ความคิดเห็นที่ 1 เข้าใจว่าสองภาษาคือเรียนทั้งภาษาไทย(บางวิชา)และภาษาอังกฤษเป็นหลัก ใช่ไม๊คะ เหมือน English Program หรือเปล่าคะ และโตขึ้นลูกก็ต่อด้วยการเรียนโรงเรียนอินเตอร์และก็โปรแกรมอินเตอร์ในมหาวิทยาลัย ส่วนตัวเราให้ลูกเรียนโรงเรียนไทยค่ะ อยากให้เขาได้วิชาการแบบเต็มๆเข้าใจกันเต็มๆด้วยภาษาไทย อีกอย่างจะได้เข้าใจภาษาไทยอย่างดี สามารถเขียนอ่านได้คล่อง เมื่อลูกโตขึ้นจะได้มีทางเลือกในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้มากมายหลายแห่ง หลายคณะตามที่ลูกถนัดและชอบ ไม่ถูกจำกัดให้เรียนเฉพาะวิชาที่เปิดสอนด้วยภาษาอังกฤษเท่านั้น อีกอย่างก็เพราะเชื่อว่าถึงจะเรียนในโรงเรียนไทย เด็กๆก็จะได้รับการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังเด็กเหมือนกัน ได้รับการเรียนการสอนจากครูฝรั่งบ้าง ได้พูดได้คุยกับครูฝรั่งบ้าง และเราก็ให้ลูกไปเพิ่มเติมข้างนอกได้ค่ะ จากคุณ : เทียนสีรุ้ง เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 09:41:09

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าต้องการให้ลูกมีภาษาติดตัว เรายืนยันว่ามาสอนเพิ่มได้แน่นอนค่ะ เราเรียนโรงเรียนสาธิต เป็นภาษาไทยปกติเลย เริ่มเรียนอังกฤษตอน ป.3 ตอนนี้เรา bilingual เลยนะคะ เพราะไป AFS มาหนึ่งปี โดยไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย ประกอบกับการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเราดีมากๆ เราว่าดูเรื่องคุณภาพการศึกษาดีกว่าค่ะ เรื่องภาษามันฝึกกันได้จริงๆ จากคุณ : smallkid เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 09:55:46

ความคิดเห็นที่ 4 ฮิ..ฮิ...ถ้ายังไม่คลอดแล้วเถียงเรื่อง รร สงสัยพอคลอดแล้ว คงเถียงกันเรื่องแฟนลูกแหงมเลย งั้นถามก่อนว่า คุณแฟนอยากให้เรียนวิชาการเยอะๆ   คิดวางแผนอนาคตให้ลูกทำงานอะไรคะ   คุณ และ/หรือ แฟนมีความสามารถภาษาอังกฤษระดับไหน อ่านออกเขียนได้ ฟังพูดคล่องแคล่ว พูดออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลในสมอง   มี Gene หรือ ความสามารถในการส่งเสริมภาษาอังกฤษลูกได้แค่ไหน ไม่รู้ว่าเราเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือ ฝ่ายค้านนะคะ เพราะตอนนี้ลูกเรียน รร สองภาษา English Program แต่ที่เรียนที่นี่ เพราะเรามีความคิดดังนี้   คิดว่าอนาคตลูกจะไปเรียนต่างประเทศแน่ๆ เร็วสุดคงไปเรียนมัธยม (จะให้ไปตั้งแต่ประถม ไม่มีใครยอม) ช้าสุดที่คุณพ่อยื้อไว้ คือ ไปต่อปริญญาโท   ทั้งเราและสามีไม่เน้นวิชาการเป็นเลิศค่ะ อาจจะเพราะทั้งคู่ทำงานในบริษัทเอกชน ความรู้ที่เรียนจบมาเป็นพื้นฐานในการสมัครงาน แต่การไต่เต้าในที่ทำงานต้องใช้ทักษะอีกหลายๆอย่าง ที่ไม่เกี่ยวกับการท่องจำตำรับตำรา ทักษะการกล้าแสดงออก การเสนอความคิดเห็น มองนอกกรอบ วิสัยทัศน์ พวกนี้ได้มาจากการสั่งสมประสบการณ์ เผอิญมีเพื่อนจบเกียรตินิยมอยู่หลายคน ตอนนี้เรียกได้ว่า ตำแหน่งการงานยังสู้พวกบ้ากิจกรรมบางคนไม่ได้ แต่ไม่ทั้งหมดนะ เราคิดว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างแล้วกัน   ทั้งเราและสามี ไม่ได้มองอนาคตการงานใดๆ ให้ลูกเลยค่ะ คิดแต่ว่าขอให้เขาได้ทำงานที่ชอบ เลี้ยงตัวเองได้ ดูแลคนที่ต้องพึ่งพิงเขาได้ (ตามสไตล์เอเชีย ที่บ้านมีผู้เฒ่าเยอะ) อยากทำงานอะไรก็ได้ จะหมอ วิศวกร ผู้จัดการธนาคาร chef เปิดร้านขายกาแฟ ร้านเช่าหนังสือ จิตรกร หรือจะมีอาชีพอะไรอีกในอนาคตก็ไม่รู้   ทั้งเราและสามีต้องทำงานที่ติดต่อชาวต่างชาติด้วยภาษาอังกฤษ  ความสามารถทางภาษาเราอยู่ในระดับอ่านออก เขียนได้ พูดคุยได้ แต่ไม่เนียน ต้องคิดไทยแปลอังกฤษ แล้วบางทีก็นึกคำไม่ออก  มันสื่อทั้งหมดที่ต้องการไม่ได้ รู้สึกเสียเปรียบแฮะ   ทั้งบ้านเราใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร  เลยอยากให้ลูกได้ใช้เวลาสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน การเรียนวันละ 4 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 20 ชั่วโมงเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เห็นพัฒนาการทางภาษาของลูกค่ะ เขาสามารถพูดประโยคสั้นๆ สื่อความหมายได้ ตอนนี้อยู่ ป3 เริ่มให้เขียน short story ภาษาลูกไม่ได้เลิศเลอ แต่คุณสามีบอกเองว่า สำเนียงดีกว่าพ่อแม่  และเขาฟังฝรั่งตัวเป็นๆ พูดกับเขาทุกวัน เราพบว่า เขาฟังสิ่งที่ teacher สอนได้เข้าใจ ทั้ง science math english มีกลับมาเล่านิทานให้ฟัง คือเขาฟังจาก teacher เป็นภาษาอังกฤษ แต่มาเล่าไทยให้แม่ฟัง เธอบอกหนูเล่าเป็นอังกฤษไม่ได้  แต่ถ้าเรากระตุ้น ช่วยนึกคำศัพท์ เขาก็ประติดประต่อได้   แต่ไม่ส่งลูกเรียน รร อินเตอร์ไปเลย เพราะอยากให้ลูกเรียนภาษาไทย เข้าใจภาษาไทย เคยคุยกับคนรู้จักที่สอนพิเศษภาษาไทยให้เด็กอินเตอร์ เขาบอกสอนยากมาก เด็กใช้เวลานานในการทำความเข้าใจ ภาษาอังกฤษ 26 ตัว เป็นสระซะ 5 แต่ภาษาไทย ทั้งพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ดิฉันชอบภาษาไทยค่ะ เลยไม่อยากให้ลูกใช้ภาษาไทยแบบภาษาคาราโอเกะ เพราะแค่นี้ก็มีหลายคนบอกเด็ก 2 ภาษาเขียนไทยไม่ได้เรื่องแล้ว   ทั้งหมดนี้เป็นการให้โอกาสลูกได้เรียนภาษาอังกฤษแบบซึมซับค่ะ เพราะยอมรับว่า ตัวเองไม่มีความสามารถจะสอนลูกให้เข้าใจภาษาได้เป็นอย่างดี  แต่มีหลายครอบครัวนะคะที่เขาพูดคุยสอนภาษาลูกได้เป็นอย่างดี ทั้งที่เป็นคนไทยทั้งพ่อและแม่  และมีคนจำนวนมากที่เรียนโรงเรียนปกติและเรียนเสริมภาษา แล้วภาษาดีมากๆ  อย่างน้องที่ทำงานก็มี ไม่เคยไปเรียนต่างประเทศเลย แต่ภาษาดีมาก สำเนียงเพราะ สุดท้ายคงขึ้นกับคนเป็นพ่อ-แม่ว่าจะวางแนวทางไหนให้ลูก  เพราะพอถึงจุดหนึ่ง ลูกจะเลือกทางเดินตัวเองโดยอาศัยพื้นที่คุณปูให้เขานั่นแหละ จากคุณ : Green Lime เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 10:01:55

ความคิดเห็นที่ 5 เราสอนภาษาอังกฤษให้ลูกเองค่ะ ด้วยการพูด อ่าน และใช้สื่อต่างๆ ตั้งแต่เค้าเริ่มพูดได้ ไม่ได้ต้องการให้เค้ารู้ภาษาอังกฤษขนาดเจ้าของภาษา แค่ต้องการให้เค้าคุ้นเคย รับรู้ว่ามีภาษาอื่นๆที่สามารถใช้สื่อสารและค้นคว้าหาความรู้ ถ้ามีโอกาสพาเค้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนหรือสถาณการณ์ที่ได้ศึกษาภาษาอังกฤษก็พาไป แต่พอถึงวัยเข้าโรงเรียน เราเลือกโรงเรียนที่เน้นสอนเด็กให้เป็นไปตามวัย ไม่มี Ep ก็ไม่เป็นไร สอนเองได้ เราเน้นให้ลูกมีความสุขค่ะ เวลาที่อยู่ในโรงเรียน นานมาก ถ้าไม่มีความสุขละแย่เลยชีวิต ถ้าเข้าโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก็มีหลายแบบ หลายระดับ บางโรงเรียน ไม่ได้ปูพื้นฐานให้เด็กมาก่อน เอาครูต่างชาติมาสอน เด็กไม่เข้าใจ ก็เอาครูไทยมาแปลซะงั้น กลายเป็นเสียเวลาไปซะอีก ต้องดูโรงเรียนด้วยค่ะ โรงเรียนดี แต่ไกลบ้าน ก็ลำบากลูกอีก ถ้ายังไม่คลอด ลองดูเรื่องการสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาดูสิคะ ส่วนตัว เราไม่กังวลว่าลูกจะไม่ได้สำเนียงที่ถูกต้อง เพราะเราชินกับการใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชีย ไม่เหมือนกันซักกะประเทศนึง ยังสื่อสารกันได้ ฝรั่งที่มาอยู่แถบเอเชีย ยังต้องทำตัวให้คุ้นกับภาษาอังกฤษแบบเอเชียเลย จากคุณ : Jarunya.b เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 10:13:37

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยกับ คห.  4 ค่ะ เราให้ลูกเรียนอนุบาลแบบธรรมดา ประถม1-3 เรียนแบบสองภาษา ตั้งแต่ประถม4 เป็นต้นมาเราให้ลูกเรียน English program. ค่ะ เหตุผลของเราคือ ภาษาอังกฤษจำเป็นมาในยุคปัจจุบันและในอนาคต แต่ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ถ้าเราให้ลูกเรียน EP. ตั้งแต่เล็ก ปัญหาเรื่องภาษาไทยก็จะตามมา เลยอยากให้เขาได้พื้นฐานภาษาไทย ให้แน่นเสียก่อนค่ะ จากคุณ : mhc2007 เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 10:21:58

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องของครอบครัวผมคงไปตัดสินอะไรแทนไม่ได้หรอกครับ แค่ได้แชร์ไอเดียและประสบการณ์เท่านั้น ส่วนจะทำไงกันต่อก็ขอให้เป็นเรื่องในครอบครัวแล้วกันนะครับ โรงเรียนสองภาษาหรือ EP นั้นไม่ได้หมายความว่าจะเรียนภาษาไทยบางวิชา และภาษาอังกฤษบางวิชานะครับ ที่จริงคือ ในบางวิชาต้องเรียนทั้งไทยและอังกฤษ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น หมายความว่า เมื่อเรียนภาษาไทยแล้ว จะต้องเรียนซ้ำเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้งเท่ากับเรียนเบิ้ล การเรียนอย่างนี้ทำให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษ by nature คือ รู้จักการพูดเป็นประโยคไปเลยโดยไม่ต้องมาสอนท่องจำ ประธาน+กริยา+กรรม โน่นนี่ เรียนรู้โฟนิค หรือสำเนียงที่ถูกต้องจากการฟังและพูด ส่วนเรื่องเนื้อหาการเรียนนั้นก็อยู่ที่แต่ละโรงเรียนจะเน้นการเรียนการสอนเข้มข้นแบบไหน บางแห่งก็เน้นการเรียนในห้องแบบเข้มข้น บางแห่งก็เน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง การทดลอง หรือที่เรียกว่า project approach ดังนั้นผู้ปกครองที่เน้นด้านภาษาสุดๆ อยากให้ลูกเป็นฝรั่งไปเลย EP คงไม่เหมาะครับ น่าจะไปเรียนอินเตอร์มากกว่า รับรองว่าภาษาอังกฤษดี ภาษาไทยไม่เอาอ่าวสมใจแน่ๆ ถ้าผู้ปกครองที่เน้นด้านวิชาการก็ต้องไปดูหลักสูตรของแต่ละแห่งเองครับ ถ้าไม่สนใจเรื่องภาษาไปฝึกเอาเองได้ ก็ต้องถามว่าจะฝึกยังไงครับ อยู่บ้านเคยพูดภาษาอังกฤษกับลูกหรือเปล่า หรือฝึกแบบผู้กำกับหนัง คือ ให้ลูกดูทีวีภาษาอังกฤษ ให้ครูมาสอน แล้วก็สั่งๆๆๆๆว่า ทำให้ได้ๆ เหมือนผู้กำกับ (อย่างนี้ผมเห็นมาเยอะ ตัวเองไม่ได้เรื่องแต่อยากให้ลูกเป็นเทวดาในเวลาจำกัด หุ หุ) อันนี้ก็ลูกใครลูกมันล่ะครับ วันก่อนก็เห็นพ่อเด็กด่าลูกที่สระว่ายน้ำ ด่าเหมือนลูกเป็นทาสในเรือนเบี้ย บอกว่าว่ายน่้ำดีอย่างโน้นอย่างนี้แต่ตัวเองตัวแห้งเชียว เดี่ยวนี้เห็นเยอะครับ สอนลูกแบบรีโมทคอนโทรล จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 10:25:57 A:115.67.32.55 X: TicketID:260372

ความคิดเห็นที่ 8 ขอแจมด้วยคน ลูกเรายังอยู่ในท้องได้ 5 เดือนกว่าเอง เมื่อวานเกือบเปิดศึกกับสามีเหมือนกัน หึหึ เราอยากเน้นภาษาให้ลูกเต็มๆ สามีอยากให้เน้นพื้นฐานวิชาการให้แน่น โต๊ะกินข้าว มาคุมากๆ เลยเมื่อวาน จากคุณ : หมวยเล็กกับหมวยใหญ่ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 10:36:08

ความคิดเห็นที่ 9 ชีวิตและความเห็นของผมเองตรงกันกับความเห็นที่4มากๆๆเลยครับ เพียงแต่ตอนนี้ลูกสาวผมอยู่ชั้นมัธยมต้นแล้วเท่านั้น....โดยส่วนตัว แล้วสิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยก็คือลักษณะของตัวเด็กเองครับ ลักษณะที่ว่าก็คือสิ่งที่ถูกหล่อหลอมออกมาจากรอบข้าง ทั้งจาก ครอบครัว สภาพร่างกายและจิตใจ ทัศนคติ ถ้าเด็กตื่นตัวเสมอๆ ใฝ่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆก็เหมาะกับการเรียนEPครับ เด็กที่เรียนทางนี้ จะมักกล้าแสดงออก กล้าคิดนอกกรอบ มีโลกของตัวเอง ส่วนใน วิชาการทางภาษาไทยนั้นผมก็ให้ลูกไปไล่เรียนเอานอกรอบครับ ยังไงอยู่ในสังคมไทย ชีวิตครอบครัวแบบไทยเราก็หนีไม่พ้นอะไร ที่เป็นไทย ธรรมเนียมไทย แต่ถ้าลูกเราก้าวออกไปสู่โลกภายนอก ที่ไม่ใช่สังคมไทย เช่นไปเรียนต่อหรือทำงาน ติดต่องานใน ตปท.ละก้อ มันก็เป็นอะไรที่เติมให้เขาพร้อมเร็วขึ้นครับ แต่ก็ใช่ว่าจะเสมอไปน้ะ เพื่อนๆ ของลูกที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการเรียนก็จะด้อยตรงความพร้อมนี้ออกไป แต่ผมก็มีเพื่อนที่เรียนไทยธรรมดาๆจนจบโท.ที่พูดอังกฤษคล่อง+สำเนียงที่ ดีมากๆจนบ่อยครั้งที่มีคนถามว่าเคยเรียนหรือจบจากประเทศไหนมาก็มีครับ ...ค่อยๆดูไปครับ ยังมีเวลาศึกษาข้อมูลอีกมากครับ... จากคุณ : ฮ5555 เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 10:54:21 A:203.131.212.123 X: TicketID:071933

ความคิดเห็นที่ 10 โดยส่วนตัวแล้ว 1.กลับมีความคิดว่าภาษาไทยสำคัญค่ะ เพราะว่าภาษาไทยยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการสะกด ประวิสัญชนี(เขียนถูกเปล่าไม่รู้) 2.อยากให้รู้ภาษาอังกฤษบ้างแต่ไม่ได้หวังว่าจะให้ไปเรียนโรงเรียนสองภาษา เพราะไม่คิดว่าลูกเราจะไปเรียนต่างประเทศ หากไปเรียนเค้าก็คงหาทุนไปเอง ขวนขวายเอง ตอนนั้นเค้าก็คงไขว่ขว้าที่จะหาความรู้ใส่ตัวเองได้ 3.เด็กชอบอะไร เพราะลูกชายคนโตตตอนนี้ชอบศิลปะและภาษาอังกฤษก็พอได้ แต่ไม่เก่งเท่าลูกคนอื่น เลยเลือกที่จะส่งเสริมเค้าไปในสิ่งที่ชอบคือศิลปะ 4.ภาษาไทยลูกชายคนโต 5 ขวบบอกยาก ไม่รู้เรื่อง เลยอยากที่จะให้คุณครูภาษาไทยมาสอน อยากให้เค้ามีความรู้เรื่องภาษาเยอะๆโดยเฉพาะการอ่านคำควบกล้ำ อยากให้ใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติให้คล่องค่ะเวลาไปพูดที่อื่นจะได้ไม่อายใคร ปล.ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความคิดนะค่ะ สุดท้ายแล้วก็ต้องแล้วแต่พ่อแม่แต่ละบ้านจะมีความเห็นเช่นรัยค่ะ จากคุณ : กอ (ตระกูลกอ) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 11:14:31

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับ คห.4 โดยส่วนตัวอยากให้ลูกสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่โดยฐานะส่งเรียน EP ไม่ได้ คงต้องให้เสริมเอา.. จากคุณ : อยากกลับบ้าน เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 11:17:29

ความคิดเห็นที่ 12 เป็นปัญหาที่ถกกันในหมู่พ่อแม่ที่อยู่ในกทม.หรือจังหวัดที่มีรร.อินเตอร์ แต่สำหรับเรา ย้ายมารับราชการจังหวัดที่เว้าภาษาอีสานกัน อินเตอร์ไม่ต้องพูดถึง แค่ให้พูดภาษากลางก็ดีแล้วมั้ง ไม่ต้องคิดอะไรมาก ลูกเราเว้าอีสานได้ชัวร์ๆ 55 แต่คร่าวๆก็คิดกันไว้แล้วว่า ถึงอยู่กทม. ก็ให้เรียนโรงเรียนไทยค่ะ พอเข้ามัธยมกะให้ลูกไป AFS หรือไปเรียนรร.ที่ต่างประเทศสัก 1 ปี เพื่อให้ได้ภาษาแบบชัวร์ๆ ระหว่างนี้เราจะพูดอังกฤษกับลูกตั้งแต่เกิด ส่วนพ่อพูดภาษาไทย วางแผนไว้แบบนี้ เพราะไม่ต้องการให้ลูกถูกจำกัดให้เรียนเฉพาะโปรแกรมอินเตอร์ในระดับมหาลัยหรือต้องไปเรียนต่างประเทศน่ะค่ะ   เราอยากให้ลูกเรียนจบในไทย มีพรรคพวกเพื่อนฝูงเส้นสายในไทย ... และสามารถเรียนได้ทั้งอินเตอร์หรือโปรแกรมปกติ   ถ้ารับราชการได้ก็ดี  ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ก็เปิดทางไว้ก่อน ไม่ปิดเสียแต่แรกด้วยมือพ่อแม่เอง เลยเลือกทางสายกลางๆ คือ รร.ไทย+ ต่างประเทศ 1 ปี ระดับมัธยม + มหาลัยไทย จากคุณ : Volksrecht เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 11:50:33

ความคิดเห็นที่ 13 ]ลูกเรียน inter อยู่ขอ share ความเห็นครับ 1 english อยู่ในขั้นดีครับ เพราะลูกออกเสียงได้ถูก ตลอดจนมีบางคำเราไม่รู้มาก่อนก็รู้จากลูกตรับ 2 thai อ่อนครับ ต้องสอนเองที่บ้าน ตลอดจน math ก็คิดว่าง่ายมากสำหรับเด็กวัยนี้ (k3) ส่วนตัวคิดว่าการเรียน english ไม่ใช่เรื่องง่ายครับถ้าไม่ได้เรียนทุกวัน ใครคิดว่าenglish ของตัวเองดี ลองทดสอบโดยการเปิด hbo หรือ หนังฝรั่ง หันหลัง ฟังเรื่องสัก 30 นาที เเล้วมาสรุปดูว่าเรื่องเป็นยังไง ก็จะรุ้ความสามารถทางภาษาของตัวเอง จากคุณ : jabby (jabbywa) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 12:10:19

ความคิดเห็นที่ 14 เราลูกเรียน รร. เอกชนเลือกเรียนแบบสามัญ (แต่ในนี้ก็มีครูต่างชาติสอนภาษาอังกฤษ) อยู่แล้ว ข้อเสียก็มีข้อดีก็มีนะค๊ะ - ข้อเสีย คือเค้าอ่อนภาษาไทย ไม่ได้เข้าใจภาษาไทยถ่องแท้ เหมือนสมัยเราเรียนตอนเด็กๆ เลย ใช้อ่านแบบวิธีท่องจำ กลายเป็นเราต้องมาเคี่ยววิชาภาษาไทย - ข้อดี คือเด็กไม่กลัวฝรั่ง คุยกับเด็กฝรั่งได้ แต่ไม่รู้คุยกันภาษาอะไร แต่ก็เห็นเล่นด้วยกันได้ (ไปทะเลค่ะ เจอเด็กฝรั่งมาเล่นด้วย พูดคนละภาษาแต่เล่นด้วยกันได้เป็นครึ่งวัน) แล้วเค้าอ่านภาษาอังกฤษ ได้คล่องสำเนียงได้ แล้วเราก็คิดเหมือนกันว่า อย่าเพิ่งอัดเยอะเลยไปเรียนเสริมเอาตอนเค้าโตหน่อยก็ได้ แล้วมีอีกความคิดนึง คืออันนี้ไปรับลูกที่ รร. แล้วได้ยินเด็ก ม.ต้น เค้านั่งคุยกัน --------------------------------------- เด็กคนที่ 1 :  แกเห็นป่าว รร. เปิดแบบ english program ค่าเทอมปีละแสน เรียนไปแล้วเป็นเทวดาป่าวว๊ะ เด็กคนที่ 2 :  เออ ถ้าพ่อแม่ตาย แล้วไม่มีคนส่งต่อ ต้องไปเรียน รร. วัดทำตัวไงอ่ะ เด็กคนที่ 1 :  เป็นตรู จะบอกพ่อ เก็บตังค์ตอนเรียนอินเตอร์ อนุบาล-ประถม ไว้เลยนะ พอเค้าเข้ามหาลัย อัดเรียนแบบอินเตอร์ หรือส่งเค้าไปเรียนภาษาต่างประเทศเลย เด็กคนที่ 2 :  เออใช่ เวลาสมัครงาน ตรูเห็นดูแต่ Profile ตอนมหาลัย ว่าเกรดไร เรียนไรมา ความสามารถพิเศษอะไร จบมหาลัยด้านไหน ไม่เห็นมีใครย้อนดูถึงอนุบาลเลย ---------------------------------------- ปล. อันนี้เด็กๆ คุยกันจริงๆ ค่ะ เรานั่งฟัง แล้วคิดตามเออ ใช่จริงอ่ะ เด็กๆ พวกนี้ฉลาดดีจัง คิดเป็นอ่ะ ภูมิใจแทนพ่อแม่เค้าเลย จากคุณ : autoaoy เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 12:17:37

ความคิดเห็นที่ 15 ของเราตอนมีลูกใหม่ๆ ตั้งใจว่ายังไงก็จะให้เรียนโรงเรียนสองภาษาคะ แต่พอเอาเข้าจริง ลูกกำลังจะเข้าอนุบาล แม่สามียืนกรานว่าให้เข้าสามัญคะ แม่สามีเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ และรับสอบพิเศษเด็กๆ เค้าให้เหตุผลมาว่า เด็กที่เรียนโรงเรียนสองภาษา กลายเป็นภาษาอังกฤษไปดึง เลข ไทย ให้ไม่โดดเด่น เค้าเลยบอกว่า ให้หลายเค้าเรียนสามัญ แล้วภาษาอังกฤษมาเสริมเอาที่บ้าน เค้ารับรองเลย ว่าทันเด็กโรงเรียนสองภาษาแน่ๆ เราก็ ว่าไงก็ว่างั้น ^^ จากคุณ : fifhai เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 12:59:27

ความคิดเห็นที่ 16 จากประสบการณ์คนรอบข้างที่ผ่านมา ถ้าเด็กเรียนสองภาษาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็จะต่อโรงเรียนอินเตอร์และมหาลัยหลักสูตรอินเตอร์ ถ้าคิดว่าไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน จะเรียนก็ได้ แต่ถ้าเป็นเราขอแนะนำให้เรียนแบบปกติแล้วไปเรียนภาษาเพิ่มเติมเลยจะดีกว่า จากคุณ : nawisas เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 13:18:32

ความคิดเห็นที่ 17 อยู่ที่ว่าคุณจะให้ลูกต่อที่ไหนตอนมัธยม-มหาวิทยาลัย ถ้าต่อในไทยชัวร์ คุณต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่คัดคนโดยระบบการสอบทุกระดับ : ก็ต้องเน้นวิชาการเป็นหลัก ภาษาค่อยเสริมเอา ถ้าจะให้ต่อนอก คุณให้เค้าเข้านานาชาติจะช่วยเค้าได้เยอะ และเด็กจะมีความมั่นใจ หลักสูตรอินเตอร์ กับสามัญนั้นต่างกันมาก เพื่อนเราจบจากนานาชาติมาเรียนมหาวิทยาลัยปิดพร้อมเรา เพื่อเรียนเกรดปานกลาง แต่พอมาเรียนกับเด็กสามัญ เพื่อนดรอปไปเยอะเลยค่ะ เค้าดูไม่มีความมั่นใจเลยเวลาสอบเลข สอบฟิสิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าภาษาอังกฤษของเค้าดีเยี่ยมจริงๆ ลองดูนะคะ สู้ๆค่ะ แก้ไขคำที่พิมพ์ตกค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 55 13:31:07 จากคุณ : bourary เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 13:29:58

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณหลายๆความเห็นที่เห็นด้วยกับดิฉันนะคะ  มาขอเสริมนิดหนึ่งว่าทำไมอยากให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษแบบซึมซับไปเรื่อยๆ ตัวดิฉันเองเป็นคนไม่ชอบภาษาอังกฤษค่ะ เรียกได้ว่าเป็นวิชาฉุดเกรดเลยหล่ะ แล้วก็ปลอบ+หลอกตัวเองมาตลอดว่า อยู่เมืองไทย พูดไทยทุกวัน ไม่ต้องเก่งอังกฤษหรอก ทำ thesis ก็อ่าน textbook ภาษาอังกฤษ ทั้งแปล ทั้งลอก จนเรียนจบ ป.ตรีมาได้ เข้าทำงาน มีอยู่วัน ท่านหัวหน้างานก็ส่งพนักงานทั้งหมด 5 คนให้ไปฟังบรรยายจากอาจารย์ฝรั่งที่มหาวิทยาลัยจุฬา ท่านอุตส่าห์บินมาจากต่างประเทศเพื่อบรรยายให้ความรู้ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไปนั่งฟังท่านบรรยาย 2 ชั่วโมง โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย  จำได้ว่ากลัวมากว่า ถ้ากลับไปแล้วเขาถามว่าได้ความรู้อะไรมาบ้าง จะตอบยังไง ทำงานได้ไม่ถึงปี ท่านพ่อ-ท่านแม่เกิดคิดว่า ลูกตูเรียนแค่ ป ตรี น่าจะไม่พอ จำต้องส่งไปชุบตัวเมืองนอก ก็พร่ำท่องตำราเพื่อสอบ TOFEL กะ GMAT 555 กว่าจะสอบ TOFEL ได้คะแนนพอสมัครเรียนได้ สอบซะ 3 รอบ ส่วน GMAT ฉลุยเลย วันแรกที่ขึ้นเครื่องบิน จำฝังใจเลย เพราะฟังคุณแอร์โฮสเตสสาวสวยชาวฝรั่งพูดไม่ออก มารู้ตอนหลังว่า เธอถาม จะเอาปลาหรือไก่ ไปถึงเมืองฝรั่ง ก็ไปเข้าคอร์สเรียนภาษาซะ 3 เดือน พอฟังกระดิกหูก็รู้ว่า เราไม่มีปัญหา grammar (ชีวิตจริง ใช้แต่ simple กะ past tense ที่พิศดารไม่ค่อยใช้) ปัญหาคือ พูด กับ ฟัง  ช่วงนั้นไม่กล้าทำอะไร กลับจากเรียน ดู TV ลูกเดียว ดูจนคิดเป็นภาษาอังกฤษได้ตามตัวละคร เลยไม่ต่อคอร์สเรียนภาษาแล้ว เข้าเรียนเลยละกัน เลือกลงวิชาที่คุ้นๆก่อน จะขยันอ่านหนังสือล่วงหน้าก่อนเข้าเรียน จะได้รู้ว่าอาจารย์พูดอะไร สอนอะไร ดิฉันจบ ป โท ใช้เวลาปีครึ่ง ทำข้อสอบไม่มียั่น เพราะเราท่องเก่ง จำเนื้อหาสำคัญได้ แต่ให้ไปพูดหน้าห้องทีไร กลุ้มทุกที จำได้ว่าเคยออกไปบรรยายหัวข้อหนึ่ง พูดจนจบแล้ว มีแขกอินเดียยกมือบอกว่า พูดเรื่องอะไร ฟังไม่รู้เรื่องเลย ดีที่ท่านอาจารย์เป็นชาวจีนอพยพไปทำงานอเมริกา คงเห็นใจมั้ง บอกว่าผ่าน  เคยทำงานกลุ่มกับฝรั่ง ฝรั่งเขาพูด พูด พูด ออกความเห็นเป็นชุด สรุปให้เราทำงาน แล้วเขามาเกลา report ให้สละสลวย พอกลับมา ภาษาก็ใช้ได้หล่ะ ได้ทำงานบริษัทต่างชาติ เขียนรายงานภาษาอังกฤษ ติดต่อสื่อสารภาษาอังกฤษ ช่วงมีนายฝรั่งก็ได้พูด แต่หลังๆ นายคนไทย จะใช้ e-mail ซะส่วนใหญ่ ทักษะการพูด ฟังก็เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา คุณสามีก็พอกัน ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับสื่อสารได้ ดูกันแล้ว ลูกคงไม่มีพันธุกรรมชอบภาษาอังกฤษในตัวแหง จึงตัดสินใจเอาสภาพแวดล้อมมาใส่ให้ลูกแล้วกัน เพราะแม่เคยได้ภาษาจากสภาพนั้นมาก่อน ส่วนเรื่องรักภาษาไทย ไม่ค่อยห่วงค่ะ น่าจะได้เชื้อแม่ไปเยอะ เพราะยังไม่ถึง 8 ขวบ คิดว่าลูกรู้จักนิทานไทยมากกว่าผู้ใหญ่หลายๆคน วันก่อนเพิ่งบอกให้แม่ไปตามหาหนังสือ ไชยเชษฐ์ให้หน่อย หนูอยากอ่าน  (หาที่ไหนฟะ)  ส่วนคณิต วิทย์ จบวิศวะมา ไม่มีปัญญาสอนลูก จะให้เอาปริญญาไปคืนอาจารย์ จากคุณ : Green Lime เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 13:47:46

ความคิดเห็นที่ 19 หลายๆ  ท่านบอกไปหมดแล้ว ส่วนตัว ถ้าส่งไหว EP ย่อมทำให้ซึมซับความคุ้นเคยเรื่องภาษาได้มากกว่าแน่ แต่จะเก่ง ใช้ได้ดีหรือไม่ ไม่ได้บอกเลย ลูกชายสองคน เรียน EP มาหลายปี แต่จากที่เจอ ไม่ได้คิดว่าดีกว่าตัวเองสอนแน่นอน - อัตราเด็กเป็นสิบคนต่อครูหนึ่งคน สอนแล้วสอนเลย ไม่ได้มีเวลาเน้น ช่วยทำให้ถูก - อย่างที่ท่านข้างบนบอก EP คือเรียนเรื่องเดียวกันสองครั้ง ไทยครั้ง English ครั้ง ความคุ้นเคยเรื่องภาษาย่อมต้องได้มากกว่าไม่เรียน แต่ถ้าไม่ท่องศัพท์ หมั่นใช้ รู้หรือชินแค่ไหนก็ลืม ดังนั้น ถ้าคุณอยากให้เก่ง English อย่างเดียว ไปอินเตอร์น่าจะดีกว่า, ถ้าจะให้คุ้นเคย EP ก็ให้ได้ แต่ถ้าให้เก่ง ยังไงพ่อแม่ (หรือการเรียนข้างนอก) ต้องช่วยเยอะครับ จากคุณ : ผมเองครับ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 14:21:27

ความคิดเห็นที่ 20 ลูกเรา เรียน สองภาษา EP ในพื้นที่ ต่างจังหวัด     ที่ให้เรียนไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่ไม่อยากให้ลูกเรียนตามโรงเรียนเทศบาล  ไม่มีทางเลือกนั่นเอง หลักสูตรก็เป็นไปตาม คห 7 ว่าเลย  ตอนนี้ลูกอยู่ อ2 แล้ว  เรียนที่นี่มาตั้งแต่เตรียม  ภาษาอังกฤษระดับสนทนาเขาเข้าใจ ไปห้องน้ำพูดว่าอะไร  อิ่มว่ายังไง  เรียกว่า ได้พอสมควรกับ 3 ปี       ส่วนภาษาไทย  ครูไทยก็สอนดีนะ  อ่านออกเขียนได้   แต่เห็นว่า ป.1 จะหนักมา เพราะทุกอย่างเรียน 2 หมด  ((เหมือน คห 7ว่าไว้))  แอบกังวลกลัวลูกจะไม่ไหวเหมือนกัน    แต่เท่าที่ดูเด็กที่จบจากที่นี่ ป.6  ส่วนใหญ่จบแล้วก็ต่อหลักสูตรธรรมดากัน   คงเป็นเพราะไม่มีรองรับ  น่าเสียดาย ถ้าเลือกได้ เราก็คงอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนไทย วิชาการ เนี่ยแหละ  ภาษาอังกฤษเสริมเอา   เราว่า โรงเรียนรองรับ ให้หลักสูตรมันต่อเนื่องกัน ยังมีน้อย  ((อาจจะเป็นเฉพาะตาม ต่างจังหวัดก็ได้))  สงสารลูกเวลาไปสอบแข่งขัน  เพราะยังไง โรงเรียนส่วนมาก ก็ยังเน้นวิชาการโดยรวมอยู่ดี จากคุณ : Little KaPom เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 14:22:50

ความคิดเห็นที่ 21 พื้นฐานเราคล้าย ๆ คุณ greenlime โชคดีเราได้ฝรั่งติดไม้ติดมือมาสอนกันตัวต่อ ตัว ส่วนตัวเราดูฐานะจากของครอบครัวและเป้าหมายแล้ว คงจะให้ลูกเรียนสามัญ แล้วเก็บเงินเพื่อส่งลูกเรียนซัมเมอร์ภาษาอังกฤษ ตอนนี้ยังเล็ก ๆ ก็ส่งไปเรียนซัมเมอร์ที่โรงเรียนนานาชาติใกล้บ้าน ในอนาคตก็คงจะส่งไปเรียนซัมเมอร์แถว ๆ สิงคโปร์ จบม. 3 ให้เรียนสายช่าง (ลูกสาวบอกอยากสร้างหุ่นยนต์) แล้วค่อยต่อตรีที่เมืองไทย แล้วค่อยโท เอก ต่างประเทศ แล้วแต่ตามกำลังทรัพย์และสมอง จากคุณ : Ms...plum เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 14:37:23

ความคิดเห็นที่ 22 เราวางแผนไว้ค่อนข้างใกล้เคียงกับ คคห.4 มาก ตอนนี้ลูกเรา 2 ขวบแต่เราคิดยาวไปถึงจบ ป.ตรีแล้ว ส่วน ปโทให้เขาเลือกเองว่าจะในหรือนอก แต่เราก็แอบสนับสนุนต่อโทเมืองนอกเล็กๆ (ถ้าลูกมาปรึกษา) คงจะโน้งเอียงไปทางเมืองนอก เพราะเราจบ ตรี โท ในไทย ภาษาพอเอาตัวรอดได้ แต่เพื่อนร่วมงาน น้องร่วมงาน รอบๆตัวเรา นร.นอกทั้งนั้น ทำให้เรารู้สึกด้อยนิดๆ แต่ก็โอกาสของคนมันไม่เหมือนกัน มาถึงเรื่อง รร.ลูกเล็กต่อ ที่เราวางแผนไว้คือให้ลูกเข้า รร.เครือสาธิตตั้งแต่ อ3 หรือ ป1 ยาวไป ม6 เลย ซึ่งเรามีเพื่อนจบจาสาธิตหลายคน (รวมทั้งจิตรลดาด้วย แต่อันหลังคงยากหน่อย) เพื่อนที่จบสาธิตและจิตรลดาล้วนเก่งภาษาอังกฤษทั้งนั้น ตอนเข้า ปตรี พวกเขาไม่ต้องปรับภาษาอังกฤษเหมือนพวกที่จบมัธยมไทยอย่างพวกเรา และพอสอบโทเฟลคะแนนก็สูงลิ่ว  เราเลยว่าเครือสาธิตน่าจะแข็งในภาษาอังกฤษและเราก็ให้เรียนเสริมเอา เราว่าภาษาอังกฤษในอนาคตจะสำคัญมาก หรือถ้าเข้าสาธิตไม่ได้ เราคงให้ลูกเรียน รร.ที่มี EP น่ะค่ะ คงไม่ถึงขนาด IP เพราะก็อยากให้เขาได้ภาษาไทยที่เป๊ะด้วย อีกอย่างเราก็ไม่มีความสามารถพอที่จะสอนภาษาลูกได้อย่างดี เดี๋ยวจะได้ตัวอย่างที่ไม่ดีไปซะ เราอยากให้ลูกมาสอนภาษาอังกฤษเรามากกว่า อย่างไรก็ตามเราไม่ได้คาดหวังว่าลูกต้องเป็นอย่างนัี้นอย่างนี้ แต่เราขอพูดตาม คคห.ที่ 4 นะคะ เราเห็นด้วยอย่างที่สุดเลยที่บอกว่าเราปูพื้นฐานที่ดีให้เขา เพื่อให้เขาก้าวไปได้อย่างมั่นคงด้วยตัวเขาเอง ในอนาคตหรือแม้แต่ตอนนี้ก็ตามเส้นสายมันก็เยอะแยะ อย่างน้อยถ้าลูกเราพื้นดี เรียนดีก็จะได้เอาความสามารถไปสู้กับใครเขาได้ แม้จะสู้ไม่ได้เราก็จะไม่เสียใจที่ได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ตามความสามารถของเราแล้ว จากคุณ : ohjajar เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 14:51:40

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ Ms...plum ถ้าเรามีครูสอนภาษาตัวต่อตัวอยู่บ้านหล่ะก้อ เราจะให้เรียนสายสามัญค่ะ ประหยัดกว่ากันเยอะ จะบอกว่า มีครูฝรั่งที่ รร ลูกเรา เขาส่งลูกเขาเรียน รร ไทยค่ะ  แต่เรา (ดัน) ต้องส่งลูกไปเรียนกะเขาแทน T-T เพื่อนคุณสามี จบ ป เอกจากนอก เอาลูกกลับมาด้วย เอาลูกเข้าเรียนสายสามัญค่ะ เข้าประมาณ ป3 เรียนได้เทอมเดียว ต้องย้ายไป EP เพราะเด็กตามหลักสูตรไทย (แท้) ไม่ไหว คุณเพื่อนอีกคน มีภริยาชาวฟิลิปปินส์ อยู่บ้านพูดอังกฤษกันตลอด ให้ลูกเรียนสายสามัญแล้วเสริมอังกฤษ เราก็บอกทำไมต้องเสริมด้วย พูดอยู่ทุกวัน เขาบอกว่าภาษาพูดคล่องปรื้ด แต่ต้องเรียนหลัก grammar เราว่า จริงๆเลยมันขึ้นกับแต่ละครอบครัวเลยหล่ะ ว่าจะไปทางไหน จากคุณ : Green Lime เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:52:30

ความคิดเห็นที่ 24 ต้องดูแนวโน้มทิศทางของครอบครัวด้วยคะ ว่าอยากตั้งเข็มทิศให้เขาไปทางไหน ครอบครัวก็ต้องสนับสนุนให้เขาไปในแนวทางเดียวกัน ไม่งั้นเด็กจะสับสน คุณต้องตั้งเป้าหมายก่อน - ครอบครัวอยากส่งเสริมให้ลูกเรียนแบบวิชาการเลยไหม กะเรียนให้สอบได้ ธรรมศาสตร์ จุฬา หรือไม่ ถ้าชอบแนวนี้ เราว่า ส่งเรียนภาคปกติ ตั้งแต่อนุบาลไปเลยคะ พวกเตรียมพื้นฐานเข้าสาธิตต่างๆ รร รัฐบาลไทยชื่อดังต่างๆ มันจะได้ต่อเนื่องไปจนสอบมหาวิทยาลัย จบมาอาจจะอยากให้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ หรือ หน่วยราชการไทยดีๆ ทั้งนี้ การแข่งขันด้านวิชาการจะสูง ก็ต้องเสริมเรื่องเรียน และ ติวหลังเรียนอย่างมาก เดี๋ยวนี้เด็กต้องเรียนพิเศษกันตั้งแต่ ป 1 - ถ้าครอบครัวอยากให้พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว พื้นฐานภาษาเท่าเจ้าของภาษา สังคมเป็นฝรั่ง มีเพื่อนเป็นฝรั่ง หรือ เด็กอินเตอร์ จบไปต่อนอกแน่นอน หรือ อาจจะต่ออิน เตอร์มหาลัยทีมีชื่อเสียง จบมาอาจจะทำงานองค์การ ตปท เป็นหลัก หรือ มีธุรกิจของตัวเอง ก็ควรให้เอา รร อินเตอร์คะ และควรจะส่งลูกไปเรียนตั้งแต่ nursery หรือ pre-k เลย เพื่อปูพื้นฐาน และ สังคมให้เด็กคะ เด็กเขาจะปรับตัวได้เร็วกว่า คุณไปส่งลูกตอนโต หรือ วัยรุ่น รร อินเตอร์จะไม่เครียดเรื่องเรียนพิเศษคะ แต่ คนที่เตรียมพร้อมคือ คุณพ่อ คุณแม่ ที่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เป็นอินเตอร์กับลูกไปด้วย ไม่ว่าจะ การสื่อสาร สังคมเพื่อน วิถีการใช้ชีวิต แต่ถ้าเป็นลูกครึ่งก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ที่สำคัญคือ เงินต้องพร้อม นอกจากค่าเทอมแล้ว มีรายจ่ายจิปาถะ ที่คุณสองหรือสามเท่าจาก การเรียนภาคไทย ทั่วๆ ไป เราว่าระบบ EP มันเหมือนครึ่งๆ กลางๆ ถ้าจะดันเขามหาวิทยาลัยไทยก็ส่งเรียนภาคไทย ไปเลยคะ แต่ถ้าห่วงภาษาอ่อน ก็คงต้องส่งไป summer หรือ เรียนเพิ่มเอา เพราะเรา ว่ายังไงองค์รวม EP ภาษาอังกฤษมันก็ดีกว่าประมาณนึง แต่ไม่ได้เท่าระบบอินเตอร์ แบบนั้นสู้ เรียนวิชาการไทยให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลย แต่อย่างนึงต้องยอมรับว่า สำเนียง หรือ วิธ๊การคิด จะให้เป็นแบบพวกเรียนอินเตอร์ไม่ได้ เพราะเราโตมาแบบไทย อีกทางหนึ่งที่เราว่า พอเป็นทางออกที่ดีคือ ส่งเรียน รร คริสเตียน พวก เซนโย มาร์แต กรุงเทพคริสเตียน เพราะ รร เหล่านี้พื้นฐานภาษาอังกฤษดี และ วิชาการ ก็ไม่น้อยหน้าคะ ที่สำคัญคือ คุณพ่อแม่ต้อง ทิศทางเดียวกันคะ จะวิชาการก็วิชาการไปตั้งแต่เล็กเลย จะอินเตอร์ ก็ฝรั่งกันไปเลยทั้งบ้าน เราเห็นเด็กหลายๆ คน ตอนเล็กๆ ไปเรียน รร ทางเลือก ซึ่งส่วนใหญ่จะสอนสนุก เป็นธรรมชาติ พอ ป 1 ส่งเรียน รร วิชาการ น้องหงอยไปเลย น่าสงสารมากๆ จากคุณ : นู๋ปิ๋มมี่ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 17:09:25

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าจะให้ได้ภาษา แล้วจะให้เรียน English Program จะเห็นด้วยค่ะ แต่ 2 ภาษา ไม่แนะนำค่ะ 2 แบบไม่เหมือนกันนะคะ English Program เรียนทุกวิชาเป็นภ.อังกฤษ ยกเว้น ไทย กะ สังคมศึกษา ซึ่งจะเรียนเป็นภ. ไทย แต่ แบบ 2 ภาษา เรียนทุกวิชา ใน 2 ภาษา คือไทยและอังกฤษค่ะ เคยหวั่นไหว คิอจะให้ไปทาง 2 ภาษาเหมือนกัน ค่าเทอมก็พอๆ กับ โรงเรียนคาธอลิกภาคไทยเลย แต่มันกลายเป็นว่าต้องเรียนทุกอย่าง 2 ภาษา ไทยก็ไม่แม่น อังกฤษก็ไม่ถนัด ส่วน EP ปีละ แสนกลางๆ - 2 แสนทั้งนั้น ไม่อาจเอื้อมค่ะ ปอลอ เพิ่งได้มีโอกาสคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ท่านึง (เป็นประธานกรรมการบใมหาชน+ตำแหน่งทางสังคมเพียบ) ถามเรื่องที่คนนิยมส่งลูกเรียนอินเตอร์ หรือ 2 ภาษา ท่านตอบว่า ไม่ได้หรอก ลูกผมต้องได้ภ.ไทยแตกฉาน ภ.อังกฤษ มันเสริมกันได้ แต่ไทยต้องแตก ถ้าลูกผมโตไปมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล แต่อ่านรายงานตะกุกตะกัก หรือแถลงข่าวไม่รู้เรื่อง ก็แย่เลย ยิ่งถ้ามีอภิปรายในสภาฝ่ายค้านไปกดออดใส่ลูกผมแย่เลยเหรอ ฟังแล้วอย่างขำ แต่ก็จริงของเค้านะคะ จากคุณ : lekumi เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 17:16:11

ความคิดเห็นที่ 26 เหมือนกันเลยค่ะ ฝั่งนึงอยากให้วิชาการ โตขึ้นมีงานเงินเดือนสูง อีกฝั่งอยากให้ได้ภาษา ยุคAEC เผื่อเจรจาสร้างธุรกิจเป็นพ่อค้าร่ำรวย เลือกไม่ถูกจริงๆ จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 17:57:48

ความคิดเห็นที่ 27 2 ภาษา หรือ EP ขึ้นอยู่กับหลักสูตรของแต่ละโรงเรียนค่ะ ลูกสาวอยู่ป2 เรียน 2 ภาษา เรียนวิชาต่างๆ ใช้หนังสือเล่มเดียวกับ โรงเรียนทั่วไปค่ะ เช่น คณิต ภาษาไทย สังคม วิทยาศาสตร์ การงานพื้นฐานอาชีพ ลูกเสือ วิชาเหล่านี้ก็เรียนเหมือน รร.ไทยธรรมดา หลักภาษาก็แน่น เป็นปกติ ส่วนวิชาที่ิเป็นภาษาอังกฤษ สอนโดยเจ้าของภาษา เช่น English Science Health Math Art ก็ใช้หนังสือของต่างประเทศ ที่เนื้อหา ก็ไม่่ได้เหมือนหลักสูตรไทยนะคะ อาจมีบางวิชาที่ใกล้เคียงคือ math เท่านั้นเองค่ะ ส่วนที่บอกว่าภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทยเรียน เสริมได้ ในกรณีที่เราเลือกเรียน inter หรือหลักสูตรภาษาไทยไปเลย ก็น่าจะได้แค่วิชาภาษาไทย หรืออังกฤษ ค่ะ แต่จะไม่ครอบคลุมวิชาอื่นๆ ที่เด็กที่เรียน 2 ภาษา คุ้นเคยค่ะ เช่น science วิชาเดียวก็มีเนื้อหามากมายแล้วค่ะ หรือ วิชาสังคม ก็มีเนื้อหาเรื่องที่เรียน ที่ลึกซึ้งแตกต่างจากภาษาไทยไปมากค่ะ การเรียน 2 ภาษาจริงๆ แล้วมีประโยชน์มากนะคะ แต่ที่พ่อแม่กังวล คือ ลูกต้องเรียนหนักมากค่ะ คือต้องทำความเข้าใจของหลักสูตรไทย และต่างประเทศค่ะ หมายเหตุ เราเคยไปเรียนต่างประเทศ มาก่อน แต่เวลาเริ่มเรียนพร้อมลูก เนื้อหาบางอย่างก็เริ่มใหม่ไปพร้อมๆกันค่ะ เราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนโตแล้ว ดังนั้นภาษาที่เราเขียนก็ไม่ธรรมชาติ สำนวนไม่สวยเหมือนเจ้าของภาษาค่ะ รวมถึงไม่สามารถใช้ในการสื่อสารระดับสูงค่ะ ใจจริง ก็อยากให้ลูกเรียน inter แต่ถ้าต้อง แลกกับความสามารถในการใช้ภาษาไทย ที่ด้อยลง เช่นสื่อสารได้ แต่ไม่สามารถ ใช้ในระดับการทำงาน หรือติดต่อหน่วยงานราชการ ได้อย่างถูกต้อง ก็ไม่แลกค่ะ เพราะธุรกิจที่ทำให้ลูก ก็คงอยู่ในเมืองไทยเป็นหลักค่ะ 2ภาษาที่ลูกเราเรียน  ค่าเทอมประมาณปีละ แสนต้นๆ ค่ะ  ไม่ต่างจาก รร  เอกชนที่เป็นที่นิยมนัก แต่เราเลือกเรียน รร ใกล้บ้านค่ะ เดินทางประมาณ ครึ่งชม  ลูกจะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทางนักค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 55 19:00:48 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 55 19:00:11 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 55 18:58:39 จากคุณ : La mesa (La Mesa) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 18:56:00

ความคิดเห็นที่ 28 งั้นก็หาอินเตอร์ที่เน้นวิชาการดีมั้ยคะ พอใจกันทั้งสองฝ่าย (มีจริงๆนะคะ ไม่ได้กวน) ^_^ จากคุณ : อ้อมแม่น้องวิน เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 23:31:00

ความคิดเห็นที่ 29 ของเราถ้ามีลูกคงหนักกว่าหลายคนค่ะ .... สามภาษาเลย (จีนอังกฤษไทย),และอยากให้เค้าเขียนได้ อ่านได้ด้วย ไม่ใช่แค่พูดกับฟังอย่างเดียว จีนกับอังกฤษคงไม่มีปัญหา แต่ภาษาไทยที่เป็นภาษาที่สามนี่สิ. จะทำไง จากคุณ : Sueei เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 10:55:08

ความคิดเห็นที่ 30 โดนจัย เอ้ย... โดนใจมากกระทู้นี้ กำลังตัดสินใจเรื่องนี้กับที่บ้านอยู่ครับ จากคุณ : anyname เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 22:11:13

ความคิดเห็นที่ 31 ขอแชร์ความเห็นนิดนึงครับ ผมเรียน รร สาธิต ครับ เกรดเฉลี่ยตอนจบ ม6 ก็ 2 พอดีครับ แต่ ent ติดจุฬาครับ จบตรีแล้วต่อโทนอกครับ พอมาอยู่เมืองนอกเห็นเด็กที่นั่นเรียนกันชิวๆ มากเลยสงสัยครับว่า    "ทำไมประเทศมันเจริญจัง" แต่เด็กมหาลัยเขาเรียนจริงจังมากครับ พอลองมองย้อนมาดูตัวเองมันเหมือนชีวิตการเรียนของผมในอดีตมาก คือมัธยมผมอ่อน แต่พอเรียนปี 1 ผมพบว่าคณะวิทยาศาสตร์ที่ผมเรียนเขาสอนปูพื้นคณิตวิทของ ม ปลายใหม่ ในระดับที่ว่าลืมเรื่อง ม ปลายไปเลย มาเริ่มใหม่ในมหาวิทยาลัยดีกว่าครับ ผมเลยตั้งใจเรียนมากครับ ทั้งหมดที่กล่าวถึงจากด้านบนนั้นจึงตอกย้ำสมมติฐานของผมว่า  1. หลักสูตรสายสามัญ (สมัยผม และอาจรวมถึงสมัยนี้ด้วย) มันไม่ได้ความ      หลายคนตอนเรียน คงเคยมีความคิดว่าจะเรียนเรื่องนี้ เรื่องนั้น ไปทำไมนะ จบมาก็ไม่ได้ใช้ วันวันทำไม      มันเรียนเยอะไปไหน ถ้าคุณเคยคิด คุณอาจจะใจตรงกับผมในข้อนี้ก็ได้ครับ 2. สายสามัญเขียน academic writing  ไม่เป็น เมืองนอกเขาสอนเรื่องการเขียนเรียงความ           หรือการเขียนรายงานกันตั้งแต่ประถมครับ     สายสามัญเรามีไหมครับ คำตอบคือเหมือนจะมีมั้ง ไม่แน่ใจอาจหลบอยู่ในบทบทหนึ่งของวิชาภาษาไทย     ของเราเน้นแต่งกลอนแต่งคำขวัญ ( ซึ่งสุดท้ายพ่อกะแม่แต่งครับ 555 )     คือตอนทำวิทยานิพนธ์ ผมเหนื่อยกับเรื่องนี้มาก ด้วยความที่เราไม่เคยชินกับการเขียนที่จริงจังแถมเป็น  english     ด้วย ผมเลยไม่อยากให้เด็กน้อยต้องลำบากเหมือนผม 3. จะสายสามัญหรือ EP   ภาษาวิบัติเหมือนกันครับ ถ้าไม่เชื่อ ลองหา  facebook เด็ก ม ต้น ดูครับ วิวัฒนาการด้าน     ภาษาของเขาล้ำมากครับ ต่อให้คุณภาษาไทยแตกฉานขนาดไหน แค่คำว่า "และ" ยังต้องเดือดร้อน ต.รธน. มาตีความ     ให้นักวิชาการงงเลยครับ 555 เอาเป็นว่าเท่านี้ผมก็ตั้งใจให้ลูกเรียน inter  ส่วนเรื่องมหาวิทยาลัยยังไม่คิดผมอยากให้เขาเลือกเอง เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ผมคาดหวังว่า เขาน่าจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ผมไม่อยากให้ลูกเรียนแนววิชาการในตอนนี้ ผมไม่อยากให้เขาเดินบนทาง ที่ดู"ปลอดภัย" แต่ไม่ใช่ตัวเขา ผมอยากให้เขาเอาเวลาที่ต้องท่องตำราที่ชาตินี้ได้ใช้แค่ตอนสอบไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มาใช้ตัดสินเลือกเรียนหรือทำในสิ่งที่เขาต้องการเมื่อเวลานั้นมาถึง นิดนึงครับนอกเรื่อง  คือผมไม่เข้าใจว่าหลักสูตรที่ รร กับการสอบเข้า ม มันสัมพันธ์กันไหม ถ้ามันสัมพันธ์กันแล้วเด็กไปติวทำไมครับ คือผมว่าเราผิดทางครับ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเรียน ม ได้ แต่ผมว่าทุกคนสามารถเป็น  professional ได้ครับ จากคุณ : anyname เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 00:04:16