ความคิดเห็นที่ 1 อ่านแล้ว  งง  อ่ะหง่ะ    ว่า  จบเภสัช โท  จากเมีองไทย  หรีอว่า  เมกา แล้วทำมายยยย   จะต่อตรี  ที่เมกาอีก  ผมไม่เคลียร์ อ่ะน่ะ  แล้วตอนนี้  อยู่ไทยหรีออเมริกา คัฟฟฟฟฟฟ อย่างไรก็ตาม   การทำงานที่อเมริกา  คุณจะต้องผ่าน license ไงครับ หรีออยากจะเรียนต่อ ก็ตอ้งมีเงินแยะๆๆๆๆๆๆๆ  สำหรับค่าเรียน แต่จะทำงานไปด้วยที่อเมริกา  ก็ตอ้งเป็นมุม Ph.D นั้นแหละ  อาจจะได้ทุน  แต่อย่ายอมแพ้ครับ  สู้ๆ   ผมคิดว่ามันต้องมีหนทาง อ่านจากหลายๆคน  ที่เข้ามาถามเรี่องเถสัช แล้ว  ผมชักจะได้กลิ่น   ว่าเมีองไทย   ไม่อยากได้อาจารย์   ไม่มีคนอยากเป็นอาจารย์  เพราะว่าเงินเดีอนน้อย   แตละคน ก็หวังจะไปเอาดีกันที่ต่างประเทศ   ทั้งน้าน   เช่นเดียวกับพวกหมอ   ที่พากันออกจากประเทศไทยไปอเมริกา หากว่าตัวผม  สมองดีๆ  คงจะอยู่ช่วยประเทศไทยครับ แต่ผมขี้เกียจมาก  เลยไม่อยากนำความลำบากให้ประเทศไทยมากขึ้น  (บ่นอีกแล้ว) จากคุณ : hollywop เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 10:35:46

ความคิดเห็นที่ 2 สวัสดีครับ น้องเรียนจบโทที่เท็กซัส อเมริกาเรียบร้อยแล้วครับ กำลังหางานอยู่ มีแฟนและมาอยู่ที่รัฐแมรี่แลนด์แล้วครับ ไม่อยากกลับเมืองไทยครับ อยากหางานที่นี่ เพราะเรื่องแฟนและเรื่องงาน เลยอยากขอเงินเรียนตรีเภสัชกรที่อเมริกาอีกรอบ พ่อผมก็เลยให้ไปหาข้อมูลก่อน แล้วจะได้บอกน้องครับ รบกวนแนะนำหน่อยครับ เพราะค่าเรียนไม่ใช่ถูกๆ จริงแกก็ไปเป็นอาจารย์ใช้ทุนแล้วนะครับ แต่ไม่อยากกลับไปเป็นอาจารย์แล้ว จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 11:17:01 A:58.10.77.142 X: TicketID:177064

ความคิดเห็นที่ 3 จบโทด้านเภสัชที่เมกาเเล้ว ไหงจะมีปัญหาเรื่องสอบโทเฟลอีกล่ะ พูดและฟังไม่ถึงขั้นขนาดจะสอบไม่ผ่าน แล้วทำไมจบโทมาได้ ดิฉันว่าน้องคุณนี่แปลก ไม่มีเหตุผล เรียนมาถึงป่านนี้เเล้ว จะกลับไปเสียเงินเป็นล้านเรียน ป.ตรีอีกรอบ แล้วมันก็มาหยุดที่จุดเดิมอีก ต้องสอบไลเซ่น ขอว่าหน่อยนะว่า โตขนาดนี้เเล้ว ยังจะต้องสร้างความลำบากให้พ่อแม่อยู่อีก จากคุณ : mrs.night owl เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 11:44:56

ความคิดเห็นที่ 4 เภสัชปอตรีที่อเมริกาไม่มีนะครับ ส่วนมากเขาจะรับคนจบตรีแล้วนอกจากว่าเรียนขั้นเทพจริงๆ เพราะว่าจบมาได้วุฒิ  Pharm.D. ซึ่งเทียบได้กับ M.D. แต่ไม่มีใครเขาเรียกด๊อกเตอร์กัน หลักสูตรที่นี่เรียนสี่ปีและการแข่งขันสูงมาก มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เอาคะแนนสอบ PCATซึ่งสอบวิชาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์ในการตัดสินด้วย ผมว่าเสืยเวลาเปล่าในการเริ่มเรียนใหม่นะครับ เอาเวลาไปเตรียมสอบ TOEFL ดีกว่ารู้ว่าเขาเอาคะแนนสูงกว่าพยาบาล แต่คงมีสักวันที่ตองสอบได้น่ะ ผมว่าทางที่ดีที่สุดน่าจะหางานใน pharmaceutical companies นะครับ อย่างน้อยก็ได้นำความรู้มาใช้ ฝ฿กภาษาด้วย งานผู้ช่วยได้เงินเดือนน้อยผมว่าน้องเขาจะอึดอัดที่หลังเพราะว่าได้ใช้ความรู้ความความสามารถในขีดจำกัดเท่านั้น อ้อลองหางานในมหาวิทยาลัยดูด้วยประเภทงานวิจัยไม่ต้องสอนก็มี เคยได้ยินมีคนไทยที่จบเมืองไทยมาเป็นเภสัชที่นี่แต่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ถ้าเขาทำได้น้องคุณน่าจะมีความหวังนะครับ จากคุณ : pittnrk เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 12:55:18

ความคิดเห็นที่ 5 อยากหางานที่นี่ เพราะเรื่องแฟนและเรื่องงาน อ๋ออออออ.....เข้าใจแระ....ไม่อยากกลับเพราะว่า.....ได้แฟน...อยากอยู่กะแฟนนนน ทำไมไม่แต่งงานกับเขาอ่ะ....จะได้ Green Card .....แต่งไม่ได้....เข้าหา US TASK Force ก็ด้าย  http://www.thetaskforce.org/issues/marriage_and_partnership_recognition ลองให้เขาช่วย   ว่าทำไงถึงจะได้   Green Card ส่วนเรี่องเรียนเข้าไปนั่งอ่านเอาเอง   ผมฉายเรี่องนี้มาหลายครั้งแล้วครับ  แต่เข้าไปหาเองสำหรับ  Maryland  ได้ตั้ง Master Degree แล้ง  คุณคงจะเข้าไปช่วยเหลีอตนเองได้ อ่านให้เข้าใจนะค๊าฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ.......ถ้าหากว่าแฟนเป็นหญิง.....อย่าไปทำให้เขาท้องโต....ไม่เช่นั้นจะไม่มีโอกาสได้เรียน....จะตอ้งนั่งไกวเปลแทนเรี่องเรียนอ่ะ เข้าไปอ่านดูเองว่าเขาต้องการอะไร http://www.aacp.org/resources/student/pharmacyforyou/admissions/Pages/PSAR.aspx จากนั้นคลิกไปดูที่  เวปนี้สำหรับ application จากโรงเรียนต่างๆ  สำหรับปี 2011 ที่นิวยอร์กมีอยู่สามแห่งคีอ (ที่ Maryland หาเอาเอง  เพราะผมเคยช่วยหาให้เพี่อนที่นิวยอร์ค) http://www.touro.edu/pharmacy/ http://www2.brooklyn.liu.edu/pharmacy/ http://www.stjohns.edu/academics/graduate/pharmacy เข้าไปอ่านที่ Phamcast  ว่าจะส่ง Transcript อย่างไร http://www.pharmcas.org/collegesschools/whypharmcas.htm หรีอไปที่เวปนี้ http://www.nabp.net/ จากนั้น  download application สำหรับ การที่จะเป็น phamcist ที่อเมริกา  จาก เวปนี้ Program แล้ว FPGEE http://www.nabp.net/programs/examination/fpgee/ จากนั้นก็ส่งไปตามที่เขาต้องการ แล้วเข้าไปดู  ของ New York หรีอ Maryland สำหรับใบอนุญาต http://www.op.nysed.gov/ ขอให้โชคดี  (หากว่าอ่านเข้าใจ) จากคุณ : hollywop เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 13:17:59

ความคิดเห็นที่ 6 ผมก็มองว่ามันจะถอยหลังหรือเปล่า เพราะเรียนมาเยอะแล้ว จริงบอกไป จบ PramD. ที่เมืองไทยแล้วด้วย ต้องมาเสียเวลาเรียนใหม่อีก เงินและอายุก็ไม่ใช่น้อย น้องเป็นผู้หญิงครับ แต่เห็นใจครับ เพราะไม่มีแฟนที่เมืองไทยเลย เพราะอ้วนมาก ผิดคล้ำ ตัวไม่สูง แม่ก็อยากให้แต่งงาน เพราะคิดว่าหาที่เมืองไทยคงไม่ได้ แต่มาเรียนที่นี่ ก็มาเจอแฟนอเมริกันที่นี่ ก็คบสองปีแล้ว แต่อยู่กันคนละที่ แต่ก็ไปๆมาๆเจอกันบางครั้ง พึ่งจะมาอยู่ใกล้กันสามสี่เดือนเอง แต่มีปัญหาเรื่องศาสนา เพราะเขาเป็นคริสต์ ไม่ทราบนิกาย อาจจะคริสเตียน เพราะเห็นว่าเคร่ง แต่น้องเป็นพุทธ ฝ่ายชาย ก็ขอใช้เวลาคิด เพราะยังตัดสินเรื่องนี้ว่าให้น้องโอนศาสนาหรือต่างกันต่างนับถือดี ฝ่ายชายก็มีเงิน แต่ไม่รู้พอแต่งหรือเปล่า และน้องก็มีเงินเก็บพอสมควร แต่ไม่เยอะมาก น้องผมก็เลยไม่ยอมกลับ ผมก็คิดว่าให้มาสอบภาษาอังกฤษที่เมืองไทย น่าจะง่ายกว่าหรือเปล่า ไม่ต้องไปเรียนใหม่ดีกว่าไหมครับ ผมก็แนะนำว่าให้ไปหางานประเทศอื่นดู เขาก็ไม่ยอม เข้าใจคนติดแฟน แต่งานมันหายากขนาดนั้นเลยหรอครับ ในยุควิกฤตการเงินแฮมเบเกอร์ แนะนำหน่อยครับ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 15:32:00 A:58.10.77.142 X: TicketID:177064

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้ารักกันจริง ไม่เห็นต้องจัดงานแต่งเลยนะ จดทะเบียนสมรสกันเฉยๆ ก็ได้ น้องเพื่อนก็เพิ่งแต่งงานกับแฟนไป อยู่ในระหว่างสร้างตัวทั้งคู่ หาเงินผ่อนบ้านอยู่ เลยแต่งแบบจดทะเบียนกันเฉยๆ ไม่ได้จัดงาน เพราะคิดว่าเอาเงินไปผ่อนบ้านดีกว่า จากคุณ : กระปุกตังฉ่าย เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 18:04:18 A:110.32.68.243 X: TicketID:188044

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านแล้วก็เข้าใจน้องคุณอยู่นะคะ แต่คิดว่าน้องคุณไม่ได้เล่าอย่างละเอียดลงถึงเรื่องการสอบไลเซ่นและขอวีซ่าทำงานด้วยแน่ๆ คุณเลยยังดูเป็นงงๆ ขอตอบเรื่องผู้ช่วยเภสัช (Pharmacy technician) ก่อนนะคะ ตำแหน่งนี้ต้องมี technician license ถึงจะทำได้ โอกาสที่น้องคุณจะได้งานนี้แทบไม่มี เพราะไม่มีบริษัทไหนขอวีซ่าทำงานให้ technician และแค่จบ high school ก็สามารถเป็น technician ได้แล้ว เฉพาะคนอเมริกันเองก็แย่งงานนี้กันแทบแย่ งานเภสัชกรตอนนี้หางานยากไหม ตอบว่ายาก เพราะมีโรงเรียนเภสัชเปิดใหม่เยอะและคนที่จบมาก็เยอะขึ้นแต่ร้านยาปิดลงหลายแห่งเพราะเศรษฐกิจไม่ดี การที่จะสามารถสอบ license เภสัชได้นั้น ต้องมีวุฒิ B.S. หรือ Pharm. D น้องของคุณจบโทจากเท็กซัส จึงไม่ Eligible ในการสอบ license เภสัช แต่น้องคุณจบ Pharm. D จากเมืองไทยแล้วสามารถสอบเทียบความรู้เพื่อใช้สอบ licenseต่อไป แต่หนทางก็ไม่ง่าย แต่วุฒิป.โทคิดว่าถ้าหางานเกี่ยวกับวิจัยหรือบริษัทยาใหญ่ๆหรืองานของมหาวิทยาลัยน่าจะมีโอกาส แต่ไม่ทราบว่าการแข่งขันมีสูงขนาดไหน เพราะไม่มีประสบการณ์ค่ะ แต่ถ้าต้องการ license เภสัชก็ต้องผ่านขั้นตอนยากๆ ถ้าคนที่จบ pharmacy school ในอเมริกาที่ได้การรับรอง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนอเมริกัน เค้าก็ถือว่าเป็น Non-Foreign Graduates ถ้าสามารถหาบริษัทมา sponsor วีซ่าได้ก็จะสามารถทำงานเป็น intern เก็บชั่วโมงและสอบ NAPLEX (ข้อสอบไลเซ่นเภสัช) และ MPJE (กฎหมาย)ได้ต่อไป ถ้าไม่ได้จบจากโรงเรียนในอเมริกาถึงแม้จะเป็นอเมริกันซิติเซ่นเค้าจะถือว่าเป็น Foreign graduates ขั้นตอนก็จะยากขึ้น เพราะต้องสอบ FPGEE (ข้อสอบเทียบความรู้) และ TOEFL ให้ผ่านก่อน เรื่องคะแนนและเอกสารที่เค้าต้องการหาอ่านได้จาก www.nabp.net เมื่อผ่านแล้วจะได้ FPGEC (เป็น certificate ที่ยืนยันว่าเราสอบผ่านสองอย่างนั้นแล้ว) จากนั้นจะต้องหาบริษัทที่ต้องการจะ sponsor วีซ่าทำงาน (H1B) ให้เรา เพื่อที่จะได้ทำงานเป็น intern เก็บชั่วโมงให้ครบเพื่อจะได้เอาไว้สอบNAPLEXและ MPJE ต่อไป ตอนนี้น้องคุณอยู่ในขั้นตอนสอบโทเฟลอยู่ จากคุณ : Jelly เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 15:46:20 A:98.185.210.115 X: TicketID:267775

ความคิดเห็นที่ 9 สาเหตุที่น้องคุณต้องการเข้าไปเรียนใหม่ ซึ่งจริงๆไม่น่าจะใช่ป.ตรี น่าจะเป็น Pharm. D เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่เค้าเปลี่ยนเป็น Pharm. D หมดแล้ว ก็คือมันจะง่ายกว่ามากๆ ในการหาบริษัทมา sponsor วีซ่าเพราะน้องคุณจะถือเป็น non-foreign graduate สถานการณ์ตอนนี้คือ ไม่มีบริษัทร้านยาไหนขอวีซ่า H1B ให้กับ foreign graduate เลย ทั้งที่เมื่อสามปีก่อนอาชีพเภสัชเป็นอะไรที่บูมมาก ร้านยาต่างๆ ขอวีซ่าให้เภสัชต่างชาติเยอะมากกกก เดินชนกันไปหมด แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี มีหลายคนที่สอบผ่าน FPGEE กับ TOEFL แล้วแต่ไม่สามารถหาคนมาขอวีซ่าทำงานให้ จึงไม่สามารถเก็บชั่วโมงและสอบ license ได้ และถึงแม้คนๆนั้นจะมีกรีนการ์ด แต่ไม่สามารถทำงานตำแหน่ง intern ได้ เพราะไม่ได้จบจากโรงเรียนในอเมริกา ลองหาอ่านได้จากที่นี่ http://www.urch.com/forums/pharmacy-forum กระทู้นี้ก็มีการพูดถึงกันเรื่องนี้ http://www.urch.com/forums/pharmacy-forum/116576-internship-2010-a.html Technician ที่ทำงานด้วยกันจบจากฟิลิปปินส์ มีกรีนการ์ดแล้วสอบผ่านได้ FPGEC แล้วได้ intern license แล้ว แต่บริษัทก็ไม่ promote ให้เป็น intern เพราะไม่ได้จบจากอเมริกา ทีนี้มาตอบคำถาม ๑. มันจะคุ้มค่าไหมครับที่มาลงตรีใหม่อีกรอบ แม้ว่าจบมาแล้ว ยังไม่แน่จะได้งานไหม แต่น้องว่าสามารถหางานทั้งอเมริกาและแคนาดา ในสถานการณ์ตอนนี้ถ้าเรียนจบ pharm. D ที่อเมริกาก็จะมีโอกาสหาคน sponsor วีซ่าง่ายกว่าใช้วุฒิจากเมืองไทยแล้วสอบเทียบ งานเภสัชกรสามารถทำที่รัฐไหนก็ได้ทั่วอเมริกา แต่ต้องสอบผ่านไลเซ่นของรัฐนั้นๆก่อน ซึ่งแต่ละรัฐจะมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันออกไป ต้องไปศึกษาในเว็บไซต์ของ board of pharmacy ของรัฐนั้นๆ อย่างของ Maryland ให้ไปดูที่ http://dhmh.maryland.gov/pharmacyboard/forms/pharmacist.htm ส่วนแคนาดานั้น ไม่ทราบค่ะ เพราะไม่รู้จักคนที่ไปทำงานเภสัชที่นั่นเลย ถ้าทางบ้านอยากให้ลูกสาวอยู่ที่อเมริกาและไม่ได้ลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายเลย(แพงมากๆหลายล้านบาทค่ะ) แนะนำให้เรียนค่ะ แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าสมัครแล้วเค้าจะรับเลย ต้องส่งใบสมัครไปหลายที่ ถ้าเกิดต้องได้ไปเรียนที่อื่นรัฐอื่นที่ห่างจากแฟนจะเป็นไรหรือเปล่า แล้วพอจบมาถ้าเขาขอวีซ่าทำงานให้ น้องสาวคุณอาจไม่ได้ทำงานในที่ที่ต้องการก็ได้นะคะ เพราะบริษัทย่อมต้องส่งคุณไปในที่ที่ขาดเภสัช เพราะไม่มีใครต้องการไปทำงานในบางเมือง แล้วถ้าต้องห่างกันอีกจะโอเคหรือเปล่า long distance relationship จะเวิร์คหรือเปล่า จากคุณ : Jelly เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 15:51:27 A:98.185.210.115 X: TicketID:267775

ความคิดเห็นที่ 10 ๒. อยากทราบว่าจะมีทุนให้ไหม แล้วสามารถหางานอื่นได้ไหมครับ นอกจากทำงานร้านอาหารไทย ซึ่งน้องทำเป็นพนักงานชั่วคราวอยู่ครับ น่าจะมีค่ะแต่ก็แล้วแต่มหาลัยด้วย เพื่อนที่กำลังเรียนที่ชิคาโก้บอกว่ามีทุนนักศึกษาต่างชาติ แต่ว่าคนที่ได้เรียนเก่งมากๆ และต้องมีคุณสมบัติอื่นๆประกอบ แข่งกันสูงมาก ส่วนงานอื่นนั้น ต้องลองถาม professor ดูค่ะ ว่ามีอะไรให้ทำไหม ส่วนงานนอก campus ถ้าถือ F-1 ทำไม่ได้นะคะ ทำร้านอาหารที่ทำกันก็แอบๆ ทำเอา ถ้าจะทำอย่างอื่นก็คงต้องหาดู แต่ว่าถ้าเรียนเภสัชหนักมากนะคะ เวลาแทบจะไม่มีต้องอ่านหนังสือตลอด ทำงานส่งครูทุกวัน ต้องอึดมากๆถ้าจะทำงานด้วย ๓. ตอนนี้ก็บอกน้องให้รอฟังผลสอบก่อน แล้วค่อยหาทาง แต่น้องบอกว่าจะไม่ทันสมัครเรียนปลายปีนี้ ถ้าจะเรียนคงต้องตัดสินใจตอนนี้เพราะว่าต้องเริ่มส่งใบสมัครตอนนี้แล้ว เพื่อให้ทันเรียนปีหน้า น่าจะหมดเขตมกรา กว่าจะเขียน essay กว่าจะหาอาจารย์มาเป็น reference กว่าจะหาหลักฐาน transcript ใช้เวลาเหมือนกันค ต้องเตรียมตอนนี้ ๔. หรือกลับมาสอบ Toefl ที่เมืองไทย เผื่อจะได้คะแนนง่ายกว่าครับ หรือทางโน้น ยังอยากได้ที่อเมริกาครับ ตอนนี้น้องทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ครับ Toefl ที่เมืองไทยไม่ได้คะแนนง่ายกว่าที่อเมริกาหรอกค่ะ ข้อสอบเหมือนกัน แต่ถ้ากลับไปเมืองไทยแล้วจะกลับมาที่อเมริกายากนะคะ เพราะถึงสอบผ่านแต่ไม่มีใครขอวีซ่าทำงานให้ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ที่อเมริกาแล้วเกิดสอบผ่าน Toefl ถึงร้านยาใหญ่ๆจะไม่ขอวีซ่าให้ แต่ลองไปหาร้านยาเล็กๆที่มีเจ้าของคนเดียว ลองขอเขาทำงานเก็บชั่วโมงแบบ volunteer เพื่อจะได้สอบไลเซ่นได้มีคนทำมาแล้วซึ่งก็โชคดีมาก ถ้าได้ไลเซ่นเภสัชแล้วการสมัครงานก็จะง่ายขึ้นมาก ถ้าน้องคุณมีกรีนการ์ดจากการแต่งงานสามารถทำงานเป็น technician ได้และทำงานอะไรก็ได้ถ้าเค้ารับ แต่ถ้าอยากเป็นเภสัชแนะนำให้เรียนต่อเพราะโอกาสได้งานมีสูงกว่าตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งไม่ถือเป็นการถอยหลังนะคะ แต่เป็นเหตุผลเรื่องวีซ่า เรื่องการสมัครเรียนคิดว่าน้องคุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จบโทด้านเภสัชมาแล้วประสบการณ์เยอะค่ะ คงไม่ต้องแนะนำ ยาวไปหน่อยแต่คิดว่าข้อมูลคงเยอะพอช่วยให้ทางบ้านคุณตัดสินใจได้นะคะ จากคุณ : Jelly เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 16:02:11 A:98.185.210.115 X: TicketID:267775

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านที่ จขกท เขียนแล้วก็สับสน ตกลงน้องจบอะไร ไปจากเมืองไทย เพราะเมืองไทยไม่มี PramD.หรือ PharmD แล้วที่ว่า น้องเรียนจบโทด้านเภสัชกร ที่เมกานั้น ตกลงจบอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรก็ตาม ในเมกา ก็ไม่มีตำแหน่ง ผู้ช่วยเภสัชกร แล้วที่ แกเลยบอกว่า จะขอเรียนตรีด้านเภสัชกรใหม่ที่อเมริกาใหม่ ถ้าจบจะได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรที่นี่ ก็ไม่จริงอีก เพราะที่ รัฐแมรี่แลนด์ ต่อให้เป็นมะกัน ก็ต้องสอบภาษาอังกฤษอีกด้วยนะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 16:24:04

ความคิดเห็นที่ 12 อยากรู้จัก คุณ Jelly จัลเลยครับ   hollywop@yahoo.com จากคุณ : ชอบคนมีความรู้ (hollywop) เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 22:42:24

ความคิดเห็นที่ 13 แวะเข้ามาตอบคำถามข้อ 4 จขกทใหม่ค่ะ เพราะเพิ่งได้ทราบว่าทาง nabp ได้เปลี่ยนกฎสนามสอบโทเฟลใหม่ ถ้าน้องสาวคุณกำลังสอบให้ได้ FPGEC อยู่ ต้องสอบ TOEFL ที่ศูนย์ในอเมริกาเท่านั้นค่ะ การกลับไปสอบที่ไทยจึงทำไม่ได้แล้ว จาก http://www.nabp.net/programs/assets/FPGECBulletin.pdf Test Center Restrictions Effective April 1, 2010, TOEFL iBT score reports from international ETS test site locations are no longer accepted for candidates seeking FPGEC Certification. TOEFL iBT score reports will only be accepted from ETS test centers located in NABP member and associate member jurisdictions including the 50 United States, District of Columbia, Guam, Puerto Rico, Virgin Islands, eight Canadian provinces, and New Zealand. In addition, score reports received from the Los Angeles, CA, ETS test site located at 3540 Wilshire Boulevard, will no longer be accepted on or after April 1, 2010. ส่วนที่ประเทศไทยคณะเภสัชศาสตร์ทุกมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนหลักสูตรจาก B.S of pharmacy เป็น Pharm D หมดแล้วค่ะ ตามข้อกำหนดของสภาเภสัช น่าจะได้สิบปีแล้วนะคะจากที่มหาวิทยาลัยแรก(ม.น.)เปลี่ยนหลักสูตร ส่วนที่อเมริกา MS กับ PhD ทาง pharmacy นั้นจะเป็น research degree นะคะ ส่วน PharmD นั้นเป็น professional degree ซึ่งเอาไปสอบ pharmacist license เวลาทำงานก็อยู่ในร้านยาต่างๆ หรือโรงพยาบาล จากคุณ : Jelly เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 08:39:16 A:98.185.210.115 X: TicketID:267775

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ hollywop เช็คเมลด้วยนะคะ :) จากคุณ : Jelly เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 08:40:43 A:98.185.210.115 X: TicketID:267775

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากเลยนะครับ โดยเฉพาะคุณ Jelly อ่านแล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ มิ่น่าทำไมน้องต้องขอพ่อเรียนอีกที สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของน้อง เป็นแบบนี้เอง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 13:02:25 A:58.10.77.16 X: TicketID:177064

ความคิดเห็นที่ 16 อยากให้ gift คุณ jelly จังค่ะ เสียดายไม่มีล็อคอินนะคะ ^_^ ขอเสริมนิดนึงค่ะ ถ้าจะเริ่มเรียน PharmD ใหม่ อยากให้นึกถึงค่าเรียนด้วยค่ะ เพราะเราเป็นเด็กต่างชาติ เพราะฉะนั้นค่าเรียนจะเป็นค่าเรียนของคนต่างชาติ จะแพงกว่าคนในรัฐ หรือคนอเมริกานอกรัฐนะคะ จากคุณ : ลูกแม่ดอกบัว เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 53 06:07:47