CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... Flightplan , ขึ้นได้สูง บินได้สวย ลงไม่นิ่ม

      ชอบมาก ห้ามพลาด (19 คน)
      ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (19 คน)
      เฉยๆ (12 คน)
      ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (2 คน)
      ไม่ชอบ เสียดายตังค์ (3 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 55 คน

     34.55%
     34.55%
     21.82%
     3.64%
     5.45%


    .... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป และ รบกวนแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=10-2005&date=23&blog=1

    ...เหตุการณ์ 9/11 ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนมีความหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่และรู้สึกว่า การถูกคุกคามในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้วแต่ความหวาดระแวงต่อสังคมกับคนรอบข้าง เพิ่มขึ้นมากขึ้นไปจากเดิม

    จาก 9/11คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คือกลุ่มคนที่สูญเสีย คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ที่ไม่ได้สูญเสียจากเหตุการณ์นั้นแต่ต้องรับผลลัพธ์ติดตัวต่อไปเช่นกัน นั่นคือ กลุ่มชนชาวตะวันออกกลางที่บริสุทธิ์ พวกเขาถูกมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากอคติทางสังคม กระบวนการคิดอย่างเหมารวม (overgeneralization) เกิดมากขึ้นเรื่อยๆในหลายๆแห่ง กลายเป็นว่า เมื่อใดที่คุณไปอยู่ในเหตุการณ์ที่รุนแรงหรือเกิดเหตุฆ่ากันตาย ถ้าคุณเป็นคนตะวันออกกลาง เท่ากับว่า คุณกำลังแขวนป้าย ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง อยู่โดยอัตโนมัติ นั่นทำให้ ตัวละครชาวอาหรับใน Flightplan เป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกในโลกเซลลูลอยด์ และ ทำให้คนหนึ่งคนต้องเสียชีวิตอย่างไม่จำเป็นจากวิสามัญฆาตกรรมที่ลอนดอนเมื่อไม่นานมานี้ในโลกของความเป็นจริง เพียงเพราะเขาเป็นชาวตะวันออกกลาง ผู้ร้ายในตอนนี้ที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ในสังคมจากเหตุการณ์ 9/11 ชื่อ ความหวาดกลัว

    ...ความหวาดกลัว ต่อ อันตรายรอบตัว ทำให้คนเราเริ่มสร้างเกราะป้องกันตัวจากภยันตรายภายนอก ด้วยการตัดขาดจากโลกรอบตัว ไม่น่าแปลกใจที่ต่อไป น้ำใจ อาจเห็นในสังคมลดลง เพราะความสนใจที่คนเรามีต่อคนรอบข้าง ลดลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดไม่ต้องดูอื่นไกล วัฒนธรรม ipod หรือ mp3 พกพา เป็นตัวอย่างเล็กๆตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อหูฟังถูกจับยัดใส่หู โลกของคนๆนั้นก็ตัดขาด (disconnected) ออกจากสังคมรอบตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้เกี่ยวกับเราอีกต่อไป

    ...ความสนใจสิ่งรอบข้างลดลงนี่เอง เป็นเหตุให้ Kyle Pratt (Jodie Foster) จึงต้องงงเป็นอย่างมากเมื่อใครต่อใครบอกว่า ไม่เห็นลูกสาวเธอบนเครื่องบิน ทั้งที่เธอเองมั่นใจว่าเธอและลูกขึ้นเครื่องมาด้วยกัน แต่เมื่อลูกเธอหายบนเครื่อง กลับไม่มีใครที่เป็นพยานเห็นลูกเธอขึ้นเครื่อง

    ลองคิดว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่น่าฉงนว่าเด็กไปไหน แต่ที่น่าขนลุกไม่น้อย เป็นความจริงที่ว่า สังคมเราทุกวันนี้ เราสนใจคนรอบตัวน้อยลงจริงๆอย่างไม่น่าเชื่อ คิดภาพเราขึ้นเครื่องบิน ได้ที่นั่ง แล้วทันใดนั้นก็หยิบ ipod เสียบหูฟังเลือกเพลงโปรด อ่าน magazine แล้วก็จมอยู่ในโลกส่วนตัว โดยหารู้แม้แต่นิดว่าคนนั่งข้างๆเราเป็นหญิงหรือชาย ลักษณะเป็นอย่างไร และ ถ้าเขานั่งไหลตายข้างๆเราไป เราจะรู้ตัวหรือไม่

