ความคิดเห็นที่ 1 "เป็นเพราะการค้า  just  commercial   ในแบบของ  Mc Donald  หรือK.F.C.   (ที่คนต่างจังหวัดในเมืองไทยชอบมาก ๆ  แต่สังเกตุดูคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกานานๆ บอกว่า  ข้าวราดหน้ากะเพราไข่ดาว  1  จาน  เอา Mc Donald   Big  Mac   มาแลกก็ไม่ยอม )" Bingo! โอ๋ย........ป้าไม่ได้กิน Mc Donald   Big  Big  หรือ แม้แต่ แฮมเบอร์เก้อยี่ห้อไหน    มากว่า 20 ปีแล้วนะ หมอต่างๆ  เขาต่อต้านรณรงค์เรื่องอาหารพวกนี่้มานานแล้วนะ   ไม่อยากให้อ้วนฉุ    โรคหัวใจ   โรคความดันสูง   โรคเบาหวาน ถามหาเป็นแถวน่ะค่ะ คนอเมริกันอ้วนจริงๆ        เห็นข่าวว่าเดี๋ยวนี้คนอังกฤษก็อ้วนเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องวันวาเลนไทน์ หรือวันอื่นๆนั้น  คนอเมริกันที่เขาไม่ตกเป็นทาสคำโฆษณา เขาถือว่าเป็นแผนการค้าของบริษัทขายบัตรอวยพร  บริษัทขายขนม ขายดอกไม้นะคะ       ลูกป้า  และเพื่อนๆเขาคิดยังงี้ทุกคนเลย จากคุณ : ป้าค่ะ (ป้านี่เอง) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 00:49:41

ความคิดเห็นที่ 2 หืม? เราก็ไม่ได้อยู่มานานอะไรมากมายด้วยสิ? แต่ที่อังกฤษนี่ก็พวกร้านค้าเอย ร้านอาหารเอย ผับบาร์เอย ก็มีติดป้ายมีโปรโมชั่นรับเทศกาลวาเลนไทน์กันเยอะแยะนะ แต่ก็อีกนั่นแหละ มันเป็นเรื่องของการค้ารึเปล่า? สรุป...ไม่รู้เหมือนกัน -_-" จากคุณ : Mirah เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 00:50:39

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่รู้นะ แต่ร้านๆที่ NYC นี่โปรโมทกันตรึมอ่ะ เมื่อคืนเดินผ่าน grocery แถวๆบ้านก็มีดอกกุหลาบแดงมาวางขายเยอะ ร้านอาหารที่ไปกินก็เอาดอกกุหลาบมาวางที่โต๊ะ มีอยู่ปีหนึ่งไปกินร้านอินเดียวันวาเลนไทน์ ตอนจะกลับเค้าก็เอากุหลาบแดงมาให้ ร้าน Apple นี่ก็ทุกเทศกาล จริงๆแล้วมันก็ขายของทุกเทศกาลแหละ ตั้งแต่ New Year, Valentine, Easter, Mother Day, 4th of July, Halloween, Thanksgiving และ Christmas  ต้องยกเครดิตให้ Hallmark เค้าที่ทำให้วันเทศกาลขายของกันเยอะขี้น คนย่านอื่นเป็นไงไม่รู้ แต่นิวยอร์กตอนนี้หัวใจสีแดงๆเต็มเลยอ่ะค่ะ จากคุณ : หญิงป้า เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:02:35

ความคิดเห็นที่ 4 ^^^ "ต้องยกเครดิตให้ Hallmark" นั่นไงคะ! ร้อง Bingo!! อีกที     ลูกป้าและเด็กๆ กลุ่มเขา   และ  กลุ่มเพื่อนๆ  ที่ป้าเข้าสังคมด้วเขาเรียกวันพวกนี้ว่า Hallmark  Holidays หรือ Greeting Card Company's Holidays ค่ะ ส่งเสริมกิจการค้าของตัวเอง   ร้านค้าอื่นๆก็เอาตามมั่ง จากคุณ : ป้าค่ะ (ป้านี่เอง) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:23:48

ความคิดเห็นที่ 5   วันนี้ผมถือว่าเป็นวันหลอกเด็กเพื่อที่จะได้ขายดอกไม้ ผู้ขายดอกไม้ก็เลือกเอาวันวาเลนไทน์ ผู้ขายชอกโกเลตก็เลือกเอาวันปล่อยผี คนขายข้าวขาหมูก็บอกว่าสูตรขาหมูเครืองยาจีนสูตรพระเจ้าเหา ผมเองนี่ก็ระแวงจนเสียเส้น แม้แต่ซุปเปอร์โบลอเมริกัน ฟุตบอล ผมก็หาว่าเขาล้างสมองจะหาเงิน จริงเหมือนที่จขกทบอกนะแหละผมไม่เห็นใครจะบ้าคลั่งกับวันนี้เท่ากับคนไทย ที่นี่ก็พอมีประปรายครับ อย่างไรก็ดี เห็นเขาโฆษณามากๆเข้า ผมก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า"นี่เธอฉันไม่ซื้อดอกไม้อะไรให้หรอกนะ" เพี้ยนไปหน่อยๆเหมือนกัน จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:26:08 A:71.114.78.103 X: TicketID:146114

ความคิดเห็นที่ 6 คิดว่าวันวาเลนไมน์ก็เหมือนเทศกาลอื่นๆ เพราะจะบอกว่าฝรั่งไม่เห็นความสำคัญก็คงจะไม่ถูกต้องนักสักทีเดียว เพราะอย่างที่ออฟฟิตก็เห็นคนได้ช่อดอกไม้กัน ลูกส่งให้แม่ สามีส่งให้ภรรยา ขนาดที่บ้านเองยังได้การ์ดวาเลนไทน์จากคุณแม่สามีส่งมาให้เลยคะ คิดว่ามันแล้วแต่ครอบครัวมากกว่า เพื่อนที่ออฟฟิตแม่เค้ามีร้านขายดอกไม้เล็กๆ เค้ายังบอกเลยว่า วาเลนไทน์ทุกปีคนเข้าแถวรอรับดอดไม้กันยาวเหยียด จากคุณ : Scooterella เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:47:39

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเห็นด้วยกับ จขกท. เเละคุณ อิสวาสุ มากๆๆ ไม่รู้ดิ ผมสังเกตข่าวมาตั้งเเต่อาทิตย์ที่เเล้ว คนไทยเห่อกันจริงๆครับ กับวันวาเลนไทน์ ขนาดเพื่อนผมที่ไทยยังโทรถามว่าไปทำอะไรที่ไหนยังไงบ้าง เออ... งง ทำไมที่เมืองไทยวันนี้ดูเหมือนกระเเสเเรงจริงๆ ตรงกันข้ามกับเพื่อนๆคนรอบข้างผมที่นี่ก็ไม่เห็นเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายอะไรเลยครับ... จากคุณ : เสี้ยวขาวฯ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:49:48

ความคิดเห็นที่ 8   1-2-3-4-5-6 ถูกหมดทุกข้อค่า....((หวังว่าอิชั๊นจะเป็น คคห.7 นะ..ไม่งั๊นเดี๋ยวมีการน้อยใจที่ตกหล่น)) จากคุณ : แอ่น เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:52:09 A:74.72.80.228 X: TicketID:249877

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ   : แอ่น  มีเเล้วครับน้อยใจคนนึง ผมไงครับ 55555555+++ล้อเล่นนะครับ^^ จากคุณ : เสี้ยวขาวฯ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:53:13

ความคิดเห็นที่ 10 ขอเปลี่ยนจาก ข้าวราดหน้ากะเพราไข่ดาว 1 จาน    เป็น ส้มตำเผ็ดๆแซ่บๆซักจาน ได้มั๊ย... ประเทศที่เราอยู่ ในทีวีไม่เห็นมีพูดเกี่ยวกับวาเลนไทน์เลยนะ สามีเป็นชาวยุโรปไม่รู้จักวันนี้ด้วยซ้ำ จากคุณ : Ellinida เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:54:14

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่ค่อยเห็นคนตื่นแต้นเท่าไหร่ค่ะกับวาเลนไทน์..แต่เค้าตื่นเต้นกับได้หยุด3วันกันมากกว่า...คนไทยตื่นเต้นไปทุกอย่าง....ส่วนตัวตื่นเต้นเวลาได้ซองแดงวันตรุษจีนมากกว่าได้ดอกไม้วันวาเลนไทน์...ดอกไม้แปปเดียวก็เหี่ยวแล้วค่ะ..ถ้าเป็นต้นก็ไม่เป็นไร..หุหุ ยังไงก็ขอให้พี่ๆชาวไกลบ้านมีความสุขทุกวันนะคะ จากคุณ : chobitshe เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 02:11:55

ความคิดเห็นที่ 12 คิดแบบตรรกะคนไม่ค่อยฉลาดก็คือ ... คนไทยรู้จัก Valentine's day เพราะคำว่า ''วันแห่งความรักอย่างเดียว'' แทบจะไม่ต้องเอาความหมายอื่นๆมาปะปนให้สับสนใจ เพราะตอนเด็กๆเกิดและเติบโตในไทยนี่รู้แต่ว่าวันที่ 14 กุมภา คือวันแห่งความรักอย่างเดียว ต้องรักกันให้มากที่สุดวันนี้ด้วย (วันเดียวพอ?!) แต่ต่อๆมาถึงมีการรณรงค์ให้รักกันทุกวันทีหลัง ทำให้คนไทยตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ได้คิดถึงว่า Valentine's จริงๆแล้วมีความหมายอย่างไร ? ... นอกจากรู้อยู่อย่างเดียวว่า .. วันแห่งความรัก อันนี้คิดแบบเด็กโง่ๆสมัยนั้น ไม่ทราบสมัยนี้จะมีเด็กไทยรู้อะไรเกี่ยวกับวาเลนไทน์มากไปกว่าวันแห่งความรักหรือเปล่าไม่ทราบนะ ... เมื่อสักครู่ถามลูกๆดู ลูกก็บอกโรงเรียนเคยสอนแต่จำไม่ได้ ... เอ๊า ทีนี้กลับมาเรื่องเดิม ... จากรุ่นสู่รุ่นก็พูดต่อกันมาว่า เฮ้ย พวกเรา 14 กุมภา วันแห่งความรักนะ มันต้องมีดอกกุหลาบให้กันนะ ต้องแสดงความรักนะ เพราะดอกกุหลาบสีแดงๆสดใส แทนความรักแทนหัวใจ (ซึ่งจริงๆเด็กไทยหรือคนไทยก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วฝรั่งเขาทำอะไรกันบ้างหรอก แค่เห็นชื่อValentine's เป็นภาษาอังกฤษก็พอแล้ว) คงต้องให้ดอกไม้ ให้หัวใจตามฝรั่งไป (ปีนี้หัวใจอาจแทนหัวหมูก็ได้เพราะไปตรงกับวันตรุษจีนพอดี) .... หรือต้องให้ช๊อคโแลตกันเพื่อแสดงถึงความหวานไม่จืดจาง (บางบ้านอาจจะให้เกลือกันปีนี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี กินเกลือแทนข้าวก็มี) สรุป ... คนไทยรู้จักวันแห่งความรักหรือวาเลนไทน์ดีกว่าฝรั่ง ... เพราะคนไทยใช้คำว่า ''วันแห่งความรัก จาก นิยามของ Valentine's day ซึ่งคือวันตายของเซนต์วาเลนไทน์ ผิดไป'' ... ถ้าประเทศไทยยังมีเทศกาลแบบนี้ทุกปีในไทย แบบนี้ทางกระทรวงศึกษาควรสอดแทรกความรู้เรื่องวันแห่งความรักเป็นวันสำคัญของประเทศไทยอีก 1 วันด้วย หรือไม่? และควรใส่ลงไปในบทเรียนภาษาไทย ปิติ มานะ มานี ชูใจ (ดิฉันเป็นรุ่นทดลองเรียนหลักสูตรนี้ก่อนออกมาสอนจริงในปีต่อๆมา) ซึ่งไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เด็กไทยยังเรียนกันอยู่ไหม ? จึงควรใส่วันแห่งความรักลงไปด้วยในบทเรียน ... เพราะเด็กไทยรู้จักวันวาเลนไทน์แค่วันแห่งความรักอย่างเดียวจริงๆ ... ดังนั้นไม่โทษเด็ก ไม่โทษผู้ใหญ่สมัยนี้ แต่ต้องโทษสื่อและการนำเข้าข้อมูลจากต่างประเทศตั้งแต่สมัยก่อนว่า ... สื่อสารผิดหลักไวยากรณ์ สื่อกันไม่รู้เรื่อง เอาวันตายของนักบุญของฝรั่งมาเป็นสื่อบอกรัก/แสดงความรักต่อกัน ... และเป็นการบอกรักที่ผิดประเภทจากต้นตำรับเดิมๆด้วย ถึงขนาดบางปีในประเทศไทยมีการลงข่าวหนังสือพิมพ์ว่า ...'' โรงแรมเต็มในวันวาเลนไทน์ !?'' ... นี่คนไทยเขาฉลองวันแห่งความรักกันถูกเรื่องไหมนี่ ? หรือว่า ดิฉันเชย ? ส่วนเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางการค้าในวันแห่งความรักนั้น ... ก็คงเหมือนการค้าในวันสำคัญทั่วๆไป เช่น คริสต์มาส ปีใหม่ วันเกิด วันพ่อวันแม่ ฯลฯ .. แต่บังเอิญว่า ... '' การตลาดมันไปจับจุดตรงเรื่องของความรักอย่างเดียว '' จึงทำให้ประชาชนตาดำๆ ตาน้ำข้าว ตาขาวๆฝ้าๆ (พวกตาบอดเพราะความรัก) เลยพลอยเห่อตามเขาไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ถูกผิดอย่างไร .. ก็ขอให้คุณ  Detente ลองพิจารณาดูแล้วกันค่ะ @>ขออนุญาตแก้คำผิด<@ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 02:16:38 จากคุณ : จากผู้น้อย (กุศโลบายจากความจริง) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 02:12:26

ความคิดเห็นที่ 13 ยังไม่เห็นมีสถิติหรือการศึกษาวิจัยว่า คนไทยให้ความสำคัญต่อวันวาเลนไทน์ วันวาเลนไทน์ เมื่อเปรียบเทียบกับวันอื่นๆ เป็นของใหม่ ในเมืองไทย แต่ในอเมริกามีมานานแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาไป จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 02:16:53

ความคิดเห็นที่ 14   ขอเขียนอ้างอิง FACTS นะคะ ว่า สหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญต่อวันวาเลนไทน์ ค่ะ ข้อมูล USA.GOV ได้จัดรวบรวมหัวข้อ Important Datesไว้ ปรากฎการให้รายละเอียดของวัน Valentine's เอาไว้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า คนอเมริกันไม่ให้ความสำคัญวันวาเลนไทน์ ใช้ไม่ได้ค่ะ (ใช้ไม่ได้ในที่นี้ หมายความว่า ไม่ตรงกัีบข้อมูลของหน่วยงานรัฐบาล) FYI: Important Dates_American Holidays :::> http://www.usa.gov/citizens/holidays.shtml Quote: Valentine's Day is celebrated on February 14. The day was named after an early Christian martyr, and on Valentine's Day, Americans give presents like candy or flowers to the ones they love. The first mass-produced valentine cards were sold in the 1840s. ::> http://www.usa.gov/Topics/Reference_Shelf/Calendars.shtml ยืนยันด้วยข้อมูล CENSUS นะคะ ปรากฎเรื่องสถิติตัวเลขเกี่ยวกับของขวัญวาเลนไทน์ อันได้แก่ ขนมหวาน ดอกไม้ เครื่องประดับของมีค่า ของที่ระลึกและบัตรอวยพร  CENSUS Newsroom_FACTS_Press Release ::>http://www.census.gov/Press-Release/www/releases/archives/facts_for_features_special_editions/013032.html Quote: Opinions abound as to who was the original Valentine, with the most popular theory that he was a clergyman who was executed for secretly marrying couples in ancient Rome in spite of Emperor Claudius II, who felt that marriage weakened his soldiers. In any event, in A.D. 496, Pope Gelasius I declared Feb. 14 as Valentine Day. Through the centuries, the Christian holiday became a time to exchange love messages, and St. Valentine became the patron saint of lovers. ** Esther Howland, a native of Massachusetts, is given credit for selling the first mass-produced valentine cards in the 1840s. The spirit of love continues today as valentines are sent with sentimental verses, from and to young and old romantics. การที่หน่วยงานสำคัญ ระดับชาติรวบรวมสถิติและประวัติไว้อย่างชัดเจน รวมทั้งให้รายการสถานที่มีบรรยากาศโรแมนติค สำหรับฉลองวาเลนไทน์ แปลว่า วันวาเลนไทน์ มีความสำคัญในระดับหนึ่งทีเดียวค่ะ ไม่ใช่นอกความสนใจ เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมของอเมริกันมาช้านาน คนที่อยู่ต่างประเทศนาน และเห็นวิถีชีวิตสังคมหลากหลาย จะไม่พูดว่าเขาไม่ให้ความสำคัญกันเลย ความสำคัญของวันวาเลนไทน์ มีข้อมูลภาษาสากลอยู่ทั่วไป หาไม่ยาก แต่การไม่พูดถึง เพราะเป็นสิ่งที่คุ้นเคย หากไม่ได้กำลังมีคู่รักก็ไม่ตื่นเต้น สิ่งที่ทำให้วันนี้สำคัญ (สำหรับคนไทย) คือการถ่ายทอดสารแห่งความรัก ผ่านสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปยังบุคคลที่มีความพิเศษต่อจิตใจ อนึ่ง ในปฏิทินประจำปีของต่างประเทศ ระบุวันนี้เป็น วันสำคัญ ตลอดมา เพียงแต่ว่า ไม่มีผลต่อวงจรการทำงาน ไม่ใช่วันหยุดวาระแห่งสถาบันชาติ ต้องขออภัยคุณ Detente ที่กล่าวแย้งประเด็นหัวข้อกระทู้นะคะ แต่การสอบถามคนรู้จักเพียงไม่กี่คน นำมาเป็นข้อสรุปของอเมริกันทั้งชาติ ไม่ได้ค่ะ ส่วนตัว ดิฉันมองเห็นว่าวันวาเลนไทน์สำคัญต่อกลุ่มวัยรุ่นทั่วไป และในกลุ่มโรแมนติค ผู้มีรสนิยมในการให้บัตรอวยพรสื่อความรู้สึกที่ดี เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญต่อความหมายของวันแห่งความรักเป็นอย่างมาก ทุกปี ร้านค้าในกลุ่มของขวัญ ขนมหวาน ดอกไม้ และบัตรอวยพร จะมีของน่ารักๆออกมาจำหน่าย เห็นมาตลอดสามทศวรรษในสหรัฐฯค่ะ ในกลุ่มคนมีการศึกษา ส่วนใหญ่ รู้จักคำนี้และความหมายของวันนี้อย่างดี แต่จะให้ความพิเศษกับคนรักหรือไม่ ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆและภาวะเศรษฐกิจ อย่าลืมว่า สหรัฐอเมริกามีจำนวนประชากรหลายร้อยล้านคนแล้วนะคะ ถ้าจะตั้งข้อสังเกต (สะกดถูกต้อง ไม่มีสระอุ) ในเรื่องเช่นนี้เพื่ออภิปราย ขอให้ยึด FACTS เป็นหลัก หวังว่าข้อมูล link จะช่วยให้สาระประเด็นนี้ได้ค่ะ FYI::> http://www.smart.net/~mmontes/ushols.html Quote: American Calendar :Other Widely Celebrated Observances These usually don't affect work schedules. -Groundhog Day, February 2. -Lincoln's Birthday, February 12. -Valentine's Day, February 14. <-------- -Washington's Birthday, February 22. -St. Patrick's Day, March 17. -April Fools's Day, April 1. -Earth Day, April 22 (since 1970) -Mothers' Day, second Sunday in May   -Fathers' Day, third Sunday in June -Parents' Day, fourth Sunday in July   -Grandparents' Day, Sunday after Labor Day   -Columbus Day (traditional), October 12. -United Nations Day, October 24. -Halloween, October 31.               ดิฉันส่งบัตรอวยพรให้คนพิเศษ และเพื่อนรักทุกคนในวันวาเลนไทน์ มาตั้งแต่อายุ ๑๕ จนปัจจุบัน คนรู้จักสนิททุกคนตอบรับไม่เคยลืมค่ะ จากคุณ : กริชนาคราช เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 02:24:40

ความคิดเห็นที่ 15   แหง่วววววว....สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะคุณเสี้ยวขาวฯ ((คลิ๊กช้าไปติ๊ดค่ะ..หุๆ...ไปไหว้เจ้าดีกว่า)) จากคุณ : แอ่น เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 03:08:26 A:74.72.80.228 X: TicketID:249877

ความคิดเห็นที่ 16   คุณกริชนาคราช พูดตรงใจ เราก็ว่ามันสำคัญส่วนนึงนะ ไม่ใช่จะไม่มีเหตุผลแบบหลงลืมกันทั้งโลก วันนี้ก็เห็นร้านดอกไม้ขายดิบขายดีแถวบ้าน แต่ถ้าถามว่าวัยรุ่นไทยเวอร์ไหม เห็นราคาดอกไม้บางคนซื้อกันก็โอเวอร์กันจริงๆนั่นแหละ กลายเป็นวันเพศสัมพันธ์โลกไปซะแล้วสมัยนี้ แต่ก็นะ ถ้าพูดว่าวาเลนไทน์แล้ว คนไทยจะเข้าใจผิด คนทั้งโลกส่วนใหญ่ก็ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับคริสมาสอยู่นะ ว่าเป็นเรื่องของซานต้า ธรรมเนียมคือต้องไปมาหาสู่กันในญาติเท่านั้น ทั้งๆที่คริสต์มาสเป็นวันสำคัญมากของคริสตศาสนิกชน ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะลดลงตามกาลเวลา แต่ก็มีคนไปโบสถ์กันอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนเดิม ซึ่งจริงๆมันคือจุดหลักของเทศกาลนี้ แต่ธุรกิจก็เข้ามาสร้างค่านิยมว่ามันคือการแลกของขวัญนะ คุณต้องซื้อของขวัญแลกกันนะ ต้องมีการจับฉลาก ตัวเราเป็นคาธอลิคก็มองเห้นว่า ฝรั่งก็ไม่ได้จะมีความคิดมากกว่าเรามากมายเรื่องเทศกาล ก็เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่คลั่งมากกับเทศกาลวาเลนไทน์ มากกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เซนต์วาเลนไทน์ก็ไม่ได้เกิดที่ญี่ปุ่นซะหน่อย แล้วใครได้ประโยชน์ ธุรกิจแลบริษัทชอคโกแลตในญี่ปุ่นทั้งหลาย ทั้งแบบแท่ง แบบกล่อง แบบชุดทำเองที่บ้าน หมุนเวียนกันในวันนี้ไม่ต่ำกว่าล้านเยน เราว่าทุกคนก็รู้ค่ะความรักต้องแสดงออกกันทุกวัน แต่ไหนๆวันนี้เป็นวันมงคล มีอะไรดีๆเกิดขึ้นในโลกที่ทุกคนคิดถึงความรักพร้อมๆกัน พระแม่และเซนต์วาเลนไทน์ก็คงจะดีใจมากแล้ว :) ช่วยกันส่งความสุขให้กับโลกและคนรอบข้างดีกว่า ส่วนใครจะคิดเรื่องวันนี้เป็นอื่น อันนี้ไม่รู้จริงๆ สำหรับเราวันนี้เป็นวันที่คิดถึงพ่อแม่ นักบุญ และความรักของคนรอบข้างเป็นพิเศษ ก็สุขใจนั่งแก้มป่องอยู่นี่แล้วนะ แก้บรรทัด ชอบตกอยู่เรื่อย แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 03:55:49 จากคุณ : Kaetzchen เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 03:54:25

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยกับคุณ  chobitshe ครับ อิอิ ที่นี่ แอบหยุดกันตั้งแต่วันศุกร์เลยทีเดียว เพื่อไปเล่นสกีวันหยุดยาว เห็นตื่นเต้น อยากไปเล่นสกีกันหมด ดอกไม้ไม่เห็นสักดอก ฮ่าๆๆๆ มีใครจะแจกซองแดงป่ะครับ จะไปเสนอหน้าคนแรก อิอิ จากคุณ : Scientist เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 04:08:59

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้เราอยู่อเมริกานะ เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ไปโรงเรียน ครูก็ถามว่าวันวาเลนไทน์นี้ใครจะฉลองบ้าง ทุกคนบอกว่าไม่ฉลอง ครูทำตาโต พร้อมกับ really? และถามว่าไม่ฉลอง แล้วทำอะไรกัน พอถามทีละคน ส่วนใหญ่บอกว่า จะออกไปกินข้าวดูหนัง ฟังเพลงกับแฟน มีคนนึงบอกว่าจะทำเค้กให้แฟน และอีกหลายๆอย่างที่เป็นการแสดงความรัก สรุป คำตอบแรกบอกว่าไม่ฉลอง แต่คำตอบที่สองคือ ทุกคนจะใช้วันนี้เป็นโอกาสอันดีในการแสดงความรักต่อกัน แล้วแบบนี้เรียกว่า วาเลนไทน์สำคัญกับคนที่นี่หรือเปล่า ส่วนที่เมืองไทย............เราโทรไปหาเพื่อนๆ สุขสันต์วันวาเลนไทน์จ้า ...อวยพรไปประมาณ 10 กว่าคน เพื่อนๆทุกคนถามว่า จะโทรมาไม สำคัญไรนักหนา บ้างก็บอกว่า ทุกวันมันก็เหมือนกันแหละ มีเพียงหนึ่งเดียวที่ตอบว่าขอบใจ เพราะว่าวันนี้เป็นวันแต่งงาน ที่เลือกวันนี้ เพราะเป็นวันแห่งความรัก แล้วแบบนี้........จะเรียกว่าคนไทยให้ความสำคัญไหม หรือว่า สังคนที่เราอยู่ทั้งสองประเทศ เป็นส่วนที่แตกแยกกับคนส่วนใหญ่ อุ้ยๆๆๆ น่ากลัวอย่างแรง จากคุณ : ตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 04:56:22

ความคิดเห็นที่ 19 ผมถือพุทธเลยไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ครับ จากคุณ : น้ำเต้าหู้กะปาท่องโก๋ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 06:19:55

ความคิดเห็นที่ 20 ผมมองอย่างย่อๆ ว่า การที่ พฤติกรรม  วัฒนธรรม  หรือความเชื่อ  จากต่างถิ่นสามารถกลายเป็นที่นิยมและถูกรับมาปฏิบัติในอีกถิ่นหนึ่งได้นั้น   ปัจจัยหลักๆ น่าจะอยู่ที่  พฤติกรรม  วัฒนธรรม  และความเชื่อเหล่านั้น "ผ่านมือ" ใครมาก่อน    ตรงนี้สำคัญมากโดยเฉพาะในสังคมไทยมีความซับซ้อนทางสังคม   หากพฤติกรรม  วัฒนธรรม และความเชื่อเหล่านั้นผ่านมือบุคคลชั้นสูงในสังคมหรืออาจจะเป็นผู้มีอิทธพล( คำว่า "ผู้มีอิทธิพล"ไม่ได้หมายถึงในแง่ลบ  เป็นคำกลางๆ)ทางความคิดและโน้มน้าวจิตใจคนส่วนใหญ่ในสังคมได้     ตรงนี้ก็เชื่อได้ว่า  พฤติกรรม  วัฒนธรรมและความเชื่อจากต่างหรือถิ่นสามารถเริ่มได้ดี        ส่วนจะเป็นที่นิยมในวงกว้างหรือแคบอย่างไร    ก็พออาจจะเทียบเคียงกับอิทธิพลและความกว้างขวางของคนหรือกลุ่มคนที่นำพฤติกรรม  วัฒนธรรมและความเชื่อมาใช้ในสังคมนั้นได้   ยกตัวอย่างเช่น   พฤติกรรมที่นำภาษาอังกฤษมาใช้แทนคำในภาษาจนแทบจะกลายเป็น "เนื้อเดียวกัน" กับภาษาไทยแล้ว  เช่นคำว่า  ล็อค   แบบฟอร์ม  สไลด์   ฯลฯ     พฤติกรรมนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า   หลังจากที่ราชโอรสทั้งสิบแปดของพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากยุโรปเสด็จกลับประเทศไทย     เป็นที่นิยมเรื่อยมาจนถึงยุคอดีตนายทักษิณที่โปรยคำไทยและอังกฤษผสมกัน       อีกทางหนึ่ง    พฤติกรรมและความเชื่อเรื่อง "แห่งนางแมว" ขอฝนจากพญาแถน   เป็นพฤติกรรมจากต่างถิ่นที่อาจจะ "ผ่านมือ"  แค่ระดับผู้ใหญ่บ้าน  กำนัน  หรืออาจจะเป็นหมอผีประจำหมู่บ้าน     ความนิยมการ "แห่นางแมว" ขอฝนจึงอยู่เฉพาะวงแคบระดับหมู่บ้าน อำเภอ (ในบางตำบล บางหมู่บ้านแห่นางแมว  แต่บางหมู่บ้านไม่แห่)           ปัจจุบันนี้สื่อ  ไม่ว่าจะเป็นทีวีก็ดี  หนังสือพิมพ์ก็ดี   ได้กลายเป็น "ผู้มีอิทธิพล" แทบจะชี้เป็นชี้ตาย พฤติกรรม  วัฒนธรรม และความเชื่อจากต่างถิ่นได้เลย   และความจริง  ผู้ที่ครอบครองสื่อก็คือบุคคลชั้นสูงในสังคมนั่นเอง ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้พฤติกรรม  วัฒนธรรม และความเชื่อจากต่างถิ่นเป็นที่นิยมในวงกว้างก็ "ต้นทุน" ในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรม  วัฒนธรรม และความเชื่อเหล่านั้น    ถึงตรงนี้แล้ว    ก็ขอตีวงแคบมาที่ประเด็นเรื่อง "วันวาเลนไทน์" ตรงๆ เลย.......ต้นทุนการเข้าได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมวันวาเลนไทน์สำหรับทั่วๆ ไปและคนไทยไม่สูงและไม่สลับซับซ้อนเลย    ดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง(ราคาต่ำสุด5 บาท  ไปจนถึงร้อยบาท)  จะให้ดีขึ้นมาหน่อยก็มีการ์ดเล็กๆ ส่งให้เพศตรงข้ามหรือคนที่เราหมายปองก็เสร็จพิธี!!   จึงไม่แปลกใจว่าทำไมวันวาเลนไทน์จึงเป็นที่นิยมเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางสำหรับคนไทยไม่ว่าชนชั้นสูงหรือต่ำ     และผลที่ตามมาอาจจะเป็น "กำไร" หลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว       แตกต่างจากความเชื่อเรื่องวันคริสมาสต์   แม้เทศกาลคริสมาสต์จะถูกประโคมยิ่งใหญ่มโหฬารที่เมืองไทย    ท้ายที่สุดมันก็เป็นที่นิยมเฉพาะกลุ่ม   เพราะนอกจากจะสลับซับซ้อนแล้ว   ต้นทุนในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้ก็สูงกว่าเทศกาลวันวาเลนไทน์ ผมเชื่อขนมกินได้ว่าเทศกาลวันวาเลนไทน์จะแทรกซอนเข้าไปแทบจะทุกชนชั้นของสังคมไทย    นอกกจากจะเชื่อได้ว่าเป็นความเชื่อของซีกโลกตะวันตก(ที่เราๆ ท่านๆ เห่อกัน)  ยังเป็นเทศกาลที่มีต้นทุนต่ำ    แต่กำไรสูงด้วย       ส่วนเทศกาลแห่บั้งไฟขอฝน(ที่เอาความเชื่อมาจากเมืองแถนประเทศเวียดนาม)หรือแห่นางแมวนั้น    ย่อมไม่เป็นที่นิยมในวงกว้างแน่    ในทางตรงกันข้าม...ยิ่งนับวันก็ยิ่งจะจางหายไป   เนื่องเพราะว่าความเชื่อตรงนี้ไม่ได้ผ่านมือผู้มีอิทธิพลหรือบุคคลชั้นสูงในสังคม   และเป็นความเชื่อที่ลงทุนสูง   เช่น ทำบั้งไฟแสนบางลูกต้องใช้จ่ายเหยียบแสนก็มี   ทำเสร็จก็จุดปล่ยอขึ้นฟ้าทิ้งไปเฉยๆ   หรือประเพณีแห่งนางแมว    ใครคนใดคนหนึ่งก็ต้องเสียสละ "น้องแมว"ให้ชาวบ้านแห่แล้วเอาน้ำสาดรอบหมู่บ้าน    แต่ประเพณีวาเลนไทน์แค่ลงทุนสักสิบบาทซื้อดอกไม้ดอกเดียว   ผลที่ตามมาน่า "ลุ้น" กว่า  จุดบั้งไฟทิ้งเป็นไหนๆ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 06:58:07 จากคุณ : วัชรานนท์ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 06:53:09

ความคิดเห็นที่ 21 Marketing ล้วนๆ ขายของได้ดี จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 07:07:48

ความคิดเห็นที่ 22 ตอนแรกเราก็เครียดไม่ได้ซื้อการ์ด ดอกไม้ chocolate ให้แฟน พอลองถามน้องชายแฟนว่าซื้อไรให้แฟนวัน Valentine เค้าก็บอกว่า มันเป็น business เราก็อ๋อ โอเค งั้นไม่เครียดแล้ว เราว่าแล้วแต่คนนะว่าให้ความสำคัญแค่ไหน เราก็แค่ให้อะไรเล็กๆน้อยๆกับแฟน คนเรารักใครก็ต้องแสดงความรักกันสม่ำเสมอ ไม่ต้องรอวันอะไรหรอก ใช่มั้ยจ้ะ :D จากคุณ : Veganista (Veganista) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 07:46:31

ความคิดเห็นที่ 23 เราว่ามันอยู่ในช่วงวัยด้วยนะ ร้านดอกไม้ข้างบ้านเราไม่ได้หลับได้นอน จัดดอกไม้เตรียมออเดอร์ทั้งวันทั้งคืน         ร้านเพื่อนกันก็ออเดอร์ตรึม         ส่วนคุณสามีเราอายุเกินค่อนคนแล้ว เป็นคนค่อนข้าง sweet วันนี้บ่นว่า วันนี้มันน่าจะลบออกจากปฎิทินได้แล้ว มันเป็นวันที่คนอยากจะขายดอกไม้ขายการ์ด เท่านั้นแหละ เราก็เถียงว่าก็ Ok นะอย่างน้อยมันก็มีวันพิเศษของความรักระหว่างเรา เค้าก็บอกว่าความรักมีให้ทุกวันอยู่แล้ว       วันนี้ลูกค้าเข้าร้านมาลูกค้าชายก็แอบซื้อของทำเซอร์ไพรซ์ให้ภรรยากันในร้านนั่นแหละ นี่ก็ที่อเมริกานะ จากคุณ : สีเบจ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 08:24:53

ความคิดเห็นที่ 24 เราอยุ่เมืองไทยแต่ไม่เห็นจะมีใครเห่ออะไรมากมายเลยนะ ร้านค้าก็ปิดตรุษจีน เงียบเชียว จากคุณ : Ayala9 เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 09:11:51

ความคิดเห็นที่ 25   เมื่อก่อนข้อยก็ชอบกัดพวกฉลองวาเลนไทน์ คริสต์มาส ฮัลโลวีน อีสเตอร์ สงกรานต์ กัดมันไปทุกเทศกาล ฉลองทำไม ไอ่พวกนี้ทาสโฆษณา มาร์เก็ตติ้ง ฝรั่งเค้ายังไม่ฉลองขนาดนี้ ไอ่พวกบ้านนอก ชอบกิน KFC, Pizza Hut, Donut เสล่อจริง ๆ ผิดกับคนอยู่เมืองฝรั่งเป็น 10 ๆ ปี อยากกินกะปิ ปลาร้า ส้มตำ บลา บลา บลา ตอนหลังคิดใหม่ ทำไมเราไม่เคยเห็นพวกที่เค้าฉลองวาเลนไทน์ ฮัลโลวีน ฯลฯ ไม่เคยมาคิดฉงนสงสัย อยากกัดคนไม่ฉลองมั่ง ... ทำไมพวกนี้ไม่ฉลอง ทำชีวิตให้พิเศษ... แต่ไม่ คนที่ฉลองไม่เคยถาม พวกเค้าจะลุกขึ้นแต่งตัว ออกไปมีนัดสนุก กับเพื่อน กับแฟน มีแต่ไอ่เราที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ 365 วันเหมือนกันหมดนั่นแหละ ที่ไปหมั่นไส้เค้า ... 10, 20 ปีต่อมา คนพวกนี้จะมีความทรงจำ อย่างน้อยก็ดี ๆ ช่วงหนึ่งในชีวิต ถึงแม้ว่าเค้าจะเลิกฉลองไปแล้ว สังเกตดูสิ พวกที่ฉลองน่ะส่วนใหญ่ก็พวกมีแฟน มีคนรักที่ยังซาบซ่ากันทั้งนั้น แล้วเรื่องจะกินไก่ KFC, Pizza Hut น่ะหรือ ก็เขากินปลาร้า ส้มตำ กระเพราไก่ทู้กวัน เขาก็อยากกินอย่างอื่นมั่งในโอกาสพิเศษ แต่ให้กินทุกวันเขาก็ไม่เอาเหมือนกัน ที่พูดมานี้ มันก็ธรรมชาติมนุษย์อะนะ ทำไรถ้าใครไม่เดือดร้อน ก็ทำไปเหอะ แล้วแต่รสนิยมคน HallMark ก็ไม่ได้ไม่ดี สร้างเงิน สร้างงาน สร้างความรู้สึกดี ๆ ให้คน KFC, Pizza อาจจะแย่หน่อยตรงโคเรสเตอรอลสูง แต่ถ้าเป็นโอกาสพิเศษ นาน ๆ ไปกินที กินแล้วตาสี ยายสา ไอ่จ่อย อีนาง มันรู้สึกดีสักวัน อีก 360 ไม่มีโอกาสกิน ต้องจกปลาร้า ส้มตำ ก็อย่าไปว่าเค้าเล้ย ... คุณลองซื้อ KFC Pizza ไปให้เด็กกำพร้า พวกบ้านสงเคราะห์ กันสิ เค้าดีใจตายเลยล่ะ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 09:53:41 A:58.11.87.128 X: TicketID:098315

ความคิดเห็นที่ 26   เราว่าขึ้นกับอายุและค่านิยมมากกว่านะ  ปีนี้วาเลนไทน์เราอยู่เมืองไทย ตอนไปซื้อการ์ดให้สามี ไปเลือกๆ กับเด็ก ๆ วัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่  มีรุ่นใหญ่กลางขนาดเราไม่กี่คน ซื่งส่วนใหญ่จะเลือกการ์ดเอา เด็กๆ ก็เลือกดอกไม้ ตุ๊กตาหมีกันไป ต้องเข้าใจว่าช่วงวัยรุ่นก็ตื่นกับเทศกาลเป็นธรรมดา ถ้าลองมีแฟนแล้วไม่ซื้อให้กันนี้ คงมีโกรธกันบ้างล่ะ ปีนี้เราก็บอกสามีว่าไม่ต้องส่งดอกไม้มาเพราะสิ้นเปลืองเงินทอง นี่ก็ยังไม่เจอกันเลย เลยยังไม่ได้ให้กัน คิดถึงตอนเป็นวัยรุ่น มีคนมาจีบถ้าไม่ซื้อดอกไม้ให้นี่ โกรธนะ พออายุมากขี้นเห็นเป็นเรื่องตลก ที่อเมริกาก็ก่อนมาเมืองไทยเห็นทางห้าง ร้านค้า จัดชอคโกแล็ต สติ๊กเกอร์หัวใจออกมาเยอะแยะ เห็นมีเด็กวัยรุ่นมาซื้อเยอะ คงเอาไปแจกเพื่อนๆ กัน เมื่อวานไปเดินห้างเห็นมาทานข้าวนอกบ้านกันเยอะ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีกันเป็นคู่ๆ บางคู่ใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน  ก็น่ารักดี เห็นแล้วอยากใส่บ้างกับสามี แต่หาไซด์ไม่ได้ เรื่องอย่างนี้อาจดูงี่เง่าสำหรับบางคน แต่ที่บ้านชอบทำตัวหวานเวอร์อย่างนี้แหละ ก็คนเขารักกันนะตะเอง   ปล. การ์ด Hallmark ตอนแรกว่าจะซื้อแล้ว เพราะข้อความซึ้งไม่ต้องเขียนเยอะมาก แต่พอเทียบราคากับการ์ด Cordial  อันนี้น่ารักกว่า ราคาน่าคบกว่าเยอะจ๊ะ จากคุณ : ToonyBerri เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 10:33:48

ความคิดเห็นที่ 27 ฝรั่งก็บ้าคลั่งกันจะตายค่ะ เมื่อวานไปมอลล์ คนเยอะกว่าตอนคริสต์มาสอีก แทบไม่มีที่จอดรถ ร้านช็อคโกแล็ตชื่อดังก็แถวยาวเป็นกิโล เราไปทำงานก็มีฝรั่งให้ช็อคโกแล็ตเป็นของขวัญด้วย แถมถ่ายรูปในครอบครัวมาให้เป็นการ์ดที่ระลึกอีก น่ารักดี เราสินึกอายไม่มีอะไรให้เค้าเลย .... เราว่าเค้าก็บ้ากันไปไม่แพ้กันทุกชาตินะคะ จากคุณ : ash the best เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 12:31:41

ความคิดเห็นที่ 28   ขอบคุณ คุณกริชนาคราช ที่นำข้อมูลจริงๆมาฝากครับ ผมเห็นด้วยกับคุณอิสวาสุ.......ว่าเป็นวันหลอกขายของอีกวันนึง 1. วันวาเลนไทน์คือวันที่ดอกไม้แพงที่สุดในรอบปี 2. ไม่ว่าดอกไม้ที่คุณให้ จะสวยงามแค่ไหน .........ดอกไม้ของคนอื่น....อาจจะสวยกว่า...ดูดีกว่า ขึ้นอยู่กับกำลังเงิน 3. การให้ดอกไม้หรือช็อคโคแล็ตในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่ารักมากกว่าการให้ในวันอื่นๆ สิ่งของหรือคำพูดหวานๆ....ไม่สำคัญเท่าการกระทำ 4. ที่เมืองไทย วันวาเลนไทน์คือวันที่หาห้องว่างไม่ได้ในโรงแรมม่านรูด ..........เป็นวันที่โรงแรมม่านรูดเต็มมากที่สุด มากกว่าทุกๆ วันของทั้งปี จากคุณ : academician เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 13:45:38 A:12.129.141.11 X: TicketID:075095

ความคิดเห็นที่ 29 อเมริกา ตามเมืองใหญ่ๆ... เห่อมากและยังเป็นแบบนี้ต่อๆไป ช่วงสมัยเศรษฐกิจเฟื่อง สี่ห้าปีก่อน.... ทำงานแห่งหนึ่ง ทางร้านสั่งดอกกุหลาบสีแดงหลายพันดอก เพื่อเตรียมรับการสั่งจัดดอกไม้... ต้องมาตัดเล็ม ดึงกลีบไม่สวยออก เอาแต่สวยๆ... กลีบกุหลาบที่เด็ดทิ้งเป็นถุงๆ... สามตู้เย็นแบบเดินเข้าไปได้... เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 13:46:03

ความคิดเห็นที่ 30   ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ อาจไม่ค่อยมีเหตุผล คนไทยมักถือโอกาสหรือจะเรียกว่าฉวยก็คงได้ เอาวันวาเลนไทน์เป็นวันเสียตัวค่ะ ส่วนฝรั่งนั้นคงเสียได้ทุกวัน ก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นกับวันนี้มากนัก กลับกัน คือวันที่ระลึกถึงเซนต์วาเลนไทน์ เข้าใจว่าศาสนาคริสต์ก็มีหลายนิกาย ในแต่ละประเทศ ซึ่งอาจนับถือนักบุญแตกต่างกันมั้งคะ จากคุณ : วาว่ามาม่า เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 16:18:38 A:58.9.78.5 X: TicketID:206678

ความคิดเห็นที่ 31 วาเลนไทน์คือวันอะไร ? เราเคยอ่านหนังสือเล่มนึง จำชื่อไม่ได้แล้วต้องขอโทษที แบบว่าอ่านเยอะจนไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว แต่พอจะจำได้แม่นว่า จริง ๆ วาเลนไทน์ไม่มีประวัติอะไรที่สำคัญเลย เป็นไอเดียของคนขายดอกไม้เมื่อหลายสิบปีก่อนในอเมริกา ที่ตั้งวันวาเลนไทน์ขึ้นมาเพื่อขายดอกไม้เฉย ๆ ส่วนชื่อนักบุญไรนั่นก็แค่ถูกดึงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เฉย ๆ สรุปแล้วประวัติวันวาเลนไทน์ก็เป็นนิทานพอ ๆ กับประวัติวันคริสต์มาสที่คนหลงคิดว่าเป็นวันประสูติพระเยซูนั่นแล ส่วนตัวเราคิดว่าวันวาเลนไทน์สำคัญกับคนบางกลุ่ม เช่น วัยรุ่น ขนาดเราตอนเป็นวัยรุ่นก็ยังฮิตกะเค้าไปด้วย จำได้ว่าตอนที่ไปโรงเรียนเพื่อน ๆ จะเอาสติ๊กเกอร์รูปหัวใจมาแลกกันแปะที่เสื้อนักเรียน (ตอนนั้นยังผูกคอซอง เอ๊าะ ๆ อยู่เลย อิ ๆ ) ใครได้หัวใจเยอะจะยืดมาก ประมาณว่าคนรักชั้นเยอะนะเนี่ย ส่วนที่คุณ Detente รู้สึกว่าคนที่อเมริกาหรือยุโรปไม่ให้ความสนใจกับวันนี้ เราเองก็เคยนึกเหมือนกัน แต่เชื่อว่าเรามาอยู่เมืองนอกก็ตอนที่โตแล้ว เลยวัยสะรุ่นมานานแล้วใช่มั้ยคะ กลุ่มคนรอบตัวเพื่อนฝูงก็เป็นกลุ่มที่โตแล้ว เค้าเลิกเล่นเลิกกุ๊กกิ๊กกันแล้ว เลยพบว่าคนสนใจวันวาเลนไทน์กันน้อย สำหรับในเมืองไทย เราว่าคนไทยชอบสนุก วันอะไรก็ฉลองกะเค้าหมดแหละ ตรุษฝรั่ง ตรุษจีน ตรุษแขก อิ ๆ จากคุณ : Schnuckiputz เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 22:07:10

ความคิดเห็นที่ 32 เพราะอะไรคนยุโรปหรืออเมริกาถือว่าวาเลนไทน์ไม่ใช่วันสำคัญ คิดว่า 1. เพราะมันไม่ใช่วันหยุด เค้าเลยถือกันว่าเป็นแค่วันวันนึงเท่านั้น 2. เพราะวันทั้งหลายที่เป็น saint เป็นเพียงวันรำลึกถึง หรือระบุให้มีตามความประสงค์ของศาสนาเท่านั้น และ saint ของคริสต์น่ะ จริงๆ มีมากมายก่ายกอง ขึ้นอยู่กับการเมือง สถานการณ์ และความนิยมของคนสมัยนั้น 3. เพราะคนตะวันตกเค้าแสดงความรักกันอยู่เสมอ ๆ อยู่แล้วล่ะ ด้วยเหตุผลที่พอจะนึกได้ 3 ข้อ จึงทำให้คนยุโรปไม่ให้ความใส่ใจเท่าไร ทำให้นักโฆษณาไม่หยิบเอาเรื่องแบบนี้มาทำการค้าด้วยเช่นกัน ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมคนไทยให้ความสำคัญนัก ก็คงเหมือนๆ กะคนอื่นๆ ล่ะ จากคุณ : enzOmOdEnA เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 22:15:30

ความคิดเห็นที่ 33 ดิฉันไม่เคยให้ความสนใจกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แต่ฝรั่งที่บ้านให้ความสำคัญกับวันนี้เขาจะสั่งของทางอินเทอร์เน็ทเป็นดอกกุหลาบช่อใหญ่ๆ พร้อมตุ๊กตา และการ์ดส่งให้ดิฉันถึงที่ทำงานในเมืองไทยทุกปีเป็นเวลา 5 ปีมาแล้ว มาปีนี้ซื้อตุ๊กตา ช้อคโกแล็ต และการ์ดวางให้ล่วงหน้าไว้ที่ห้องหน้าบ้านก่อนที่ตัวเองจะออกไปดูแข่งรถ รักเรายังไม่เก่าเลย จากคุณ : โจ๊กหมูไม่เอาชูรส เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 22:30:50

ความคิดเห็นที่ 34 ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม half term  งานไม่ค่อยยุ่ง   จึงอยากจะแสดงความเห็นต่อว่าทำไมวันวาเลนไทน์ถึงเป็นที่นิยมในสังคมไทย..... อย่างที่บอกเอาไว้ว่า "ต้นทุน" ในการเข้าเป็นเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้ต่ำ   ซื้อดอกไม้ดอกเดียวให้คนชอบก็ถือว่าได้ฉลองเทศกาลวันวาเลนไทน์แล้ว      นี่เป็นมุมมองในแง่ "เศรษฐศาสตร์" นิดๆ ส่วนมุมมองในแง่ "สังคมศาสตร์" นั้น     สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่ออกจะปกปิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่ทีเดียวหากเทียบกับสังคมตะวันตก   เหมือนบทเพลงที่เคยโด่งดังในครั้งหนึ่งว่า "....จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน  ความหวังพังสิ้นทางรักมืดมน   เกิดมาร่างกายเท่านั้นเป็นคน....."  อะไรประมาณนี้....  แต่ละภูมิภาคของประเทศไทยมีลักษณะสื่อรักที่แตกต่างกันออกไป   ที่สำคัญคือไม่กล้าบอกรักตรงๆ  จะใช้กิจกรรมอย่างอื่นเป็นสื่อ    เช่นการไปช่วยครอบครัวของหญิงสาวที่ตัวเองชอบ ลงแขกตีข้าวทุกๆ ปี (ใช้เวลานานเป็นปีเพื่อจะ hint ให้เธอรู้ว่ารักว่าชอบ)  หรือมีระดับขึ้นมาหน่อย  ก็ชวนไปดูหนังฟังเพลง  ทานอาหารตามโรงแรม   และล่าสุดก็คือวัฒนธรรมในหมู่ดาราที่ไม่กล้าบอกรักกันตรงๆ  มักจะอ้างว่า "คบกันเป็นพี่น้อง" หรือ "นับถือเป็นเพื่อนกัน"  วัฒนธรรมเช่นนี้ถือว่าต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่อีกฝ่ายหนึ่งจะถึงบางอ้อว่า "รู้นะว่ารัก" จุดมุ่งหมายดั้งเดิมของวันวาเลนไทน์ไม่ได้เป็นเพื่อให้หนุ่มสาวบอกรักกัน    แต่ปัจจุบันนี้ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า   มันกลายมาเป็น "เครื่องมือ" ที่ถูกใช้เพื่อจะรวบรัดขั้นตอนการบอกรักคนต่างเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพและลงทุนต่ำมากเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมการบอกรักแบบสมัยเก่า     ผมจึงไม่อยากจะเชื่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า   เหตุที่วันวาเลนไทน์เป็นนิยมในสังคมไทยโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นถึงวัยเบญจเพศนั้นเป็นเรื่อง Marketing ล้วนๆ      ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะว่าเทศกาลวันวาเลนไทน์กำลังถูกใช้เป็นเครื่องหรือเป็น "ทางลัด" ในการบอกรัก   นั่นเอง จากคุณ : วัชรานนท์ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 00:27:27

ความคิดเห็นที่ 35 หลายๆคนที่ไม่ได้ทำอะไรพิเศษๆ เพื่อคนรักในวันวาเลนไทน์ ก็มักจะใช้เหตุผลที่ว่า "ก็รักกันทุกวันอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นจะต้องมีวันพิเศษเพื่อแสดงความรักเลย" เชื่อขนมกินได้เลยค่ะว่า คนประเภทนี้ ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดาอื่นๆ อีก 365 วัน...ก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษให้คนรักเช่นเดียวกัน เราเคยเจอ กับคำพูดที่ว่า รักก็รักด้วยใจไง ไม่จำเป็นมีของอะไรให้กัน บอกว่ารักกันนั่นก็มากมายแล้วไง รักกันทำไมต้องทำนู่นทำนี่ใ้ห้กันด้วย สำหรับเราแล้วนั่นคือ ขอโทษนะ ความคิดเราเอง...ไม่ใส่ใจ การทำให้คนรักประทับใจ..เซอร์ไพรส์ ยินดี นั่นก็เป็นการเพิ่มความหวานและความโรแมนติกให้คนทั้งคู่ จริงๆแล้วมันเป็นแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆ เท่านั้นแหละค่ะ มันก็ไม่ได้ยากนี่นา ไม่ว่าคุณจะทานข้าวข้างนอกหรือทานที่บ้านอาจจะเพิ่มความโรแมนติกโดยฟังเพลงเพราะๆ(ปกติดูละครหลังข่าวแล้วกินข้าวไปด้วย) จุดเทียนสร้างบรรยากาศ (ปกติเปิดไฟนีออนสว่างจ้า) หรือ บอกรักกัน ยืนดูดาวด้วยกัน (ปกติค่ำแล้วก็นอนเลย) นั่นก็พิเศษแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องเช่ารถหรู จองโต๊ะที่โรงแรม 5 ดาว หรอก ทำสิ่งที่เป็นคุณก็พอ ไม่รู้ว่าคุณๆผู้ชายคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่สำหรับผู้หญิง ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องการคนเอาใจใส่นะ เวลาที่คุณเห็นคนเค้าเดินเป็นคู่วันวาเลนไทน์แล้วคุณรู้สึกยังไง เหงารึปล่าว? รู้สึกอยากให้มีใครซักคนอยู่ข้างๆมั้ย ....อย่าปฏิเสธนะ เรารู้ว่าลึกๆแล้วในใจคุณ..ก็เหงา คำพูด..ใครก็พูดได้ค่ะ ถึงแม้ในใจคุณจะไม่ได้คิดแบบนั้นแต่คุณก็พูดได้ค่ะ การกระทำตะหากที่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงได้นะ การมอบสิ่งดีๆให้กันและกัน การทำสิ่งพิเศษให้คนที่เรารักได้รู้สึกว่าเค้าเป็น "คนพิเศษ" นั่นจะช่วยเสริมสร้างความรักของคุณๆให้แข็งแกร่งขึ้น ผู้หญิง เกือบทุกคน ถ้าเธอมีนัดวันวาเลนไทน์ แน่นอนแหละว่าเธอได้เลือกชุดที่จะใส่ เลือกสไตล์ที่จะแต่งหน้า เลือกรองเท้าที่เข้ากับชุดและกระเป๋า ไว้อย่างพิถีพิถันในคืนก่อนวาเลนไทน์แลว หรือบางคนอาจจะคิดไว้ในใจตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้านั้นแล้วก็ได้ ใช่ วันวาเลนไทน์อาจเป็นเรื่องที่มีการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องซะส่วนใหญ่ แต่มันก็ไม่จำเป็นหรอกนี่นา การตลาดจริงๆแล้วไม่ใช่ "วาเลนไทน์" หรอก มันคือ "ดอกกุหลาบ" ตะหาก เพราะคนสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาว่า ดอกไม้ที่เหมาะกับวันวาเลนไทน์คือ "กุหลาบเท่านั้น" นั่นต่างหากที่ทำให้ดอกกุหลาบแพง คุณไม่จำเป็นต้องให้ดอกกุหลาบเลย ถ้าอยากให้สิ่งของ ก็..ให้อะไรก็ได้ ขนม นาฬิกา ตุ๊กตา ของhandmadeที่คุณทำเองจากใจ ฯลฯ เราไปดูหนังมาในวันวาเลนไทน์ และตั๋วหนัง..ราคาปกติ เราไปเดินเล่นต่อที่สวนสาธารณะและ....ไม่เสียค่าเข้า เราเดินเล่นก็ไปทานข้าวเย็นต่อที่ร้านอาหารและ.....ราคาอาหารก็เท่าเดิม นี่ไง..มันอยู่ที่คุณค่ะ อยู่ที่คุณจะเลือกว่าจะทำอะไรในวันนั้น เหตุผลหนึ่งที่วันวาเลนไทน์เป็นวันพิเศษที่หลายๆคนเลือกจะทำอะไรพิเศษๆนั่นก็เพราะมันเป็นวัน แห่งความรัก "สากล" เหมือนกับว่าเราได้ฉลองวันแห่งความรักไปพร้อมๆกับคนทั้งโลกไง และไม่ใช่เฉพาะวัยรุ่นเท่านั้นที่ทำอะไรพิเศษๆในวันนี้ แม้แต่คนทำงานเอง หลายๆคนก็ทำงานเก็บเงิน ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน้อต เก็บเงินมาพาคนรักไปทานมื้อเย็นสุดหรู หรือบางคนก็รีบปั่นงานมาติดๆกันหลายวัน เพราะรู้ว่า...เดี๋ยวก็ได้เจอคนที่รักแล้วในวันนั้น มันเหมือนเป็นจุดนัดพบค่ะ สำหรับวันวาเลนไทน์ คู่รักทั้งหลายก็รู้ตรงกันว่า จะถึงวาเลนไทน์แล้วนะ อะไรประมาณนี้ การเอาใจใส่กันในสิ่งเล็กๆน้อยๆ จะช่วยต่ออายุความรักของคุณให้นานขึ้นและมั่นคงนะคะ สำหรับในเรื่องของการมีอะไรกันในวันวาเลนไทน์..นั่นมันเป็นข้ออ้างของคนที่มีความคิดแย่ๆ อยากเอาเปรียบผู้หญิง หรือความคิิดของผู้หญิงที่..นั่นแหละอยากลอง อะไรก็ว่าไป วาเลนไทน์ไม่จำเป็นต้องเสียตัวค่ะ และก็ไม่ใช่เพราะว่าฝรั่งเค้ามีอะไรกันทุกวันเค้าเลยไม่ตื่นเต้น คนไทย...ก็ไม่ได้มีอะไรกันเฉพาะวันวาเลนไทน์นี่คะ  มันเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้มาพูดแค่นั้นแหละ แบบว่า...เราขอนะ เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ไง....นั่นน่ะ อ้างชัดๆเลยล่ะ มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณที่มีต่อวันวาเลนไทน์แหละ ว่าคุณจะมองแบบไหน ใครไม่สนใจจะทำอะไรพิเศษแก่คนรักวันวาเลนไทน์ มันก็เรื่องของคุณ ใครที่คิดว่าวาเลนไทน์เป็นวันพิเศษ นั่นก็เรื่องของเค้า นานาจิตตังค่ะ จากคุณ : awesome girl (daffygirl) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 14:34:09

ความคิดเห็นที่ 36 อยู่เมกาได้ 2 เดือน ก็เห็นว่าเมืองเล็กๆ ก็ให้ความสำคัญนะวันนี้ เรากะแฟน ไปกินข้าวก่อนวาเลนไทน์ ก็ยังเต็มทั้ง 3 ร้าน เค้าให้ความสำคัญนะคะ ทำเค้กให้แฟน ซื้อดอกไม้ให้ ทานข้าวกัน มีการ์ดมีดอกไม้ ค่ะ จากคุณ : terryshep (terryshep) เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 09:07:18