ความคิดเห็นที่ 1 คิดให้ดีๆว่าขนาดแต่งกันไปแล้วคนยังเลิกยังหย่ากันได้ แล้วจะเอาอะไรไปแน่ใจว่าเขาชวนอยู่ก่อนแต่งจะหมายความว่าเขาคิดจะแต่ง ถามว่าเสียเปรียบมั้ย จริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียเปรียบได้เปรียบ แต่อย่าคิดว่าฝรั่งจะไม่มีพวกหัวเก่าที่ยังรับไม่ได้กับการมีความสัมพันธ์ก่อนแต่้งงาน และมันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าถ้าเกิดเลิกไปแล้วจะไปเจอผู้ชายแบบไหนต่อไป คิดให้ดีๆ คิดให้รอบคอบ อย่าให้ฝรั่งมันใช้มุกดาดๆมาหลอกให้ไปนอนด้วยฟรีๆอย่างต่อเนื่องแล้วอ้างง่ายๆว่ามันคือความแตกต่างทางวัฒนธรรม และถ้าคิดดีแล้วว่าจะเอาตามนั้น เวลาสิ่งที่หวังไว้มันไม่เป็นไปอย่างใจก็อย่าไปโทษใคร ชีวิตตัวเองเลือกเอง ไ่ม่มีใครบังคับได้ จากคุณ : คามิยามะมาเยือน!!! เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:49:15

ความคิดเห็นที่ 2 เท่าที่รู้จักไม่ค่ะ การอยู่ก่อนแต่งคือการทดลองตามนั้น ไม่จำเป็นต้องแต่งงานหลังการอยู่กินกัน หากอีกฝ่ายทดลองงานไม่ผ่าน ไปกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเท่าที่รู้จักคือแฟร์ๆกัน หากต่างคนไม่ผ่านกันและกันก็จบ ไม่ยื้อ ฝรั่งเท่าที่รู้จักก็จะติดแบบนี้กัน คือทดลองอยู่เพื่อนทดสอบนิสัยใจคอ ชีวิตความเป็นอยู่แบบสามี ภรรยา อาจแต่งงานกันในที่สุดก็เป็นไปได้ แต่หากไปกันไม่ได้้ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ก็จบกันไป เรามองว่าอาจเป็นเพราะวิถีชีวิตของเค้าด้วยส่วนหนึ่งจะว่าฟรีเซ็กซ์ก็ไม่ถูกต้องนักเพราะเท่าที่เรารู้จักมาฝรั่งหลายคนหากจะมีเซ็กซ์นี่ต้องคบหากันไปก่อน หรือหากจะ One Night Stand ก็หมายความว่าเค้าาพร้อมจะรับผลทีจะตามมา ไม่มานั่งจิตตกหาใครให้มารับผิดชอบ โวยวายทีหลัง เมื่อตัดสินใจเองทำเองก็รับเอง อะไรทำนองนี้  หรือคงเป็นเพราะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ให้ออกจากบ้าน ทำงาน เลี้ยงตัวเองตั้งแต่ยังเด็กหรือวัยรุ่นทำให้ฝรั่งที่เรารู้จักมีความคิดความอ่านที่โตและรับผิดชอบตัวเองได้ทั้งหญิงชาย (บางคนที่เรารู้จักเท่านั้นย้ำนะคะ) เลยไม่คิดว่าการอยู่ก่อนแต่ง หรือการมีเซ็กซ์กันก่อนแต่งหรือก่อนการเป็นแฟนกัน(ด้วยซ้ำ) เป็นเรื่องที่ใหญ่โตหรือต้องหาคนมารับผิดชอบเวลาเลิกกัน เค้าคิดและตัดสินใจเอง ขณะที่คนไทยเราๆ ส่วนใหญ่นี่จะติดอยู่กับการปลูกฝังจากครอบครัวว่าอย่าเสียตัวให้ใครก่อนแต่ง หากเสียตัวนั้นคือต้องได้แต่งงานกับคนๆนั้นเท่านั้น ผู้หญิงต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องในวันแต่งงาน ทุกอย่างที่ถูกปลูกฝังมาเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้นค่ะ แต่ .... บังเอิญว่าเรารับการอยู่ก่อนแต่งมาจากสังคมตะวันตก (ที่จริงอาจไม่ใช่ก็แค่อยากอยู่ด้วยกันไม่ต้องไปเลียนแบบใคร) แต่เห็นว่าฝรั่งทำได้เป็นเรื่องปกติก็ไม่เสียหาย แต่..... ลืมไปว่านั่นคือฝรั่งที่จบคือจบ ไม่ยืดยื้อ แฟร์ๆ แต่สังคมไทยเราไม่ใช่อย่างนั้น ยิ่งอยูด้วยกันแล้วพ่อแม่ต่างรับรู้ยิ่งไปกันใหญ่ ดีไม่ดีก็ได้กันแล้วแต่งๆไปเถอะ ลิมกฎที่ว่า "ทดลองอยู่" คิดว่าแต่งไปแล้วครึ่งหนึ่งที่เหลือแค่ทำพิธีให้ถูกต้อง ในความเห็นเราการอยู่ด้วยกันก่อนแต่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดหรือแปลกใหม่ในสังคมไทย แต่มันอยู่ที่คนที่จะอยู่กันก่อนแต่ง เราไม่เห็นด้วยกับการที่เด็กในวัยเรียนอยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา ทั้งๆที่ยังขอเงินพ่อแม่ใช้เพราะว่าเด็กวัยรุ่นควรได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น วัยเรียนแบบวัยรุ่นวัยใสมากกว่าใช้ชีวิตแบบสามีภรรยา แต่หากเป็นวัยทำงานก็ไม่ว่ากันหากรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ไม่ทำให้ตัวเองและใครเดือดร้อน พร้อมรับกับผลที่จะตามมา ที่สำคัญคือหากจะบอกว่าการอยู่ก่อนแต่งคือการรับเอาวิถีชีวิตของตะวันตกมาใช้ ก็รับมาให้หมด อย่ารับเฉพาะการทดลองอยู่ก่อนแต่งแต่ไม่ได้รับเอาแนวคิดที่ว่าจบคือจบ ไปกันได้ก็คือแต่งแม้ว่าจะอยู่กันยาวนาน้บเป็นสิบปีอย่างที่เราเห็นๆในข่าวของนักสดงทั้งหลายบางคนนี่อยู่ก่อนแต่งจริงๆมีลูกแล้วค่อยแต่งงาน แต่คนไทยบางคนสักแต่ว่าอยู่ก่อนแต่ง อยู่กันไป สมมุตว่าฝ่ายชายเลวมาก ทำร้ายผู้หญิง เจ้าชู้ ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นสามีหรือพ่อของลูกเลยแต่ก็คิอว่า สังคมไทยคือเสียตัวเสียผีแล้วต้องแต่งกับผู้ชายคนนั้นดีเลวก็คือสามี (ทางพฤตินัย) ยิ่งพ่อแม่รู้บางครอบครัวนี่ยิ่งกดดันให้แต่งงานประมาณว่าแต่งๆไปเถอะ ชาวบ้านเค้ารู้กันหมดว่าอยู่ด้วยกันแล้ว เรื่องที่ว่าอยู่กันไปกี่ปีแล้วแต่งเราว่ามันคงบอกไม่ได้เป๊ะๆว่าชั้นจะอยู่กับเธอสองปีแล้วเธอต้องแต่งกับชั้นนะเพราะพอมาคบกันจริงๆมันคงมีอะไรมากกว่าเอาเวลามาเป็นกฎเกณฑ์เพราะอยู่กันไปสองปีอาจจะรู้สึกว่ายังมีอะไรต้องศึกษากันไปก่อน อาจมีปัจจัยอะไรที่มากกว่านี้ แต่หากอีกฝ่ายทนไม่ไหวไม่แต่งสักทีก็ต้องเลิกกันไปก็เท่านั้นค่ะ อย่าได้เสียเวลายื้อกันไว้ ที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องรับผิดชอบตัวเองได้ค่ะ คิดก่อนทำอย่าทำแล้วค่อยคิด ความเห็นอาจยาวไปหน่อยนะคะแต่อยากให้ครอบคลุมทั้งไทยและเทศ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 07:00:44 จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:58:02

