 |
ความคิดเห็นที่ 17 |
ด้วยความเคารพ ผมเห็นแย้งกับ คุณหมอและคุณApple101 ครับ
หนังเรื่องนี้เป็นการทำให้ใหม่โดยผสมผสานสองแนว โดยผสม Genre ทั้งแนว conspiracy กับ psychological เข้าด้วยกัน
เราอาจลืมประเด็นนี้กันไปหรือไม่ ประเด็น conspiracy หรือการสมคบคิด ของพวกผู้มีอำนาจ ที่พยายามสร้างคนปกติๆให้กลายเป็นพวกอสุรกาย สามารถทำร้ายคนได้อย่างหน้าตาเฉยได้โดยไร้ความรู้สึก และประเด็นที่ว่า ถ้าหมดหวังจนต้องผ่าจริง ทำไมต้องไปผ่าที่ประภาคารด้วย?
อย่าลืมครับ ว่า พระเอกนั้น "บ้า" หรือมีอาการทางจิตอย่างมากมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วก็จริง
แต่ไม่ได้แปลว่า ความบ้านั้น จะมาจากการที่พระเอกฆ่าลูกเมียจริงๆนะครับ
เดิมทีพระเอกน่าจะเป็นผู้ตรวจการที่มาสืบเกาะนี้จริงๆ เพราะได้เค้ามูลว่าเพื่อนของตน ซึ่งก็คือ George Noyce เดิมทำงานด้วยกันเป็นคนปกติอยู่ดีๆ แต่ไปเข้าร่วมการรักษาอะไรบางอย่าง กลับออกมาอีกทีกลายเป็นคนบ้าเสียสติฆ่าคนได้เฉยเลย และก็ถูกจับกลับไปรักษาที่เกาะอีก
พระเอกเองก็ตกอยู่ในวังวนเดียวกันครับ คือเดิมเขามาอย่างคนปกติจริงๆ เป็นคนที่มี Fighting spirit สูงมากซะด้วย กับทั้งยังเป็นคนที่สติปัญญาสูง สำหรับพวกหมอบนเกาะ เค้าคือตัวทดลองชิ้นสุดยอดดีๆนี่เอง สำหรับ "การทดลอง" ที่สำคัญกับพวกเขามาก(อย่างที่หมอโล้นพูดเองบนประภาคารนั่นแหละ)
หากพวกเค้าสามารถเปลี่ยนคนที่แข็งแกร่งระดับนี้ให้กลายเป็นนักฆ่าเสียสติได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ด้วยวิธีหลอนประสาทอย่างทันสมัย ใช้ยา+การสร้างสถานการณ์ต่างๆ(แทนที่จะพยายามผ่าสมองแบบเดิม) ก็แปลว่าการทดลองขั้นใหม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง
พวกหมอรู้ว่า Laeddis เป็นชื่อที่ฝังใจอยู่ในอดีตของพระเอก แล้วก็จับปมอันนี้มาพยายามล้างสมองให้พระเอกกลายเป็นอสุรกายที่ชื่อว่า Laeddis - คนไข้คนที่ 67 นั่นเอง
-->นั่นคือ project การทดลองวิธีแผนใหม่ของพวกเขา จริงๆแล้วไม่ได้เป็นการทดลองรักษาพระเอกอะไรเลย มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา --->แต่เป็นการทดลองเปลี่ยนจิตใจมนุษย์ให้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยดำเนินการมาตลอดถึง 2 ปีต่างหาก
อย่างที่ว่า นอกจากจะพยายามทดลองกับคนไข้ธรรมดาให้บ้ามากขึ้นแล้ว ใครที่ไปล่วงรู้ความจริงของขบวนการนี้เข้าก็โดนจับมาทดลองไปด้วย แทนที่จะฆ่าปิดปากทิ้งเฉยๆ สู้จับมาทดลองอ้างว่าเป็นบ้า เนียนกว่า ได้ประโยชน์มากกว่า แถมยังเป็นการสมคบคิดกันในระดับใหญ่ด้วย ได้ทุนสนับสนุนจากองค์กรณ์รัฐ แถมยังมาตั้งอยู่บนเกาะที่หนียากกว่าคุกอัลคาทราซ และ จนท. ยังมีอาวุธครบมืออีกต่างหาก ไม่มีทางหนีพ้น ไม่มีใครมาช่วยได้ มันไม่ใช่ลักษณะของโรงพยาบาลบ้า Hardcore หรอกครับ แต่ออกลักษณะเป็น"คุก"ที่ปิดตายจากโลกภายนอก มากกว่า (โรง'บาลที่ไหนมีปืนเต็มไปหมดจะฆ่าคนไข้กันหรือไง ถ้ามุ่งจะช่วยเหลือคนไข้จริงๆอย่างที่หมอโล้นพูดไว้ มันขัดแย้งกันเอง ถึงจะอ้างว่าไว้ป้องกันจากคนไข้บ้าก็เถอะ ลองสังเกตได้จากตอนที่พายุเข้าและห้องขังหลุดหมด ไม่เห็น จนท.