CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... A Sound of Thunder , เรื่องราวอยู่ในโลกอนาคต ตัวหนังอยู่ในโลกอดีต

      ชอบมาก ห้ามพลาด (1 คน)
      ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (6 คน)
      เฉยๆ (5 คน)
      ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (5 คน)
      ไม่ชอบ เสียดายตังค์ (7 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 24 คน

     4.17%
     25.00%
     20.83%
     20.83%
     29.17%


    เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป และ รบกวนแสดงความเห็นเพิ่มเติมเพื่อเป็น 1 ความเห็นอันเป็นประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2005&date=16&group=1&blog=1


    ...ธุรกิจผลักดันให้วิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าต่อไป ในขณะเดียวกัน ธุรกิจก็สามารถทำลายวิทยาศาสตร์ให้ย่อยยับได้ในพริบตา ด้วยด้านมืดของธุรกิจ คือ ความโลภที่จ้องหาแต่ผลกำไร

    ...ในปี ค.ศ. 2054 การร่วมงานกันระหว่าง หนึ่งนักธุรกิจ Charles Hatton กับ หนึ่งนักวิทยาศาสตร์ Travis Ryer ในธุรกิจพานักท่องเที่ยวเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ เพื่อชมธรรมชาติและตื่นเต้นไปกับการล่าไดโนเสาร์ เป้าหมายของคนหนึ่งคือการทำเงินให้ได้มากที่สุด เป้าหมายของอีกคนคือการวิจัยเพื่อสร้างสัตว์ที่สูญพันธ์ไปหมดสิ้นแล้วให้กลับคืนมาใหม่

    ...ข้อสำคัญของการเดินทางย้อนเวลา คือ ห้ามเปลี่ยนแปลงอดีต นั่นคือ ห้ามหยิบจับหรือทำลายสิ่งที่อยู่ในอดีต รวมไปถึง ห้ามทิ้งสิ่งที่เป็นของในโลกปัจจุบันไว้ที่นั่น เมื่อจะฆ่าไดโนเสาร์ก็ต้องฆ่าตามเวลาที่คำนวณไว้เพราะเป็นเวลาที่มันจะตายโดยวิถีธรรมชาติอยู่แล้ว เหตุผลที่ต้องจุกจิกหยุมหยิมเช่นนี้ มาจากทฤษฎีที่ชื่อว่า The Butterfly effect ที่บอกไว้ว่า ความแปรปรวนเล็กน้อยในระบบที่มีการเคลื่อนไหว( dynamic system )จะส่งผลให้เกิดความแปรปรวนอันใหญ่หลวงของระบบในระยะยาว

    Edward Lorenz กล่าวถึงทฤษฎีนี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ด้วยประโยคสั้นแต่ได้ยินกันมานานว่า one flap of a seagull's wings could change the course of weather forever รวมไปถึงการที่เขาเคยบรรยายว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่การกระพือปีกของผีเสื้อสามารถส่งผลให้เกิดพายุทอร์นาโดในเท็กซัส มีนิยายหลายเรื่องหยิบทฤษฎีนี้ไปเขียนและ 1 ในนั้นคือต้นฉบับของภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องสั้นจำนวน 18 หน้ากระดาษ ชื่อ A Sound of Thunder โดย Ray Bradbury

    ...ตัวอย่างในเรื่องสั้นที่อธิบายทฤษฎีนี้คือเมื่อ Travis Ryer อธิบายให้ Eckels นักเดินทางท่องทัวร์ไปครั้งนี้ว่า ห้ามแม้แต่เหยียบโคลนในนั้นเพราะเพียงการเผลอฆ่าผีเสื้อตัวเดียว ก็สามารถส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อโลกมนุษย์ ตัวอย่างที่ Travis เล่าเห็นภาพได้ชัดขึ้นเมื่อเขาสมมติว่า หากเราฆ่าหนูเพียง 1 ตัว ก็เท่ากับ เราตัดโอกาสการเกิดของครอบครัว ลูกหลาน หนูที่จะมาจากหนูตัวนั้นอีกเป็นร้อยเป็นพัน หรืออาจเป็นล้านตัว ส่งผลให้ สุนัขจิ้งจอกที่จำเป็นต้องกินหนูกลุ่มนั้นก็อาจต้องเสียชีวิตเพราะขาดห่วงโซ่อาหาร สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นตาย ก็เท่ากับ ตัดโอกาสครอบครัว ลูกหลาน สุนัขจิ้งจอกไปอีกจำนวนมาก และก็จะส่งผลต่อไปเป็นทอดๆแบบนี้ จนอาจส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงและชุลมุนวุ่นวายไปถึงโลกอนาคต ดังนั้นการเหยียบหนูตายตัวเดียวอาจทำให้เกิดภาวะแผ่นดินไหว , คนในอดีตตายหนึ่งคนอาจสูญสิ้นมนุษยชาติ ฯลฯ

