CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เปิดสระว่ายน้ำ! Swimming Pool (2003) ใครดูแล้วงง (หรือไม่งงก็ได้) ลองดูกระทู้นี้ครับ [spoiler]

    Note: ดีวีดีของหนังเรื่องนี้เพิ่งออกใน(ไทย)ช่วงนี้พอดี ผมเพิ่งได้ดูครับ (ได้ดูงานของฟรองซัวส์ โอซงมาก่อนหน้านี้เรื่องเดียวคือ 8 Women) ประกอบกับเห็นหลาย ๆ กระทู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับหนัง ผมเลยตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเองนะครับ (คิดไม่ถึง-ว่างั้นเหอะ) ส่วนใหญ่ที่ว่าได้แนวคิดมาจากคอลัมน์ symbolic corner ของคุณไกรวุฒิ จุลพงศธร ในนิตยสาร Bioscope นะครับ
    ---------------------------------------------------------

    Swimming Pool (2003) – วังวนชีวิตของคนเขียนนิยาย

    ระหว่างและหลังการดู Swimming Pool นั้น ผมตั้งสมมติฐาน 3 แบบ
    1. เอาแบบจิตแตกไปเลย: ซาร่า (ชาร์ล็อต แรมปลิ้ง) กับจูลี่ (ลูดิวีน ซานีเญ) ที่แท้เป็นคน ๆ เดียวกัน แต่เธอมีอาการทางจิตชนิดหลายบุคลิกภาพ (Multiple personalities)
    2. เอาแบบฮอลลีวูดสุดๆ : จูลี่ที่ป้าซาร่าเห็นน่ะ เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ยัยปอดบวมนี่มาสวมรอยแทน
    3. ไม่มีหรอกยัยจูลี่อะไรเนี่ย ป้าแกคิดมาเองทั้งนั้นแหละ
    แต่…สรุปแล้วไม่มีข้อใดถูกต้องซะทีเดียว (ข้อ 3 ดูจะใกล้เคียงที่สุด) แต่ทุกสมมติฐานของผมมีจุดร่วมกันว่า
    1. ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนใน 3 ข้อ จูลี่คือแรงบันดาลใจของซาร่าในการเขียนนิยาย
    2. Swimming Pool ไม่ใช่หนังฆาตกรรม ไม่ใช่หนังที่เน้นตอนจบหักมุม (Twist Ending) ที่เอาให้คนดูหงายหลัง (ถึงแม้มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เหอะ) ไม่ใช่หนังเลสเบี้ยน แต่นี่คือหนังที่แสดง “วังวนชีวิตของคนเขียนนิยาย” !

    หลังจากขบคิดเอง จนหมดปัญญา ผมก็หยิบ Bioscope ฉบับที่ 27 คอลัมน์ Symbolic corner ของคุณไกรวุฒิ จุลพงศธร ขึ้นมาอ่าน … จนได้ถึงบางอ้อเสียที ซึ่งพอจะสรุปได้คร่าวๆ ตามข้อเขียนของคุณไกรวุฒิ + ความคิดเห็นเพิ่มเติมของผม ได้ดังนี้ครับ

    จูลี่มีตัวตนจริง แต่จูลี่ที่รับบทโดย ลูดิวีน ซานีเญ น่ะไม่มีอยู่จริง หล่อนเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งที่ซาร่าจินตนาการขึ้นมา จูลี่ตัวจริงคือเด็กสาวหน้าตาไม่สวยในตอนท้ายเรื่อง ถ้าหากถามว่าอะไรคือความจริงอะไรคือจินตนาการ … ความจริงก็คือซาร่ามาพักผ่อนที่บ้านพักในฝรั่งเศส ตกดึกจูลี่-ลูกสาวของจอห์น (หัวหน้างานของเธอ)ก็เข้ามาที่บ้านโดยไม่ได้รับเชิญ(จากซาร่า) ซาร่าใช้จูลี่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยาย และท้ายสุดเธอเจอจูลี่อีกครั้งที่บริษัทของจอห์น … จบแล้ว … หาอะไรนะ ? จบแล้ว!

