ความคิดเห็นที่ 99
เรื่อง หม้าย ผมไม่ได้มีความรังเกียจ อะไรหรอกครับ แต่ผมอยากบอกว่า มีส่วนนึง ที่แทบจะบอกได้เลยว่า ทำตัวแบบไหน ฟอร์แมตไหน จะเป็นหม้ายได้ >> คุณก็น่าจะรู้ว่า อะไรคือ สิ่งที่ผู้ชายไม่ชอบ เช่นเดียวกับ สิ่งที่ผู้หญิงไม่ชอบให้ผู้ชายกระทำ เช่น มีกิ๊ก นอกใจ นั่นแหละ
ลองศึกษาข้อมูลดิบ และเบื้องต้นเหล่านี้ดูครับ พอดีผมทำงานด้านนี้ แต่สิ่งที่พบ คือ
************************************** จากข้อมูลของ "กรมการปกครอง" กระทรวงมหาดไทย พบว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา พบว่าปัญหา "หย่าร้าง" ในสังคมไทยเพิ่มขึ้นถึง 10% โดยในปี 2537-2547 มีการหย่าร้าง 15% พอถึงปี 2549 ขยับเป็น 26% โดยในปี 2549 มีการหย่าร้างถึง 89,153 ราย ซึ่ง "สาเหตุ" หลักที่ทำให้ "คู่รัก" ต้อง "แยกทาง" เกิดจากอาการ "นอกใจ" ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหันไป "มีกิ๊ก" กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ความสำคัญ เร่งสร้างความเข้มแข็งสถาบันครอบครัว ให้เป็นครอบครัวอบอุ่น โดยปัจจุบันประเทศไทยมีครอบครัวกว่า 20 ล้านครอบครัว แต่จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าในรอบ 10 ปีมานี้ สังคมไทยมีการหย่าร้างเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากปี 2539 มีการหย่าร้อยละ 13 โดยมีผู้จดทะเบียนสมรส 436,831 คน หย่าร้าง 56,718 คน
โดยข้อมูลในปี 2549 มีผู้จดทะเบียนสมรส 347,913 คน หย่า 91,155 คน คิดเป็นร้อยละ 26 หรือมีการหย่าร้าง 1 คู่ทุกๆ การจดทะเบียน 5 คู่ หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยหย่าร้างกันชั่วโมงละ 10 คน อีกทั้งสภาพครอบครัวไทย มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น โดยล่าสุดทั่วประเทศมีครอบครัวเดี่ยว 9.4 ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้เป็นครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูกอยู่ด้วยกันประมาณ 5.6 ล้านครอบครัว เป็นครอบครัวที่เหลือพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกฝ่ายเดียวประมาณ 1.3ล้านครอบครัว ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาความเปราะบาง และความสัมพันธ์ในครอบครัว
ปัจจุบันประเทศไทยมีครอบครัว 20 ล้านกว่าครอบครัว จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ในรอบ 10 ปีมานี้ สังคมไทยมีการหย่าร้างเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากปี 2539 มีการหย่าร้อยละ 13 โดยมีผู้จดทะเบียนสมรส 436,831 คน หย่า 56,718 คน ข้อมูลล่าสุดในปี 2549 มีผู้จดทะเบียนสมรส 347,913 คน หย่า 91,155 คน คิดเป็นร้อยละ 26 หรือกล่าวได้ว่า มีคนไทยมีการหย่าร้าง 1 คู่ทุกๆ การจดทะเบียน 5 คู่ โดยเฉลี่ยหย่าร้างกันชั่วโมงละ 10 คน รมช.สธ. กล่าว
นายชวรัตน์ กล่าวอีกว่า สภาพครอบครัวไทย มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น โดยล่าสุดทั่วประเทศมีครอบครัวเดี่ยว 9.4 ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้เป็นครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูกอยู่ด้วยกันประมาณ 5.6 ล้านครอบครัว เป็นครอบครัวที่เหลือพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกฝ่ายเดียวประมาณ 1.3 ล้านครอบครัว ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาความเปราะบาง และความสัมพันธ์ในครอบครัว และมีผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจ พบว่า ครอบครัวยากจนมีแนวโน้มทะเลาะวิวาทมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะดี
ด้านนพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงศึกษาวิจัยของกรมอนามัยล่าสุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาว่า มีครอบครัวที่มีลักษณะการดำเนินชีวิตเป็นครอบครัวอบอุ่นเพียงร้อยละ 12 หรือประมาณ 2.4 ล้านครอบครัว ที่ไม่ผ่านเกณฑ์เนื่องจาก สมาชิกในครอบครัวดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แม้ส่วนใหญ่จะบอกว่าดื่มเฉพาะในโอกาสพิเศษก็ตาม แต่ร้อยละ 72 ไม่เคยงดการดื่มและสูบบุหรี่ในวันครอบครัวเลย และยังมีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ถึงร้อยละ 39 ส่วนใหญ่เป็นด้านวาจา คือการทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของความแตกร้าวในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีครอบครัวร้อยละ 36 มีรายได้ไม่เพียงพอ ร้อยละ 30 ของสมาชิกในครอบครัวมีหนี้สิน
---------- การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 3 เรื่อง สุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา ระหว่างวันที่ 21 -22 พ.ย. 2550 จัดโดยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีนักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 200 คน รวมทั้งมีการนำเสนอผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการประมาณ 60 เรื่อง 1.-บริบททางสังคม ส่งผลโดยตรงให้ผู้หญิงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจุดเริ่มต้นที่แท้จริงที่ทำให้ผู้หญิงดื่ม คือ ปัญหาภายในครอบครัว ระหว่างผู้หญิงกับสามีหรือแม่สามี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงถูกนำมาใช้เพื่อคลายความขัดแย้ง ความทุกข์ที่เกิดจากความล้มเหลวในชีวิตสมรส ส่วนบริบททางวัฒนธรรมโดยเฉพาะวัฒนธรรมบริโภคนิยม ส่งผลทางอ้อมที่เอื้อให้ผู้หญิงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้การแก้ปัญหาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามี ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการแก้ปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้หญิงไทย 2.-กลุ่มผู้หญิงมีสัดส่วนมีนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 30 % นอกจากนี้ สถิติข้อมูลการจำหน่ายสุราที่ผลิตในประเทศไทยและปริมาณการนำเข้าสุราจากต่างประเทศของกรมสรรพสามิต พบว่า ปริมาณการจำหน่ายและนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 1,650 ล้านลิตร ในปี 2540 เป็น 2,424 ล้านลิตรในปี 2549 คิดเป็น 47 % 3.- งานวิจัยเรื่องเหล่า ปั่น เหล้าสี ฯลฯ พบหญิงดื่มมากว่า ชาย ในกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน 4.- ต่างประเทศหันเหการรณรงค์ไป ยังกลุ่มหญิงนานนับปีแล้ว ส่วนประเทศไทย ยังไม่มีการวิตกแต่ประการณ์ใด โดยกลุ่มสตรีฯ อ้างว่า หญิงไทย ดื่มเหล่ามานานแล้ว ไม่น่าเป็นสัดส่วนหรืออัตราที่ทำให้เกิดโรคหรือการติดสุราเรื้อรัง สิ่งที่สตรีไทย ดื่มสุราคือ ยาสตรี หรือกลุ่มยาแผนโบราณดองเหล่าต่างๆ
ซึ่งเหล่านี้ ทำให้ การแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุดและกลุ่มสตรีที่เข้าสัมมนา ไม่มีการยอมรับในกลุ่มตัวเองว่า มีการเพิ่มจำนวนในการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสุรา แอลกอฮอล จำนวนมากและเพิ่มขึ้นในทุกปีๆ งานวิจัยต่างๆ จึงตกไป เพราะอำนาจกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางเพศและรับวัฒนธรรมต่างประเทศในการรับข้อมูลความเป็นจริงในสังคมไทย เปลี่ยนไป กลายเป็นการ ออกคำสั่งให้เพศชายเป็นผู้กระทำการแก้ปัญหา ได้แก่ การกำหนดให้กลุ่มผู้ชายเป็นผู้นำไปปฏิบัติ อาทิ พกถุงยาง เลิกเหล้า ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่คบชู้ แต่ในงานวิจัยในประเทศต่างๆ แถบเอเชีย กลุ่มแม่บ้าน แรงงาน ข้าราชการหญิง คือ กลุ่มที่ สร้างปัญหาในเรื่องการเป็นต้นเหตุในการ"กระตุ้น" ก่อเกิดความรุนแรงในเพศชาย โดยเพศชายจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น
และเมื่อค้นไปที่ปัญหา ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อย่างน้อย 3แหล่ง เช่น ศาลเยาวชนฯ กรมสุขภาพจิต และกลุ่มสตรีมุสลิม ข้อมูลออกมา ตรงกัน 3ข้อ คือ ความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากชาย (ในทางคดีและข่าวสาร) แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวน จะพบกลับกัน จากข้อมูลปฐมภูมิได้แก่
1.-ดื่มเหล้า 2.- ชู้สาว นอกใจ กิ๊ก 3.- เศรษฐกิจการเงินในครอบครัว
แต่เมื่อผ่านไปสู่กระบวนการสอบสวน ในชั้นพยาน จะพบว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงโดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายก่อเหตุ ได้แก่
1.- วาจา การด่าว่าจากฝ่ายหญิง และสิ่งที่กระทบใจชาย อันดับ 1ได้แก่การด่าบุพการี และเพื่อน 2.- สภาพครอบครัว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่แตกต่างกัน และเกิดการลำเอียงในการปฏิบัติ 3.- ชู้สาว ** นั่นหมายถึง การที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวได้ ในชั้น สอบสวนและชั้นศาล ต่างกัน กับชั้นปฐมฯ ทั้งจากข้อมูลแหล่งปรึกษาโดยกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า หญิงไทย ใช้วาจาในการทะเลาะวิวาท โดยไม่ควรแก่เหตุ เป็นต้น ชายไทย ไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อวาจาและไม่ละเว้นศักดิ์ศรี ในจุดที่จำเป็นต่อการรักษาสถานะครอบครัว ถ้าเทียบกับการประนีประนอมด้านอื่นๆ เช่น การยอมให้เพื่อน หรือการยอมให้ญาติพี่น้อง ---------------------
งานวิจัยในการ หย่าร้าง หรือ เลิกใช้ชีวิต สาเหตุ การเฝ้าระวัง
งานสถิติ จากแหล่งต่างๆ ในปี 2549-2550 พบว่า จำนวนชายไทย/หญิงไทย ในสถานบันเทิง ที่เที่ยวกลางคืน เพิ่มจำนวนขึ้น ตามสภาวะครอบครัวเดี่ยว
ในปี 2548-2549 พบว่า หญิงต่อชายอัตราส่วนไม่ถึง 1/3 ปัจจุบัน พบกว่า หญิงต่อชาย ใกล้จะถึง ร้อยละ50ของนักเที่ยว เช่น งานต่อไปนี้
หัวข้อ : ชีวิตคู่ล้มเหลว ต้นเหตุหญิงไทยติดเหล้า รายละเอียด : พบนักดื่มสตรีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 30 % ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน
1ในงานวิจัย 60เรื่องเกี่ยวกับสตรี การเปลี่ยนสังคมสตรีไทย และครอบครัว การหย่าร้าง
ที่เหลือ ข้อมูลดิบไม่ได้อยู่ที่ผมตอนนี้ งานพวกนี้ หาได้ใน กรมสุขภาพจิต ข้อมูล-สถิติใหม่ ที่ใหม่ กว่าสมาคม ชมรม และกลุ่มสตรีใช้อ้างจากงานวิจัยโดยต่างประเทศ แต่พวกนี้คือ ข้อมูลจริง ของไทย ที่เหล่าสตรีที่เน้นการเคลื่อนไหว เรียกร้องสิทธิ์ไม่ยอมรับ แต่เมื่อให้เพิ่มปริมาณการเก็บข้อมูล แม้จะมีทุนสนับสนุนกลับไม่ยอมดำเนินการ โดยอ้างว่า ไม่ได้รับฉันทานุมัติจาก NGO หรืองานวิจัยไทยไม่ได้มาตรฐาน แต่กลุ่มสตรีเหล่านั้น มักอ้างงานวิจัยจากการประชุมประเทศที่มีความแตกต่างสังคม เช่น กลุ่มมุสลิม กลุ่มประเทศอาฟริกา อียิปต์ หรืองานสำรวจโดยองค์การด้านการค้า ที่มีสตรีเป็นลุกค้าหลัก ไม่ต่างอะไรกับ งานการตลาดที่ ให้สตรีสามารถโชว์วงแขนได้ โดยขายสินค้า ทำให้รักแร้ขาวเป็นต้น แม้จะเป็นการขัดต่อหลักการปฏิบัติของวัฒนธรรมหลายๆ ประเทศก็ตาม
ข้อมูลที่นำเสนอในงานวิจัยวันนั้น มีเยอะละเอียดกว่านี้มาก แหละหลายด้าน
เช่น การรักษาโรควัยทองในสตรีไทย (ที่อายุที่จะเข้าสู่วัยทองลดลง ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่50ปี) ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง บอกให้เห็นว่า การเกิดโรควัยทอง เช่น กระดูกพรุน หมดความรู้สึกทางเพศ ฯลฯ ทำให้ทราบ การใช้ชีวิต ของสตรีไทย มายืนยันว่า การทำตัวของสตรีไทย ใน 10-12ปีที่ผ่านมานี้ อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการทำให้เกิดการ ทะเลาะเบาะแว้ง และชีวิตสมรสล้มเหลวมากขึ้น โดยมีปัจจัย จากผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มต้น น้อยลงเรื่อยๆ *****************
-------------------------เอาเป็นว่าขอจบ กระทู้แค่นี้--------ถ้าไม่เข้าใจก็ลอง เดินสำรวจข้อมูลเอาเองได้ --
จากคุณ :
กองปราบ
- [
28 ม.ค. 52 12:17:51
A:58.9.81.211 X: TicketID:103401
]
|
|
|