PANTIP.COM : H6897344 ฝรั่งกับพระพุทธรูป,,, [ชีวิตในต่างแดน]

ความคิดเห็นที่ 40

ขออนุญาตกลับมาอีกครั้ง ด้วยประสงค์มีความเห็นเพิ่มเติมในกระทู้ที่เป็นสาระยิ่งนักกระทู้นี้ ต่อจากความเห็นที่ 36 ดังต่อไปนี้

1. ขอนั่งยัน นอนยัน และยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ทัศนคติการสร้างรูปปั้นให้เป็น " พระพุทธรูป " ในสมัยศตวรรษที่ 5 หลังจากพระพุทธะเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วนั้น เป็นความคิด และเป็นฝีมือของคนกรีกที่ตอนนั้นนับถือเทพปกิรณัม หรือนับถือผีสางเทวดาตามแบบชาวอัสดงคต และ ณ ขณะนั้น อยู่ในช่วงพระเยซูคริสต์ เพิ่งจะ หรือก่อนจะถูกทหารโรมันจับตรึงกางเขนในดินแดนแห่งพระสัญญาหลังจากเกิดเหตุการณ์ The Exodus ที่อียิปต์ พูดง่ายๆ คือ คนกรีกในอินเดียสมัยนั้นได้สร้าง " พระพุทธรูป " หรือรูปเหมือนขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า ในขณะที่ชนชาติต่างๆยุโรปยังไม่รู้จักศาสนาคริสต์ ฝรั่งยุโรปยังถือผีสางนางไม้ หรือเทวดานานาชนิดอยู่ นั่นเอง ( คริสตศาสนาเกิดภายหลังพุทธศาสนา 543 ปี )

คนอินเดียในสมัยนั้น ที่เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ยังไม่มีใครอุตริคิดจัดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา เพราะพวกเขาเคารพนับถือองค์พระสัมมาด้วยการนำคำสั่งสอนของพระองค์ท่านมาประพฤติปฎิบัติเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง โดยเฉพาะอริยสัจ 4 ประการ ที่ท่านสอนให้มนุษย์รู้แจ้งถึงความเป็นจริงของมนุษย์ ว่า ชีวิตมนุษย์ทุกคนต้องประสบความทุกข์ จึงต้องหาหนทางแห่งการดับทุกข์โดยถูกวิธี และคำสอนของพระองค์นี้สถิตย์สถาพรอยู่ในโลกนี้ตราบจนทุกวันนี้ ซึ่งผู้คน(ที่มีความรู้ ) ในโลกนี้ได้ยอมรับจากการพิสูจน์แล้วว่าอริยสัจ สี่ นั้นเป็นความจริงแท้ จนถึงบัดนี้เป็นเวลากว่า 2551 ปีมาแล้ว

พูดง่ายๆ คนพุทธโบราณเขาเคารพพระพุทธเจ้าด้วยการปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ พวกเขาไม่ฉาบฉวยแค่เพียงเอารูปปั้นที่คิดเอาเองว่าแทนองค์จริงมานั่งเคารพภาวนา เพราะพวกเขารู้ว่าการกระทำความเคารพด้วยรูปปั้น นั้น เป็นการกระทำแสดงความเคารพอย่างฉาบฉวย ตื้นๆ และไม่เข้าถึงแก่นแท้ของการนับถือพระพุทธศาสนา ( ไม่อยากเรียกว่าพวกที่เป็นพุทธแต่ปาก)

อย่างที่เคยเรียนให้ทราบแล้วว่าคนพุทธที่แท้ เขาจะกระทำ " ปฎิบัติบูชา " พระองค์ท่านแทนการกราบไหว้รูปเคารพ ซึ่งเป็นของจอมปลอม และไม่มีความจริงแท้

อย่างที่เคยเรียนให้ทราบมาแล้วว่า กราบไหว้ก้อนหิน ก้อนอิฐ ก้อนดิน หรือปูนปั้นที่ทำเป็นรูปเหมือนพระองค์ท่านนั้น เป็นการเคารพพระพุทธเจ้าแบบเคารพเปลือก เคารพกะพี้ของศาสนาพุทธ

ที่สำคัญ คือพวกผู้คนที่กราบไหว้บูชาแต่อิฐ หิน ดิน ปูน เหล่านั้น พากันหลงทางเข้ารกเข้าพงกันยกใหญ่ เข้าใจผิดถึงขนาดว่าเมื่อเห็นใคร หรือเห็นผู้ใดทุบทำลายอิฐ หิน ดิน ปูนปั้นเหล่านั้น ก็หลงไปว่าพระศาสนาอันประเสริฐของพระพุทธองค์ถูกทำลาย หรือถูกดูหมิ่น ว่ากันเข้าไปนั่นเลย

ขอชื่นชมหลายๆท่านที่ให้ความเห็นมาในกระทู้นี้ ที่ได้บรรยายมาด้วยความรักและเข้าใจในพระพุทธศาสนาแบบคนมีสติ ขอยกตัวอย่างมา ดังนี้

-- พระพุทธรูปเป็นสิ่งสมมุติ
-- เศียรพระก็คือวัตถุชิ้นหนึ่ง
-- ธรรมะของพระพุทธเจ้ามิได้เสื่อมลงเพราะคนเอารูปเคารพไปตั้งวางผิดที่
-- เห็นพระพุทธรูปเป็นแค่งานศิลปะ

2. แน่นอน การจะเป็นคนพุทธที่ดี ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธมามกะ จะต้องเป็นคนประพฤติดี ปฎิบัติดี อยู่ในศีลในธรรม โดยต้องเข้าใจอันดับแรกเสียก่อนว่า "ศีล" คือข้อห้ามกระทำชั่ว ส่วน "ธรรม" นั้นคือข้อปฎิบัติ ที่คนดีต้องปฎิบัติ

ประการสำคัญ ต้องเริ่มต้นด้วยการ "คิดเป็น" และ "แยกให้ออก " ว่า อะไรเป็นเนื้อหาของพระพุทธศาสนา อะไรเป็นแค่ " เครื่องเคียง " หรือ "หางเครื่อง " ของพระพุทธศาสนา เอากันชัดๆในที่นี้ คือ ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อนว่า เนื้อแท้ของศาสนาพุทธคือการปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบตามแนวทางที่พระพุทธองค์ได้วางไว้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน ส่วนรูปปั้น หรือรูปเหมือนพระพุทธองค์ หรือที่เรียกกันว่า "พระพุทธรูป" นั้น เป็นแค่วัตถุแปลกปลอมที่เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธภายหลังที่พระพุทธเจ้าดับขันธ์ไปตั้งนานแล้ว และเป็นวัตถุที่เราจะมีก็ได้ หากไม่มีก็ไม่แปลกอะไร ขอให้เราเพียงตั้งใจประพฤติดีตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้ ก็ประเสริฐเหลือล้นแล้ว

3. ดังได้บรรยายมาแต่ต้น ท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่า " พระพุทธรูป " นั้นสร้างโดยคนต่างด้าวที่อยู่แดนไกลตามคติความเชื่อที่เขาจินตนาการเอาเอง ซึ่งในตอนแรก ผู้สร้าง สร้างขึ้นเป็นงานศิลปทางศาสนาชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ศิลปกรรมอันนี้สืบต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาพัน พันปีในศาสนาพุทธ ซึ่งหากพุทธศาสนิกชนผู้ใดไม่รอบคอบ ไม่มีความระมัดระวังในการให้ความเคารพนับถือ จะก่อให้เกิดความคิดที่ไม่เป็น " พุทธะ " หรือหลงทางอยู่ห่างไกลออกไปจาก พุทธะ เป็นอย่างยิ่ง จึงสามารถเรียกได้ว่าผู้คนที่เข้าใจในพระพุทธศาสนาผิด ๆ เยี่ยงนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อศาสนาพุทธ

4. ดังนั้น ถ้าคิดออก คิดเรื่องนี้ได้อย่างมีเหตุ มีผล รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ( เรื่องพระพุทธรูป) ต่อไปเราจะมีปัญญาไม่อับจน หรือเคียดแค้น เมื่อใครมาทุบ มาทำลาย หรือมาเหยียบย่ำพระพุทธรูป ( หนังสือพิมพ์นี่แหละตัวดี ชอบลงข่าวแบบนี้มาล่อให้คนพุทธตื้นๆที่ตาบอดมัวเข้ามาเคียดแค้น จะได้ขายหนังสือพิมพ์ได้) เพราะเราจะรู้เท่าทันว่า ไอ้บรรดาก้อนอิฐ ก้อนหิน หรือปูนปั้นเหล่านั้นไม่ใช่ตัวศาสนาพุทธ เราจะมีสติคิดออกว่า คำสอนต่างๆของพระพุทธองค์ต่างหากที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีใคร ไม่มีหน้าไหนจะมาทำลายได้ ยกตัวอย่างคำสอนง่ายๆของพระองค์ท่าน เช่นสอนให้คนที่เป็นมนุษย์รู้จักละอายต่อการกระทำบาป คือสอนให้มี หิริ โอตัปปะ หรือสอนให้มนุษย์รู้จักธรรมของผู้ครองเรือน คือสอนพรหมวิหาร สี่ ได้แก่สอนให้คนเรามีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา จงสมควรให้ความเคารพแต่สิ่งที่พระองค์สอนเท่านั้น แต่จงอย่าหลงทางไปยึดถือรูปปั้นหรือรูปเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นหลักสำคัญ เพราะจะทำให้เข้ารกเข้าพงหลงทางกันไป หมด ทั้งนี้ นอกจากคำแนะนำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้ว ยังมีหลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า การมุ่งกราบไหว้แต่รูปปั้น-รูปเคารพแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยอะไรในชีวิตได้ เพราะคนเราจะเป็นคนดีได้ คนเราจะมีความสุขในชีวิตได้ คนคนนั้นก็ต้องปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น เพียงประการเดียว

5. คนพุทธประเภทไหนที่เรียกได้ว่าเป็นคนพุทธแบบ หลงทาง เข้ารก-เข้าพง หรือเป็นคนพุทะที่ไร้การศึกษา มีตัวอย่างให้เห็นได้มากมาย ก็คือคนพุทธประเภทที่นำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาหน้าพระพุทธรูป แล้วอธิษฐานขอ ขอ ขอ ให้พระช่วยให้ตนสอบได้ หรือขอ ขอ ขอ ให้ตนมีเงิน มีทอง หรือขอให้ถูกหวยล็อตเตอรี่ ฯลฯ นี่แหละ คือพวกที่ไม่ใช่คนพุทธที่ดี เขาเป็นคนเอาเปรียบ เป็นคนที่ไม่เคยศึกษาพระพุทธศ่าสนา มีแต่จะเอาเปรียบศาสนา ขอ ขอ ขอ อย่างเดียวโดยสิ่งที่เขาขอมีมูลค่ามากมาย ขณะที่ตัวเองลงทุนไม่กี่สิบบาท ศาสนาพุทธจะเสื่อมก็เพราะบุคคลจำพวกนี้แหละท่าน

6. พระรัตนไตร คืออะไร

ขอตั้งคำถามนี้กับผู้ที่ชอบกล่าวอ้าง " พระรัตนไตร " ติดปาก กรุณาให้คำตอบโดยไม่ถามใคร หรือไม่เปิดหนังสือตำรา ได้ไหม

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ข้าพเจ้ามีความรู้เรื่องพระรัตนไตรพอ ๆ กับท่านผู้อ่าน ดังนี้

พระรัตนไตร คือดวงแก้วอันประเสริฐสามประการในพระพุทธศาสนา อันได้แก่

1. พระพุทธ ก็คือองค์พระพุทธเจ้า พระโคตมบดี(องค์สิทธัตถะ)ผู้เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา

2. พระธรรม ก็คือ ความจริงตามธรรมชาติ หรือ "ธรรมะ"ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รู้แจ้งเห็นจริง ( enlightment) แล้วนำมาแนะนำสั่สอนมนุษยชาติ
ในการดำเนินชีวิตที่ดี

3. พระสงฆ์ (ข้อนี้มีหลายท่านมักตอบผิด หรือเข้าใจผิดแน่นอน) หมายถึง พระอริยสงฆ์ คือพระภิกษุที่บวชในบวรพระพุทธศาสนาและบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จอริยมรรคผล กล่าวคือ ได้บรรลุธรรมขั้นสูงถึงขั้นเป็น " พระอรหันต์ " ไปแล้วเท่านั้น กล่าวคือ พระสงฆ์ในที่นี้ มิได้หมายถึงพระภิกษุสงฆ์ธรรมดา ๆ ห่มผ้าเหลืองดังที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปทั่วบ้านทั่วเมืองในประเทศไทย แต่หมายถึง " พระอรหันต์ " ดังกล่าวแล้วข้างต้น

พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้รับคำแนะนำอันสำคัญต้องให้ความเคารพและยกย่องแก่ดวงแก้วอันประเสริฐ 3 ประการดังที่ได้อธิบายมาแล้วนี้ จะเป็นศิริมงคลเป็นที่สุดแก่ตัวเอง

***เห็นไหม ท่านพุทธศาสนิกชนที่เคารพทุกท่าน ไม่มีพระพุทธวัจนะใด หรือไม่มีข้อความคำสั่งสอนอันใดของพระพุทธองค์ ไม่ว่าในพระไตรปิฎกฉบับใด หรือในที่อื่นๆใดแนะนำสั่งสอนให้ชาวพุทธให้ความเคารพสูงสุดต่อ " พระพุทธรูป " ***

4. ขอเรียนว่าข้าพเจ้ามีพระพุทธรูปบูชาในครอบครองหลายองค์ หลายยุคสมัยต่างกัน ทั้งของเก่า และของใหม่ แต่ที่ข้าพเจ้าให้ความนิยมสูงสุด คือพระพุทธรูปศิลปสุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีศิลปะ idealism ในแบบพุทธะที่งดงาม ลงตัวที่สุดสุด นักนิยมศิลปะทั่วโลกก็ยอมรับ ขอให้ท่านไปดูพระพุทธรูปสุโขทัย ปางลีลา ( Walking Buddha ) ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ท่านจะได้เห็นความสุดสวยงามเต็มไปด้วยศิลปของสุดยอดปฎิมากรรมของยุคนั้นจริงๆ หรือท่านสามารถดูองค์เลียนแบบเหมือนจริงได้ที่ระเบียงภายในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ด้านหลัง

5. สุดท้ายของเรื่องนี้ ขอเรียนเรื่อง " พระเครื่อง " หมายถึงพระที่มีไว้ห้อยคอเพื่อบันดาลอะไร ๆ ต่างแก่ตัวเจ้าของ ปัจจุบันพระเครื่องประเภท " เบญจภาคี " คือพระดีสุดยอด 5 องค์นั้น

เอาไว้พูดกันต่อในภาคหน้า หากมีท่านผู้ใดสนใจ

แต่เบื้องต้น ใคร่ขอกราบเรียนท่านที่เคารพว่า " พระเครื่อง " ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าพระสมเด็จวัดระฆัง (สภาพสวยองค์ละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท) หรือพระวัดปากน้ำ หรือพระ ฯลฯ ที่คนนิยมนำมาห้อยคอกันนั้น ข้าพเจ้าใคร่ขอเรียนความจริงว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งของ " นอกพระพุทธศาสนา" ทั้งสิ้น

ตกใจไหมท่าน ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ แต่คนที่รู้เรื่องศาสนาพุทธอย่างดี จะไม่แปลกใจอันใดเลย

ขอยกตัวอย่าง วงการพระพุทธศาสนา ที่เป็นวัดพุทธ ต่างไม่ยอมรับ" พระเครื่อง "เหล่านี้ มาให้ท่านดู ดังนี้
กล่าวคือ หากท่านเคยบวชเป็นพระ หรือเคยไปงานบวชที่วัดใด ขอให้ท่านสังเกตุในพระอุโบสถต่างๆ ทั่วประเทศไทย เมื่อตอนที่นาคจะครองผ้าเหลืองเป็นพระภิกษุ นั้น ท่านจะเห็นว่าองค์พระที่บวช นั้น จะถูกพระอาวุโสที่ช่วยแต่งกายครองผ้าให้พระใหม่ ทำการ " ถอดพระเครื่อง " ที่นาคห้อยคอออกหมดสิ้น กล่าวอย่างชัดเจนคือ เมื่อคุณจะบวชเป็นพระในศาสนาพุทธ จะไม่มีสิ่งใดให้ท่านเคารพนับถือสูงสุดนอกจากคำสั่งสอนขององค์พระพุทธเจ้า เท่านั้น และเท่านั้น ดังนั้น พระภิกษุทุกองค์ ต้องห้ามในการนำพระเครื่อง หรือที่เรียกกันว่าเป็น"เดรัจฉานวัตถุ" มาห้อยคอ

ก็ให้ท่านเคารพนับถือพระพุทธเจ้าแท้ ๆ แต่เพียงองค์เดียวไงล่ะ

เรื่องนี้ ขอให้ท่านตรวจดูความจริงก็ได้ ไม่มีพระภิกษุในศาสนาพุทธองค์ใด " ห้อยพระ " ที่คอเด็ดขาด นอกจากพระภิกษุนอกคอก

สุดท้าย ขอขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาสละเวลามาอ่าน

ข้าพเจ้าขอถวายความเห็นของข้าพเจ้าทั้งหมดนี้เป็นพุทธบูชา เพื่อเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปแก่พุทธศาสนิกชนผู้ประสงค์จะมีดวงตาสว่างไสว

แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 19:38:58

จากคุณ : วันนี้เป็นพุทธมามกะ (Detente) - [ 18 ส.ค. 51 18:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 47

ใคร่ขออนุญาตกราบเรียนเพิ่มเติม ในเรื่องของความเห็นที่ 40 ที่ได้อ้างถึงวงการพระพุทธศาสนาในวัด ห้ามพระภิกษุสงฆ์ " ห้อยพระเครื่อง " หรือเอา " เครื่องรางของขลังอื่นใด" มาบูชาห้อยคอ ด้วยมีเหตุผล และคำอธิบายดังต่อไปนี้

1. ในสมัยพุทธกาลที่อินเดีย มีผู้คนตั้งตนเป็นเจ้าลัทธินานาประเภท ขนาดมีผู้อ้างตนว่าสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ด้วยตนเอง และมีผู้คนยังเชื่อในเครื่องราง ของขลังจำนวนมากมายแล้วแต่เจ้าสำนัก หรือเจ้าลัทธิแต่ละลัทธิจะบงการ แต่สำหรับพระพุทธองค์ที่ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุมรรคผลสำเร็จรู้แจ้งเห็นจริงถึงสัจจะธรรม ( enlightment ) เป็นองค์พระสัมมาพระพุทธเจ้าแล้ว จะเรียกว่าพระองค์ท่านเป็นเจ้าลัทธิ ลัทธิหนึ่งก้ย่อมได้ แต่ลัทธิอันประเสริฐของท่านนี้ คือ ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนให้คนงมงายไร้สติ แต่คำสอนขององค์ท่านมีเหตุ มีผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ทุกยุค ทุกกาลสมัย ยกตัวอย่างเช่น หากคนใดทำความดี ก็จะได้สิ่งที่ดีตอบ (กรุณาพิเคราะห์คำสอนนี้ให้ลึกๆ จะพบความจริง และกรุณาอย่าตะแบงว่า คนทำดี ได้ดี มีที่ไหน แต่คนทำชั่ว ได้ดี มีถมไป ) หรือท่านสอนให้คนมีอิทธิบาท 4 คือให้มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จะทำสิ่งใดก็สำเร็จ จริงไหมจริงก็ขอให้ดูผู้ที่สอบ entrance เข้าเรียนได้ หรือผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ทุกคนต้องมีความตั้งใจจริง มีความมานะบากบั่น และเอาใจใส่ในการทำงานมาก่อนทั้งนั้น ใช่ไหม (ไม่นับรวมพวกโจร)

พระองค์ท่านไม่เคยสอนว่ามนุษย์อยู่เฉยๆ ให้สวดภาวนาเพียงอย่างเดียว หรือเอาเครื่องอะไรมาบูชา เดี๋ยวก็จะร่ำรวย ขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยมีคำสอนแก่มนุษย์แบบนี้

พระองค์ท่านไม่เคยสอนว่า หากมนุษย์ผู้นั้นเอาวัตถุสิ่งสิ่งนั้น สิ่งนี้มาบูชา หรือมาห้อยคอ แล้วจะทำให้รอดพ้นจากความตาย หรือจะมีแต่ได้โชคลาภ พระพุทธเจ้าไม่เคยสั่งสอนมนุษย์เหลวไหลอย่างนี้เลย เป็นความจริง แต่ท่านสอนว่า ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ก็จะได้รับกรรมนั้นตอบแทน กล่าวคือ คนจะติดคุก หรือวิบัติ ก็เพราะผู้นั้นมีกรรมเป็นของตนเอง กรรม ก็คือการกระทำ ที่ไม่ว่าจะเกิดแต่ปางไหน ก็จะมีผลติดตามตัวต่อมา คนขี้เกียจ ก็ไม่มีทางร่ำรวย แต่คนขยันมีโอกาสมีเงินมีทองได้ จริงไหม

2. ด้วยเหตุนี้ ลัทธิ " พุทธศาสนา " ที่มีตถาคตของเราเป็นเจ้าลัทธิ จึงมีความตรงกันข้ามกับลัทธิเหลวไหล หรือเดียรัจฉานวิชาทั้งหลายที่สั่งสอนให้ลูกศิษย์เอาเครื่องรางของขลังมาบูชา หรือเอามาห้อยคอ แล้วจะประสบแต่ความสุข ความดี ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าสอนให้สาวก หรือศิษย์ของท่านทำแต่ความดีเท่านั้น จึงจะมีความสุข และประสบสุขในชีวิต

ท่านเคยได้ยินไหม หัวใจของศาสนาพุทธ บอกว่าให้ " ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส " นี่คือสุดยอดของคำสอน เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง

ดังนั้น
เมื่อใครปวรณาตนเป็นสาวกของท่าน เช่นผู้จะเข้ามาบวชเป็นภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา ท่านจึงห้ามประพฤตตนเหลวไหลด้วยการห้ามนำเอา เครื่องราง หรือของขลังของลัทธิงมงายอื่นๆ มาห้อยคอ กล่าวคือ ในเมื่อจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จงนับถือแต่คำสอนของพระพุทธองค์แต่เพียงผู้เดียว จะประเสริฐ

ดังนั้น แม้ในปัจจุบัน เราก็จะไม่พบเห็นพระภิกษุห่มเหลืององค์ใดเอาพระเครื่องราง หรือของขลังใดๆ (ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จจากวัดใด หรือพระดังๆ องค์ใด ก็ห้อยไม่ได้) มาขึ้นห้อยคอ เพราะตามกฎ หรือศีลของพระ 227 ข้อ ถือเป็นบาป ต้องอาบัติ นอกจากพระบางองค์ที่นอกคอก และพระภิกษุที่ดูหมิ่นเหยียบย่ำคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้าที่หากไม่เอาเครื่องรางมาห้อยคอ ก็แอบเอามากลัดเหน็บไว้ในย่าม

ขอให้ท่านพิสูจน์ความจริงดูที่ " คอ " ของพระภิกษุห่มเหลืองทุกองค์ดูได้ แต่อย่าไปถาม เพราะพระภิกษุบางองค์ยังไม่รู้ตัวเองเลย ว่าตนบวชไปทำไม

3. แล้วพระในวัดบางวัดนิยมสร้าง " พระเครื่อง " มาให้ผู้คนเช่าบูชาล่ะ
คืออะไร
คำตอบก็คือ ศิษย์ตถาคตเหล่านี้กำลังมอมเมาชาวบ้าน ด้วยวิธีการหาเงินเข้าวัดโดยทำให้ชาวบ้านหลงผิดเป็นถูก ว่า หากเช่าบูชาวัตถุมงคลเหล่านั้นไปบูชา แล้วคนพุทธผู้นั้นจะประสบโชคดี มีมงคลคุ้มตัว ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง เพราะพระพุทธเจ้าเคยห้ามสาวกของท่านทำอย่างนี้มาแล้วในสมัยพุทธกาล ส่วนเรื่อง " ความมีมงคล " คุ้มครองตัวนั้น ท่านสอนให้ผู้คนมี " มงคล 38 ประการ " ต่างหาก (หาดูได้ มงคล 38 ประการคืออะไร)
โดยเป็นการกระทำตัวให้ดี 38 อย่าง มิใช่การนำวัตถุใดมาห้อยคอหรือมาบูชาแล้วจะเกิดมงคล

4. เป็นความจริงไหม เครื่องรางของขลังบางชิ้น บางวัตถุ คุ้มครองผู้คนเจ้าของ หรือผู้บูชาให้รอดตาย รอดหายนะได้

คำตอบชัดเจน คือ " ไม่เป็นความจริง " เพราะพระพุทธเจ้าสอนแล้วว่า ใครจะประสบสิ่งใดในชีวิต ก็เป็นเพราะ " กรรม " ของผู้นั้นเองต่างหาก

เหตุผลที่บอกว่า วัตถุมงคลดังกล่าวเป็นสิ่งเหลวไหล ก็คือ มีเหตุ และผลว่า
4.1 หากมีวัตถุใด หรือมีพระเครื่องแน่ ๆ องค์ใดสามารถป้องกันคุ้มครองผู้คนซึ่งถูกปืนยิง หรือถูกฟัน หรือถูกรถยนต์ชน แล้วไม่ตายได้จริง ป่านนี้หนังสือบันทึกอันมีชื่อเสียงของโลก Guinness book world record คงนำเรื่องไปลงกันเป็นสิ่งพิเศษเป็นสถิติพิเศษกันไปตั้งนานแล้ว

4.2 หากเมืองไทยมีสิ่งวิเศษที่ใครนำไปคล้องคอแล้วถูกปืนยิงแล้วไม่ตาย จริง ป่านนี้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจครองโลกไปตั้งนานแล้ว ก็ทหารไทยไปรบที่ไหนเพียงคล้องคอด้วยพระเครื่องเหนียว ๆ คนละองค์ ก็ไม่มีถูกข้าศึกยิงตาย ป่านนี้คนไทยก็เป็นเจ้าโลกไปแล้ว

4.3 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย ไม่ยอมรับ ไม่ยอมนับถือความอยู่ยงคงกระพันของพระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังชนิดใด กล่าวคือ หากมีคนที่เชื่อว่าตนมีพระดีห้อยคอ โดนปืนยิงก็ไม่เข้า ท้าทายให้นาย ก. เอาปืนมายิงตน หากยิงเข้า แล้วตนตาย ตนจะไม่เอาความผิด ดังนี้ เมื่อนาย ก. เอาปืนมายิงคนผู้นี้ แล้วกระสุนปืนวิ่งทะลุร่างของคนห้อยพระเหนียว (ยังไงก็ตายแน่ๆ เล่นกับปืนก็ต้องตาย) ก็ถึงแก่ความตาย ดังนั้น นาย ก.คนยิงก็หนีความผิดอาญาไม่พ้น ต้องติดคุกโทษฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยเจตนาสถานเดียว (เรื่องนี้ศาลฎีกาเคยตัดสินมาแล้ว)

ขอยืนยันว่า สิ่งต่างๆของพระเครื่อง เครื่องราง ของขลังทุกชนิดที่นำมาพูดเหล่านี้ ในทางศาสนาพุทธเขาถือว่าเป็น " สิ่งของนอกศาสนา "

ขอท่านผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายโปรดกรุณาพิจารณาด้วยความเที่ยงธรรม แล้วจะเข้าในในเนื้อแท้ของศาสนาพุทธได้ถูกต้อง
แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 51 20:49:13
แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 51 20:49:12

จากคุณ : พุทธมามกะ (Detente) - [ 20 ส.ค. 51 17:26:02 ]