| ชอบมากห้ามพลาด (9 คน) |
| ชอบแต่ยังไม่ที่สุด (19 คน) |
| เฉยๆ (6 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (7 คน) |
| ไม่ชอบ (7 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 48 คน |
เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูปได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2005&date=14&group=1&blog=1
สมบัติ ดีพร้อม ชายหนุ่มผู้เคลื่อนตัวไปไม่พร้อมกับโลกที่หมุนอยู่รอบตัว ท่ามกลางเพลงและดนตรีป๊อบหรือสตริงเขายังอยู่กับดนตรีของสุนทราภรณ์ ท่ามกลางคลื่นวิทยุFMมากมายเขายังฟังอยู่กับคลื่นAMและละครวิทยุ ท่ามกลางสถานท่องเที่ยวบันเทิงเริงรมย์ในโลกแห่งแสงสีความสุขของเขาคือเข้าไปนั่งดูผู้คนเต้นลีลาศกันในร้านอาหาร ผู้คนรอบตัวพูดคุยกันถึงโทรศัพท์มือถือแต่เขาไม่มีเพียงเพราะไม่รู้ว่าจะโทรไปหาใคร เขาเลือกจะกินอาหารมื้อเดิมร้านเดิมเพราะเขาไม่มั่นใจว่าถ้าเปลี่ยนแปลงความสุขที่เคยมีมันจะเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่ ชีวิตที่เดินไปข้างหน้าแต่ไม่มีป้ายบอกที่หมายว่าจะไปยังที่ใด สิ่งยึดเหนี่ยวสิ่งเดียวที่เขามีที่เขาระบายความรู้สึกและเป็นเหมือนเพื่อนในยามยากของเขาคือดีเจ ธำมรงค์ แต่ดีเจ ธำมรงค์ก็ยังไม่ใช่คนที่ทำให้โลกสมบัติต้องเปลี่ยนไป จนเมื่อสมบัติมาเจอกับนวล
นวล ทำให้เขาเริ่มที่เคลื่อนตัวไปกับโลกใบนี้ (เขาตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจ เขากินแมคโดนัลด์ ฯลฯ)
นวล ทำให้เขามีเป้าหมายชีวิตมีปลายทางที่เดินทางไป
นวล คือ ใครบางคนที่ทำให้สมบัติรู้ว่าชีวิตในวันถัดไปเขาจะอยู่ไปเพื่ออะไร ทำให้เขาอยากที่จะทำอะไรมากไปกว่าชีวิตที่หมุนรอบตัวเองอยู่ที่เดิมตลอดเวลาและผมเชื่อว่าถ้าสมบัติมีโทรศัพท์มือถือในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาจะโทรไปหาใคร
....คุณเคยเป็นบ้างไหม ใช้ชีวิตเช้าออกไปทำงานเย็นกลับมากินข้าวค่ำก็นอนแต่ไร้ซึ่งเป้าหมายในชีวิต(Purpose) คุณเคยเป็นบ้างไหม มีบางสิ่งที่เป็นโลกของคุณ(เช่นของสมบัติคือ สุนทราภรณ์,ลีลาศ,โบตั๋น,คลื่นAMฯลฯ)แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่โลกของของคนรอบตัวคุณ คุณอาจชอบหรือหลงใหลอะไรที่มันกลับกลายเป็นเรื่องตลกของคนรอบตัว สุนทราภรณ์เป็นตัวอย่างที่ดีเพราะรอบที่ผมดูเป็นตัวอย่างที่ชัดว่ามันไม่ใช่แค่สิ่งแปลกปลอมในโลกของสมบัติแต่มันแปลกปลอมในโลกของคนดูด้วยเพราะในโรงก็มีเสียงหัวเราะเหมือนกับประหลาดใจในครั้งแรกที่ได้ยิน
.... สมบัติ ดีพร้อมเป็นเหมือนตัวแทนที่มาจากแต่ละส่วนของมนุษย์ในสังคมอย่างเราๆ คุณย่อมมีโลกตัวเองที่หมุนไปไม่พร้อมคนอื่น คุณย่อมมีความดีมีสิ่งที่ศรัทธาต่างจากคนอื่น คุณเองก็เคยมีความโกรธความรุนแรงที่อยากระบายออกมา คุณเองก็เคยมีความโลภความอยากได้ในสิ่งรอบตัว สมบัติยอมเคลื่อนไหวไปกับโลกและมีเป้าหมายเพราะความรักและสมบัติสูญสลายความศรัทธากับความดีเพราะความโกรธและผิดหวัง แต่อย่างน้อยสมบัติยังรู้จักตัวเองและมีโลกของตัวเอง สมบัติยังสามารถหาเป้าหมายในการใช้ชีวิตอยู่ แล้วคุณเองเคยรู้ตัวเองบ้างหรือยังว่าโลกของคุณจะเคลื่อนไหวไปอย่างไรไปพร้อมกับโลกที่หมุนอยู่รอบตัวคุณ คุณเคยหวนกลับมามองชีวิตบ้างหรือยังว่าเป้าหมายปลายทาง(Purpose)ในชีวิตคุณนอกจากทำงานหาเงินไปในแต่ละวันคืออะไร?