ความคิดเห็นที่ 3 ผู้หญิงฝรั่งชาติตะวันตกส่วนมากคงไม่รู้สึกเท่าไหร่ เพราะถือว่าได้เรียนรู้กันแล้วก็เป็นสถานการณ์แบบวินวินทั้งคู่ แต่ในสังคมฝรั่งเองก็มีคำพูดที่ว่า Why buy a cow when the milk is free ภาษาบ้านเราก็คือ ก็ยอมอยู่กินด้วยกันแล้ว จะต้องแต่งงานทำไม ผู้หญิงฝรั่งที่เรารู้จักอยู่คนนึงก็รักๆเลิกๆกับแฟนเค้าเพราะอยู่กันมาก็หลายปีแล้วแต่แฟนเธอก็ไม่ยอมแต่งงานด้วยเสียที คือ ทดลองอยู่ด้วยกันน่ะโอเค แต่ถ้าหลายปีแล้วเธอยังไม่ยอมแต่งกับชั้นเสียที ทำแบบนี้มันไม่รักกันจริงนี่หว่า เพราะท้ายสุดแล้วไม่ว่าเชื้อชาติไหน เราว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงอยากมีงานแต่งงานอยู่ดี ที่สำคัญผู้ชายชาติไหนๆก็เหมือนๆกัน คือ มีทั้งพวกฟันแล้วทิ้ง หรือรักจริงแล้วค่อยแต่งก็มี โดยส่วนตัวเราไม่ชอบเสี่ยง เพราะงั้นเรายึดธรรมเนียมเราคือ ถ้าไม่แต่งก็อย่าหวังจะได้แอ้มชั้นเลย ฮาๆ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:05:32

ความคิดเห็นที่ 4 เราเห็นบ่อยนะคะ ฝรั่งที่มีลูก 2 คนแล้ว ค่อยมาแต่งงาน วัฒนธรรมต่างกันความคิดก็ย่อมต่างกันค่ะ คิดแบบไทยก็ดี คือทำตามขนบธรรมเนียม เข้าตามตรอกออกตามประตู แต่ก็ต้องยอมรับสภาพการอยู่ด้วยกันหลังแต่งงานได้ค่ะ เพราะคนเรานิสัยที่แท้จริงจะปรากฏออกมาก็ตอนที่อยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกันนี่แหละค่ะ คิดแบบตะวันตกก็ดี คืออยู่ศึกษานิสัยกันก่อน ทดลองอยู่ด้วยกัน ถ้าไปกันไม่ได้จะได้เลิกกันทัน ไม่ต้องมีงานแต่งให้เสียเงิน เสียเวลา และเสียหน้าเวลาหย่ากัน เรื่อง sex ก่อนแต่งตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งในประเทศไทย และตะวันตกค่ะ แต่ประเทศเราจะรับไม่ได้ และน้อยคนจะรู้จักวิธีการป้องกันที่ดีค่ะ ^^ จากคุณ : aimeramm เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:46:48

ความคิดเห็นที่ 5 ความเห็นส่วนตัวเรานะคะ เราต้องอยู่ก่อนแต่งค่ะ คือคบกกันไปซักพักคนคิดว่าเออ เธอก็โอดีวุ้ย เข้ากันได้ดี ก็ตกใจปลงใจย้ายมาอยู่ด้วยกันก่อน พอย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มันจะมีอีกหลายอย่างมากๆที่ให้เราได้ศึกษา เรียนรู้ และมีประสบการณ์  มันก็เหมือนชีวิตแต่งงานแหล่ะค่ะ เพียงแค่ไม่มีกระดาษเป็นทางการ มันไม่มีอะไรจะสามารถบอกเราได้หรอกค่ะว่าเธอกะชั้นแต่งงานกันแน่นะ ไม่มีเลย ไม่จรี๊งงง มันอยู่ที่ความรู้สึกของคุณสองคนเองแหล่ะค่ะ ว่ารู้สึกกันยังไง ใช่มั้ย เราอยู่กะแฟนมาจนป่องจะมีลูกอยู่แล้ว เรายังไม่อยากแต่งงานเลย ฮ่าๆ อยากอยู่อย่างนี้ไปก่อน ทำไมถึงไม่อยากแต่ง? ไม่รู้ดิ เฉยๆซะมากกว่าอ่ะ เรายังไม่รู้เลยถ้าแต่งแล้วมันจะมีเบนิฟิตอะไรให้เราบ้างเหรอ? เราได้อะไรจากการแต่งงาน? ว่าแล้ว เดี๋ยวต้องขอไปตั้งกระทู้ซักหน่อย จากคุณ : cashmamamia เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:53:27