    ส่วนที่เหลือคือส่วนที่เป็นจินตนาการ ซึ่งสะท้อนแนวคิดหลักที่หนังต้องการนำเสนอคือ “วังวนและชีวิตของนักเขียนคนหนึ่ง” ซึ่งก็คือชีวิตของผู้กำกับคนหนึ่งอย่างโอซงด้วย … ชีวิตนักเขียนก็อย่างเช่นฉากที่เธอปฏิเสธคุณป้าบนรถไฟนั่นปะไรว่าเธอน่ะไม่ใช่ซาร่า มอร์ตันหรอก … ส่วนวังวนนั้นก็คือ “กระบวนการทางความคิดของนักเขียน” เริ่มตั้งแต่การวางพล็อตเรื่อง หาแหล่งแรงบันดาลใจ ซาร่าสำรวจบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เธอพบสระน้ำและในที่สุดก็พบจูลี่ … แรงบันดาลใจที่จะทำให้เธอเริ่มเขียน Swimming Pool นิยายเรื่องใหม่ของเธอ

    คุณไกรวุฒิเปรียบว่าสิ่งที่ซาร่าทำก็คือหลักสูตรของการเขียนบท เริ่มแรกเดิมทีเป็นหลักสูตรขั้นต้นเธอใช้ตัวละครเพียง 1 ตัว คือซาร่า เธอพยายามทำความรู้จักตัวละครของเธอ ด้วยการคอยเฝ้ามอง แอบเข้าห้อง ค้นข้าวของ หรือแม้แต่ขโมยไดอารี่มาลอก … การที่เธอหยิบจับคนอื่นมาใส่คนอื่นมาใส่ในนิยายแบบนี้ถือว่าเธอ “ขโมย” ชีวิตของคนอื่นหรือเปล่า? แต่บางคนเรียกอย่างสวยหรูว่า “แรงบันดาลใจ” …  

    ข้างต้นคือซาร่าค้นหาลักษณะทาง “กายภาพ” ของตัวละคร ต่อมาก็คือด้าน “จิตใจ” เธอสอบถามขุดคุ้ยประวัติของจูลี่ เรื่องชีวิตวัยเด็ก อดีต เซ็กซ์ครั้งแรก ความรัก พ่อและแม่ … ทั้งหมดนี้ก็คือการ “สร้างตัวละคร” ของนักเขียนนั่นเอง

    ต่อมาก็คือการ “ผูกเรื่อง” ซาร่าเริ่มดึงผู้คนรอบตัวมาใส่ทั้งฟรองซ์-คนเสิร์ฟในร้านอาหาร หรือมาเซล-คนสวน เพื่อนำเรื่องราวไปสู่เหตุ “ฆาตกรรม” ตามพล็อตที่เธอเขียนเป็นประจำ … แต่จำได้มั้ย เธอบอกว่าเบื่อการเขียนแนวนี้จะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นพล็อตการฆาตกรรมจึงตกเป็นพล็อตรองลงไป

    จากนั้นซาร่าก็เริ่มใช้หลักสูตรหารเขียนบทขั้นสูง นั่นคือเธอต้องการฉีกแนวทางของตัวเอง-ยกระดับผลงานของตน เธอไม่ต้องการเขียนนิยายฆาตกรรมที่พอเฉลยว่า “ใครฆ่า” แล้วคนอ่านก็ลืมมัน เธอจึงหันมาเขียนเรื่องที่เน้นอารมณ์มากกว่าพล็อต ทิ้งการหักมุมและขั้นตอนการสืบสวน (เราไม่รู้ว่าจูลี่ฆ่าฟรองซ์เพราะอะไร) เน้นวิธีกลบเกลื่อนศพมากกว่าวิธีฆ่าศพ … ตรงนี้น่าสนุกเพราะนอกจากจะสร้างตัวละคร-ฆ่าตัวละครแล้วเธอยัง “ช่วยตัวละคร” ของเธอด้วย

    เธอพูดประโยคที่แดกดันพวกที่ชอบดูถูกนิยายฆาตกรรมว่า “มันยากนัก ที่จะฆ่าคนสักหนึ่งคน” ประหนึ่งจะบอกว่า “กว่าฉันจะได้เรื่องๆหนึ่งมามันไม่ใช่ง่ายๆนะโว้ย!” แถมด้วยการเสียดสีงานเขียนแนวนี้ไปในตัวด้วยการพูดประโยคที่พบได้บ่อยในนิยายฆาตกรรม เช่น “เราต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม” หรือ “ฉันยังไม่กลับลอนดอน เพราะมันจะน่าสงสัย”

    ดังนั้น แก่นของนิยายเล่มใหม่ของซาร่าก็คือ ความสัมพันธ์ของผู้หญิงของคนที่ก่อเกิดขึ้นผ่านศพ 1 ศพ มิน่าล่ะ จอห์นถึงบอกว่า “ผมไม่รู้ว่านิยายของคุณเล่มนี้ต้องการสื่อถึงอะไร” คนแบบเขาน่ะ ไม่มีทางเข้าใจหรอก!

    กระบวนการเขียนของซาร่าครบถ้วนกระบวนความเมื่อจูลี่มอบหนังสือของแม่ให้เธอ แน่นอนเธอต้องได้มัน เพราะนั่นคือความคิดของเธอ มันจะถูกตีพิมพ์เป็นนิยายชื่อ Swimming Pool ไง! ภาพที่เธอลอกหนังสือแม่ของจูลี่อย่างเอาเป็นเอาตาย ก็คือการแทนภาพนักเขียนที่สมองกำลังลื่นไหล เขียนเรื่องออกนั่นเอง

    มาที่เรื่องฉากสำคัญในหนัง ขอแยกเป็นข้อดังนี้
    1. ไม้กางเขน: ไม้กางเขนอันนี้กลับมาอยู่ที่หัวเตียงทุกเช้าได้ยังไง … จูลี่คงไม่ได้มายุ่งอะไรกับมันหรอก แต่ซาร่าค่างหากที่เป็นคนทำ เธอดูเป็นคนไม่มีศาสนา แต่ความจริงเธอเคร่งศาสนา เพราะฉะนั้นเวลาจินตนาการถึงเรื่องเซ็กซ์-เลือด-การฆาตกรรม อันขัดแย้งกับศาสนา เธอจึงต้องเก็บไม้กางเขนออกไปก่อน เมื่อเลิกคิดเลิกเขียนจึงเอามาไว้ที่เดิม
    2. ฉากนี้โดนตัดไปในดีวีดี หลังจากที่เธอโชว์หน้าอกให้มาเซลคนสวน ทั้งสองก็ร่วมรักกัน คุณไกรวุฒิเขียนว่า
    2.1 มันเป็นฉากที่บอกว่านักเขียน (รวมถึงซาร่าและโอซง) ย่อมดึงเซ็กซ์แฟนตาซีมาใช้ผลงาน ท่วงท่านอนเปลือยของซาราไม่ต่างอะไรกับจูลี่ตอนอยู่ริมสระ เธอจินตนาการว่าจูลี่เป็นพวกร่านสวาท แต่ลึก ๆ แล้วเธอก็ไม่ต่างกัน
    2.2  หลังจากที่เรารู้แล้วว่า นี่เป็นฉากจากจินตนาการของซาร่า ลองคิดดูว่ามันสวยงามขนาดไหนที่นักเขียนคนหนึ่งต้องให้กำเนิด ฆ่า ช่วยตัวละคร และบางครั้งเธอก็ “ร่วมรัก” กับตัวละคร
    3. ฉากจูลี่กรี๊ดคลั่งแล้วเรียกซาร่าว่าแม่: ซาร่าก็คือแม่ของจูลี่จริง ๆ เพราะเธอเป็นคนเขียน-ให้กำเนิดจูลี่ขึ้นมา
    4. ฉากซาร่าพบกับจูลี่ (ตัวจริง): ซาร่าหันไปมองจูลี่ด้วยสายตาอันเศร้าสร้อย นั่นคือสายตาของนักเขียนคนหนึ่งที่มองแรงบันดาลใจของเธอ นั่นคือสายตาของนักเขียนคนหนึ่งที่มองตัวละครที่เธอสร้างมา นั่นคือสายตาของแม่คนหนึ่งที่มองลูก ตรงนี้ผมคิดว่าซาร่ามอบหนังสือพร้อมลายเซ็นให้กับจูลี่เพื่อการขอบคุณสำหรับ “แรงบันดาลใจ” ถ้าคิดไปไกลกว่านั้นว่าความจริงแล้วจูลี่ตัวจริงไม่ได้ไปที่บ้านพักนั้นหรอก ซาร่าคิดมาเองทั้งนั้น (อันนี้จะยิ่งกลับไปสนับสนุนข้อ 1 นั่นคือเธออยู่ในบ้านคนเดียว แล้วใครจะเป็นทำได้นอกจากเธอ) สายตานั้นคงเป็นสายตาของนักเขียนที่มองแรงบันดาลใจในเชิงเปรียบเทียบระหว่างความจริงกับจินตนาการ
    5. ฉากสุดท้าย-ซาร่าโบกมือกับจูลี่ … (เธอน่าจะอำลาจูลี่ทั้งสองคน เพราะมีภาพทั้งสองปรากฏในฉากนี้)
    ซาร่าบอกลาจูลี่ที่เธอจินตนาการขึ้นมา: มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เศร้าสร้อยของนักเขียนสักคน ทุก ๆ ครั้งเมื่อจบนิยายสักเรื่อง เธอต้องโบกมือลาตัวละครที่เธอรักและแรงบันดาลใจที่เธอห่วงหา
    ซาร่าบอกลาจูลี่ตัวจริง: อาจเป็นนัยว่าทั้งสองไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกันเลย  ต่างคนต่างอยู่ ต่างใช้ชีวิต ซึ่งมันคือธีมอีกอย่างของหนังเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่”

    โปสเตอร์หนังมีคำโปรยว่า On the surface, all is calm และในหนังมีสำนวนว่า don’t judge a book from its cover หนังเรื่องนี้กำลังพูดถึงเปลือกนอกกับสิ่งที่อยู่ข้างในที่ไม่เหมือนกัน …จากที่คิดว่าเรื่องในหนังเป็นเรื่องจริงก็กลายเป็นเรื่องในหนังสือเล่มใหม่ของซาร่า, จูลี่ที่ดูเป็นสาวใจแตก ที่แท้เธอก็มีด้านที่อ่อนแอ, ซาร่าที่ดูเป็นสาวทึนทึก เย็นชา ใจร้าย ไร้ศาสนา แต่งตัวเชย ห่วงพื้นที่ส่วนตัว ที่แท้เธอก็มีด้านที่อบอุ่น ใจดี เคร่งศาสนา แต่งตัวทันสมัย และยอมแชร์พื้นที่กับคนอื่น

    ก็เหมือนหนังเรื่องนี้ที่ตอนแรกคิดว่าหนังว่าเป็นหนังฆาตกรรม แต่กลับกลายเป็นหนังที่เล่าถึงชีวิตนักเขียนไปเสียนี่!

    แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 47 06:33:20

     
     

    จากคุณ : merveillesxx - [ 4 ก.ย. 47 06:24:13 ]