| ชอบมาก ห้ามพลาด (45 คน) |
| ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (57 คน) |
| เฉยๆ (10 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (1 คน) |
| ไม่ชอบ เสียดายตังค์ (5 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 118 คน |
.... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป และ รบกวนแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=11-2005&date=23&blog=1
... Everything is going to change now ประโยคในตอนท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยขึ้นมา ไม่ใช่แค่จะหมายถึงเรื่องราวในจอและในหนังสือ แต่มันรวมไปถึงชีวิตจริงที่ไม่ได้มีเวทมนต์มาเกี่ยวข้องทั้งของเธอ , แฮรี่ , รอนและผองเพื่อน เช่นเดียวกับ คนดูที่อยู่นอกจอ ที่ช่วงหนึ่งของวัยต้องก้าวข้ามจากโลกของเด็กไปสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว
จากวัยเด็กที่มีเพียงการแข่งกันสอบ แข่งกันเล่น เมื่อก้าวสู่จังหวะชีวิตที่ขยับเข้าสู่วัยรุ่น รอยต่อของความเป็นเด็กกับผู้ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงในตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮอร์โมน ร่างกาย รูปร่าง ฯลฯ มันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่ว่าจะเป็น การที่จะเริ่มคบเพื่อนต่างเพศ เริ่มมีความรัก เริ่มต้องการการยอมรับจากสังคม ต้องการชื่อเสียง ฯลฯ และแน่นอนเมื่อมีความต้องการก็ย่อมต้องมีกิเลสตัณหาควบคู่กันมา นั่นทำให้พวกเขาต้องพบกับ ความอิจฉาริษยา ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความหึงหวง ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว และ ความตาย และมันก็แสดงว่าพวกเขากำลังจะก้าวมาสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว โลกที่ไม่ได้มีแต่สีขาวบริสุทธิ์เหมือนสมัยเด็กแต่อย่างเดียว
... Harry Potter and the Goblet of Fire เป็นลำดับที่ 4 ในบรรดาหนังสือ 7 เล่มที่ J.K. Rowling กำลังจะทยอยส่งมาสู่มือคนอ่าน เรื่องราวในภาคนี้ทวีความเข้มข้นและความรุนแรงมากขึ้น เมื่อแฮรี่ยังต้องเผชิญกับอันตรายจาก คนที่คุณรู้ว่าใคร มาคุกคาม ครั้งนี้แกนหลักของเรื่องเกี่ยวข้องกับการแข่งขันประลองเวทไตรภาคี ซึ่งเปรียบเสมือน งานกีฬาสีสามสถาบันที่มีฮอกวอตส์เป็นเจ้าภาพจัดงาน แต่ละโรงเรียนมีสิทธิส่งนักเรียนเข้าแข่งขันเพียง 1 คนและต้องมีอายุอย่างต่ำ 17 ปี ผู้ตัดสินใจเข้าแข่งขันเท่านั้นจึงจะมีสิทธิใส่ชื่อตัวเองเข้าไปในถ้วยอัคนี และ รายนามผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกประกอบด้วย Fleur Delacour นักเรียนหญิงสาวพราวเสน่ห์จากโรงเรียนสตรีโบซ์บาตง / Viktor Krum นักกีฬาควิดิชทีมชาติบัลแกเรียสุดห้าวจากโรงเรียนชายล้วนเดิร์มสแตรงก์ และ Cedric Diggory นักเรียนดีเด่นของโรงเรียนสหศึกษาฮอกวอตส์ พร้อมกับชื่อสุดท้ายที่คนดูเดาได้ไม่ยากแต่คนในโรงเรียนล้วนประหลาดใจเมื่อถ้วยอัคนีประกาศรายชื่ออีกหนึ่งชื่อ นั่นคือ Harry Potter
...ตัวแทนนักกีฬาทั้งสี่คนมีหน้าที่ต้องฟันฝ่าภารกิจ 3 ด่านเพื่อเข้าไปชิงชัยถ้วยอัคนี เกียรติยศชั่วนิรันดร์ที่ใครต่อใครต่างใฝ่ฝัน ด่านทั้ง 3 ที่แต่ละคนต้องพิสูจน์ ด่านแรกเป็นเสมือนบททดสอบของความกล้าหาญ ด่านที่สองกลายเป็นบททดสอบของความมีน้ำใจ ในขณะที่ด่านสุดท้าย เป็นบททดสอบที่ศัตรูไม่ได้มาจากภายนอก ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเราเอง ที่จะยอมให้มนต์สะกดใจที่เป็นกิเลสหวังครองชัยชนะมาครอบงำหรือไม่ เป็นศัตรูที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตจริงที่จะไม่ใช่แค่การแข่งขันครั้งนี้ การเอาชนะใจตัวเองและการเสียสละ เขาวงกตที่ซับซ้อนก็ไม่ต่างอะไรกับจิตใจของมนุษย์
...สำหรับเรื่องราวของ Harry Potter ที่ผมได้อ่านมา 5 เล่ม เล่มที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกประทับใจมากที่สุดคือเล่ม 3 ในขณะเดียวกัน หากจะมีเล่มไหนที่ผมคิดว่ามันเหมาะกับการสร้างเป็นหนังที่สุดก็คงต้องเป็นเล่มนี้ เพราะตัวหนังสือมีฉากที่ชวนให้ตื่นเต้นและน่าติดตามอยู่เป็นระยะๆ มีฉากแอคชั่นที่น่าจะทำออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนี้เท่าที่ผมจำได้จากการอ่านหนังสือตอนที่มันออกมาใหม่ๆ เล่มนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น เป็นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกสนุกตลอดทั้งเล่ม ไม่เหมือนบางภาคที่ช่วงกลางๆจะอืดๆแล้วก็อยากให้ถึงหน้าหลังไวไวเพื่อจะได้ดูว่าหักมุมยังไง แต่เล่มนี้ ความบริสุทธิ์ในวัยเด็กเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง จากโลกของเด็กกำลังจะหมุนกลายเป็นโลกของผู้ใหญ่ พวกเขาเริ่มมีความรู้สึกที่มากไปกว่ามิตรภาพ เริ่มมีความรักที่ชัดเจนขึ้น (แฮรี่ กับ โชแชง , รอน กับ เฮอไมโอนี่) เริ่มมีความอิจฉาริษยา ความน้อยเนื้อต่ำใจของรอน การแข่งขันเพื่อหวังเป้าหมายอย่างถ้วยอัคนี การที่จะเรียนรู้จักชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้น ไปจนถึงการรู้จักเรื่องของความตายที่เป็นของจริง ทำให้เป็นภาคที่เข้มข้นลงตัวในหลายๆองค์ประกอบ
...Harry Potter เป็นภาพยนตร์ที่คนดูน้อยคนจะเข้าไปดูโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน การสร้างภาพยนตร์ชุดนี้จึงมีโจทย์ที่ยากอยู่ที่ว่า จะสร้างหนังอย่างไรให้ออกมาถูกใจทั้งแฟนขาประจำ และ คนที่ไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะ คุณลักษณะที่ดีข้อหนึ่งของหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือ คือ ทำอย่างไรให้คนที่ไม่ได้อ่านหนังสือสนุกไปกับหนังได้ ไม่ใช่ความสนุกจะเกิดจากการที่ต้องอ่านหนังสือมาก่อน หรือ กว่าจะสนุกต้องกลับไปอ่านหนังสือเพื่อขยายความ
...ดังนั้นการดัดแปลงวรรณกรรมที่ชื่อเสียงโด่งดัง จึงเป็นการเสี่ยงและต้องอาศัยความกล้า ว่าจะผู้สร้างจะตัดสินใจตัดตอนไหนทิ้งและจะเปลี่ยนตอนไหนบ้าง เพราะการตัดบางส่วนออกอาจทำให้แฟนหนังสือที่ชอบส่วนนั้นไม่พอใจ นั่นจึงทำให้หนังบางเรื่องสร้างแบบป้องกันตัวเอง คือ ไม่พยายามดัดแปลงอะไรเลยแต่ยกตัวหนังสือมาทุกกระเบียดนิ้วอย่าง Harry Potter and the Sorcerer's Stone ที่เป็นตอนที่ผมชอบน้อยที่สุด ผู้สร้างแทบจะไม่ได้ปรับแต่งอะไรชนิดที่เรียกว่ายกหนังสือมาขึ้นจอหนัง การเลือกสร้างแบบนี้อาจทำให้แฟนพันธ์แท้หรือคนที่ชอบหนังสือมากๆที่ไม่ชอบให้มีการดัดแปลงพันธุกรรมบทประพันธ์พึงพอใจเพราะต้องการเห็นทุกอย่างในหนังสือออกมาบนจอ แต่มันก็ทำให้คนดูอย่างผมที่อยากดูหนังมากกว่าอ่านหนังสือในโรงหนังรู้สึกเบื่อ
Harry Potter and the Prisoner of Azkaban เป็นตัวอย่างที่ดี ในการตัดความยาวหลายร้อยหน้าให้ออกมากระชับภายใต้เวลาจำกัด ผู้สร้างกล้าที่จะตัดหลายฉากสำคัญที่มีในหนังสือออกไป แต่ด้วยข้อจำกัดจากต้นฉบับที่ว่าภาคนี้มีสัดส่วนนความเป็นดราม่าค่อนข้างเยอะและช่วงท้ายก็ไม่ได้ออกมาในแนวลุ้นระทึกตื่นเต้น ผมจึงรู้สึกว่าตัวหนังที่ออกมาช่วงท้ายมันค่อนข้างเนือยอืดและจบลงอย่างค่อนข้างแผ่วปลาย
เมื่อมาถึง Harry Potter and the Goblet of Fire น่ายินดีที่มันเป็น Harry ภาคภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้สนุกที่สุดและดีที่สุด หนังเลือกตัดเลือกดัดแปลงในส่วนที่ไม่ขัดความรู้สึกคนอ่านมากจนเกินไป และ ก็ไม่ทำให้คนที่ไม่เคยอ่านมาก่อนต้องลำบาก เพราะไม่ว่าจะเคยอ่านหรือไม่เคยอ่านเล่มนี้มาก่อน ขอเพียงรู้จัก Harry Potter บ้าง ก็สามารถสนุกไปกับหนังได้อย่างไม่ยากเย็น หากจะมีส่วนที่ผมรู้สึกว่ามันห้วนเกินไปก็เป็นในส่วนความสัมพันธ์(เฮอร์ไมโอนี่ รอน กับ แฮร์รี่ รอน) คือ ในฉากน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ ที่ดูแล้วหากหนังจะขยายความมากขึ้นเชื่อว่าจะกินใจคนดูมากขึ้นและทำให้เราเข้าใจความคิดของตัวละครมากขึ้น กับ ฉากความขัดแย้งของแฮร์รี่กับรอนที่ดูออกจะกระเง้ากระงอดจนเหมือนคู่รักงอนกัน ทั้งสองส่วนนี้ในหนังสือสื่อออกมาได้ดีและชัดเจนกว่า และ ทำให้เราเห็นเลือดเนื้อจิตใจของคนธรรมดาในตัวละครที่เป็นพ่อมดได้
...ผู้กำกับ Mike Newell ที่สร้างผลงานดังๆมามากมายไม่ว่าจะเป็นหนังรัก Four Weddings and a Funeral หรือหนังดราม่าอย่าง Mona Lisa Smile มาคุมงาน Harry ภาคนี้ได้อย่างน่าชื่นชม หนังเดินหน้าไปข้างหน้าภายในเวลา 2 ชม.45 นาที โดยที่คนดูจะไม่รู้สึกว่ามันอืดยืดยาด ฉากตื่นเต้นระทึกขวัญทำออกมาได้น่าติดตาม เช่น ในฉากภารกิจมังกรที่ทำให้คนดูลุ้นแฮรี่ได้อย่างหายใจไม่ทั่วท้อง หรือ จะเป็นความตื่นตาอลังการงานสร้างกับโปรดักชั่นอย่างในฉากควิดิชชิงแชมป์โลก ความงดงามของงานเต้นรำ ครั้นจะเป็นฉากโศกนาฎกรรมตอนท้ายก็ทำออกมาได้สะเทือนใจทีเดียว หนังสอดใส่อารมณ์ขันอยู่เป็นระยะๆและได้ผล
.... การเลือกตัวละครเป็นจุดที่หนังทำออกมาได้ถูกใจคนดูอย่างผม ตัวแทนทั้ง 3 คนที่เข้าแข่งออกมาเหมือนกับที่คิดไว้ตอนอ่านหนังสือไม่ว่าจะเป็น Viktor Krum , Cedric Diggory , Fleur Delacour ที่ออกมาให้คนดูสาวๆได้กรี๊ดแตกกับสองหนุ่มสองสไตล์ และ หนึ่งสาวที่บางมุมดูแล้วคิดถึงแคล เดนส์ การเปิดตัวของนักเรียนจาก 2 โรงเรียน สร้างความประทับใจให้ผมตาค้างได้พอๆกับรอน ที่ได้เห็นการโปรยเสน่ห์แบบไม่มีกั๊กของนักเรียนจาก โบซ์บาตง และ การเปิดตัวอย่างขึงขังของ เดิร์มสแตรงก์ ก็น่าจะทำให้ใจสาวๆสั่นไหวได้ไม่แพ้กัน
ตัวละครอย่าง 'MadEye' Moody ออกมาไม่ตรงกับจินตนาการเวลาอ่านเท่าไหร่นัก ส่วน Rita Skeeter ก็ดูวุ่นจุ้นจ้านน้อยกว่าที่คิด ตัวละครที่หลายเสียงคัดค้านกันตั้งแต่ประกาศผลคัดเลือกตัวนักแสดงคือ Katie Leung ที่ต้องมารับบท Cho Chang เห็นด้วยที่ว่ามีเสน่ห์น้อยกว่าที่อ่านในหนังสือ ไม่ชวนให้ต้องมนต์ แต่เธอก็สวยอย่างเป็นธรรมชาติและดูดีทีเดียวในหลายๆฉาก มีตัวละครเก่าๆตัวหนึ่งที่มาขโมยซีนในภาคนี้มากมายนั่นคือ เมอเทิลจอมคร่ำครวญ ที่ดูออกจะออดอ้อนคราญครางและคุกคามทางเพศได้อย่างน่าขำขันหมั่นไส้ และ ในภาคนี้เฮอร์ไมโอนี ดูสง่างดงามมากที่สุดในทุกๆภาคที่ผ่านๆมา
..ตัวละคร Harry Potter ที่รับบทโดย Daniel Radcliffe จากที่ดูในภาคแรกยังไม่รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครเดียวกับในหนังสือ แต่ยิ่งเล่นเขายิ่งทำให้คนดูยอมรับกับตัวเขาจนตอนนี้เขาก็น่าจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดกับบทนี้ มีตัวละคร 2 ตัวที่ผมคิดว่าหนังสือสร้างออกมาได้ดูมิติ และ น่าสนใจ นั่นคือ Severus Snape ซึ่งถูกลดทอนบทลงไปในภาคนี้ กับ Ron Weasley ที่เป็นเหมือนตัวแทนเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ในสังคม
(มีต่อ)
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
24 พ.ย. 48 09:06:56
]