จะเตรียมปืนป้องกันกับคนไข้เลย กลับร่วมกับบุรุษพยาบาลช่วยกันตามไล่จับ แม้กระทั่งใน ward C ที่ danger สุดๆ ลองสังเกตลักษณะการทำงานใน ward C ดูครับ ที่แต่ละคนดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี แถมยังปล่อยให้ Dr.เชียน หมอคู่หูพระเอกไปเดินเล่นใน ward ได้อีก)
พระเอกจะมีรอยแผล หรือภาพหลอนปนกันจำนวนมากจนไม่รู้ว่าที่โผล่ๆมาไหนคนจริงไหนมายา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นั่นเพราะเขาถูกจับทดลองมอมยามาเป็นแรมปีแล้ว จนสับสนไปหมด ระหว่างอดีตจริงๆของตนเอง ข้อมูลบุคคลที่เคยจำได้ กับอดีต+ข้อมูลปลอมๆที่พวกหมอพยายามปลูกถ่ายลงในจิตใจ
นั่นทำให้จุดสังเกตในหลายๆฉากที่เราเอามาใช้ตีความจริงๆแล้วอาจใช้ไม่ได้ก็ได้ ข้อมูลบางฉากตีความได้ไปทางว่าบ้า แต่อีกฉากตีความน้ำหนักไปทางไม่บ้า ฉะนั้น หนังเรื่องนี้ไม่ควรตีความจากรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเป็นหลักครับ เพราะตัวหนังตั้งใจฉายให้มันสับสนปนเป ไปได้สองแง่อยู่แล้ว
ต้องดูปรัชญาที่หนังต้องการสื่อแง่คิดให้กับคนดูด้วยว่าคืออะไรกันแน่ และโทนอารมณ์ของหนัง
ตอนบอกว่าพระเอกมักจะรีเซ็ทตัวเองกลับไปมีการการเหมือนเดิมอีก นั่นเพราะสปิริทแรงกล้าเดิมของพระเอกครับ เลยต้องจับทดลองล้างสมองซ้ำๆนั่นเอง พัศดีที่รู้เหตุการณ์เป็นอย่างดีและรู้ว่าถึงไงๆพระเอกก็ไม่รอดอยู่ดีไม่ว่าทางไหน ในฐานะที่เป็นชายชาติทหารนักสู้เหมือนกันและไม่ใช่พวกบ้าการทดลอง จึงชวนคุยเล่นๆถึงปรัชญาแห่งการต่อสู้ดิ้นรน เพราะเขาอยากรู้ว่าคนอย่างพระเอกในที่สุดแล้วจะทนได้ถึงไหน และจะเลือกจบตัวเองแบบไหนกัน
จนกระทั่งตอนสุดท้ายพระเอก แม้ว่าพระเอกจะโดนล้างสมองสมบูรณ์แบบด้วยภาพที่พวกหมอๆป้อนเข้ามาปนกับอดีตของเขา ถึงขั้นที่รู้สึกถึงอารมณ์ของตอนลงมือฆ่าได้ด้วยซ้ำ... ...แต่เขาก็เลือกที่จะยอม die like a good man เพราะสปิริทนักสู้ที่ไม่ยอมจนวินาทีสุดท้าย แทนที่จะยอมเป็นบ้าแล้วอยู่รอดต่อไปในฐานะ monster ที่ทดลองสร้างขึ้นได้สมบูรณ์ - ไม่ยอมให้การทดลองเถื่อนนี่สำเร็จได้หรอก แม้จะต้องตัวตาย (ทั้งที่ใจตัวเองก็ยังก้ำกึ่งๆอยู่ว่าเราบ้าจริงหรือเปล่า)
ที่หมอคู่หูส่ายหน้าอาจไม่ได้แปลว่า "พระเอกเกินเยียวยา" แต่อาจหมายถึง"สุดท้ายการทดลองของเราก็เอาชนะไม่ได้อยู่ดี" ฉากใบหน้าอันผิดหวังของ Dr. Crawly ในตอนท้ายอาจไม่ได้ผิดหวังในความล้มเหลวของการรักษา แต่ผิดหวังที่การทดลองล้มเหลวต่างหาก และอาจจะไม่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐอีกต่อไป บลาบลาบลา (ขนาดตูยอมระเบิดรถทิ้งนะเนี่ย)
สรุปคือ หนังทั้งเรื่องเรามองผ่านมุมมองของ Teddy ซึ่งก็คือมุมมองของ"คนบ้า" จริงครับ แต่บ้าเพราะถูกจับทดลอง หรือบ้าเพราะป่วยมาแต่แรกจริงๆกันแน่
ผมคิดว่านี่เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งครับ โดยสามารถสรุปจุดจบจริงๆได้ ตามแบบฉบับของ ผกก มือเก๋า สกอเซซี แต่หนังทำให้มีมิติมากขึ้นไปอีก โดยพยายามทำให้ออกมาเป็นลักษณะของหนังปลายเปิดที่ปล่อยให้คนดูคิดได้สองแง่ ขืนทำออกมาเป็นหนังหักมุมชั้นเดียวเหมือน The six sense จะพาลกลายเป็นหนังธรรมดาๆโบราณล้าหลังไป ผิดวิสัยอย่างมาก
ที่สำคัญลักษณะของหนักหักมุมที่ดี จะมาเฉลยเอาตอนใกล้จบเรื่องให้เป็นจุดพีคไปเลย แต่เรื่อง shutter island เกาะฯซ่อนทมิฬ นี้พอเฉลยแล้วกลับดำเนินเรื่องต่อไปอีกนานโขทีเดียว กลายเป็นอารมณ์ดราม่าธรรมดาๆไปเลย กราฟอารมณ์ตกนิ่งเลย ซึ่งยุคนี้แล้ว ผกก เขาคงไม่ทำออกมาธรรมดาแบบนี้หรอกครับ
---------------------------------- ข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆเรื่องรายละเอียดในเรื่อง(ซึ่งส่วนใหญ่ก็จับมาฟันธงอะไรไม่ค่อยได้ เพราะหลอนกับจริงมันผสมกันไปหมด)
1.เรื่องการ setup ถ้าทำเพื่อแค่พยายาม"รักษา" พระเอกซึ่งเป็นคนไข้บ้าอันตรายที่สุดจริงๆ
-การให้ Dr.เชียน ไปนั่งเรือคู่กับพระเอกมาจากแผ่นดินใหญ่ เดินเล่นคู่กันในป่า เดินเล่นกันใน ward C ที่คนไข้หลุดออกมาเต็มไปหมด มันเปลืองตัวเกินไปไหม?
-หมอแว่นแก่ที่บังเอิญเจอกันตอนหนี แถมโดนพระเอกจับฉีดยา ภาพจริงหรือภาพหลอน? ถ้าจริง>>เว่อร์ไปไหม
-ระเบิดรถเลยทีเดียว กับทั้งจัดฉากอะไรอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ไม่แปลกเพราะทุนหนา ซึ่งทุนขนาดที่จะมา setup ระดับนี้ได้ ไม่น่าจะเพื่อทางการแพทย์ แต่เพื่อการทหาร
-เพื่อนพระเอก George Noyce ที่กลายเป็นบ้า แต่ยังพูดอะไรรู้เรื่อง ตอนแรกนั่งพร่ำอยู่คนเดียวว่า "เลดิส นายสัญญาว่าจะพาฉันออกไปจากที่นี้" >>ก็อาจจะแปลว่า พระเอกน่ะเดิมทีควรจะเปิดโปงเกาะนี่ให้ได้ และช่วยฉันออกไป แล้วก็พร่ำอีกประมาณว่า "มันเป็นความผิดของนาย" และบอกพระเอกอีกว่า "นายตัวคนเดียว อย่าเชื่อใจคู่หูคนใหม่" >>หลังจากนั้น พระเอกบอกตอนก่อนระเบิดรถประมาณว่า ผมจำเป็นต้องช่วยคู่หูผม ผมจำเป็นต้องไป
-เกาะมหาโหด สถานที่ตั้ง ทุนที่ได้รับ
-ฉากจบ อันนี้สำคัญหน่อย และน่าจะมีน้ำหนักเป็นพิเศษ 1.พระเอกพูดทิ้งทวนไว้แปลกๆอันน่าจะเป็นวลีเด็ดสุดของหนัง ควรจะสื่อถึงอะไรกันแน่ ระหว่างสื่อถึงสปิริทสู้ไม่ถอย กับ สื่อถึงอารมณ์คนบ้าที่อยากฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นอันหลังนี่ ผมว่ามันออกดราม่าน้ำเน่าเกินไปหน่อยหรือเปล่า กับหนัง dark tone อย่างนี้? 2.บุรุษพยาบาลถืออะไรสักอย่างเตรียมผ่า และฉายไปที่ฉากสุดท้ายเป็นประภาคารมืดมนพร้อมกับเพลงประกอบให้อารมณ์น่ากลัว ตึ่ง ตึ่ง ตึ่งงง ถ้าเจตนารักษาจริงจะสื่อว่าไปเชือดกันที่ประภาคารโล่งๆทำไมคร้าบ หรือจะเป็นแค่ฉากทิ้งท้ายเท่ๆไร้ความหมาย ก็คงไม่น่าใช่
ข้อสังเกตของความเป็นหนัง
-ธีมของหนัง และปรัชญาที่หนังต้องการสื่อแง่คิดให้กับคนดู ถ้าพระเอกบ้าจริง จะเหมือนหนังหักมุมแบบเก่าๆ จบแบบดราม่างั้นๆ คิดว่าหนังต้องการสื่อถึงเรื่องการอย่ายอมแพ้ เรื่อง fighting spirit มากกว่า + กับธีมของการสมคบคิด
-ถ้าสรุปแบบบ้าจริง จุดพีคของหนังถือว่าทำได้ค่อนข้างแย่และกร่อย
-หนังพยายามสะท้อนอะไร จากจิตใจที่สับสนของพระเอก การพยายามหนีจากอดีตเพราะรับความจริงไม่ได้ หรือ การต่อสู้จนเฮือกสุดท้าย ?
...Teddy ไม่น่ารอดตั้งแต่มาเหยียบที่เกาะนี้ครั้งแรกแล้วล่ะครับ อยู่ที่ว่าเค้าจะเลือกจบแบบไหนเท่านั้น...
--------------------------------- ปล. น้องที่ไปดูด้วย ดูจบปุ๊บ บอกหนังทำไมเดาง่ายเนอะ เรื่องนี้ ก็เห็นๆว่าพระเอกมันคงบ้ามาตั้งแต่แรกแล้วแหละ เห็นพ่อคุณหน้าซีดกลัวน้ำซะขนาดนั้น
ปล2. รีวิวของนักวิจารณ์ฝรั่งคนหนึ่ง บอกว่าหลังจากไปดูมาแล้วสองรอบแล้ว+อ่านนิยายต้นฉบับ ตัวหนังไม่ใช่หักมุมธรรมดา แต่มันสรุปได้สองแบบ
And after seeing it twice, with one reading of the original book by Dennis Lehane sandwiched in between...
From that plot summary, Shutter Island sounds like a twist film. Nah. It's too clever for that. Sure, there's some extra, crucial info, that bleeds into the plot at a late stage.
But rather than turning the story on its head, it turns you on yours - serving up two completely different plots, each at odds with the other, and BOTH fit with everything you've just seen. http://www.newsoftheworld.co.uk/entertainment/film/748651/Shutter-Island-15-Martin-Scorsese-film-starring-Leonardo-Di-Caprio.html
อีกคนว่า Much will be made of the movies Sixth Sense-like twist ending, but familiarity with the book or a second viewing will reveal carefully constructed plot, characterization and performances. ...even fans familiar with the book will be surprised at a final tweak that adds yet another layer of doubt as to the truth. http://www.movingpicturesmagazine.com/Reviews/tabid/59/entryid/3206/Shutter-Island.aspx
แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 53 17:30:48
แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 53 17:22:36
จากคุณ |
:
EvaAngelion
|
เขียนเมื่อ |
:
23 เม.ย. 53 17:15:48
|
|
|
|
 |