    ...แต่แน่นอน ระบบ ย่อมไม่มีความแน่นอน เพราะในความแน่นอน ย่อมมีตัวแปร แม้ว่าการออกแบบระบบจะดีแค่ไหน การคำนวณของคอมพิวเตอร์จะแม่นยำเพียงใด ความผิดพลาดก็เกิดได้เสมอ และ มันก็มักจะมาจากตัวมนุษย์นั่นเอง ใน A Sound of Thunder มันก็มาจากความโลภของตัวละครที่ทำให้ความแปรปรวนนั้นเกิดขึ้น ส่งผลเป็นลูกโซ่มาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ต้นไม้เกิดเติบโตผิดธรรมชาติ คลื่นกาลเวลาซัดลูกแล้วลูกเล่า การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ประหลาดๆเช่นไดโนเสาร์กลายพันธ์ หรือ สัตว์ในโลกอดีตก็เริ่มตามมา และ นั่นก็เท่ากับว่า คลื่นเวลาระลอกแล้วระลอกเล่ากำลังจะทำให้โลกกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง นั่นคือยุคดึกดำบรรพ์ที่ไม่มีมนุษย์อีกต่อไป

    หน้าที่ของพระเอกและลูกทีม คือ หาว่าความผิดพลาดที่ทำให้เกิดความแปรปรวนเกิดจากอะไร แล้ว วิ่งหนีสัตว์ประหลาดเพื่อหาทาง ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตที่ทำผิดพลาด

    .. ทุกครั้งที่พระเอกของเราเผชิญกับไดโนเสาร์หรือสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ๆผมจะตื่นเต้นมาก เพราะการเงยคอจ้องไดโนเสาร์ร้องโฮกๆ จากแถวที่ 2 หน้าจอ ในโรง Sf MBK เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทำให้เห็นได้ตั้งแต่ซอกฟันยันลิ้นไก่ไดโนเสาร์ฮ่าฮ่าฮ่า นับได้ว่าเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้ที่นั่งใกล้จอขนาดนี้นับตั้งแต่ The Saint เมื่อหลายปีก่อน การนั่งหน้าจอสำหรับเรื่องนี้เป็นผลดีมากกว่าผลเสียเพราะมันช่วยเพิ่มระดับ ความตื่นเต้นให้กับผมได้มากขึ้นจากหนังที่มีให้น้อย

    ... การหยิบจับทฤษฎี The Butteyfly effect มาใช้นี้จะว่าเก่าก็เก่า จะว่าใหม่ก็ใหม่ ใครที่ได้ยินครั้งแรกก็น่าจะทึ่งแต่ใครที่เคยได้ยินมาแล้วหรือเคยดูหนังที่สร้างจากทฤษฎีนี้มาก่อนแล้วก็อาจจะเฉยๆ หนังทั้งเรื่องไม่สามารถที่จะสร้างความน่าสนใจได้เท่าเรื่องสั้นต้นฉบับ เพราะ การเดินทางข้ามเวลาของบริษัท Time Safari ใช้เวลา 16 หน้าและกลับมาที่โลกปัจจุบันแค่ 2 หน้า เพียง 2 หน้าก็สร้างความสนุกได้แล้ว แต่เกือบ 2 ชั่วโมงของหนังนั้นไม่มีอะไรให้น่าติดตามเท่าไหร่เลย

    ...ตัวอย่างหนังที่หยิบทฤษฎีนี้มาใช้ได้อย่างน่าสนใจ คือ หนังที่ชื่อเดียวกับทฤษฎีนี้เอง The Butterfly effect ที่ไม่ได้แค่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงอดีตแล้วจะส่งผลกระทบต่อปัจจุบันแต่หนังยังมีประเด็นความรักที่ถูกนำมาผูกไว้ด้วย หนังทำให้เราได้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงอดีตแม้เพียงเล็กน้อยมันก็ส่งผลกระทบเป็นทอดๆได้ถึงปัจจุบัน และ ยังพูดถึง กรรม ที่เราต้องเผชิญอย่างหลีกหนีไม่ได้ ไม่ว่าจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงกี่หน ผลลัพธ์ในอนาคตนั้นก็ไม่มีวันเปลี่ยน สิ่งที่เราทำได้หากเรารักใครสักคนแต่รู้ว่าไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ คือทำให้เขามีความสุขที่สุดแม้ว่าจะไม่มีเรา

