CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... รับน้องสยองขวัญ , หายใจเข้าก็ เฮ้อ หายใจออกก็ เฮ้อ

      ชอบมาก ห้ามพลาด (3 คน)
      ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (4 คน)
      เฉยๆ (7 คน)
      ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (6 คน)
      ไม่ชอบ เสียดายตังค์ (23 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 43 คน

     6.98%
     9.30%
     16.28%
     13.95%
     53.49%


    .... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป และ รบกวนแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2005&date=11&group=1&blog=1

    Spoiler alert บทความเรื่องนี้มีการเฉลย จุดสำคัญและตอนจบ ของเรื่อง



    ...หนังตระกูล ไล่ – ฆ่า – ล่า - เชือด ถูกสร้างกันออกมาเกลื่อนกลาด และ หลายเรื่องท้ายที่สุดกลายเป็นหนังเกรดบีในกะบะลดราคาที่คนดูดูจบแล้วจบไปไม่เหลืออะไรในความทรงจำนอกจากเสียงกรี๊ดชั่วคราว เพราะหนังในแนวนี้ หากจะสร้างอย่างมักง่ายมันก็ง่ายเหลือเกิน กับการให้คนๆหนึ่งไล่ฆ่าคนในจอ โดยเนื้อหาไม่ต้องมีอะไรมากก็ได้ ดังนั้น เรื่องที่จะถูกบันทึกในความทรงจำของคนดูก็ย่อมต้องเป็นหนังที่มีบทที่ดีพอในการทิ้งอะไรไว้กับคนดูมากกว่า เลือด

    ...หนังไทยในตระกูลนี้ยังมีไม่มากนัก ที่ผ่านๆมาหนังไทยแนวนี้ที่ผมชอบและคิดว่าดีที่สุดคือ 303 กลัว/กล้า/อาฆาต ที่ทำออกมาได้ถึงทั้งความสยองและการเล่าเรื่อง จะมีจุดที่ทำให้ผิดหวังก็ตรงตอนจบที่พยายามแหวกเกินไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนดูหลังหักเท่ากับการหักมุมใน รับน้องสยองขวัญ

    รับน้องสยองขวัญ เป็น การกลับมาของหนังในแนวนี้ที่พร้อมจะเรียกคนดูขาโหดให้กลับมาสนใจได้ ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับการรับน้องกลุ่มหนึ่งนอกสถานที่ ที่ความสยองเริ่มต้นจากการตายของรุ่นน้องทีละคนๆ จนต้นตอสยองถูกเปิดเผยในตอนท้ายที่สุด

    .... หนังเริ่มต้นได้ดีทีเดียวกับการปูพื้นให้คนดูได้ย้อนคิดถึงประเพณีรับน้อง  ที่ทั้งสนุกสนานเฮฮากับเกมส์และท่าเต้นขำขำอย่างท่าไก่ย่าง ซาบซึ้งประทับใจกับมิตรภาพและประเพณีบายศรีสู่ขวัญ  เครียดกดดันกับพี่ว้ากที่ตะคอกใส่อยู่ตลอด ก่อนที่หนังจะพาคนดูเดินทางไปกับเหล่ารุ่นน้องรุ่นพี่ที่ต้องไปรับน้องนอกสถานที่ แต่เหตุการณ์คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อสถานที่ที่ตั้งใจไปพักแรมปิดไม่ให้เข้า รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งจึงตัดสินใจไปทางลัดตามที่ชายนิรนามคนหนึ่งมาบอกทาง และ อีกกลุ่มหนึ่งตัดสินใจกลับบ้าน แต่แล้วระหว่างทางก็เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อสะพานไม้ที่เสื่อมสภาพพังและส่งผลให้รถบัสจมดิ่งสู่แม่น้ำเบื้องล่าง เหล่านักศึกษาต้องตะเกียกตะกายหาทางเอาตัวรอดกลางป่าที่ตัดขาดจากโลกภายนอก พร้อมกับการมาของใครบางคนที่มามอบความตายให้แต่ละคนอย่างสยดสยอง

    ...หนังแสดงให้เห็นความคึกคะนองของพวกรุ่นพี่ที่ไม่เคยรับฟังใคร การเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ที่มีให้เห็นกันอยู่ได้เรื่อยๆ ไม่จำกัดเฉพาะสถานศึกษา แต่รวมไปถึง สถานที่ทำงาน ไปจนถึง ระดับประเทศชาติ หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากมีผู้นำที่มีเชื้อของ ความคึกคะนองหลงอำนาจ สามารถก่อให้เกิดความเลวร้ายมากสุดได้แค่ไหน ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม หากเรามีผู้นำที่หลงตัวเองและเชื่อมั่นจนไม่ฟังเสียงรอบข้าง ก็มักพาคนในการดูแลไปพบกับความตายไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

    ... รับน้องสยองขวัญ เป็นหนังไล่ฆ่าที่อยู่ในกลุ่มใช้ตัวละครมาก ต่างจากพวก I know what you did last summer ที่มีตัวละครหลักแค่ไม่กี่คน ดังนั้นหนังจะไปคล้ายกับ Battle Royal มากกว่า ที่มีการฆ่ากันตายภายใต้เวลาและเนื้อที่จำกัดโดยจะมี คนที่ต้องตาย จำนวนมาก เมื่อมี คนที่ต้องตาย มาก สิ่งสำคัญคือหนังจะทำอย่างไรให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมกับตัวหนัง นั่นคือเกิด ความผูกพันกับตัวละคร ความผูกพันไม่ได้หมายถึงว่าต้องชอบ แต่หมายถึงการรู้จักตัวละคร ไม่ใช่ว่าหนังปาไปค่อนเรื่องตายกันไปเป็นเบือโดยที่คนดูไม่ได้รู้สึกอะไรกับการตายเหล่านั้นเลยเพราะไม่ใช่พระ-นางของเรื่อง

    ดังนั้น หากไม่เลือกแจกแจงรายละเอียดเนื่องจากเวลาจำกัด วิธีการที่น่าจะใช้ก็คือการสร้างเอกลักษณ์ให้ตัวละคร ตัวอย่างเช่น Battle Royal ที่ตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ตั้งแต่รูปร่างหน้าตาการแต่งกายและบุคลิกนิสัยที่ดูไม่ซ้ำแบบกัน เพราะลองคิดดูว่าถ้าแต่ละคนมีคาแรคเตอร์เหมือนๆกันหมด ต่อให้ฆ่ากันโชกเลือดแค่ไหน สิ่งที่คนดูจะจำได้ก็เป็นแค่ การฆ่า แต่ไม่ใช่ ตัวหนัง ที่จะติดความทรงจำของคนดู

    ส่วนนี้เป็นส่วนที่รับน้องสยองขวัญ ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ตัวละครหลายตัวตายไปแบบที่คนดูจำไม่ได้ว่าคนที่ตายเป็นใคร และ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรหากจะต้องตาย เช่น การตายของตัวละครที่ชื่อป๊อก ที่ตัวละครผู้หญิงในเรื่องคร่ำครวญว่า “อย่าตายนะป๊อก” ในขณะที่ผมได้แต่นั่งคิดว่า “ป๊อกไหนวะ” question  ก่อนที่จะคิดออกว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทีหนังฉายไปที่หน้าตัวละครตัวนี้ชั่วเสี้ยววินาทีบนรถบัส ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่มามีความสำคัญอะไรเลย นี่เป็นจุดอ่อนหนึ่งที่หนังไม่สามารถกระจายจุดเด่นของตัวละครรองๆไปได้ ตัวละครหลายตัวดูไม่ต่างกัน ดูคล้ายกันเกินไป โดยเฉพาะตัวละครผู้ชายรุ่นน้องทั้งหลายที่ไม่มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำ แม้แต่ตัวเอกของเรื่องที่ชื่อ ไม้ ที่ดูกลืนไปกับตัวละครชายคนอื่นๆในเรื่อง มีเพียงตัวละครตัวเดียวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและตัวนักแสดงเองก็เล่นได้ดีเช่นกัน คือ บท โน๊ตรุ่นพี่จอมเผด็จการ สังเกตว่าหลังจากตัวละครตัวนี้ตายไป หากไม่มีน้องๆสาวๆในชุดนักศึกษามาวิ่งไล่ให้ถูกฆ่า ผมคงจำใครไม่ได้อีกต่อไป เพราะทุกคนดูเหมือนกันไปซะหมด แถมตัวละครในเรื่องยังมีความสัมพันธ์ต่อกันน้อยมาก มี conflict ต่อกันก็น้อย ยิ่งทำให้ตัวละครทั้งหลายจึงเป็นเหมือนหุ่นที่ถูกจับมาให้ฆ่าในหนังเท่านั้น

    ...ความรู้สึกของผมขณะดูการจัดความตายที่เกิดขึ้น มันเหมือนหนังพยายาม set สถานที่และรูปแบบการตายไว้ แล้วพยายามจับเหยื่อมายัดให้อยู่ใน setting นั้น โดยไม่ได้สนเลยว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่ แทนที่จะตั้งต้นจากว่า ในสถานการณ์นั้นตัวละครจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร เช่น เมื่อติดอยู่ในมินิมาร์ทร้างกลางป่าที่รู้ว่ามีอันตรายคุกคาม  หนังน่าจะเริ่มต้นจากที่ว่า ถ้าเราเป็นตัวละครจะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่ว่า จะทำอย่างไรให้ตัวละครตายตรง setting ที่จัดไว้เสียที เพราะถ้ายึดเอาตามข้อหลัง เราจึงได้เห็นตัวละครที่ตัดสินใจโง่ๆ เช่น เดินไปในบ้านร้างคนเดียว โผล่หัวเข้าไปดูรถที่ไม่น่าไว้วางใจ และ ที่สิ้นคิดมาก คือ ยืนบนชักโครกที่โคลงเคลงแต่สอดหัวออกมาทางช่องพัดลมระบายอากาศ เพื่อ ให้มีฉากชักโครกล้มแล้วคอถูกแขวนให้ฆาตกรมาตัดคอ

    หรือ บางจังหวะที่หนังทิ้งช่วงเพื่อต้องการให้มีคนตายแต่บังเอิญเดินกันไปสองคน เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คนหนึ่งวิ่งไปรับโทรศัพท์ในตู้ก่อนที่จะต้องตายเพราะรถวิ่งถอยหลังมาเจาะท่อไอเสียพ่นควันใส่ตู้ แต่เพื่อนที่มาด้วยกันอีกคนกลับถูกกักตัวไว้เพียงเพราะหมูมาจ่อเท้าดมๆ ทำให้ไปช่วยเพื่อนไม่ทัน แต่หนังใช้วิธีตัดสลับเร็วๆให้ดูตื่นเต้น ทั้งที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่า ที่ช่วยเพื่อนไม่ทัน เพราะติดหมูกินแห้ว

    ...ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือ การแสดงให้เห็นวิธีการที่ได้มาซึ่งการฆ่า ที่ขาดความน่าเชื่อถือมากจนมันทำให้เราดูไปตะขิดตะขวงไป เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของหนังแนวนี้ ที่ต้องมีตัวละครโง่ๆทุกเรื่องเพื่อที่จะได้ตายสมเจตนารมย์ แต่ความโง่ของตัวละครนั้นมันไม่ควรขัดกับธรรมชาติการคิดของคนธรรมดามากจนเกินไป ไม่เช่นนั้น มันกลายเป็นความจงใจยัดเยียดโดยคนเขียนบทมากกว่าจากความคิดของตัวละครที่น่าจะเกิดขึ้น

    ...หนังเลือกสถานที่ได้ดี  ทำให้บรรยากาศทำออกมาวังเวง ดูไร้ทางออก และ สิ้นหวัง การถ่ายทำในป่าเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศของหนังดูน่ากลัว หนังไม่ประสบความสำเร็จกับ การทำให้ตกใจ แต่หนังเน้นไปที่ ความสยองกับความสะอิดสะเอียนของการฆ่า ซึ่งรูปแบบหลังแค่เน้นโหดๆเช่น เอาเลื่อยไฟฟ้าหั่น หรือ เอามีดตัดคอ หรือ รถทับ ฯลฯ แต่แบบแรกที่ต้องใช้กลวิธีในการจับจังหวะแล้วทำให้คนดูตกใจ หนังยังไม่สามารถแสดงความสามารถตรงจุดนี้ออกมา ทั้งที่จริงแล้วจังหวะบีบคั้นกดดันของหนังทำได้ดีในบางฉากโดยไม่จำเป็นต้องใช้เลือดมากเลย เช่น ในฉากที่ตัวละครตัวหนึ่งกำลังหอบใกล้ตายและตัวละครอีกตัวไปหายาพ่น เป็นฉากที่ไม่ต้องมีเลือดแต่ก็ให้อารมณ์ลุ้นกดดันได้ดี ทั้งจากการแสดงที่เล่นได้เหมือนสมจริงกับการตัดต่อภาพไปมา น่าเสียดายที่ความดีของฉากนี้ต้องพังทลายในพริบตาเมื่อตัวละครตัวนี้ฟื้นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นการช่วยสนับสนุนความไม่น่าเชื่อถือของหนังให้มากขึ้นไปอีก

    ...หากได้ดูหนังสยองขวัญอยู่เรื่อยๆการตายของแต่ละศพในเรื่องจัดได้ว่าคุ้นตา แต่จะว่าไปแล้วในยุคที่หนังสยองผุดเป็นดอกเห็ด การพยายามที่จะสร้างฉากฆ่าตัวละครก็มีมาไม่รู้กี่รูปแบบแล้ว จะสร้างสรรค์การตายให้มันสยองต่างออกไปก็คงทำได้ยาก ในเรื่องจึงดูเหมือนจะพยายามเน้นให้เห็นกันจะจะตามากขึ้น กับ เลือดที่ใช้กันมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็ทำออกมาได้น่ากลัวในหลายฉาก ส่วนนี้เป็นส่วนที่หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี และ การเล่าเรื่องของหนังก็ทำออกมาไม่น่าเบื่อ ไม่สะดุดมากนัก แม้ว่าจะไม่เรียบเนียนต่อเนื่อง แต่ ก็ทำให้คนดูทั้งตกใจและรอลุ้นการเอาตัวรอดของตัวละครต่อไปได้เรื่อยๆอย่างไม่รู้สึกรำคาญ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า หนังไทยเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นบ้างกับการเล่าเรื่อง

    ...โดยปกติของหนังสยองขวัญ ใช่ว่าจะเป็นแค่การไล่ฆ่ากันอย่างเดียว หนังแต่ละเรื่องก็จะมีประเด็นหรือแก่นในตัวของมันออกมา อย่าง I know what you did last summer ก็จะเป็นเรื่อง การปกปิดและหนีความผิดที่ตัวเองก่อ ก่อนที่ความจริงนั้นจะเหมือนกรรมที่วิ่งไล่ตามทีละคน หรือ ขนาดหนังเชือดกันแบบจะๆจนคว้าเรท NC-17 อย่าง Haute tension ก็ยังมีเรื่องของแรงขับที่ผลักดันตัวละครให้ออกมาฆ่า รวมไปถึงการหักมุมที่แสดงถึงสภาวะจิตที่แตกสลาย หรือ ไม่นานมานี้อย่าง House of wax ก็ยังมีประเด็นเรื่องของพี่น้อง ฯลฯ ซึ่งมันทำให้หนังเรื่องนั้นมีอะไรให้คนดูมากไปกว่าการไล่ฆ่า หากทำได้ดีก็ยิ่งจะมีส่วนช่วยให้หนังเรื่องนั้นขึ้นทำเนียบน่าจดจำ แต่หากไม่มี ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้กำกับและทีมงาน ว่าจะบันดาลเฉพาะการฆ่ากันอย่างไร้แก่นสาร ให้ไปอยู่ในความทรงจำคนดูได้อย่างไร

    ความจริงแล้ว รับน้องสยองขวัญ มีประเด็นที่สามารถจะแตกไปได้หลายอย่าง แต่หนังไม่หยิบเอาอะไรมาใช้เลย กลับเดินหน้าฆ่าลูกเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ ความกดดันที่เกิดขึ้นจากการตายครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่าตัวละครกำลังเครียดหรือประสาทกินเหมือนอาการที่แสดงออก หนังแค่ใส่คำพูดประมาณว่า เราจะรอดมั้ยนะ กับ สีหน้ากลัวหวาดหวั่นพรั่นพรึง โดยดูยังไงก็ไม่สมจริงแต่ดูเป็นการจัดแต่งมากกว่า ทั้งที่หนังไม่ใช่การไปเที่ยวแล้วถูกฆ่า หนังอุตส่าห์หยิบจับ การรับน้อง ซึ่งเป็นประเพณีที่น่าสนใจให้มาโยงเกี่ยวกับการฆ่าในหนังสยองขวัญ แต่หนังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากเรื่องของ การรับน้อง เลย นอกจากชุดนักศึกษาตัวเล็กๆกับนักศึกษาสาวน่ารักๆ

    ...สิ่งเดียวที่เหมือนจะทำให้หนังมีอะไรที่ต่างจากหนังสยองเรื่องอื่นๆ คือ ตอนจบ ที่เตรียมไว้หักมุมชนิดเดาไม่ได้ เป็นตอนจบที่น่าสนใจกับประเด็นที่เตรียมไว้ นั่นคือ ...

    (มีต่อ)

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 11 พ.ย. 48 13:22:26 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป