ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มต้น ขอนำพาท่านไปยัง พระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝั่งตรงข้ามกับสนามหลวง สถานที่นี้ เป็นที่ตั้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 18:16:10 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:15:52

ความคิดเห็นที่ 2 หน้าด้านประตูทางเข้า สถานที่ดังกล่าว จะพบกับหลัก ที่สร้างไว้รำลึกถึงคราน้ำท่วมใหญ่ กรุงเทพ เมื่อปี 2485 ส่วนปี ที่ผ่านมา 2554 น้ำไม่ท่วมที่นี่ครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:17:55

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อซื้อบัตรเข้าชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จุดแรกที่เราได้พบ คือรูปปั้น "พระนารายณ์ทรงปืน" พระนารายณ์ทรงปืนนี้ เดิมที่ ร 5 ทรงให้หล่อไว้ เพื่อนำไปประดิษฐานที่พระราชวังรามนิเวศน์ เพชรบุรี แต่ทรงสวรรคตเสียก่อน จึงมาประทับไว้ที่นี้ ด้านหน้าจะเห็นไม้แดงๆ   เป็นที่ เกยช้าง ครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:21:32

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นชัดว่า พระนารายณ์ท่านถือคันธนู ในมือ ทำไม เรียกว่า ทรงปืน ว่ากันว่า อาวุธศาสตราที่สามารถทำให้พุ่งไปข้างหน้า ล้วนเรียกว่า  "ปืน" ทั้งหมด จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:23:02

ความคิดเห็นที่ 5 ด้านหลัง พระนารายณ์ทรงปืน นี้ เดิมทีมีพระที่นั่ง อยู่   เป็นทรงไม้ แต่ผุผังเสียหาย เหลือแต่ฐานในปัจจุบัน มาชมภาพเปรียบเทียบกันครับ ฐานที่ตาฝรั่ง นั่งอ่านหนังสืออยู่นี่ครับ เดิมที มีพระที่นั่งครอบอยู่ ชื่อว่า   "พระที่นั่งคชกรรมประเวศ" ครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:25:27

ความคิดเห็นที่ 6 พระที่นั่งคชกรรมประเวศ ตั้งอยู่บริเวณหน้ามุขพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระที่นั่งมีลักษณะคล้าย พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งที่สร้างโดยเครื่องไม้มีเกยสำหรับขึ้นทรงช้างด้วย เป็นพระที่นั่งที่  ร 4  สร้างให้ วังหน้า ในสมัยท่าน คือสมเด็จพระปิ่นเกล้า พระอนุชาที่พระองค์ยกย่องเสมอเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยกัน ชมภาพเปรียบเทียบในอดีตครับ ปัจจุบันหายไปเหลือแต่ฐาน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:28:27

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนอาคารที่เห็นเด่นเป็นสง่านี้ คือพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ที่ตั้งอยู่ด้านหลังพระนารายณ์ทรงปืน มุขด้านบน เป็นภาพพระพรหมในศาสนาพุทธ (พรหมในพุทธ มีหลายองค์ ต่างกับพราหมณ์ที่มีหนึ่งเดียว) ศิลปะที่แทรกเข้ามา เห็นจะเป็น โป่ยข่วย 八卦 ทางเต๋าของจีน ที่อยู่เหนือศีรษะพรหม อิทธิพลเรื่องของ ฮวงจุ้ย มีมาตั้งแต่ครั้ง รัชกาลที่ 1 แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 18:34:39 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:33:55

ความคิดเห็นที่ 8 พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เป็นพระที่นั่งภายในพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เดิมมีนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ด้านในเป็นที่ประดิษฐาน   "พระพุทธสิหิงค์" ครั้งที่ วังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ใน ร 1 ไปช่วย เมืองเชียงใหม่ รบกับพม่า ทาง เจ้ากาวิละ ซาบซึ้ง และสนิทกับวังหน้า จึงถวาย องค์พระพุทธสิหิงค์  มาเป็นที่ระฤก จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:37:23

ความคิดเห็นที่ 9 เดิมสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้น เพื่อทำการพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีตรุษสารท พระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกเธอ เป็นต้น จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:39:28

ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2330 กรมพระราชวังบวรฯ ใน ร 1 เสด็จไปยังเชียงใหม่ และไดัอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมา พระองค์จึงทรงพระราชอุทิศพระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 18:41:57 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:41:38

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:44:33

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อมา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (วังหน้าใน สมัย ร 3) ทรงเปลี่ยนนามพระที่นั่งองค์นี้ว่า จากพระนามเดิมว่า "พระที่นั่งสุทธาสวรรย์" มาเป็น  พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ด้านหน้า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ จะมียามเฝ้า  เป็นนกในวรรณคดี ชื่อว่า  "ทัณฑิมา" เป็นผู้ปกป้อง แกท่าทางยังใจดี เพราะถือกระบองหวาย ไม่รุนแรงถืออาวุธหนัก จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:47:46

ความคิดเห็นที่ 13 ความงดงามของพระที่นั่งพุทไธสวรรย์นี้ เห็นจะเป็นที่ประจักษ์ ว่า"จิตรกรรมฝาผนัง" งดงามวิจิตรสุดบรรยาย เป็นช่างสมัย ร 1 รายละเอียด เดี๋ยวไว้รวบยอด กับจิตรกรรมฝาผนัง วัดพระแก้ววังหน้า ช่วงถัดไปครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 18:51:08

ความคิดเห็นที่ 14 มาเล่าเรื่องวังหน้าสักนิดครับ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ล้วนต้องมีผู้เป็นคู่พระทัย ในการช่วยรบช่วยรักษาแผ่นดิน เนื่องจากในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แผ่นดินยังมิสงบสุข มีศัตรูยกทัพมาประชิดหวังตีบ้านเมืองเราอยู่เสมอ องค์เจ้าอยู่หัว จึงต้องนำทัพขับไล่ปัจจามิตรด้วยพระองค์เอง และขุนพลคู่บารมี คือองค์อุปราช คนไทยเรียกง่ายๆว่า  วังหน้า พระมหากษัตริย์ คือ วังหลวง และวังหลังหล่ะ มีครับ มีแค่พระองค์เดียว ในยุค ร 1 คือ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ที่ตั้งปัจจุบันคือ โรงพยาบาลศิริราช ในภาพเป็นบานหน้าต่างในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เป็นต้นไม้เงิน ทอง  เพื่อเป็นการระลึกถึงเจ้ากาวิละที่นำต้นไม้เงิน ทอง ถวายมาในคราเดียวกันกับ ถวาย พระพุทธสิหิงค์ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:03:09

ความคิดเห็นที่ 15 วังหน้าในกรุงรัตนโกสินทร์ มีตั้งแต่ สมัย ร 1    มายุติเอาในสมัย 5 เป็นพระองค์สุดท้าย แต่ไม่ใช่ มีวังหน้า ห้าพระองค์ ครับ มีทั้งหมด  หก พระองค์ ในแผ่นจารึกนี้ มีแค่ ห้า พระองค์ แต่แท้จริง มีหก ครับ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 19:05:56 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:05:12

ความคิดเห็นที่ 16 มาชมรายละเอียดกัน ในรัชกาลที่  1   กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระนามเต็ม คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท องค์นี้ เป็นพระอนุชา ร 1 รบเคียงบ่าเคียงไหล่มาตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรี หลังจาก ที่พระองค์ทิวงคต   ร 1  แต่งตั้ง ร 2 (ในอนาคต) เป็นกรมหลวงอิศรสุนทร ตำแหน่ง วังหน้า ฉะนั้น ในสมัย ร 1 นี้จึงมี  วังหน้า   2  พระองค์ ในรัชกาลที่  2  กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระนามเต็ม คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ในรัชกาลที่  3  กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระนามเต็ม คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ องค์นี้ มีศักดิ์ เป็นอาแปะ  เป็นลุง ร 3 รูปนี้ เป็น เก้าอี้ ของ ร 1 กับ วังหน้า องค์บวรสุรสีหนาท ยามออกรบ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:13:45

ความคิดเห็นที่ 17 ในรัชกาลที่  4  กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มิเป็นเพียงพระมหาอุปราช แต่พระเกียรติยศเสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน คือสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์นี้ ร 4 ทรงสิเหน่หาพระอนุชามาก ถึงขนาดจับยามว่า มีพระบารมีเทียบเท่าพระมหากษัตริย์ ด้วยองค์สมเด็จพระปิ่นเกล้า ทรงศึกษาวิทยาการในต่างประเทศ มีพระปรีชาสามารถในเรื่องช่างสมัยใหม่ และเรื่องเรือรบ เป็นอันมาก ที่น่าชื่นชม ตรงพระองค์ทรงถ่อมพระองค์ มิกล้าตีพระองค์เสมอ องค์ ร 4 ครับ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 19:19:17 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:18:12

ความคิดเห็นที่ 18 แหะๆๆ  ไปเวียนเทียนไม่ทันแหล่ว ปล่อยให้ลูกๆ ไปทำแทนก็แล้วกัน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:21:54

ความคิดเห็นที่ 19 ในรัชกาลที่  5  กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระนามเต็ม คือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ องค์วังหน้าพระองค์สุดท้ายนี้   พระนามเดิมคือ พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศบวรโอรสรัตนราชกุมาร ประสูติใน เจ้าจอมมารดาเอม เมื่อปี 2381 ครั้งเดิม พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทานพระนาม โอรสองค์ใหญ่นี้ว่า     " ยอร์ช วอชิงตัน " ด้วย สหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีท่านแรกชื่อ Goerge Washington ผนวกกับ เสด็จพ่อ ทรงโปรดการศึกษาภาษาอังกฤษ และวัฒนธรรมของตะวันตกจนรอบรู้เชี่ยวชาญ บรรดาข้าหลวงชาววังนิยมออกพระนามว่า หม่อมเจ้ายอด จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:25:56

ความคิดเห็นที่ 20 สมัย ร 5 นี้เอง ที่วังหน้า กับ วังหลวง  ฮึ่มๆกันอยู่ในที ประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้มากครับ แต่แท้จริงก็ไม่มีอะไร หลังจากองค์กรมพระราชบวรวิไชยชาญ ทิวงคตแล้ว ร 5 ก็มิได้แต่งตั้ง วังหน้าอีก ทรงประกาศเลิกธรรมเนียมวังหน้า สถาปนาเป็นองค์มงกุฎราชกุมารแทน ในปี 2430 "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ" ทรงเป็นมงกุฏราชกุมาร พระองค์แรก จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:30:44

ความคิดเห็นที่ 21 ออกจากเรื่องวังหน้า มาชมภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกันต่อ ด้านข้าง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์  พบกับระฆังใบเขื่อง และมวลทิวแถวของปืนหญ่ายอาร์เซนอล ระฆังใบนี้เดิมที ตั้งอยู่ในพระที่นั่งเอกอลงกฎ ที่ตั้งอยุ่ในบริเวณใกล้ๆนี้ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:33:55

ความคิดเห็นที่ 22 พระที่นั่ง เอกอลงกฎ  ที่ว่านี้ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:34:50

ความคิดเห็นที่ 23 ออกจาก พระที่นั่งพุทไธสวรรย์แล้ว มองไปด้านซ้ายมือ   จะพบกับ  พระตำหนักแดง เล่าคร่าวๆนะครับ พระตำหนักแดงนี้ สร้างเป็นเรือนของพระพี่นางใน ร 1 เก่าแก่ และ ตะลอนไปกองอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง จนมาในสมัย สมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า ทรงนำมาซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมครับ ในภาพ คุณโอ๋ ภัณฑารักษ์ของกรมศิลปากร นำบรรยาย ให้ความรู้ ผมไม่ได้จดครับ ถ่ายอย่างเดียว ไปแอบถามๆ ภายหลัง   แหะๆๆ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:39:07

ความคิดเห็นที่ 24 ด้านหน้ามี ถาดผลไม้ จำลองจาก บทพระราชนิพนธ์ใน ร 2 กาพย์เห่เครื่องคาวหวาน พอสังเขป  ที่ว่า "๏ ผลชิดแช่อิ่มโอ้                    เอมใจ หอมชื่นกลืนหวานใน               อกชู้ รื่นรื่นรสรมย์ใด                       ฤๅดุจ นี้แม หวานเลิศเหลือรู้รู้                    แต่เนื้อนงพาล ๚ ๏ ผลชิดแช่อิ่มอบ                   หอมตรลบล้ำเหลือหวาน รสไหนไม่เปรียบปาน              หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ ๏ ตาลเฉาะเหมาะใจจริง         รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ คิดความยามพิสมัย                หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น ............................... จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:43:51

ความคิดเห็นที่ 25 ภายใน ตำหนักแดง เป็นเรือนไม้สักโบราณ เก่าแก่ แสนงดงาม มีพระเตียงนอน (แหะๆ) ของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระมารดา ของ ร 4  กับ สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 19:49:25 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:48:24

ความคิดเห็นที่ 26 ลวดลายไม้ แกะเป็นช่างฝีมือชั้นสูงจากประเทศจีน ลายผลทับทิม เสียะลิ้ว 石榴 เป็นมงคลให้มีลูกหลานมาก เจริญรุ่งเรือง ครับ เรื่องจีนผมถนัด จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:51:18

ความคิดเห็นที่ 27 ภายในมีตู้ ตั่ง มากมาย ที่น่าสนใจ เป็นตุ๊กตาของเล่น ชิ้นเล็กๆ งดงามมาก จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:52:19

ความคิดเห็นที่ 28 ถ่ายยากครับ แสงน้อย ไม่ใช้แฟลช ดันไอโซ่ กันสุดๆ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:53:07

ความคิดเห็นที่ 29 ออกจากตำหนักแดง พบกับ ศาลาสำราญมุขมาตย์ ศาลานี้  พระโอรส ใน ร 4 คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดีไซน์แบบ สร้างไว้ได้อย่างงดงามทันสมัย แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 20:01:15 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:56:50

ความคิดเห็นที่ 30 วิทยาการที่สำคัญอีกท่านคือ คุณพี่นัท   อาจารย์จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา คุณพี่นัท  ท่านเชี่ยวชาญเรื่องวังๆ แบบนี้ อย่างชนิดหาคนประกบยาก ท่านเป็นเหลนของ ร 2 แท้ๆ ครับ ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยได้อย่างถ่องแท้ ไม่คลาดเคลื่อน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 19:59:37

ความคิดเห็นที่ 31 เราจะเข้าไปใน พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระที่นั่งนี้ อยู่ด้านหลัง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และเป็นหมู่พระวิมานวังหน้า คือประกอบด้วยตัวเรือนต่างๆ 11 เรือน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:04:16

ความคิดเห็นที่ 32 ช่วงนี้เขาจัดงานกันอยู่ครับ งานนิทรรศการพิเศษ "ธรรมราชาธิราช" จัดกันถึงวันที่ 26 ก ค นี้ เท่านั้น เรียนเชิญเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน มีโอกาส ควรเข้าไปชมกัน ดีมากๆๆ แค่นั้น จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:06:30

ความคิดเห็นที่ 33 แผนผัง หมู่พระวิมาน ที่ีประทับของวังหน้า จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:08:10

ความคิดเห็นที่ 34 รัว F5 อยู่ค่ะ จากคุณ : vemagold เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:09:15

ความคิดเห็นที่ 35 ภายในหมู่พระวิมานนี้แหละครับ ที่ครั้งสมัยเมื่อผมยังเด็ก  สามสิบปีอัพ เคยเข้าไปครั้งแรก และครั้งเดียว ยังหลอนอยู่ในสมอง ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี ที่ได้มาพร้อมกับวิทยากรผุ้ทรงคุณวุฒิ อันนี้ประตูหน้าของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ท่านกรุณาปิดให้ชม เป็นภาพอยู่ด้านใน หากไม่ปิดจะมองไม่เห็น เป็นภาพทีวาดโดยศิลปินชาวจีน เป็นคติที่อ่านว่า  "หลี ฮื้อ เถี่ยว เหล่ง มึ้ง" ปลากระโดดกลายเป็นมังกร เป็นภาพที่สมบูรณ์มากครับ ผมอธิบายให้ฟังครับ เป็นคติให้คนเรา ต้องพยายาม ดุจปลาที่ เป็นเพียงเดรัจฉาน สัตว์ธรรมดา หากมีความพยายาม สักวัน ก็จะสำเร็จ กลายเป็น มังกร คตินี้ คนจีนมีไว้มาแต่โบราณ ผมเห็นแล้วก็ตะลึง เพราะเดิมทีเห็นแต่ในศาลเจ้าจีน ภาพนี้สมบูรณ์มาก เพราะมีการแปลงร่างจากปลา เป็นปลามังกร แล้วค่อยเป็นมังกร แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 20:13:44 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:12:51

ความคิดเห็นที่ 36 ด้านในพระที่นั่งนี้ เป็นที่จัดแสดงนิทรรศการพิเศษ "ธรรมราชาธิราช" จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:15:05

ความคิดเห็นที่ 37 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:16:13

ความคิดเห็นที่ 38 ภายในมืดมาก หากใช้กล้องกรุณางดใช้แฟลช ฉะนั้น ต้องใช้การดันไอโซ่ให้สูงๆ ภาพตัวละครท่านนี้ครับ ที่ผมจำท่านได้ ว่าหลอนผมมาตลอด จ๊ะเอ๋    นึกว่าใคร จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:17:56

ความคิดเห็นที่ 39 เดินชมใช้เวลาพอควร ค่อยๆชมกันครับ ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:18:51

ความคิดเห็นที่ 40 บันทึกการค้าขาย เรือสำเภาจากประเทศจีน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:19:57

ความคิดเห็นที่ 41 งามมากครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:20:23

ความคิดเห็นที่ 42 เสี้ยวกาง หรือ เซี่ยงกาง มาจากคำจีนว่า 肖岗  (  ตัวแรก ตัวเซียวต้องเติม 口  หาในคอมพ์ไม่เจอ  ) แปลว่า ยามเฝ้าประตูครับ งดงามมาก นำมาจากประตูวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:26:05

ความคิดเห็นที่ 43 ออกจากหมู่พระวิมานวังหน้า มายังโรงราชรถครับ พระมหาพิชัยราชรถ ใช้เชิญเสด็จพระบรมศพชั้นสูงสุด จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:31:40

ความคิดเห็นที่ 44 ในโรงราชรถ นี้ ต้องบอกว่า แน่น อัดไปด้วยบรรดา เครื่องใช้ ราชยานในงานพระถวายเพลิงพระศพเจ้านาย เฉพาะพระมหาพิชัยราชรถและเวชยันตราชรถ ก็เต็มๆ ยังมีโกศ เกรินบันได และสรรพราชยานอีกหลายพระลำ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:38:09

ความคิดเห็นที่ 45 กินรี ที่นำมาประดับรอบพระเมรุมาศ ก็ยืนแกร่ว เบียดเสียดอยู่ในนี้ น่าสงสารครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:39:05

ความคิดเห็นที่ 46 ไม้พระโกศจันทน์ พระราชทาน ในคราที่ถวายเพลิงพระศพ สมเด็จพระเพชรรัตน์ฯ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 20:41:04 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:40:15

ความคิดเห็นที่ 47 ทางออกของพระมหาพิชัยราชรถ และพระราชยานลำอื่น เนื่องจากสูงมาก ช่องหน้าต่างจึงทำพิเศษขึ้นมา ยามต้องนำออกจากสถานโรงราชรถ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:43:07

ความคิดเห็นที่ 48 ต้องถอดท่อน้ำออกเป็นกรณี และให้ผุ้เชี่ยวชาญ เปิดหน้าต่าง เพราะเปิดยากมาก มีวิธีเฉพาะ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:50:29

ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อมีงานพระราชพิธีศพ ต้องทุบกำแพงออกเป็นกรณีไป เพื่อนำพระมหาพิชัยราชรถออกใช้ เสร็จงานก็บูรณะซ่อมแซมดั่งเดิม เป็นคติเรื่องอวมงคลนี้ มิอยากให้เกิด กำแพงรั้วด้านนอก เพิ่งจะได้รับการซ่อมแซมทำใหม่ หลังจากนำพระราชรถกลับ เมื่อครั้งเสร็จงาน พระราชพิธีถวายเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าพระเพชรรัตน์ฯ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 21:02:24 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 20:58:30

ความคิดเห็นที่ 50 วังหลวง คือ วังของพระเจ้าแผ่นดิน ห้องพระ ของพระมหากษัตริย์ คือ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระแก้ว ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ จำวัด ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ประการหนึ่งในนั้น วังหน้า ในตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานฯ ก็มีห้องพระ ส่วนพระองค์ครับ วัดที่ว่านี้  ชื่อว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส หรือเรียกว่า วัดพระแก้ววังหน้า วัดพระแก้ว ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ฉันใด วัดบวรสถานฯ ก็ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ ดุจเดียวกัน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:06:55