...สังคมของเรามีความโหดร้ายอยู่เสมอ ตราบเท่าที่เรารู้เราก็จะพบมัน การที่เราไม่เห็นความเลวร้ายไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี สิ่งที่สวยงามหรือเลิศเลอที่เราเจอเพียงครั้งเดียวมันยังคงสวยงามอย่างนั้นตลอดไปแต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีเช่นนั้นจีรังยั่งยืน เช่น ลุงเอื้อยังคงเป็นคนดีของสมบัติตลอดไปถ้าเพียงเขาเจอกันแค่ครั้งเดียว ดีเจธำมรงค์ยังคงเป็นใครบางคนที่สมบัติผูกพันและมั่นคงไปตลอดถ้าเพียงเขาไม่พยายามไปเจอตัวจริง
...หนังไม่ได้บอกให้เราต้องหลอกตัวเองว่าโลกใบนี้สวยงามแต่หนังเผยแง่มุมให้เห็นว่าอย่ายึดติดกับความงามของโลกที่เราเห็น แม้แต่ความดีที่เราเชื่อมั่นมันก็สั่นคลอนได้เสมอเมื่อมันเข้ามาอยู่ในใจของคนซึ่งมันแปรปรวนได้ตลอดเวลา ดังคำพูดที่ว่า"ความดีนั้นยังคงทน ตราบที่ใจคนไม่อ่อนแอ
...หนังพยายามแสดงความจริงของสังคมเราแต่ด้วยวิธีการเสียดสี ความเหนือจริง(Surreal)มากกว่าใช้ความสมจริง(Reality) ตั้งแต่ชื่ออย่าง สมบัติ ดีพร้อม, เอื้อ อาทร, Future Perfect,ละครที่เสมือนกับการหลุดออกไปสู่โลกจินตนาการ(escape fantasy)ของสมบัติ,คนแก่ใจดีพร่ำบอกให้ทำดีกลายเป็นไซบอร์กเฒ่าใจบาป,ฉากที่เป็นส่วนจินตนาการทั้งหลายของสมบัติ ความบังเอิญในตอนท้ายสุด ฯลฯ หนังเล่าเรื่องหลายส่วนที่ผมมองว่าพยายามถ่ายทอดสิ่งทีเป็นนามธรรมออกมาให้เป็นภาพบนจอทั้งพยายามยั่วล้อเปรียบเทียบในความจริงในเชิงอุดมคติ(ทำดีได้ดี)กับความจริงแท้ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิต(ทำดีแต่กลับโดนดี)ไปพร้อมๆกัน และทำให้ผมหวนไปคิดถึงหนังไทยอีกเรื่องที่คล้ายคลึงกันอย่างหมานครในแง่ที่ว่าหนังสื่อทั้งเรื่องสังคมและความรักของตัวละครไปพร้อมกันโดยใช้ความเหนือจริงมาเล่าเรื่องราวที่ค่อนข้างมีความเป็นนามธรรม(เช่น ความดี ความศรัทธา ความรัก ฯลฯ)อยู่สูงจะต่างก็ตรงที่ เฉิ่มเล่าเรื่องโดยขยับเข้าใกล้โลกของความจริง(reality)มากกว่าและถ่ายทอดในส่วนของอารมณ์ความรู้สึกออกมามากกว่าหมานคร
....ผมชอบเรื่องนี้มากกว่าสยิวที่เป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกัน ในแง่ที่มันลงตัวกว่าและเข้าถึงคนดูได้ง่ายกว่ามาก ผมชอบบทในเรื่องนี้มากกว่าในThe Letterที่เขาเขียนเพราะมันฟูมฟายและจงใจบีบอารมณ์น้อยกว่า การกำกับนักแสดงและเรื่องราว+การใส่เพลงและดนตรีประกอบ+สารที่อยากจะสื่ออกมา สิ่งเหล่านี้คลุกเคล้ามาได้อย่างกลมกล่อม เป็นงานที่เห็นรอยต่อหรือรอยสะดุดของเรื่องราวน้อยมากหากจะมีก็คงเป็นฉากในม่านรูดตอนท้ายที่ดูหลุดออกจากภาพรวมของหนัง(ดังที่บอกข้างต้นหนังเรื่องนี้เลือกที่จะค่อนมาทางrealityมากกว่าfantasyส่วนต่างๆของหนังเช่นจินตนาการที่เป็นละครยังพอรับได้แต่ส่วนนี้เป็นส่วนที่มันค่อนไปทางfantasyมากกว่าซึ่งหลุดไปจากภาพรวมของหนังมากไป หากฉากม่านรูดแบบนี้จะไปโผล่ในหมานครคนดูจะรู้สึกตะขิดตะขวงน้อยกว่าเพราะเรื่องนั้นค่อนไปทางfantasy) หรือบางฉากที่ดูจงใจให้ตัวละครพูดมากเกินไป(เช่น ฉากคนขับแทกซี่คุยกันเรื่องมือถือตอนต้นที่ผมว่ามันไม่เป็นธรรมชาติและเหมือนยัดเยียดสิ่งที่อยากจะเล่าออกมา)
สิ่งที่ชอบ 
1.หม่ำ
.เป็นดาบสองคมสำหรับคนไทยทุกคนที่รู้จักหม่ำจากภาพนักแสดงตลก เพราะนั่นทำให้คนดูส่วนหนึ่งไม่เชื่อในสิ่งที่หม่ำเป็นพร้อมกับรอว่าเมื่อไหร่หม่ำจะตลก ในขณะที่อีกกลุ่มก็จะประทับใจในสิ่งที่หม่ำแสดงออกมาและชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น แต่หากมองอย่างเป็นกลางถ้าคุณเป็นใครสักคนหรือเป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้จักหม่ำ จ๊กมกผมคิดว่าการแสดงของหม่ำในเรื่องนี้เป็นการแสดงที่สมควรได้รับคำชมทั้งแววตาสีหน้าของผู้ชายชื่อสมบัติ ดีพร้อมที่ยึดมั่นความเชื่อและศรัทธาของตัวเองในโลกใบที่หมุนเร็วดุจจรวด ฉากใจสลายของสมบัติที่สถานีวิทยุเป็นฉากที่ผมชอบมากที่สุดฉากหนึ่งมันถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่พบว่าที่พึ่งสุดท้ายของชีวิตมันพังทลายลงอย่างยับเยินได้เป็นอย่างดี และฉากตอนท้ายที่วิ่งไปยืนกลางถนนกับความสับสนในใจเมื่อสิ่งที่ศรัทธาและความดีที่เคยยึดมั่นแปรเปลี่ยนไป
2.นุ่น ..ไม่เพียงกี่ฉากที่ออกมาแต่ทุกฉากที่เรียกความรู้สึกคนดูได้อย่างมากคือฉากที่มีนุ่นอยู่ หลายฉากที่ไม่ได้มีองค์ประกอบในการดึงอารมณ์คนดูแต่นุ่นดึงคนดูให้มีอารมณ์ร่วมได้ เห็นชัดอย่างยิ่งกับฉากจบที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเถียนมีมี่เป็นอย่างยิ่งซึ่งผมเองอดเปรียบเทียบไปด้วยไม่ได้ถึงกระนั้นก็ดีฉากนี้ก็ยังเป็นฉากที่ผมมีความรู้สึกร่วมไปกับทั้งบัติและนวลได้ด้วยการแสดงของนุ่นเพียงคนเดียวและทำให้คนดูพร้อมที่จะให้อภัยในความคล้ายคลึงนี้ได้
3.สุนทราภรณ์....คือตัวประกอบของหนังที่เด่นที่สุด จะมีสักกี่เรื่องที่นำเพลงสุนทราภรณ์มาใช้แล้วทำให้ตัวเพลงเองเข้าได้ถึงคนดูและทำให้หนังเรื่องนั้นเพิ่มความสมบูรณ์ของมันไปในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบนอกจากนุ่นแล้วเพลงนี่ละที่ทำให้เป็นตอนจบที่สมบูรณ์ในตัวมันเองมากขึ้นและทำให้มันมีความเป็นตัวเองออกมาจากเถียนมีมี่ได้
4.การถ่ายภาพ ...ภาพของหนังสวยงามเข้ากับเนื้อหาได้ดี ดัดแปลงและมีลูกเล่นแต่ไม่เด่นจนโดดออกมาเกินตัวหนังเป็นเรื่องที่ถ่ายกรุงเทพตอนกลางคืนและใกล้รุ่งได้ความรู้สึกเหงา อ้างว้าง และสวยงามตามความจริง
5.การเล่าเรื่อง....เป็นหนังไทยที่เล่าเรื่องได้เนียน มีร่องรอยการสะดุดน้อยอีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.นวลรักบัติ ...หนังใช้เวลาน้อยเกินไปที่ทำให้คนเชื่อว่าเธอรักเขาได้อย่างไรกับการแค่ฟังเพลงและเห็นสติกเกอร์บนเบาะหน้า หากจะอธิบายว่าเป็นความรู้สึกไม่มีใครของเธอกับการมาเจอใครสักคนเช่นบัติผมก็ยังรู้สึกสงสัยว่าแล้วเพราะอะไรเธอถึงผูกพันกับบัติในครั้งถัดมาได้เร็วขนาดนั้น
2.ฉากจบ...ผมชอบฉากจบ(คิดว่าจบแบบไหนไม่ว่าจะhappyหรือไม่happyสำหรับผมคงไม่แตกต่างกันสำหรับเรื่องนี้ เพราะด้านหนึ่งอาจสะท้อนความจริงที่สามารถเกิดขึ้นในได้แต่ในขณะเดียวกันความเหนือจริงในหนังก็มีอยู่มากหากจะจบแบบสมหวังก็มีความสุขและยอมรับได้เช่นกัน) แต่ความชอบของผมรู้สึกว่ามันเกิดผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ดูเถียนมีมี่และเมื่อได้ดูฉากจบก็เกิดความรู้สึกแวบขึ้นมาโดยอัตโนมัติในส่วนของภาพและอารมณ์ที่คล้ายคลึงกัน มันไม่ได้เหมือนสักทีเดียวและผมก็ไม่ได้คิดว่าผู้กำกับเลียนแบบและก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือจงใจ(ถ้าจงใจถือว่าแย่/ถ้าบังเอิญถือว่าโชคร้าย) แต่มันเป็นจุดบอดของตอนจบในเรื่องโดยอัตโนมัติเพราะแทนที่ตอนจบคนดูจะมีส่วนร่วมและสมาธิกับภาพในหนังแต่ผมเชื่อว่ามีคนดูหลายคนกลับมามีภาพของหนังอีกเรื่องคือเถียนมีมี่มันโผล่ขึ้นมาทำให้แทนที่จะดื่มด่ำความรู้สึกกับตอนจบได้เต็มที่มันก็เลยลดน้อยถอยลงไป
3.ฉากแฟนตาซี(ละคร)ของหม่ำในช่วงท้าย...มีช่วงแรกในการช่วยเล่าเรื่องและผ่อนคลายอารมณ์คนดูยังเป็นส่วนที่ดี แต่ตอนหลังผมเริ่มรู้สึกว่ามันมากไป มันไม่จำเป็นที่ต้องใช้ช่วงนี้ช่วยเล่าเรื่องแล้วเพราะการหลุดไปสู่แฟนตาซีที่เป็นละครนั้นมันทำให้อารมณ์คนดูหลุดออกจากโลกความจริงในหนังไปสู่แฟนตาซีด้วย ที่เห็นชัดคือฉากช่วงท้ายที่หม่ำไปคอนโดตัดสลับกับฉากละครที่นางเอกจะขึ้นรถออกจากคฤหาสถ์ไปมันทำให้ส่วนแฟนตาซีฉากนี้จะขำก็ไม่ขำแล้วแถมยังลดทอนอารมณ์ความรู้สึกของสมบัติในฉากนั้นลงไปอีก
4.ความไม่ชัดเจนของบทในบางช่วง...ทั้งเรื่องยาบนรถหรือเรื่องตอนท้าย สมบัติติดคุก? ติดนานเท่าไหร่ ?ทำไมออกมาเหมือนเดิมทุกอย่างเพราะถ้าติดมันน่าจะนานกับคดีที่รุนแรงแบบนั้น(ตอนออกมาแตกต่างแค่มีเครื่องช่วยฟังกับแผลที่หน้าผากและเดินกะเผลก) หรือ ไม่ติดคุก?ถ้าไม่ติดทำไมถึงรอด? การขาดความชัดเจนในช่วงเวลามีผลอย่างมากในการทำความเข้าใจเรื่องราวและรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร (ในบางเรื่องเช่นเถียนมีมี่หนังทำให้คนดูรู้ว่ากี่ปีที่ผ่านไปและสุดท้ายเวลาที่ผ่านไปมันส่งผลให้ฉากสุดท้ายเกิดความรู้สึกที่มีอิทธิพลกับคนดูได้เพราะคนดูรู้สึกถึงความโหยหา ความพลัดพรากที่แสนนาน แต่กับเฉิ่มระยะเวลาที่หม่ำจากไปหนังไม่บอกให้รู้เลย มันต่างกันมากถ้าบอกว่าจากกันไปแค่1สัปดาห์ 1ปี หรือ10ปี แถมเมื่อออกมายังดูเหมือนตอนก่อนจากทุกประการ มันจึงไม่เกิดความรู้สึกที่โหยหาของทั้งคู่ได้เท่าที่ควร)
สรุป...นี่เป็นหนังไทยที่อาจไม่ได้มี คุณสมบัติ ดีพร้อม ทุกอย่างแต่มันมีดีเพียงพอที่น่าจะสนับสนุนเข้าไปดูในโรงและไม่เสียดายตังค์แต่อย่างใด(สำหรับผมกับเงิน120บาทในโรงSF MBKรอบ17.20น.เมื่อวานนี้)หากไม่คาดหวังไว้ก่อนว่าเป็นหนังรักกุ๊กกิ๊กโรแมนติก เพราะนี่คือหนังดราม่าที่เล่าเรื่องความรักและเล่าเรื่องสังคมไปด้วยกันที่ทำได้ค่อนข้างลงตัวในส่วนที่หนังอยากจะเล่าและอารมณ์ที่หนังส่งให้คนดู
.....ผมคิดว่าหากจะสนับสนุนให้หนังไทยก้าวไปได้ไกลขึ้นต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งผู้สร้างและคนดู คนดูน่าจะให้โอกาสหนังไทยที่ดีๆโดยการไปดูในโรงมากขึ้น ผมสงสัยหลายหนที่หนังไทยบางเรื่องคนดูส่วนหนึ่งจะรอฟังคำวิจารณ์ก่อนแล้วพอมีข้อบกพร่องอยู่บ้างหนังจะถูกมองข้ามไปในขณะที่หนังฝรั่งหลายเรื่องที่มีข้อบกพร่องกว่ามากมายกลับพร้อมเสียเงินไปดูทันทีโดยไม่รอคำวิจารณ์ ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็น่าที่จะสร้างงานดีๆที่ไม่ดูถูกคนดูไม่ใช่ทำตามกระแสเพื่อโกยเงินเป็นช่วงๆไว้ต่อทุนเรื่องต่อไปหรือคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ได้เงินเข้ากระเป๋ามากที่สุด
แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 48 21:48:13
แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 48 14:53:09
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
14 พ.ค. 48 14:51:31
]