    จุดแข็งที่ The Butterfly effect เหนือกว่า A Sound of thunder ในแง่มุมเดียวกันคือ หนังสามารถชี้ให้เห็นชัดๆว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่ว่าส่งผลอันยิ่งใหญ่นั้นส่งผลได้อย่างไร ทำให้เราเชื่อถือตาม เรื่องนี้ตรงกันข้ามเป็นการหยิบทฤษฎีมาพูดผ่านตัวละครเท่านั้น แล้ว หนังก็กระหน่ำตามด้วยฉากแอคชั่นและ CG ที่เหมือนดูหนังสิบปีก่อน


    ...หนังเรื่องนี้ถ้าฉายเมื่อ 10 ปีก่อน น่าจะได้รับคำชมไปมากกว่านี้ กับไอเดียที่น่าสนใจและเทคนิคที่ดีในยุคนั้น แต่ก็คงดีได้ในระดับหนึ่งไม่มากมายด้วยข้อจำกัดของบทที่เป็นเช่นนี้ แต่นี่เมื่อหนังเดินทางมาสู่ปัจจุบัน มันจึงกลายเป็นหนังไซไฟที่ตกยุค และ รวมหลายองค์ประกอบของหนังไซไฟเชยๆเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็น

    ... Special effect คือ ความอ่อนด้อยและเป็นจุดอ่อนอันใหญ่สุดของหนังเรื่องนี้ กินแห้วไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นงานแบบนี้ในหนังใหญ่ระดับนี้บนจอ ฉากคนเดินไปมาในโลกอนาคตดูออกอย่างชัดเจนว่าเป็นการเดินผ่านฉากหลังหรือบลูสกรีนที่สร้างขึ้นมา ฉากพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆผมเห็นเหมือนเป็นจิ๊กซอว์เป็นชิ้นๆหลุดออกมา Computer Graphic ในเรื่องนี้แย่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตามมาด้วย

    ...การแสดงที่ไร้อารมณ์ สีหน้าของพระเอก Edward Burns ที่ไม่เคยหวั่นไหวแม้คนใกล้ตัวตายสักกี่คนหรือจะผจญกับสัตว์ประหลาดกี่ตัว ทำให้หนังยิ่งลดอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปใหญ่และลดความสมจริงของหนังมากขึ้นไปอีก ทั้งเรื่องเราจะเห็นสีหน้าของตัวพระเอกกับนางเอกแค่ไม่กี่แบบ แม้แต่ความสัมพันธ์ที่หนังพยายามสร้างให้พระเอกผูกพันกับตัวละครตัวอื่น ก็ดูเป็นความพยายามที่จงใจไร้เหตุผลเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวประเภท “พ่อเธอฝากฉันมา” ไม่ทำให้คนดูสามารถรู้สึกผูกพันตามไปด้วยได้ แล้วพอตัวละครสำคัญต่อพระเอกจากไป สีหน้าเขาก็ไม่มีเปลี่ยนแม้แต่น้อย บางตัวละครก็หายจากจอไปดื้อๆกินแห้ว

    ...สีสันของตัวละคร มีเพียงตัวเดียวจาก Ben Kingsley กับบทเศรษฐีปลิ้นปล้อนที่เล่นได้ตลกและน่าชังดี กับ คนประเภทพลิกลิ้นได้ทุกรูปแบบโดยมีผลประโยชน์ตัวเองนำหน้า ไม่เพียงการแสดงที่ไร้อารมณ์แต่บทที่มีนั้นก็ช่วยฉุดให้มันแย่ลงไปอีก เช่น dialogue ที่จับใส่ตัวละครเป็นบทพูดประเภท ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอมาก คือ มันไม่ได้สมเหตุสมผลในสถานการณ์นั้นแต่อย่างใดแต่ขออะไรที่เท่ห์ไว้ก่อน รวมไปถึง ฉากเชยๆประเภท ใช้กุญแจรีโมทเปิดประตูไม่ได้ก็ต้องมีตัวละครหนึ่งตัวพังประตูด้วยอาวุธแล้วหันมายิ้มปานประหนึ่งว่า "เห็นมั้ยละ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีพวกนั้นหรอก นี่ละลูกผู้ชายตัวจริงกระทิงแดง" ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นความเชยที่หนังตระกูลนี้มีมาแล้วไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องกินแห้ว

    ...การเล่าเรื่องเดินหน้าไปอย่างข้างหน้าด้วยฉากแอคชั่นที่สาดกระหน่ำมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นจากไดโนเสาร์ไล่ล่าอย่าง Jurassic park หรือ เหมือนผีดิบอย่าง Dawn of the dead ความสมเหตุสมผลถูกโยนทิ้งชนิดไม่สนใจอีกต่อไปเมื่อหนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ ขนาดไฟดับน้ำท่วมไม่รู้กี่หน ไฟสำรองก็ยังคงใช้ได้ จนถึงตอนท้ายจมน้ำอีกไม่รู้กี่รอบ อุปกรณ์ฮาร์ดดิสค์ก็ยังคงใช้ได้อยู่ดี