    ... ก่อนหน้านั้น หนังเปิดฉากด้วยการพาคนดูไปรู้จักกับ Kyle Pratt หญิงสาวที่กำลังโศกเศร้า สับสน ในเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่หนังตัดสลับกันไปมาระหว่าง เหตุการณ์ที่เธอและสามีกำลังเดินทางกลับบ้านในวันหิมะตก กับ เหตุการณ์ที่เธอกำลังจะไปจัดการกับศพของสามีคนเดียวกันนี้ เพื่อจะส่งขึ้นเครื่องบินข้ามประเทศ หนังทำให้คนดูงงงวยไปพร้อมกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นในฉากเปิดเรื่องนี้ หนังเริ่มสร้างคาแรกเตอร์ Kyle Pratt ให้มีความเคลือบแคลงตั้งแต่แรกเป็นกับดักแรกที่ผู้กำกับ ใช้ล่อลวงให้คนดูไม่มั่นใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา

    เธอกับลูกสาวกำลังจะย้ายบ้าน จากเบอร์ลินไปนิวยอร์ค พร้อมศพสามีที่อยู่ในโลง และ บนเครื่องบินลำนั้นเอง ขณะที่เธอและลูกงีบหลับไป เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่า ลูกสาวเธอหายไป เธอตามหาลูกสาวทั่วเครื่องบินก่อนจะพบว่า...

    -ไม่มีใครบนเครื่องบินเคยเห็นลูกของเธอเลย

    - แอร์โฮสเตส ยืนยันว่า เห็นเธอบนเครื่องเพียงคนเดียว

    -กัปตันสั่งให้ลูกเรือช่วยกันค้นทุกซอกทุกมุมของเครื่องบินก็ไม่พบลูกสาวเธอ

    -มีหลักฐานยืนยันมาจากรพ.ว่าลูกสาวเธอเสียชีวิตไปแล้วพร้อมพ่อของเธอ

    ..... หนังทำให้คนดูต้องสงสัยว่า Kyle Pratt เป็นแม่ที่ลูกหายไปบนเครื่องจริงๆ หรือ เป็นหญิงสาวที่เผชิญกับภาวะสูญเสียแล้วรับไม่ได้จนเกิดอาการจิตหลอน

    การทำให้คนดูไขว้เขว ระหว่าง อาการหลงผิด (delusion) กับ ความจริง (reality) ยังเป็นพล็อตที่ดึงดูดให้คนดูยอมเสียเงินไปเพื่อค้นหาความจริงเสมอ ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะมีกรณีลูกหายแบบเดียวกันนี้ใน The Forgotten ที่เล่นประเด็นนี้เช่นกัน หนังสามารถกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนดูตั้งแต่หนังตัวอย่าง ว่า แท้จริงแล้ว ความจริงมันเป็นอย่างไร ? (สำหรับผม The Forgotten ทำให้ผมผิดหวังในชั้นนี้ ) ชั้นถัดมาคือเมื่อเฉลยแล้ว หนังสามารถทำให้คนดูเชื่อถือสิ่งที่หลอกไว้มาตลอดได้หรือไม่

    …ถ้าคุณตกอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับ Kyle Pratt คุณจะสงบใจได้มากแค่ไหน คุณจะบ้าคลั่งได้แค่ไหน คุณจะทำถึงขนาด Kyle Pratt หรือไม่ ถ้าคุณพบว่า ลูกคุณหายไปบนเครื่องบินและทุกคนยืนยันว่าไม่เคยเห็นลูกคุณบนเครื่อง การกระทำของเธอเชื่อว่าไม่มีใครจะตำหนิได้ ในการที่ทุ่มเททุกอย่างในความเป็นแม่เพื่อให้ได้ลูกกลับคืนมา แต่อีกด้านหนึ่งจะเห็นว่าหนังเริ่มให้คาแรกเตอร์ของ Kyle Pratt ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จะว่าไปแล้วเธอเองก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่สนใจแต่ตัวเองเช่นกัน หากดูจากหลายๆการกระทำของเธอที่ไม่ได้สนใจหรือแคร์ว่าใครจะเดือดร้อนอย่างไร

    ... มีฉากเล็กๆฉากหนึ่งที่ผมชอบในเรื่อง ฉากนี้ช่วยให้เราเห็นองค์ประกอบของความรุนแรง ว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่ ผู้ก่อเหตุและ ผู้ถูกกระทำ แต่ยังมีตัวบุคคลประเภทช่วยกระพือไฟความรุนแรง นั่นคือตัวละครหรือบุคคลประเภท “ขามั่ว”   ในฉากที่ Kyle Pratt กล่าวหาชายชาวอาหรับและเชื่อว่าเขาคือคนขโมยลูกเธอไป เราจะได้ยินเสียงผู้โดยสารรอบๆซุบซิบกันว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ เราจะได้เห็นชายหนุ่มที่ไม่ได้รู้ความจริงใดๆทั้งสิ้นแต่กลับช่วยโหมความรุนแรงให้มากขึ้นจนลงเอยที่ความรุนแรงในเหตุการณ์เมื่อตัวนางเอกควบคุมตัวเองไม่ได้ ตอกย้ำให้ต้องระวังไว้ว่า ในสังคมที่อ่อนไหวกับความหวาดกลัวทุกวันนี้ การยั่วยุเพียงนิดเป็นปัจจัยที่มักขยายความรุนแรงมากขึ้นกว่าที่คาดคิดเสมอ

    นอกจากนี้ ในฉากนี้ไม่ได้แค่ทำให้เราได้เห็นตัวอย่าง ขามั่ว ที่มีส่วนในความรุนแรงของเหตุการณ์ แต่ฉากนี้ยังช่วยเสริมย้ำเรื่องของการสนใจแต่ตัวเองที่กล่าวไว้ข้างต้น เราจะได้เห็นคนรอบข้างที่เหมือนคนดูในเหตุการณ์ต่างเอาใจเข้าข้างนางเอกในตอนแรก จนเมื่อ เหตุการณ์ขมวดเกลียวรุนแรงมากขึ้น การเดินทางล่าช้า ,ห้องน้ำถูกปิด , ตัวเองถูกจำกัดการเคลื่อนที่บนเครื่อง , เครื่องบินต้องเปลี่ยนเป้าหมายปลายทาง นั่นหมายถึง ความเดือดร้อนส่งผลต่อตัวเอง ผู้โดยสารที่เคยมั่นใจและเห็นใจมองนางเอกเป็น แม่ผู้น่าสงสาร กลับปรบมือดังทั่วห้องโดยสาร เมื่อเธอถูกจับใส่กุญแจมือ เธอกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนรอบตัวทันทีที่เธอทำให้คนรอบข้างต้องลำบาก

    … Flightplan พาตัวเองขึ้นสู่น่านฟ้าอย่างมีระดับ โดยมีกัปตันชาวเยอรมันอย่าง Robert Schwentke ผู้กำกับที่ก้าวมาทำหนังฮอลลีวูดเต็มตัวเรื่องแรก เขาทำให้คนดูลุ้นระทึกกับบรรยากาศในสถานที่ปิดแคบอย่างเครื่องบิน กับ ปริศนาที่รอคอยการคลี่คลาย เสมือน งานเขียนประเภท การฆาตกรรมในห้องปิดตาย ที่คนดูกระหายใคร่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในห้องปิดแคบนี้ เขาทำให้คนดูไขว้เขวในสิ่งที่ตัวเองคิด เขาวางกับดักไว้หลายจุดที่ล่อหลอกคนดูต้องสงสัย ทำให้คนดูเริ่มลังเลว่าสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้

    ผมบังเอิญเคยดูหนังเรื่องก่อนของเขาที่เคยกำกับเรื่อง Tattoo เป็นเรื่องของการตามล่าฆาตกรที่ล่าถลกหนังคนมาสะสม หนังให้อารมณ์เดียวกัน นั่นคือเดาได้ยากว่าใครเป็นคนทำ และ สร้างความไม่คาดคิดให้เกิดขึ้นได้เสมอเมื่อเหยื่อสามารถกลายเป็นคนที่เราไม่คาดคิดได้ทั้งนั้น หนังสะท้อนสภาพจิตใจของมนุษย์บางกลุ่มที่มีความโลภในสิ่งของที่ไม่สมควรสะสม แต่ในระบบทุนนิยม ความเหมาะหรือไม่เหมาะสมไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป เมื่อมนุษย์เราเห็นแต่ประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง Flightplan ก็มีประเด็น ความหมกมุ่นสนใจแต่ตัวเองที่นำมาพูดถึงอีกเช่นกัน

    ....หนังมีกัปตันที่ดีในการพาเครื่องบินเดินทาง แต่หนังก็มีจุดอ่อนในตัวอยู่มาก หากไม่ได้บุคคลสำคัญที่เป็นเสมือนแอร์โฮสเตสที่มีฝีมือแล้ว คนดูที่เป็นเสมือนผู้โดยสารอาจสังเกตได้ แต่ เพราะแอร์โฮสเตสบนเครื่องลำนี้คือJodie Foster เธอสามารถดึงดูดคนดูให้เอาใจช่วยเธอและจดจ่ออยู่กับเธอโดยไม่ลังเลใจกับสิ่งรอบข้าง เธอเป็นกุญแจสำคัญที่ตรึงคนดูให้ติดตามตัวละครของเธอไปทุกซอกทุกมุมของเครื่องบินเพื่อตามหาลูก เธอให้การแสดงที่น่าทึ่ง จะมีใครที่มารับบทนี้และเล่นได้บ้าคลั่งวิตกจริตแล้วน่าเชื่อถือได้เท่าเธออีก การแสดงของเธอทำให้คนดูต้องลังเลเหมือนคนที่อยู่บนเครื่อง ว่า เธอจิตหลอน หรือ เธอพูดจริง ด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ท่าทีขึงขังเอาจริง เธอทำให้คนดูได้เห็น ความเป็นแม่ ที่พยายามทำทุกวิถีทางที่จะพาลูกกลับคืนมาสู่อ้อมอก เป็น แม่คนเดียวกันที่ทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องลูกจากอันตรายรอบนอกในห้องปิดตายใน panic room

    คนที่ช่วยทำให้หนังสร้างความไขว้เขวได้มากขึ้นไปอีก คือ นักแสดงร่วมอย่าง Sean Bean ในบทกัปตันเครื่องบิน แม้ว่าบทบาทของเขาจะมีอยู่น้อยจนแทบจะเป็นไม้ประดับให้ Jodie Foster แต่เท่าที่มีในเรื่อง เขาก็แสดงฝีมือได้หนักแน่น น่าเชื่อถือ การตัดสินใจของเขาในฐานะกัปตัน ทำให้เขาดูเป็นกัปตันที่มีเลือดเนื้อเป็นคนจริงๆไม่ใช่ตัวละครในหนัง อีกบุคคลสำคัญคือ Peter Sarsgaard ที่เพิ่งประกบสาวเก่งและนักแสดงชั้นนำใน The Skeleton key ไปหมาดๆ บทที่เขาได้รับจากทั้งสองเรื่องดูแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เมื่อต้องรับบทเป็นคนสำคัญที่ต้องอยู่เคียงข้างนางเอกของเรื่อง ด้วยหน้าที่ที่เขามี ทำให้เขาต้องลังเลระหว่าง ความเชื่อถือในตัวนางเอก หรือ หลักฐานที่อยู่ในมือ สิ่งที่น่าชื่นชมอยู่ตรงที่ทั้งสองเรื่องนั้น เขาพิสูจน์ฝีมือให้คนดูได้เห็นว่าเมื่อต้องประกบนักแสดงมือเซียนแค่ไหนก็ตาม เขามีฝีมือและพลังดาราในตัวมากพอที่จะไม่ถูกกลืนหายไปจากจอได้ง่ายๆ

    .... สำหรับผม Flightplan เปิดเรื่องได้น่าสนใจทำให้เดาได้ยากว่าหนังจะมาไม้ไหน แต่จากนั้นหนังดูแผ่วเนือยๆไปช่วงหนึ่งก่อนขึ้นเครื่อง ก่อนที่หนังจะเริ่มกลับมากดดันคนดูตั้งแต่ฉากที่เล่าต่อจากหนังตัวอย่าง คือ เมื่อนางเอกตื่นมาพบว่าลูกสาวหายตัวไป จากนั้นความระทึกขวัญและความตื่นเต้นท่ามกลางความวุ่นวายบนเครื่องถูกกระหน่ำไม่ให้คนดูได้พักจนกระทั่งถึงตอนเฉลยความจริง เมื่อนั้น ความรู้สึกผมก็ตกลงเหมือนเจอหลุมอากาศ หากช่วงตามหาลูกนั้นหนังสร้างความน่าเชื่อถือได้เต็มเปี่ยม ช่วงหลังจากเฉลยความจริง ความน่าเชื่อถือของหนังเป็นไปอย่างตรงกันข้าม หนังเริ่มทยอยส่งคำถามให้คนดู ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนดูเผลอคิดตามไปด้วยก็จะเริ่มพบรูโหว่จากบทที่เขียนไว้

    ความรู้สึกผิดหวังเกิดกับผม ทันทีที่หนังเปลี่ยนตัวเองจากหนังทริลเลอร์เป็นหนังแอคชั่น เป็นความรู้สึกเดียวกับ ตอนที่ได้ดู Red Eye นั่นคือ 2/3 ตอนแรกของหนัง สร้างความประทับใจ ก่อนที่ 1/3 ท้ายสร้างความผิดหวัง ผมผิดหวังเรื่องนี้มากกว่า เพราะ 1/3 ท้ายของ red Eye อาจจะน่าผิดหวังตรงที่หนังเปลี่ยนตัวเอง เป็นการไล่ล่าในแนวโรคจิตหวีดสยองแต่มันก็ยังทำออกมาได้ดีมีชั้นเชิงในความเป็นหนังไล่ล่าตระกูล Scream ในขณะที่ Flightplan ในส่วนแอคชั่นตอนท้ายเป็นเพียงแอคชั่นธรรมดาๆสูตรสำเร็จ ที่ไม่ได้โดดเด่นน่าจดจำแต่อย่างใด

    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 48 15:43:03

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ วันปิยมหาราช 15:39:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป