วยสำนึกที่ดีของความกตัญญู  คำถามก็คือ  “ทำอย่างนี้ผิดไหมครับ?”  สำหรับผมแล้ว  ก็คงต้องกลับมาดูว่าอะไรคือ ‘แก่น’ อะไรคือ ‘เปลือก’  สิ่งที่ทั้งสองต้องการทำให้แม่  โดยคิดว่าแม่จะมองเห็นและตัวเองจะได้ช่วยแม่  แต่แท้จริงแล้วแม่ต้องการเช่นนั้นจริงหรือ

          ฉากที่ “ป่าน” เทศน์ให้ชาวบ้านฟังว่า “การที่ลูกไปทำงานในเมืองแล้วส่งเงินกลับมาให้พ่อแม่นั้น  ให้พ่อแม่ถามตัวเองว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร  ต้องการเงิน หรือต้องการให้ลูกอยู่ด้วย”  เฉกเช่นเดียวกัน แท้จริงแล้วนั้นทั้ง ‘ปอ’ และ ‘ป่าน’ ไม่เข้าใจว่าแม่ต้องการอะไร  แม่ไม่ได้ต้องการเงิน  แม่ไม่ได้ต้องการมองเห็น  แต่แม่ต้องการเพียงการได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกเท่านั้น  ก็คือต้องการให้ลูกเป็นคนดี  แต่นี่ก็คือ ‘แก่น’ ความคิดของแม่ที่ทั้งคู่รู้แต่กลับมองไม่เห็น  เห็นเพียง ‘เปลือก’ ที่คิดว่าเมื่อรักษาแม่ได้  ก็จะทำให้แม่พอใจ และ รู้สึกทดแทนคุณของแม่  ดังนั้น คำตอบสำหรับคำถามก่อนหน้านี้ก็คือ “การกระทำนี้ผิดครับ”  เพราะแก่นของการกระทำทีทั้งคู่ทำคือความชั่ว  แม้จะฉาบด้วยเปลือกของความคิดที่ว่าเป็นความกตัญญูนั้นก็หาได้เป็นสิ่งที่แท้ไม่  เมื่อแก่นคือความชั่ว  ผลก็คือกรรมชั่ว  นั่นเอง

          ต่างจากที่ ‘หลวงตา’ พยายามช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกงูกัด แม้จะต้องผิดศีลจากการจับต้องสตรี (นับเฉพาะฉากนี้นะครับ) หรือการที่ ‘พระปอ’ ตั้งใจจับมือแม่ที่ตาบอดมาสัมผัสกับผ้าเหลืองเนื่องจากเป็นความต้องการของแม่  การผิดศีลจากการสัมผัสโดนสตรีแม้จะโดยตั้งใจ  แต่เป็นแค่เปลือกครับ  ความสำคัญนั้นยู่ที่แก่น  อันประกอบด้วยการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นในยามคับขัน และ ความกตัญญูต่อมารดาที่อยากเห็นชายผ้าเหลืองลูกสักครั้ง แม้ว่าตนเองจะตาบอด  ทุกการกระทำเหล่านี้มีแก่นอยู่ที่ความดี  ผลก็คือกรรมดีครับ

          นี่เป็นเพียงตัวอย่างในแง่มุมเล็กๆที่ผมมองเห็นเป็นการส่วนตัวจากหนังเรื่องนี้เท่านั้นเองครับ  ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีมิติที่น่าสนใจ  เช่น “ตำรวจ” ที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เพียงแค่เปลือก แต่แก่นก็คือ “โจร” ที่ไม่ต่างกับอาชญากรในเรื่องเลย , “น้ำผึ้ง” (ทราย เจริญปุระ) โสเภณีจอมโลภ  และ “สิงห์” ที่ทั้งเปลือกและแก่นก็คือมารอย่างแท้จริง , หรือแม้แต่ “หลวงตา” ที่แม้จะเป็นพระอาวุโสแต่ก็ยังมีความน่ากังขาในสิ่งที่ต้องกระทำ  

          หนังเรื่องนี้ท้าทายสมองผมให้คิดเหลือเกินว่า  อะไรคือ ‘เปลือก’ และ อะไรคือ ‘แก่น’  ในชีวิต  หากตอบได้แล้ว  ภาพของพระถือปืน  ที่ต้องเถียงกันเรื่องความเหมาะสมทุกวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที  สำหรับผม “นาคปรก” อาจมีความหมายไม่เหมือนในตำนานที่เล่าขานว่า พญานาคมาแผ่แม่เบี้ยเพื่อคุ้มครองพระพุทธองค์  แต่ผมตีความว่า ‘นาคปรก’ ที่เราเห็นนั้น  แม้ว่า ‘เปลือก’ ที่เราเห็นและห่อหุ้มอยู่จะเป็นอสรพิษ  แต่ ‘แก่น’ ของสิ่งนี้ก็คือพระพุทธองค์ที่มีความเมตตาบริสุทธิ์สูงส่ง  เมื่อแยก ‘เปลือก’ และ ‘แก่น’ ออกแล้ว  สำหรับคำถามที่ว่า “คุณว่าศาสนาเสื่อมลงหรือไม่?”  คงไม่ยากอีกต่อไป  แล้วคุณล่ะครับ  ตอบคำถามนี้ได้หรือยัง....

ป.ล. -  บทความนี้ผมเขียนจากความรู้สึกส่วนตัวของผมเองล้วนๆนะครับ  ไม่เกี่ยวกับผู้ใดทั้งนั้น  หากมีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม  ผมขอรับไว้เพียงคนเดียวครับ
      -  เขียนยาวไปหน่อยนะครับ แต่เรื่องนี้มีประเด็นให้ขบคิดมากสำหรับหนังไทยสักเรื่อง ขอบคุณที่อดทนอ่านนะครับ

จากคุณ : คนขี่แผ่น
เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 00:02:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com