ความคิดเห็นที่ 51 วัดบวรสถานฯ ตั้งอยู่ในบริเวณวังหน้า ครับ แต่เมื่อภายหลังยกเลิกธรรมเนียมวังหน้าแล้ว ก็ทรุดโทรมเหลือเพียงแต่ พระอุโบสถ สังฆารามต่างๆ ก็หายไป กลายเป็นส่วนของ โรงละครแห่งชาติ สถาบันพัฒนศิลป์ไป เราเคยไปแต่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถ่ายรูปเล่นกันไป แต่วัดพระแก้ววังหน้า  ม่ายรู้จัก อยู่ไหนก็ม่ายรู้ อยากจะถ่ายรูป  ก็ยากครับ เพราะธรรมดา ปิดประตูตลอด ต้องทำหนังสือขอเป็นเรื่องเป็นราวเข้าไป จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:10:55

ความคิดเห็นที่ 52 วัดบวรสถานสุทธาวาส สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การยังไม่แล้วเสร็จพระองค์เสด็จทิวงคตเสียก่อน การก่อสร้างวัดพระแก้ววังหน้า จึงมาก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานนามว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส ปัจจุบัน วัดบวรสถานสุทธาวาสตั้งอยู่ในสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป เป็นวัดที่ไม่มีการประกอบสังฆกรรมใด ๆ และถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีไหว้ครู พิธีครอบครู และพิธีมงคลต่าง ๆ ของบรรดานาฏศิลปิน ดุริยางคศิลปินและกรมศิลปากร จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:13:23

ความคิดเห็นที่ 53 ย้อนรอยสักนิดครับ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงให้ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลลง พร้อมทั้งสถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นที่ตำแหน่ง สยามมกุฎราชกุมาร แทน พระราชวังบวรสถานมงคล จึงไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล อีกต่อไป พระราชวังบวรสถานมงคลจึงชำรุดทรุดโทรมลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้รื้อป้อมปราการและกำแพงของ พระราชวังบวรลง แต่คงเหลือพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสไว้ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:17:19

ความคิดเห็นที่ 54 หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระอุโบสถวัดวัดบวรสถานสุทธาวาส เป็นพระเมรุพิมานประดิษฐานพระศพเวลา สมโภชและบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อปี พ.ศ. 2443 พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส จึงเปลี่ยนเป็น "พระเมรุพิมาน" พร้อมกันนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกพระเมรุน้อยสำหรับพระราชทานเพลิงพระศพ ต่อออกมาทางด้านเหนือของพระ อุโบสถ พระเมรุน้อยแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านายหลายพระองค์ ในภาพคือ พระเมรุพิมาน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:19:40

ความคิดเห็นที่ 55 ด้วยความที่หลังจากใช้เป็นพระเมรุพิมานแล้ว วัดบวรสถานฯ นี้ ก็ปิดสนิท สิ่งที่ได้ตามมา คือ ความงดงามภายในที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นไว้ แสงแดดไม่ค่อยได้แอ้มเข้ามาหรอกครับ ฉะนั้น ความงามจากจิตรกรรมฝาผนังที่นี่ ยังคงงดงามอย่างสุดจะพรรณา จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:22:33

ความคิดเห็นที่ 56 ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี กล่าวถึง ความมุ่งหมายของจิตรกรรมฝาผนังไว้ในหนังสือ “คุณค่าของจิตรกรรมฝาผนัง”   “ลักษณะของจิตรกรรมฝาผนังนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ของตัวอาคารที่สร้าง เป็นที่เข้าใจได้ง่ายว่า ภายในของโบสถ์ วิหาร จะต้องความรู้สึกในอันที่จะก่อให้เกิด อาการอันสำรวม และเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ โบสถ์ วิหาร เป็นสถานที่ซึ่งเราจะน้อมจิตไปในทางกุศล ภายในโบสถ์ วิหาร จึงควรช่วยให้เรารู้สึกปลีกตนออกไปเสียจากโลกภายนอก เพราะเหตุนี้จิตรกรรมภายในโบสถ์ วิหาร จึงควรให้ความรู้สึกสงบ ลี้ลับ” จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:31:50

ความคิดเห็นที่ 57 จิตรกรรมฝาผนัง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบทอดรูปแบบ และเทคนิคเป็นลำดับฝีมือช่างมาแต่โบราณ ทั้งเป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษาค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีจารีตประเพณี จิตรกรรมฝาผนังสำคัญๆ ของชาติหลายแห่ง เสื่อมสลาย ชำรุดลบเลือนตามกาลเวลา บางแห่งไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ทำให้จิตกรรมฝาผนังอันทรงคุณค่าได้รับความเสีย ความเสื่อมสลายของจิตรกรรมจากสาเหตุดังกล่าว เป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของมรดกวัฒนธรรม การรักษาสมบัติของชาติเหล่านี้ให้ดำรงอยู่นานที่สุด จึงเป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคน จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:33:22

ความคิดเห็นที่ 58 กระผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ในคำพูดของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ในการถ่ายภาพเหล่านี้ ไม่ได้ใช้แฟลช จึงต้องใช้วิทยายุทธ์กันพอควร เนื่องจากไม่แน่ใจ ว่าเขาให้นำขาตั้งไปหรือไม่ แค่ให้ถ่าย ก็รู้สึกเป็นปลื้ม เป็นบุญยิ่ง จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:35:09

ความคิดเห็นที่ 59 นำเรื่องเทคนิค จิตรกรรมฝาผนัง ภูมิปัญญาของไทยเรามาให้ท่านได้รับทราบกัน ศาสนสถานของไทยแต่โบราณ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ฉาบผิวอาคารด้วยปูนขาว ซึ่งมีส่วนผสมของทรายและน้ำอ้อย ปูนฉาบมีความเป็นด่างและความเค็มอยู่ด้วย ซึ่งทั้งความเป็นด่างและความเค็มจะเป็นอันตรายต่อจิตกรรมฝาผนัง ดังนั้น ก่อนที่เขียนภาพลงไปบนผนัง จึงต้องเตรียมผนังด้วยการขจัดความเค็มของเนื้อปูน ที่ฉาบและตบแต่งผนังให้เรียบ การลดความเค็มของผนังที่ฉาบด้วยปูนขาว เรียกว่า “ประสะ” จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:38:01

ความคิดเห็นที่ 60 การประสะผนัง ต้องดำเนินการ หลังจากฉาบปูน จนผนังแห้งแล้ว นำใบขี้เหล็กมาต้มน้ำ ชำระล้างผนังวันละประมาณ สิบครั้ง   ติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์   วิธีทดสอบว่าผนัง ยังมีความเค็มอยู่หรือไม่ ด้วยการใช้ “หัวขมิ้นทอง” ขีดลงบนผนัง หากรอยขมิ้นที่ขีดเป็นสีแดง แสดงว่าผนังยังไม่หมดความเค็ม ต้อง ประสะ ด้วยน้ำใบขี้เหล็กต้มต่อไป และทดสอบด้วยการขีดหัวขมิ้นทอง ไปจนกว่ารอยขมิ้น ที่มีสีเหลือง ไม่เปลี่ยนสี   การประสะผนังด้วยน้ำใบขี้เหล็กต้มเป็นเทคนิค ที่เกิดจากภูมิปัญญา ของจิตรกรไทย ในอดีต จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:39:36

ความคิดเห็นที่ 61 จิตรกรรมฝาผนังของคนไทย เป็นการเขียนด้วย “สีฝุ่น” เมื่อขจัดความเค็ม ของผนังด้วยวิธีการประสะ ด้วยน้ำใบขี้เหล็กต้มแล้ว ต้องตบแต่ง และขัดผนังให้เรียบ และทำ “รองพื้น” ด้วยการนำฝุ่นขาวผสมกับน้ำ กาวเม็ดมะขาม ทาลงบนพื้น หลายๆครั้ง กาวเม็ดมะขามนั้น ได้จาก การนำเม็ดมะขาม ไปคั่วให้สุก ร่อนเปลือกออก ล้างให้สะอาด จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:41:31

ความคิดเห็นที่ 62 แล้วนำไปต้ม จนกลายเป็นวุ้น เมื่อทาฝุ่นขาวที่ผสมกาวเม็ดมะขามแล้ว ทิ้งไว้ให้แห้งสนิท ขัดผนังให้เรียบอีกครั้ง แล้วลงพื้นด้วยเลือดหมู จึงเริ่มเขียนภาพจิตรกรรมลงผนัง จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:42:57

ความคิดเห็นที่ 63 สีที่ใช้ในจิตรกรรมไทยโบราณ ผลิตจากวัตถุธรรมชาติ เช่น “สีดำ” ได้จาก เขม่าไฟ สีแดง ได้จาก ดินแดง และชาด สีเขียว ได้จาก สนิมทองแดง สีเหลือง ได้จาก รง หรือยางไม้ สีขาว ได้จาก ฝุ่นขาว และดินขาว เป็นต้น อุปกรณ์ สำคัญที่สุด ในการเขียนรูป คือ พู่กัน ซึ่งมีหลายชนิด ตามความเป็น และความเหมาะสม ในการใช้งาน ลักษณะของพู่กัน และวัสดุ ที่ใช้ทำนั้น ช่างโบราณหวงแหนกันมาก เช่น พู่กันเปลือกกระดังงา ใช้สำหรับการเขียนภาพพุ่มไม้และดอกดวงต่าง พู่กันหนวดหนู ใช้สำหรับ การเขียนเส้นเล็กและแผ่วเบา พู่กันขนหูวัว ใช้สำหรับ การเขียนพื้นและโครงของภาพเป็นต้น ว่าไปแล้วเรื่้องพู่กัน แนวทางก็เหมือนกับพู่กันจีนที่กระผมใช้อยู่ เหมือนกันจริงครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:44:39

ความคิดเห็นที่ 64 ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในพระอุโบสถ วัดบวรสุทธาวาส แห่งนี้ เป็นเรื่องราวของ พระพุทธเจ้าในอดีต 27 พระองค์ ครับ (บางตำรา ก็ว่า 28 ) แหม ถ้าผมลงกระทู้นี้ก่อนหน้าสักอาทิตย์ คงมีคนได้เฮ อย่างป้าเห้อ เป็นต้น จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:47:16

ความคิดเห็นที่ 65 ที่จริงเรื่องของจิตรกรรมฝาผนัง ผมยังมีเรื่องอีกมากมาย ทั้งชาดก พุทธประวัติ  นิบาต นอกนิบาต เยอะเกินไป  เกรงจะเบื่อกันเสียก่อน ขอจบความ และภาพตรงนี้ครับ ที่นำภาพและเรื่องมาเล่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดทูนพระเกียรติ์ แห่งองค์พระมหากษัตริย์ รวมทั้ง สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ วังหน้าทุกพระองค์ หากมีสิ่งใด บกพร่อง เกินเลย กราบขออภัย ท่านใดมีสิ่งใด แนะนำ เพิ่มเติม ยินดีขอให้ช่วย ขัดเกลาด้วยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 21:51:45

ความคิดเห็นที่ 66 ขอบคุณ อ เสลา มากครับ ภาพงดงาม สาระน่ารู้ ทุกครั้ง ที่เป็นกระทู้ ของอาจารย์     จากคุณ : พี่กี้ร์ เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:06:39

ความคิดเห็นที่ 67 ปกติผมเป็นคนที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเกร็ดความรู้ สถานที่หรือสิ่งก่อสร้างที่มีเรื่องราวสืบต่อกันมายาวนาน วัตถุสิ่งของที่เป็นของโบราณจะยิ่งชอบมาก เพราะแต่ละชิ้นต่างก็มีความเป็นมาแตกต่างกันไป ฯลฯ ที่ผมสนใจมากที่สุดคือ เทคนิคการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังของคนสมัยโบราณที่กว่าจะทำจนสำเร็จให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆได้ดูกันนั้น ต้องผ่านขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งคนรุ่นหลังควรที่จะชื่นชมและอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่อย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ ขอบคุณ จขกท.มากครับที่นำเรื่องราวดีๆมาให้ชมและหวังว่าโอกาสหน้าคงได้ชมสิ่งดีๆอย่างนี้อีกนะครับ จากคุณ : พชรนุชิต เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:08:46

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบพระคุณทุกท่าน ที่กรุณาให้ กิ๊ฟ มาเพื่อกำลังใจครับ ขอบคุณพี่กรี้ครับ ขอบคุณคุณพชรนุชิตครับ และมีความยินดีที่ได้ทราบว่า คุณพชรนุชิตมีความสนใจ ในเรืองราวประวัติศาสตร์ เราต้องเข้าใจถึงแก่นมันอย่างแท้จริง และช่วยกันธำรงคงไว้ให้ลูกหลานครับ ตกภาพ กินรี รุ่นเดอะ ท่านถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานฯ หลังเสร็จงานพระราชพิธีตั้งแต่รุ่น ร 6 จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:22:32

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณค่ะที่นำมาให้ได้ชม จากคุณ : หญ้าหนวดแมว เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:24:42

ความคิดเห็นที่ 70 เคยเห็นช่างซ้อมแซมงานจิตรกรรมฝาผนัง เติมผนังที่หล่อนหลุดไปหรือเป็นหลุมด้วย ซีเมนต์ทำโครงสร้างผสมตามอัตราส่วนแล้ว เติมปูนแดงกินกับหมากลงไปตามส่วนแล้ว ฉาบหรือเติมหลุมไปตามปกติ เห็นว่าจะทำให้ ขั้นตอนประสะผนัง ง่ายและเร็วขึ้นครับ ขอบคุณมากๆครับ อยากไปถ่ายภาพหลายๆที่ แต่คนธรรมดาตำแหน่งภารโรงหอพักเขาไม่ให้ เข้าครับ หรือบางแห่งให้เข้าเพราะมีงานพิเศษ เขาก็ไม่ให้ถ่ายภาพ ภาพที่เอามาลงนี้จึงเติมส่วนที่ผมไม่อาจไปถ่าย ภาพได้เอง ด้วยข้อจำกัดจึงไม่อาจได้เห็นจนเต็ม ทุกส่วน แต่ได้แค่นี้ก็ต้องขอบคุณมากๆแล้วครับ สวัสดี จากคุณ : ชัดเจนน้องนาง เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:25:37

ความคิดเห็นที่ 71 สวัสดีครับ อ.เสลา ผมเคยเข้าไปชม นานมาแล้วครับ  ชมอย่างเดียว  มิได้ศึกษาหาความรู้อะไรเลย (สมัยเรียน) เพิ่งมาได้ความรู้จาก อ. นี่แหละครับ  ขอบคุณมากครับ  ที่นำความรู้ดีๆ มานำเสนอ ผมคงต้องเข้าไปชม บ้างแล้วครับ จากคุณ : ป่าเหนือ เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:39:20

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบพระคุณมากครับอาจารย์ ได้ชมความสวยงามและได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมาก ขออนุญาตเซฟกระทู้ ไว้ให้เด็กๆที่บ้านศึกษาด้วยนะครับอาจารย์ จากคุณ : ธุลีล่องลม เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 23:16:08

ความคิดเห็นที่ 73 เข้าไปเดินเอง คงไม่ได้ความรู้เหมือนอ่านกระทู้นี้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 00:11:57

ความคิดเห็นที่ 74 ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ธิดาดอง เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 04:38:44