    ผู้กำกับ Peter Hyams ได้ไอเดียเก่าแต่ดีมาสร้างหนังอยู่เสมอ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามักจะไม่ประสบความสำเร็จ งานชิ้นก่อนหน้านี้อย่าง End of Days ที่ว่าไปแล้วตัวหนังเองก็มีความสนุกอยู่บ้างแต่ปัญหามันเกิดจากหนังขาดความกระชับ เล่าเรื่องแบบทื่อๆขาดความชวนติดตาม คนดูก็เลยสนุกได้แค่สนุกกับ Special effect กับ ฉากแอคชั่น ไปเท่านั้น พอมาถึงเรื่องนี้ ความสามารถในการกำกับและเล่าเรื่องไม่ได้ต่างไปจากเดิม มิหนำซ้ำจุดเด่นอย่าง Special effect ก็ยังแย่ลงไปอีก เหลือเพียง ฉากแอคชั่นกับเสียงดังๆให้ตกใจที่พอประทังให้หนังชวนดูไปได้จนจบ ดีว่าส่วนนี้(ฉากแอคชั่น)หนังทำใช้ได้ทีเดียว มันจึงไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อกระสับกระส่ายแต่เป็นความรู้สึกเหมือนดูเล่นๆไปได้เรื่อยๆ ตามประสาคนใช้ Movie passport ก็เลยไม่เสียดายมาก สัตว์ประหลาดหน้าตาแปลกๆก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้ผมสนใจดูอย่างเพลิดเพลิน น่าเศร้าที่หนังเล่าถึงยุคอนาคตแต่ตัวหนังเองกลับย้อนเวลาไปเป็นหนังในยุคอดีตแทน

    สิ่งที่ชอบsmile

    1.สัตว์ประหลาดแปลกๆ ... ทั้งลิงประหลาด, นกผี , พญานาคจอมโหด ไปจนถึง สาวมีหนวดตอนท้าย

    สิ่งที่ไม่ชอบmad

    1.Special Effect ย่ำแย่

    2.การแสดงไร้อารมณ์

    3.บทไร้เหตุผล

    4.ความเชย ... แม้แต่ตอนจบก็จบแบบเชยๆอีกต่างหาก

    5.ความไม่สร้างสรรค์ ... หากจะบอกว่าการหยิบทฤษฎีเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวนี้เป็นสิ่งสร้างสรรค์ ผมคงคิดเห็นตรงกันข้าม เพราะมันมีอยู่มานานแล้ว และ หนังหลายเรื่องนำมาสร้างแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นเพียงหยิบมันขึ้นมาพูดถึงสั้นๆแล้วขยายความด้วยการต่อสู้ไล่ล่าแทน หากไม่นับความสร้างสรรค์ช่างคิดในการออกแบบตัวสัตว์ประหลาด ส่วนที่เหลือคือความซ้ำซากที่เคยเห็นในหนังแบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น

    สรุป... ไม่เคยดูหนังไซไฟมาก่อนในชีวิต - สนุกตื่นเต้น ไอเดียล้ำ , เคยดูหนังไซไฟมาบ้างไม่มากนัก แต่รู้จักทฤษฎีนี้ครั้งแรก - ไอเดียดี สนุกบ้าง , รู้จักทฤษฎีนี้มาก่อน ดูหนังมาพอสมควร – เสียดายตังค์ อาจไม่หลับเพราะฉากแอคชั่นยังพอตื่นเต้นบ้าง แต่ ถ้าจะหลับก็ไม่แปลกใจ


    haha เชิญชวนตามอ่านบทความเก่าๆ สนทนาภาษาหนัง และ ร่วมเป็น 1 ความเห็นในหนังที่คุณเคยดู ที่
    http://aorta.bloggang.com

    Red Eye , ไม่ใช่แค่ Fight or Flight แต่ยังเป็น Fight on Flight
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2005&date=14&group=1&blog=1

    เพื่อนสนิท , เมื่อเส้นแบ่งของ "คนรัก" กับ "เพื่อน" เริ่มเลือนราง
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=10-2005&date=12&blog=1

    Sin city , ฟิล์มนัวร์ที่ลงตัวและเจ๋ง
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2005&date=29&group=1&blog=1

    แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 48 13:56:43

    แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 48 13:38:08

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 16 ต.ค. 48 13:34:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป