บทละคร The Moon That Embraces the Sun
สเน่ห์ของละครเกาหลีหลายๆเรื่อง ที่ทำให้เรายังคงติดตามดูมาจนปัจจุบันคือ พลอตเรื่องที่ไม่ซ้ำซากค่ะ แม้ในครั้งแรกๆที่เลือกดูละครจะดูเพราะดาราหรือนักแสดง แต่เมื่อเราดูไปเรื่อยๆ ก็จะทราบดีว่า แม้ดาราต่อให้เด่นดังมาจากไหน ถ้าเจอละครบทแย่ๆ ก็ง่อยรับประทาน พาลไม่น่าดูได้เหมือนกัน The Moon That Embraces the Sun ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย แต่ด้วยความที่เป็นหนัง Period เองก็มีข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกันคือ บางคนไม่ชอบดูหนัง พีเรียด ขณะที่บางคนก็ชอบมาก บางคนพอเห็นเป็นหนังพีเรียดก็ไม่ดูแล้ว ทั้งที่บางเรื่องแม้จะเป็นพีเรียด แต่เนื้อหาก็ร่วมสมัย Moon and Sun ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อๆว่า Moon and Sun นะคะ)
มีคนเคยบอกว่า ละครเกาหลีก็เหมือนละครไทย แค่มีการดำเนินเรื่องให้น้ำเน่าอย่างแนบเนียนกว่าละครไทยเท่านั้นเอง ...
Moon and Sun พูดถึงความพรัดพราก ครั้งแล้วครั้งเล่าของตัวละคร พูดถึงความดีงามแสนบริสุทธิ์ของตัวละครหนึ่ง และเมื่อความดีงามที่สุดนั้นถูกพรากจากไป เรื่องราวเลยเศร้าโศกอย่างยิ่ง พูดถึงรักแรก รักเดียว พูดถึงความอิจฉาริษยาที่ไร้ขอบเขต พูดถึงอำนาจราชบัลลังก์ เหนืออื่นใด ละครเรื่องนี้พูดถึง ความรัก ความพรัดพราก ที่ทำให้เรารู้สึกท่วมท้นรุนแรง และ อยากติดตามไปจนถึงจุดจบ...
Sungkyunkwan Scandal เคยทำให้เรื่องราวรักร่วมสมัยแบบพีเรียดเป็นที่น่าติดตามมาแล้วโดยมีฉากหลังเป็นมหาวิทยาลัยซังคยูนกวาน มหาวิทยาลัยยของบัณฑิตแห่งโชซอน ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์(จนปัจจุบัน) Moon and Sun เองก็เช่นกัน เป็นเรื่องราวรักร่วมสมัยของพระราชาและหญิงสามัญชน อันมีฉากหลังเป็นไสยเวทย์มนต์ดำ ศาสตร์ที่ซุกซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมากนัก ไม่ว่าจะในละครเรื่องใด
ตามสไตล์ละครเกาหลีนั้นจะมีการปูเนื้อเรื่องแนะนำปูมหลังตัวละครก่อนเพื่อความเข้าใจ ทำให้เวลาเราดูละครเกาหลีเราจะรู้สึกคล้อยตามบทบาทไปโดยปริยาย ละครเกาหลีหลายๆเรื่องเลยไม่เสียดายเวลาในการปูเนื้อเรื่องให้กับตัวละครเลย Moon and Sun เองก็เช่นกัน มีการปูเนื้อเรื่องสำหรับตัวละครหลักถึง 6 ตอน กว่าจะเข้าสู่เรื่องราวหลักของเรื่อง ซึ่ง Moon and Sun ทำได้ดีเสียจนไม่อยากให้เข้าสู่เนื้อเรื่องหลักเลยทีเดียว :D
จุดเด่นของละครเกาหลีแทบทุกเรื่อง คือการสอดแทรกวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ รวมไปถึงหลักคิด เข้าไปในเนื้อเรื่อง Moon and Sun เองก็แม้จะมีการสอดแทรกเรื่องราวประวัติศาสตร์ไว้เพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำให้เราได้มองเห็นภาพบ้านเมืองและการปกครองของโชซอนในยุคนั้นได้ชัดเจนพอสมควร (เรื่องนี้ต่างจากพีเรียดเรื่องอื่นๆตรงที่ เป็นนิยายที่ไม่อิงกับยุคสมัยจริง) และเรื่องเวทมนตร์ดำก็ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับวงการละครเกาหลี ทำให้เรื่องราวดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องอำนาจราชบัลลังก์นั้น เรื่องนี้เราไม่ถือว่าเป็นจุดเด่นของเรื่อง เพราะแม้เรื่องราวของอำนาจจะมีส่วนอย่างมากในการดำเนินเรื่อง แต่เรื่องการเมืองกลับไม่มีความโดดเด่นมากนัก (แน่ล่ะสิ ก็เรื่องนี้มันเน้นเรื่องรักนี่)
**หมายเหตุ** การเมืองในที่นี้หมายถึงเรื่องบ้านเมือง ประชาชน การเมืองในเรื่อง Moon and Sun จะเน้นแบบหนักๆไปที่อำนาจในวังมากกว่า ขณะที่หนังพีเรียดหลายเรื่อง แม้จะมีเรื่องรักเป็นแกนหลัก แต่สำหรับบทพระราชาเองก็มักจะมีการโยนบทบาทด้านการเมืองการปกครองให้พอสมควร
การดำเนินเรื่องของ Moon and Sun นั้นแทบไม่มีจุดที่น่าเบื่อเลย ละครเกาหลีหลายๆเรื่องมี ซับพลอตที่ค่อนข้างน่าเบื่อ จนคนดูมักจะไม่สนใจ รอดูเนื้อเรื่องหลักอย่างเดียว (ประมาณว่า ถ้าพระเอกนางเอกยังไม่มา ก็ไม่ดู) แต่ซับพลอตของของ Moon and Sun นั้นยังแนบชิดกับเนื้อเรื่องหลักอย่างชัดเจน ทุกตัวละครล้วนมีส่วนสำคัญในเนื้อเรื่อง การกระจายบทในเรื่องนี้ทำได้เป็นอย่างดี แม้บางตัวละครจะไม่ค่อยได้โผล่มา แต่อำนาจของตัวละครก็ยังคงอยู่ ตัวละครที่เป็นตัวประกอบหลายตัวก็ทำให้คนดูหลงรักได้อย่างง่ายดาย (ข้ามเรื่องหน้าตาหรือดาราไป) เนื้อหาเองก็ชวนให้ติดตาม
ชอบตัวละครพระเอกและนางเอกมาก ตรงที่คนเขียนบทโยนเรื่องความสับสนอย่างรุนแรงให้กับตัวละครทั้งสองตัวพร้อมๆกัน ทำให้เรารู้สึกลุ้นตาม ว่าในที่สุดพระเอกและนางเอกจะได้รู้ความจริงหรือไม่ แต่น่าแปลกตรงที่เรื่องราวน้ำเน่าของพระเอกนางเอกไม่น่าอึดอัดมากแบบเรื่องอื่นๆ เพราะตัวละครทั้งสองก็มีความเป็นมนุษย์อยู่มาก เมื่อก่อนเราเคยมองว่าความน้ำเน่าของตัวละครที่ดีแสนดี หรือ ปากแข็งนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และไม่สามารถพบได้ในชีวิตจริง แต่เมื่อเราดูเรื่องนี้แล้ว เรากลับรู้สึกว่าเรื่องราวแบบนี้อาจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง เพราะไม่เสมอไปในชีวิตจริงที่เราจะสามารถพูดความรู้สึกตรงๆได้ทุกครั้ง และบางครั้งเราเองก็จะเลือกโกหกมากกว่าพูดความจริง แม้จะทำให้เราถูกคนอื่นเข้าใจผิดก็ตาม ... และชอบตรงที่ละครใช้หลักการที่ขัดแย้งกัน สร้างจุดเด่นให้บทละครอีกด้วย
เราอาจสรุปเรื่องย่อของละครได้ด้วยประโยคนี้..
"แม้มนุษย์จะทำลายวาสนาลงไปครั้งหนึ่ง ธรรมชาติก็จะสร้างวาสนานั้นขึ้นมาอีกครั้ง แม้ถูกบดบังครั้งหนึ่ง แต่ในที่สุดความสุกสว่างก็ต้องถูกฉายออกมาอยู่ดี"
เพิ่มเติม วรรณกรรมเรื่อง The Moon Thats Embraces The Sun ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2005 และเนื่องจากกระแสละครที่ดังมาก กำลังจะมีการตีพิมพ์เป็นภาษาอื่นๆอยู่ค่ะ (ไปรอลุ้นว่าจะมีภาษาไทยมั้ย)