ก่อนจะตอบ .. ต้องบอกว่าแต่ละครอบครัวมีความคิด มีทัศนคติ มีการเลี้ยงดูมาที่แตกต่างกัน
ที่จะตอบต่อไปนี้ คือบ้านเรา ครอบครัวเราเท่านั้นนะคะ กับครอบครัวอื่นอาจจะไม่ใช่แบบนี้ หรือไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นแบบนี้
เริ่มที่บ้านเราก่อน .. บ้านเราเป็นคนจีน อาม่าจีน 100% พ่อแม่ก็ไทยจีนละ
พี่ชายเราแต่งก่อน .. ซึ่งก่อนแต่งก็ไม่ได้จะอยู่บ้านประจำอยู่แล้ว เพราะทำงานในเมือง ก็ซื้อคอนโดอยู่
พี่ชายอีกคน พี่สาวอีกคน ก็อยู่คอนโดกันหมด แต่เสาร์อาทิตย์ พี่น้องจะกลับมาบ้านพ่อแม่ แล้วก็นอนค้างกัน มีความสุขดีค่ะ พ่อแม่เราก็แฮปปี้ ไม่ได้มีความรู้สึกที่จะต้องมารั้งลูกไว้ให้อยู่กับตัวตอนแก่
พ่อเรา อาม่าเรา ผ่านช่วงที่ไม่สบาย มีต้องเข้ารพ. ผ่าตัดใหญ่เป็นว่าเล่น อาม่าเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีลูกหลานคอยดูแลตลอดไม่เคยขาด กำลังจะบอกว่าการรั้งลูกหลานไว้ให้อยู่กับบ้าน อยู่กับตัวเพื่อจะได้อยู่ดูแล ไม่ได้แปลว่าลูกหลานที่ออกมาอยู่เองข้างนอกจะไม่กลับไปดูแลค่ะ ของอย่างนี้มันอยู่ที่คน อยู่ที่ความคิด และการกระทำของลูกหลานเองทั้งนั้น
การกลับไปบ้านทุกอาทิตย์ ก็ไม่ได้มีพ่อแม่มานั่งโทรตามว่าจะมาบ้านมั้ยลูก มีแต่ลูกๆกลับมาบ้านพ่อแม่เอง โดยไม่ได้มีใครร้องขอ หากใครไม่ว่าง พ่อแม่เราก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรลูก ไม่ว่างไม่ต้องมาหรอก จัดการธุระให้เรียบร้อยไปดีกว่า
บ้านเราเป็นแบบนี้ จนเราแต่งงานออกมาอยู่บ้านสามี (ที่มีพ่อแม่สามีอยู่ด้วย) พ่อแม่เราไม่เคยโทรตาม หรืออะไร บ้านเราเลี้ยงลูกแบบอิสระ ไว้ใจ และเชื่อใจ และรู้ว่าลูกตัวเองเป็นคนอย่างไร
และเราก็รู้สึกว่าการที่พ่อแม่ไม่โทรตาม ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่รัก ไม่ห่วง เพียงแต่เค้าเชื่อว่าเราดูแลตัวเองได้ดีมากพอแล้ว แต่ถึงเวลาถ้าเราต้องการคำแนะนำ เราจะปรึกษาเค้าเอง :)
อย่างที่รู้ๆกัน แม่สามี กับลูกสะไภ้ .. เราไม่ได้เจอปัญหานี้นักหนามากนัก ถ้าเทียบกับคนอื่นๆที่เห็นมาเล่าๆให้ฟังกันตามห้องชานเรือน แต่สุดท้ายเราก็คุยกับสามี ขอแยกออกมาอยู่เองเป็นส่วนตัว
คำว่า "ขอแยกออกอยู่เป็นส่วนตัว" ไม่ได้แปลว่า "จะอกตัญญู" นะคะ ขอให้เข้าใจใหม่อีกครั้ง เราแยกออกมาอยู่ เพื่อที่เราจะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ต้องบอกว่าการแต่งงานแล้วเข้าไปอยู่บ้านสามี หรือในทางกลับกันผู้ชายต้องเข้าไปอยู่บ้านผู้หญิง มันไม่โลกสวยขนาดนั้นค่ะ :)
เราย้ายออกมาได้ 1 เดือนแล้ว ตอนซื้อบ้านเราเจอกันครึ่งทางกับสามี คือเราต้องการซื้อบ้านแยกออกมาอยู่กัน 2 คน แต่สามีสามารถเลือกบ้านที่อยู่ใกล้บ้านเดิมเค้าได้เท่าที่เค้าต้องการ (แต่เรื่อง Spec บ้านเราขอพิจารณาด้วย)
และเราไม่ได้เรียกร้อง หรือมีความต้องการที่จะต้องไปหาซื้อบ้านที่อยู่ใกล้บ้านพ่อแม่เรา เพราะมันไม่จำเป็น เราสามารถขับรถไปหาเค้าได้ทันทีที่เค้าเรียกใช้ หรือถ้าจะไปหาเราก็ขับรถไปหาได้สบายๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร 30 กิโล บนถนนวงแหวน ชิวๆ 45 นาทีก็ถึง
ตอนนี้เราแยกออกมาอยู่กันเองได้ 1 เดือนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราก็แวะไปบ้านแม่สามีอาทิตย์นึง 2-3 วัน ตอนเย็นบ้าง ตอนกลางวันเสาร์อาทิตย์บ้าง แล้วแต่ว่าจะไปวันไหน วันไหนเลิกงานไม่ดึก ก็แวะไปกินข้าวบ้าน
ที่ผ่านมา แม่สามีไม่สบาย เลิกงานเสร็จ ก็บึ่งรถไปรับไปรพ. เสร็จแล้วก็พาไปส่งบ้าน เรากับสามีถึงได้แวะหาอะไรกินก่อนเข้าบ้าน
แม่สามีจากที่ตอนแรกเราสองคนกังวลว่าเค้าจะเสียใจที่เราย้ายออกมา หรือกังวลว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่เราค่อยๆพูด และบอกถึงวัตถุประสงค์ของเรา และความตั้งใจของเรา และการกระทำหลังจากย้ายออกมาแล้ว สุดท้ายแม่สามีไม่ว่า ไม่ดราม่าอะไรเลย คอยซื้อต้นไม้ กระถางนั่นนี่มาให้เราปลูกที่บ้าน จะมีบ้างนิดหน่อย ก็อารมณ์คนแก่บางทีก็งอแงนิดๆหน่อยๆเป็นปกติ
ที่เล่ามาเสียยืดยาว .. เพียงเพื่อจะบอกอีกมุมมองนึง ว่าทุกอย่างอยู่ที่เราทำตัวค่ะ ลูกหลานอยู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่ ไม่ดูแลพ่อแม่มีเยอะไปค่ะ
ดังนั้นจะอยู่บ้านเดียวกัน หรือแยกออกมาอยู่ ไม่สำคัญเท่าการกระทำของคุณค่ะ ตราบใดที่คุณคิดว่าคุณแยกออกมาอยู่เอง แล้วคุณยังดูแลพ่อแม่อย่างที่เคยทำอยู่ ก็อย่าได้คิดอะไรมากเลย
คนเป็นพ่อแม่ โดยเฉพาะฝ่ายหญิง ยังไงก็ดีใจค่ะ ที่ลูกสาวได้มีบ้านแยกออกมาอยู่เอง ไม่ต้องอยู่ร่วมกับพ่อแม่สามี
คนเป็นพ่อแม่ของฝ่ายชายจะคิดอีกแบบ .. คือกลัวลูกชายไปดูแลเมียเสียหมด จนลืมแม่ ดังนั้นสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำคือ ในเมื่อคุณเลือกที่จะออกไปอยู่เองแล้ว จงอย่าทำให้แม่คุณรู้สึกว่าคุณรักเมีย มากกว่าแม่ ขอให้คุณดูแลแม่คุณเหมือนเดิม เสาร์อาทิตย์ มารับไปกินอะไรด้วยกัน มารับไปซื้อต้นไม้ ไปทำอะไรก็ได้ ที่แม่คุณชอบ โดยที่เมียคุณก็ควรจะมาด้วย เพื่อแสดงความเป็นลูกสะไภ้ที่ดี ไม่ใช่มาถึงก็แย่งความรักจากพ่อแม่เค้าไปหมด
ขอให้โชคดี .. จัดการปัญหาในใจให้ได้โดยไวนะคะ สู้ๆค่ะ :)
ปล. ลืมบอกไปว่าหลังจากย้ายออกมาอยู่เอง เรากับสามีรู้สึกดีขึ้นมาก มีพื้นที่ส่วนตัว โดยเฉพาะเรา และกับแม่สามี แกก็โอเค ดูอารมณ์ดีด้วยซ้ำไป บางทีคนเราเจอกันทุกวัน กับ 2-3 วันเจอกันที มันมีอารมณ์ของความโหยหานะคะ จากที่จ้องจะพูดเรื่องปวดหัวใส่กัน ก็กลายเป็นการถามสารทุกข์ สุขดิบกัน ทำอะไรกินกัน เป็นต้น
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 55 10:32:03