ความคิดเห็นที่ 75 สวัสดีครับ   คุณธุลีล่องลม คุณป่าเหนือ เฮียสาม และ คุณธิดาดอง คุณธุลีฯ สามารถนำไปให้ความรู้ เด็กๆได้เลย ด้วยความยินดี และเต็มใจยิ่ง การลงกระทู้ ที่เป็นความรู้ นั้น เป็นความตั้งใจที่กระผมอยากบันทึก ให้กับคนรุ่นหลัง ได้เข้าใจด้วยคำอธิบายที่ไม่ยากเกินไป และได้ชมภาพที่บันทึก ภาพที่บันทึก อาจมีการใส่ลายน้ำ หากเป็นการถ่ายจากกระผม เพื่อแค่ให้ทราบว่าเป็นผลงานเรา แค่นั้น ส่วนใครใคร่จะนำไปใช้ประโยชน์ใด ก็ตามสบายครับ ไม่ซีเรียส หากแต่นำไปใช้เชิงพาณิชย์ ก็แจ้งนิดนึง จะได้ขอแบ่งค่าขนมมาสักหน่อย    แฮ่ๆ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 09:56:45

ความคิดเห็นที่ 76 ขออนุญาตลองถามเป็นแบบ "กาพย์ห่อโคลง" นะคะ อาจารย์เสลา เหตุเพราะข้าวเพิ่งลองแต่งกาพย์ต่อโคลงครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผิดพลาดประการใด ข้าวขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ   อ่านครบจบถ้วนถี่            ไม่รอรีให้สงสัย ความที่สิบสามใย              จำนวนพักตร์มิเท่ากัน   ขอบพระคุณท่านนี้           จากใจ หากแต่ยังสงสัย                 อยู่บ้าง ใยพระพักตร์เหตุใด             จึงต่าง แลหนึ่งแลสามบ้าง             ช่วยแจ้ง แถลงไข จากคุณ : ข้าวสวยญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 10:45:28

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณครับ คุณข้าวสวยญี่ปุ่น ที่มีความสนใจ และสงสัยในภาพจิตรกรรม คห ที่ 13 ภาพนี้ ปรากฎ เป็นฝีมือช่างหลวงในสมัย ร 1 อยู่รายล้อมในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ครับ เป็นรูปหมู่เทวดาชั้นต่างๆ ไล่เรียงกันขึ้นมา  ตั้งแต่ ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นนี้ใกล้มนุษย์ จะมียักษ์ใส่ชฎาด้วย เสียดายภาพ นำไปเก็บในกล่อง external แล้ว ส่วนที่เห็นนั้น เป็นชั้นถัดสูงขึ้นมา เป็นชั้นดาวดึงส์ ยามา   ไล่ขั้นจนที่เห็นมีสามหน้า ที่จริงด้านหลังบังอยู่ ท่านมีสี่หน้า เป็นชั้นพรหม ครับ ชั้นพรหมเป็นโลกที่อยู่สูงกว่าชั้นเทวดาขึ้นไปอีก บรรดากลุ่มเทวดา จะหันสู่พระประธานในโบสถ์ครับ ทำให้เกิดบรรยากาศอันนอบน้อม และมีมนต์ขลังอย่างสุดประมาณมิได้ จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 11:01:30

ความคิดเห็นที่ 78 สวัสดีครับอาจารย์ เพิ่งมาจากขอนแก่นเมื่อคืนไปเวียนเทียนที่วัดหนองแวง(เก้าชั้น) ไม่ใช่เก้าชั้นเยาวราชนะครับ อันนั้นต้องเวียนธูป 55555 พิพิธภัณฑ์ อยู่ห่างจากบ้านผมไม่ไกลเท่าไหร่ หลายๆปีผมถึงจะได้เข้าไปครับ กว้างมากเดินครึ่งค่อนวัน ขอบพระคุณในคำอธิบาย ถ้าไปเองได้แค่อ่าน บางครั้งอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ วังหลังด้านโรงเรียนนาฎศิลป์ ผมเห็นเด็กนักเรียนไปฝึกซ้อมโขนตรงทางขึ้นครับ จากคุณ : ตาแว่น (chanyout) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 11:05:22

ความคิดเห็นที่ 79 สวัสดีครับ เฮียแว่น อาเฮีย เมื่อคืนได้ไปเวียนเทียน ขออนุโมทนาบุญครับ มาเยาวราชเมื่อไหร่ จะพาไป เกี่ยเฮีย รับรอง ไม่เวียนธูป แต่อาจเวียนหัว เพราะอาไต่เหล็กหมวย เงี๋ยเงี่ย โจ่ยๆ (จุ๊ๆๆ  อาซ่อ อยู่แถวนี้แป่ว  อิอิ) จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 11:09:52

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบพระคุณมากๆค่ะอาจารย์ จิตรกรรมฝาผนังของไทย งดงามเกินบรรยายเสียจริงๆ ยิ่งเวลาได้เห็น เหมือนมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก สวยงามตระการตา เหมือนคนวาดไม่ได้ใช้มือวาดอย่างเดียว หากแต่ใช้หัวใจทั้งดวงวาดด้วย จากคุณ : ข้าวสวยญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 11:13:34

ความคิดเห็นที่ 81 วัดหนองแวง ขอนแก่นครับ จากคุณ : ตาแว่น (chanyout) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 11:35:39

ความคิดเห็นที่ 82 21.30น. คนยังแน่นครับ จากคุณ : ตาแว่น (chanyout) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 11:38:40