ความคิดเห็นที่ 6 เราว่ายุคนี้การอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องธรรมดาของทุกๆ สังคม (ไม่ขอพูดถึงศาสนาที่เคร่งคัดหรือห้ามเรื่องนี้) อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยทุกวันนี้สังคมไทยก็เป็นแบบนั้นที่เห็นๆ ก็กลุ่มนักศึกษาเรียนจบมาบางคู่ก็แต่ง บางคู่ก็เลิก สำหรับชาวต่างชาติย่อมถือเป็นเรื่องธรรมดาสังคมฝรั่งเป็นสังคมที่เสมอภาคกันของชายกับหญิง การได้แชร์ชีวิตเรียนรู้นิสัยที่แท้จริงของกันและกันเขาถือเป็นเรื่องที่แฟร์ดี  อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากให้มีการหย่าร้างเพราะสำหรับฝรั่งการหย่าถือเป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยากมากๆ ไม่ใช่เลิกกันแล้วเดินไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอก็จบเหมือนเมืองไทย เพราะฉะนั้นเขาก็คงอยากเรียนรู้ชีวิต ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมของคนที่กำลังคบด้วยถ้ารับไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเลิก แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างรับได้ถ้าเขารักเราจริงและมีความพร้อมในด้านทุนทรัพย์เขาก็จะขอแต่งงานเอง การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนแต่งไม่ได้หมายความว่าเขาจะแต่งงานงานกับเราเสมอไป  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น เขารักเราจริงไหม  เขารับเราได้ไหม  ข้อสำคัญเขามีความพร้อมที่จะรับผิดชอบเราหรือเปล่า (หมายถึงหน้าที่การงานและทุนทรัพย์) เพราะฉะนั้นการอยู่ก่อนแต่งไม่มีกำหนดตายตัวว่าวันไหน เดือนไหน ปีไหน เราต้องแต่งงานกัน คนที่พร้อมก็ได้แต่งเร็ว แต่คนไม่พร้อมก็ต้องอยู่ไปเรื่อยๆ บางคู่อยู่แค่เดือนเดียวแต่ง บางคู่อยู่กันเป็นปีๆ ถึงได้แต่งก็มี แต่ถ้าอยากคุยกันก่อนก็ได้ว่าจะเรียนรู้กันนานเท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่ต่างกัน  คุณไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับเขาก่อนแต่เสมอไป (บางครอบครัวคนไทย) เขาถือเรื่องนี้คือไม่อยากให้ลูกสาวไปนอนบ้านผู้ชายที่ยังไม่ได้หมั้นหรือแต่งงานกัน ถ้าเป็นกรณีนี้ก็ต้องคุยกันอีกที ถ้าเขารักเราจริงเขาก็คงรับได้รอได้ หรือแม้แต่รีบขอเราแต่งงานเพื่อที่จะได้ไปอยู่ด้วยกันจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องคำนึงถึงวุฒิภาวะ ของตัวเองด้วยว่าพร้อมที่จะไปอยู่ก่อนแต่งกับเขาไหม การอยู่ก่อนแต่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันเลยทำให้เป็นจุดอ่อนของผู้หญิงไทยที่ชาวต่างชาติเขาจะเอาจุดอ่อนนี้มาหลอกใช้เราก็ได้ เพราะบางคน (เจ้าชู้) หลอกผู้หญิงไทยไปอยู่ด้วยเพื่อที่จะให้ไปปรนนิบัติเขา  ทำงานบ้านให้เขา พอเขาเริ่มเบื่อเราบอกเลิกคบเราก็มี ยิ่งบางคนไปหาแฟนฝรั่งที่ ตปท พอเขาเบื่อเขาก็ไล่ออกจากบ้าน ไล่กลับเมืองไทยก็มีหลังจากนั้นก็หาเหยื่อรายใหม่ มาปรนนิบัติเขาต่อ จากคุณ : sapuknik79 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:53:45

ความคิดเห็นที่ 7 จริงๆ เราไม่แน่ใจนะคะ ว่า เราจะรับได้กับการทดลองอยู่ เพราะความคิดเราคิดว่า ก้าวแรกที่เรา move in with the guy เราก็คงจะ นับวันรอว่าเมื่อไหร่เค้าจะขอแต่งงาน แล้วเราก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เค้าเลือกเรา -"- เราว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าทดลองอยู่กับคนที่เลือกเราแล้ว แบบขอเราแต่งงานแล้วไรงี้ ค่ะ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:10:40 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 8 บางคนเค้าถือเรื่อง sex เป็นเรื่องสำคัญ การเรียนรู้โดยที่ไม่ได้กินนอนด้วยกัน มันไม่รู้ไงว่าแต่งแล้วจะมีความสุขหรือเปล่า ถ้าจะตัดสินใจอยู่ด้วยกันก็ต้องยอมรับว่าถ้าเข้ากันไม่ได้ก็จบ เค้าไม่มาคิดว่าได้-เสีย แต่เป็น วิน-วิน ต่างฝ่ายต่างก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยังมีคนอีกเยอะที่ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มาศึกษาหลังแต่งก็ได้ ก็ต้องคุยกันให้ดี ถ้าคนมาชวนให้อยู่ก่อนแต่งก็คิดได้สองแบบ 1) เค้าคิดจริงจังกับเรา 2) เค้าอยากนอนกับเราฟรีๆ เหมือนเหรียญมันมีสองด้านแบบที่เค้าชอบว่ากัน จากคุณ : pixp เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:42:20

ความคิดเห็นที่ 9 ฝรั่งเขาคิดว่าชีวิตมีต้นทุน ทุกๆวันต้องกินต้องอยู่ มีบ้านก็ต้องเช่าก็ต้องหาคนมาอยู่มาแชร์ ถ้าคิดได้อย่างที่ว่าก็ วิน-วิน ทั้งสองฝ่ายหละครับ ช่วงแรกก่อนอยู่กันก็หากันให้ดีๆก่อนให้ถูกใจจริงๆ แล้วช่วงที่อยู่ด้วยกันก็ศึกษานิสัยใจคอกันถ้าไหวจริงๆรักกันไม่ต้องรอเราเอ่ยปากหรอกครับผู้ชายเขาก็ขอแต่งงานเอง ผมเองก็คบหากับภรรยาที่เป็นคนต่างชาติแบบนี้จนทุกวันนี้ก็ขอเขาแต่งงานย้ายมาอยู่เมืองไทยกันหลายปีแล้ว พี่ก็ลองพิจารณาดู หา เลือกให้แน่ใจจริงๆก่อน ไอ้เพื่อนผมที่เป็นฝรั่งนี่ไอ้คู่ที่อยู่ด้วยกันแค่กินๆอยู่ๆไปวันๆไม่มีอนาคตก็มาก พอได้งานคนละที่แยกทางกันไปก็มี ลองดูนะครับ จากคุณ : ลองดู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:54:07 A:116.58.231.242 X: TicketID:008482

ความคิดเห็นที่ 10 สรุปคือเลือกแบบไหนก็ได้ แต่เลือกแล้วก็ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเลือกอย่าเสียใจหรือเสียดายกับมัน คิดถ้วนถี่ก่อนทำแล้วก็เดินหน้า มีสติกับการใช้ชีวิต รับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไปค่ะ เพราะบางครั้งที่เห็นอย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลยค่ะ บางคนแค่พาฝรั่งเข้าบ้าน ออกเดทกับฝรั่งก็ถือว่าเสียหายอยากแต่งกันไปเลยก็มีเยอะมากนะคะ เพราะถือว่าเสียหายไปแล้ว ในสายตาของคนหัวเก่า  ฝรั่งนี่คงคิดว่าออกเดทคือเดทยังไม่ได้คิดไกลถึงแต่งงานแต่งการ ดังนั้นจูนความคิดความอ่านให้ตรงกันก่อนจะทำอะไรลงไปค่ะ สำหรับเราวัยสามสิบถึงมีแฟน พาแฟนเข้าบ้าน พ่อแม่ไม่ห่วงเรื่องเสียคน เพราะไม่เคยมีประวัติเสียเรื่องผู้ชาย เค้าเลยไว้ใจและมั่นใจว่าคนที่พามาคือค่อนข้างชัวร์แล้ว ถึงกระนั้นเราก็บอกว่าไม่แน่นะ คบกันไปอาจไม่รอดก็ต้องเลิกทางบ้านก็บอกตามใจ เธอสามสิบแล้วโตแล้วคิดเองได้ เป็นต้นค่ะ ไทยกับฝรั่งหากเราประยุกต์ใช้วัฒนธรรม ค่านิยมของแต่ละฝ่ายมาใช้อย่างเหมาะสมจะดีกับตัวเราค่ะ เพราะบางคนนี่ด้วยความที่ไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน หรือไม่ศึกษากันเท่าที่ควรพอแต่งงานกันไปเพิ่งรู้ว่าสามีวิตถารก็มี ตกเป็นทาสบนเตียงก็เยอะ สรุปคือจะอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งแล้วค่อยอยู่ไม่มีใครตอบได้ว่าอะไรดีที่สุด หรือฝรั่งเค้าคิดแบบไหน ยังไงขึ้นอยู่กับบุุคคลแต่เท่าที่เราทราบมาก็อย่างที่เราบอกไปในความเห็นแรกๆที่แสดงไปค่ะ จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:52:58

ความคิดเห็นที่ 11 ปัญหาคือ เรายังคิดได้ไม่สนิทใจว่า win-win ค่ะ เหมือนโกหกใครก็ได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้อ่ะ ยังไงก็ยังคิดว่าเรารักเค้าแล้วก็คงไม่ได้อยากแต่งกับคนอื่น แต่เค้ายังไม่รักเรา ไม่อยากแต่งกับเรา เราก็เสียเปรียบหลายเรื่อง จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 11:17:59 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าคุณไม่มั่นใจก็ปฎิเสธไป จะดูกันออกก็ตรงนี้แหละว่า เขาเลิกยุ่งกับคุณไปเลยหรือเปล่า ถ้ารักก็อาจจะยังรอ คบเราต่อ แล้วรบเร้าอีกในอนาคต บางคนก็อาจจะมีหลายเหตุผลเช่น อยากประหยัดค่าใช้จ่ายแบบนี้ก็เรื่องเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ชายบางคน เขากล้าขอให้ผู้หญิงมาอยู่ด้วยกันก่อนก็ถือว่าเขาเสี่ยงพอสมควร เพราะเอาคอพาดเขียงไปแล้วครึ่งหนึ่งเหมือนกันนะ ผู้หญิงอาจจะมองว่าเขา commit แล้ว อันนี้แล้วแต่คนจะคิด และแล้วแต่สถานการณ์ นี่มองกันอย่างแฟร์ๆน่ะ ไม่เอียงข้างว่าผู้ชายมาไม้นี้ แล้วจะมาเอาเปรียบเราหมด จากคุณ : yinnerella เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 11:38:14

ความคิดเห็นที่ 13 ก้าวแรกที่เรา move in with the guy เราก็คงจะ นับวันรอว่าเมื่อไหร่เค้าจะขอแต่งงาน แล้วเราก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เค้าเลือกเรา """"""""""""""""""""""""""""""""" ขอโทษนะคะ  แค่ข้อความด้านบน ดิฉันว่าคุณวางตัวผิดที่ ทำไมคุณเลือกที่ให้ค่าตัวเอง แค่เป็นตัวเลือกให้เขาล่ะคะ ทำไมไม่คิดบ้างว่า คุณน่ะให้โอกาสเขา ให้ได้มาเป้นหนึ่งในคนที่คุณอาจจะเลือกแต่งงานด้วยล่ะ ถ้ายังต้องมานั่งคิดว่าใครได้ใครเสีย อย่าย้ายเข้าไปร่วมชายคา ร่วมเตียงกันเลยคุณ เพราะหากคิดได้ เสีย ไม่มีใครเสียหรอก มีคุณเสียคนเดียว เพราะคุณรุ้สึกว่ามันไม่ถูกมาตั้งแต่เเรก เรื่องความรัก ที่ยังไม่ลงเอย ไม่มีอะไร ที่ วิน วินหรอก มันจะมีคนที่อกหัก คนที่หักอก ถ้าจะต้องมานั่งคิดว่า ถ้าย้ายอยู่กับเขา เขาจะแต่งด้วยไหม  ทำตัวให้ดีที่สุด เขาจะได้เลือก ถ้ายังคิดว่าตัวเองด้อยว่าเขา เป้นเเค่ตัวเลือกหนึ่ง ไม่ว่าในความสัมพันธ์แบบไหน คุณจะไม่เจอคนที่คุณคู่ควร จะเจอก้แต่คนที่คุณต้องตามเอาใจ ให้มาเป็นเจ้าชีวิตคุณก้เท่านั้น จากคุณ : mrs.night owl เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 11:39:40

ความคิดเห็นที่ 14 win-win ใช้ไม่ได้กับเราค่ะ เพราะยังไงๆ ในใจเราก็ย้ำตัวเองเสมอว่า "เราจะเอาอะไรไปวินกับเขาเนี่ย"  โดยสรุป คนเราจะรักกัน จะแต่งงานกัน จะอยู่ด้วยกันยืดยาว..คงไม่ต้องถึงขั้นนอนเรียงเคียงหมอนกันนานนับหลายปีหรอกมั้ง คบกันธรรมดา กิน เที่ยว เล่น ด้วยกันนานๆ หลายปี ก็น่าจะเห็นสิ่งดี สิ่งไม่ดี กันอยู่แล้ว หากไม่หลับหูหลับตารักจนลืมเหตุผล ลืมความเป็นจริง ...เราว่าเรื่องอยู่ก่อนแต่งว่าเป็นการเรียนรู้กันและกัน...เป็นข้ออ้างสำหรับการขอมีเพศสัมพันธ์โดยเอาเรื่องนี้แอบอ้างมากกว่าค่ะ... จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:02:00

ความคิดเห็นที่ 15 จากเท่าที่คบกันมา คิดว่าผู้ชายเค้าคงไม่ได้หวังให้เราช่วยหารค่าใช้จ่ายค่ะ เค้าคงแค่ต้องการคนที่แชร์ ทุกข์สุขและดูแลกันมากกว่า แต่เราต้องย้ายตามเค้าไปไกลนี่สิคะ เลยตัดสินใจยาก ไปเริ่มต้นใหม่หมด เราคิดว่า ถ้าเค้าหาคนใหม่ทางโน้นคงง่ายกว่า แต่เค้าก็ยังตื้อเราอยู่ให้ย้ายตามไป แต่ตามไปอยุ่ด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้แต่งงาน หรือหมั้นหมาย อีกอย่างคือเราไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน มันเสี่ยงมาก เราเข้าใจค่ะ ว่าความคิดเราคือปัญหาในชีวิตเราเอง แต่ความคิดมันเปลี่ยนยาก เฮ้อ! จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:02:34 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 16 อ้าว นี่คุณอยู่กันคนละประเทสหรือคะ ขอบอกแบบหวังดีเลยนะ ผุ้ชายคนนั้นนี่ เขาคิดว่าเขามีอะไรดีกว่าคุณมาก ถึงขนาดที่ จะให้คุณสละหน้าที่การงาน อนาคต พ่อแม่พี่น้องเละสังคมของคุณ เพื่อไปทดลองอยู่กับเขาก่อน นี่ขนาดเขาไม่ได้แน่ใจในตัวคุณ ยังให้คุณสละแทบทุกอย่างที่เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตขนาดนี้ เห็นแก่ตัวขนาดนี้ คุณยังมองไม่เห็นอีกหรือคะ นี่เขานามสกุล วินเซอร์ หรือเปล่า จากคุณ : mrs.night owl เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:12:07

ความคิดเห็นที่ 17 ก็ไม่เห็นจะยาก ก็เรียนรู้แบบไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็ได้นี่คะ หรือจะต้องรอให้เห็นใส่ทุกขด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อไม่มีข้อผูกมัด มันก็รังแต่จะเป็นชนวนให้รักร้าวได้ แต่ถ้ามีการแต่งงานกันเป็นเรื่องราว มีกฏหมายเข้ามาเกี่ยว มันก็ช่วยให้สองคนประคองความรักได้แบบยั่งยืนกว่า มันไม่เกี่ยวกับผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือผลประโยชน์หรอก ทั้งอยู่ก่อนแต่ง หรืออยู่หลังแต่ง แต่มันก็เป็นเครื่องตีตราจอง ก่อนที่จะคบใคร เค้าถึงให้ดูอีกฝ่ายว่าตีตราจองแล้วหรือยัง ดังนั้น คนนอกก็ไม่อยากจะเข้าไปเป็นมือที่สามให้เสียเวลา นี่แหละคือข้อดีของการแต่งงาน ช่วยลดความบาดหมางในชีวิตคู่ได้เยอะ ส่วนสังคมฝรั่ง อย่างที่เห็น เค้าเป็นสังคมตัวใครตัวมัน มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาทคแคร์ซึ่งกันและกันให้มากมาย แต่ก็ดีที่ไม่ต้องมีภาระผูกพัน แล้วก็ไปแวปๆ ได้ด้วย ก็แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน สุดท้ายแล้วฝรั่งเค้าก็แต่งงานกันอยู่ดี มองดูแล้ว ของแบบนี้ไม่ควรรีบร้อน เส้นทางชีวิต ถ้าลองดูดีๆ ทำให้มันเป็นครรลองคลองธรรมของประเพณีแต่ละชาติ ก็ไม่เป็นเรื่องที่ยากเย็นหรอกค่ะ มันอยู่ที่ความรักของคนสองคนมากกว่าจะทำมันไหม ส่วนที่ว่าดูใจก่อนอยู่ คิดๆ ดูแล้ว ไม่น่าเวอร์คหรือจะเข้าท่าเท่าไหร่ ยิ่งชี้ให้หลายฝ่ายเห็นว่า ความสามารถเฉพาะตนในเรื่องการประคองความรักที่ผ่านมา สำเร็จหรือล้มเหลว แล้วก็ไม่พร้อมจะรับผิดชอบครอบครัวได้ เพราะชีวิตคู่ที่สำเร็จและใครๆ เห็นแล้วก็ต่างพากันยินดี และชื่นใจ เค้าก็ดูกันที่การแต่งงานกันตามกฏหมาย นะค่ะ จากคุณ : คิดแบบนี้นะ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:13:21 A:124.122.124.142 X: TicketID:289840

ความคิดเห็นที่ 18 อยู่ประเทศเดียวกันค่ะ แต่คนละมุมเมืองเลย เรียกว่าบินไปหาแต่ละทีค่าใช้จ่ายเยอะ คงคบแบบทางไกลไม่ไหว เค้าเลยขอให้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน แต่ด้วยความที่เราไม่เคยอยู่ด้วยกัน เค้าเลยยังไม่มั่นใจขนาดจะแต่งงาน แต่ทุกครั้งที่เราไปหาเค้า เค้าจะพาเราไปหาครอบครัวเค้าเสมอ บางทีก็ไปพักบ้านพ่อแม่เค้า เค้าชอบที่พ่อแม่เค้าเอ็นดูเรา เลยคิดว่าเราน่าจะลองไปอยู่ด้วยกัน เพราะยังไปกันได้ดี เราไม่คิดว่าเราทิ้งทุกอย่างไปเพื่อเค้า เพราะจิงๆแล้วเราก็อาจจะกลับเมืองไทย ถ้าไม่ย้ายตามเค้าไป เพราะทนเหงาที่นี่ไม่ไหวเหมือนกัน อยู่มานานแล้ว จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:28:41 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 19 ฝรั่งส่วนใหญ่ที่เป็นพวก liberal เนี่ย เค้าไม่สนใจหรอกว่า การย้ายเข้าไปอยู่กับอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่อง เสียเปรียบหรือได้เปรียบ เพราะเค้าต้องการเรียนรู้กันและกัน ฝรั่งถ้าคิดจะแต่งงานก็คือแต่งงาน จดทะเบียน เป็นสามีภรรยา ทั้งนิตินัย และพฤตินัย การแต่งงานของฝรั่งคือการ commit ที่ค่อนข้างจริงจังนะ บ้านเราอาจจะเห็น ได้เยอะว่า คนไทยปากบอกแต่งงานจริง มีงานเลี้ยงแต่ไม่ได้จดทะเบียน สังเกตว่าฝรั่งส่วนใหญ่ถ้า บอกว่าแต่งงานคือต้องจดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราว จะหย่ากันทีใช้เวลาร่วมปี กว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นอิสระ ฉะนั้นเค้าต้องการที่จะเรียนรู้กันและกันในทุกๆ ด้านว่า นิสัยต่างๆ และรวมไปถึงเรื่องบนเตียงด้วยว่า เข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการมีชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่เห็นหน้ากันฉันชอบเธอ เธอชอบฉัน ความ รู้สึกระหว่างคนสองคนที่เจอกันวันละไม่กี่ชั่วโมง กับคนสองคนที่เจอหน้ากันทุกวันมันต่างกัน ร้อยทั้งร้อย ถ้าคนสองคนมีความตั้งใจรักกันจริง ก็ไม่มีใครอยากให้ชีวิตคู่ต้องล่ม แต่ถ้ามันไปด้วย กันไม่ได้จริงๆ ของแบบนี้ถ้าทนอยู่ไปมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้น แต่ถ้าใครก็ตามที่คิดว่า การได้กินอยู่ฉันสามีภรรยาก่อนแต่งงานเป็นการเสียเปรียบ ก็ขอแนะนำ ว่า ถ้าคุณคิดแบบนั้น ก็อย่าไปทดลองอยู่เลย เพราะถ้ามันเกิดไม่เวิร์คขึ้นมา จะมีแต่คุณที่จะมา นั่งโทษตัวเองว่าไม่ควร เพราะถ้าหากจะลองทดลองอยู่ด้วยกันจริงๆ คุณก็ต้องรับให้ได้ในจุดนึง ว่า ความรักที่คุณสองคนมีให้กันนั้น มันอาจจะไม่ได้ลงเอยอย่างที่คุณฝันหรือคาดหวังไว้ สรุปแล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมอะไรนักหนาหรอก มันขึ้นอยู่กับตัวคุณเองต่างหากว่ารับได้ มากน้อยแค่ไหน ถ้าเกิดไปได้กับผู้ชายแล้วสรุปว่า ไปด้วยกันไม่รอด ไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงาน แล้วคุณจะรับมันได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 12:38:08 จากคุณ : Scooterella เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:36:33

ความคิดเห็นที่ 20 ปัญหาเดียวของเราก็คือ ถ้าย้ายไปอยู่กับเค้าเฉยๆ แบบไม่มีข้อผูกมัดแล้ววันนึงเค้าไม่พอใจ ไล่เราออกจากบ้านไป เราจะเจ็บปวดแค่ไหน เรากลัวค่ะ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:36:38 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ Scooterella คะ สรุปแล้วเราคิดมากไปเหรอคะ เราควรเปลี่ยนความคิด รึเปล่าถ้าจะเดทกับฝรั่ง หรือเปลี่ยนแฟน หาให้ได้แบบที่คิดแบบเดียวกับเราดี ?? จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:43:57 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 22 ขอยกตัวอย่างของตัวเองแล้วกันนะคุณออตโต้ ก่อนเราแต่งงาน เราอยู่ซานฟราน แฟนเราอยู่แอลเอ ไกลกันพอสมควรคือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ว่า กันง่ายๆ เราเรียนหนังสือจบ ได้งานทำอยู่ซานฟราน แฟนเราอยู่แอลเอ ทุกอาทิตย์เราจะเจอกัน เราจะสลับ กันไปหาอีกฝ่าย เราจะบินไปหาเค้าวันศุกร์ แล้วนั่งเครื่องกลับวันจันทร์ตอนเช้ามืด เพื่อมาทำงาน ตามปกติในเช้าวันจันทร์ ทำแบบนี้ อาทิตย์เว้นอาทิตย์ เป็นเวลา 6 เดือน ส่วนแฟนก็เช่นเดียวกัน ศุกร์ไหนที่เป็นคราวที่เค้าต้องมาหาเรา เค้าจะนั่งเครื่องบ้าง ขับรถมาบ้าง มาวันศุกร์เย็น แล้วถ้าขับรถมาก็กลับวันอาทิตย์บ่าย ถ้าบินมาก็กลับจันทร์เช้า เราสองคนคบกันมาปีกว่า แล้วก็บินไปมาระหว่าง แอลเอ กับ ซานฟราน อยู่ 6 เดือน จนวันนึงเค้า บอกเราว่า เค้าไม่อยากจะให้เราทั้งคู่บินไปมาแบบนี้อีกต่อไปแล้ว เค้าก็เลยขอเราแต่งงานค่ะ เพื่อที่เราจะได้ย้ายไปอยู่กับเค้าถาวร มันคงไม่มีสูตรสำเร็จว่าต้องย้ายไปอยู่ หรือต้องย้ายเข้ามา หรือต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะให้คนสอง คนแต่งงานกัน มันอยู่ที่คุณสองคนตกลงกัน ในจุดที่คุณสองคนพอใจกันทั้งสองฝ่ายมากกว่า จากคุณ : Scooterella เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:46:05

ความคิดเห็นที่ 23 น่ารักจังเลยค่ะ คุณ Scooterella แฟนเราเค้าบอกเสมอว่าอยากให้เราบินไปหาแล้วเค้าจะช่วยออกค่าเครื่องให้ครึ่งนึง แต่เราต้องบินไกล 10 ชม ค่ะ เลยทำแบบคู่คุณไม่ได้ ^^' แต่ปัญหาใหญ่คือจะต้องลางานไป แล้วลาเป็นอาทิด เพราะบินระยะไกล กลัวเค้าจะไล่ออกสะก่อนค่ะ เลยคิดว่าถ้าจะคบกันคือ ต้องย้ายไปอยุ่ด้วยกันเท่านั้น เราบอกเค้าว่าถ้ายังไม่มั่นใจในกันและกันขนาดอยากแต่งงานด้วย ก็ขอให้ปล่อยกันไปดีกว่า แต่เราทั้งคู่ก็ยังรักกันค่ะ เค้าก็เลยยังพยายามทำให้เราใจอ่อนอยู่ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:57:08 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 24 พี่ให้เขาหมั้นก่อนไม่ดีกว่าหรือ เมืองนอกฝรั่งเขาก็ทำกันถือว่าเป็นการให้เกียรติกัน เมียผมเองก็ไม่ใช่คนไทยตอนคบก็ทำแบบนี้ให้เกียรติเขา จากคุณ : ลองดู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:08:14 A:116.58.231.242 X: TicketID:008482

ความคิดเห็นที่ 25 ขอตอบแบบ คนมีครอบครัวแล้ว การมีครอบครัวดีอย่าง คือ ได้มีลูกที่น่ารัก แต่ถ้าไม่ชอบเด็ก อยู่เป็นโสด ดีที่สุด อิสระ เสรี เหนือสิ่งอื่นใด จะไม่เสียใจเลยถ้าต้องเป็นโสด(แต่พลาดไปแล้ว) จากคุณ : ฝังฟ้าทะเลใต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:08:56 A:121.98.143.195 X: TicketID:255418

ความคิดเห็นที่ 26 เราว่าคุณออตโต้ ไม่ได้คิดมากไปหรอกค่ะ เป็นเรื่องปกติที่เราควรจะคิดให้หนักเสียด้วยซ้ำ เพราะ การย้ายไปอยู่กับอีกคนๆ นึง ซึ่งเราต้องทิ้งอะไรหลายๆ อย่าง มันก็เสี่ยงอยู่แล้ว มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าหากว่าคุณทั้งสองคนไม่ได้อยู่ไกลกันขนาดนั้น แต่บางทีชีวิตมันก็ไม่ได้ราบรื่น เหมือนในนิยาย ในตอนที่ดิฉันยังเป็นแฟนกับสามี ก็คิดเหมือนกันว่า เราก็คงไม่อยู่ดีๆ ย้ายไปอยู่กับเค้าหรอก เพราะ เราก็มีงานทำค่อนข้างมั่นคง แต่การไปๆมาๆ แบบนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน แต่มันก็เป็นการ พิสูจน์ความจริงใจของคนสองคนอย่างนึงว่า เราจริงใจให้กันมากแค่ไหน มีคนเคยถามดิฉันว่าจะไปๆ มาๆ แบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ดิฉันก็ตอบไม่ได้ ตราบใดที่เรายังพอใจที่จะทำ ก็คงทำต่อไป   ลองคุยกันดูค่ะว่า เราจะหาจุดตรงกลางที่เราสองคนพอที่จะยอมรับได้ แต่ถ้าเรายังยืนกรานว่า เราจะ ไม่ย้ายไปอยู่ร่วมชายคากับเค้าจนกว่าเค้าจะขอเราแต่งงาน ถ้าเค้ารักคุณจริง เราว่าเค้าต้องรับความ คิดของคุณเอาไปพิจารณานะ เพราะอย่างน้อยเค้าก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของคุณด้วย ถึงแม้ ว่าเค้าจะเห็นด้วย 100% หรือไม่ก็ตาม จากคุณ : Scooterella เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:09:00

ความคิดเห็นที่ 27 หากเราเป็นเพื่อนคุณนะคะเราจะบอกคุณว่า หากไม่แน่ใจว่าจะรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่แน่ใจว่าเมื่อทุกอย่างไม่ได้ลงเอยอย่างที่คุณคาดหวัง (แต่งงานลงเอยแบบมีความสุข) เพราะคุณจะฟูมฟาย เศร้า ทุกข์ ไม่เป็นอันกินอันนอน ลามไปถึงเสียผู้เสียคนเพราะผู้ชายคนนี้ อย่าไปอยู่กับเค้าก่อนที่จะแต่งงาน อยู่ห่างกันคิดถึงกันอย่างนี้แหละค่ะ เราอยู่ไทยแฟนอยู่สหรัฐ คุณว่าไกลกันมั้ย แต่ก็คบกันมาได้ 2-3 ปี บินมาหากันปีละสองสามครั้งอยู่ด้วยกันคราวละ 2-3 อาทิตย์ นานสุดก็เดือนนึง แฟนมาหาตลอดเราลางานไมได้ก็ไปหาได้แค่หนเดียว ทำไมถึงอยู่กันได้ ง่ายๆค่ะ เชื่อใจและรักกันมากพอที่จะไม่หวั่นไหวกับใคร ทำไมคนที่เค้าอยู่ห่างกันคนละประเทศถึงทนความคิดถึงกันและกันได้ไม่ใช่ว่ารักกันน้อยหรืออะไรนะคะ แต่เราต่างมีอะไรทำในชีวิตมากกว่าการนั่งทนทรมานนับวันนับคืนที่จะได้มาเจอกันอย่างเดียว แบบนั้นมันทรมานจิตใจค่ะ แต่เราจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านจุดที่ว่าอยากไปอยู่กับแฟนที่นู่นเฉยๆโดยไม่แต่งงานนะคะ เคยคิดแต่เราไม่รับข้อเสนอ แฟนก็ไม่บังคับพร้อมจะรอเราพร้อม ก็คบกันมาโดยไม่ได่มีพันธะภาระต่อกัน แฟนไม่ต้องมาส่งเสียผูกมัดอะไร ถามว่าเราจะเสียหายมั้ยหากเลิกคบกับแฟนคนนี้คำตอบคือ ไม่ เพราะคุณค่าในตัวเรายังงเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรสูญหายไป แต่หากใครจะบอกว่าก็เสียตัวไปแล้ว (ขอพูดตรงๆแบบนี้เลยค่ะ) ก็คือเสียคุณค่าความเป็นผู้หญิงไทยใจงาม ใครเค้าจะเอา คนที่คิดอย่างนี้เราไม่ได้ว่าเค้าผิดนะคะ แต่ใจแคบไปหน่อย หากจะมาวัดคุณค่าของคนในเรื่องแบบนี้ อย่าลืมว่าไม่ได้มั่วไม่ได้อยู่กับคนนั้นทีคนนี้ที เลิกกับคนนี้ไม่ถึงเดือนไปอยู่กับอีกคน หรือคบพร้อมกัน 2-3 คนพร้อมกันแบบที่เรียกว่าไม่ได้มั่วแต่ทั่วถึง แบบนั้นถึงจะเรียกว่าไร้คุณค่าอย่างแท้จริง คุณน่าจะอายุเกิน 20 หรือเปล่า ทำงานหรือยัง มีเงินเดือนแล้วรึยัง รับผิดชอบตัวเองได้รึยัง ตอบคำถามเหล่านี้นะคะ จากนั้นหากบอกว่าไม่ อย่าไปอยู่กับเค้าเด็ดขาด เพราะคุณจะคาดหวังกับแฟนคนอย่างเหลือล้นเพราะจุดหมายของคุณอย่างเดียวในการทดลองอยู่กินกัน คือการแต่งงาน ขณะที่แฟนคุณไม่ได้คิดอย่างนี้ เหมือนการทำวิจัยค่ะ วัตถุประสงค์ต่างกัน มันจะกลายเป็นวิทยานิพนธ์เล่มเดียวกันได้อย่างไร หากคุณรับเงื่อนไขว่าทดลองอยู่อาจไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงานเสมอไป สมมุตว่าต่างฝ่ายต่างเอือมระอากัน เห็นจุดบกพร่องที่ไม่อาจรับกันได้ คุณจะทนเพื่อไปถึงคำว่า แต่งงาน ไหม หากคำตอบของคุณคือทน ยังไงก็ทน อย่าไปอยู่กับเค้า เพราะคุณจะเป็นฝ่ายโดนทิ้ง หรือเผลอๆอยู่กันไปไม่ถึง 6 เดือนคุณก็อาจจะเป็นฝ่ายขอ อ้อนวอนให้เค้าแต่งานด้วย ในเมือเค้าไม่ยอม ไม่พร้อมหรืออะไรก็แล้วแต่ คุณก็จะงอน โกรธ หาเรื่องทะเลาะไม่เว้นแต่ละวัน แล้วสุดท้ายมันจะลงเอยยังไง หากไม่คิดว่า วิน วิน ทั้งคู่ แฟร์ๆทั้งคู่อย่าคิดไปอยู่ด้วยกัน หรือมีอะไรกัน หรือบางคนอาจใช้ไม้ตายคือ ปล่อยให้ท้องอันนี้พบเจอได้ค่ะ เพราะคิดว่าท้องแล้วจะได้แต่ง บางคนได้แต่งจริงๆ แต่ด้วยความที่อะไรๆก็ไม่พร้อมสุดท้ายก็ต้องเลิกกันอยู่ดี คราวนี้เป็นหม้ายด้วย มีลูกติดด้วย ไปกันใหญ่ เราคบกับบแฟนมาสองปีเคยถามแฟนว่า เราจะแต่งงานกันเมื่อไร แฟนบอกไม่รู้ เราบอกไม่รู้ได้ไง แฟนบอก อ้าวผมจะไปรู้อนาคตของเราได้อย่างไร ผมรู้แต่ว่าผมรักคุณและมีความสุขที่ได้อยู่ตรงนี้กับคุณ วันข้างหน้าหากยูยังเป็นอย่างนี้ เรารักกันอย่างนี้ ดีต่อกันอย่างนี้เราก็จะแต่งงานกัน ส่วนวันไหนคำตอบมันอยู่ใจของคนสองคนไปกะเกณฑ์เป๊ะคงยาก ขนาดว่าคนหมั้นกันไปแล้วจะแต่งอยู่มะรอมมะร่อยังถอนหมั้นเลิกกันได้เลย ดังนั้นอย่าไปคิดหวังมากเกินไปกับการทดลองอยู่ก่อนแล้วจะได้แต่งงานกัน คุณแฟร์ เค้าแฟร์ สบายใจก็คบ คบไปแล้วไม่เจริญก็เลิกแค่นั้นเองค่ะ ที่เราคิดและทำอยู่ :) จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:24:37

ความคิดเห็นที่ 28 ตั้งแต่คบกับคนๆนี้มา เรามีสองความเห็นที่ตีกันในหัวเสมอเลย คือ เราคิดว่า ความคิดความต้องการของเราก็ถูก และความคิดและความต้องการของเค้าก็ไม่ผิด ค่ะ เราอยากให้เค้าขอหมั้นเราเพื่อไปอยู่ด้วยกัน แต่ อีกใจเราก็เห็นด้วยกับเค้าว่ามันไม่ได้จำเป็นจะต้องทำอะไรแบบนั้นถ้าเราทั้งคู่ยังไม่มั่นใจ ว่าจะแต่งงานกันจริงๆ คิดแล้วเหมือนพายเรือในอ่างเลยค่ะ เล่ามาสะยาวยืด เผื่อให้คนอื่นๆ อ่านด้วยค่ะ ^^' จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:27:23 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 29 คุณยังไม่มั่นใจในตัวแฟนคุณเลย ยังไม่นับเรื่องย้ายเมือง ย้ายไปอยู่กับเค้า เราว่าแบบนี้อย่าเพิ่งไปเลย แต่ถ้าคุณคิดว่าย้ายไปแล้ว ถึงไม่มีแฟนคนนี้ คุณก็ดำเนินชีวิตของคุณเองได้ที่เมืองนั้น หรือมีทรัพย์สมบัติมากพอหรือมีความสามารถในการหางานทำได้ใหม่โดยเร็วถ้าเกิดอะไรๆมันไม่เป็นอย่างที่หวัง ก็คงไม่เป็นไร ถ้าโชคร้ายต้องเลิกกัน เสียใจก็คงเสียใจ แต่ถ้าทั้งเสียใจแต่ไม่มีเงินดูแลตัวเองด้วยอันนี้สิน่าเสียใจกว่า ตอนเราย้ายตามสามีเราไปในที่ต่างๆทิ้งครอบครัวทิ้งงานทิ้งเมืองไทยไปได้ เพราะเราอยากอยู่กับเค้า เพราะเรามั่นใจในตัวเค้า และเพราะถ้าต้องแยกทางกันไป เราก็มีเงินพอจะดูแลตั้วตัวใหม่ได้ ตอบโจทย์ในหัวใจในสมองเราได้ก็คือพร้อมแล้วที่จะไปกับคนๆนี้ เรื่องต้องทดลองอยู่ ฝรั่งที่ไม่ได้อยู่ก่อนแต่งอย่างสามีเรา ก็ยังตัดสินใจแต่งงานกับเราได้เลย มันไม่จำเป็นว่าฝรั่งทุกคนจะต้องทดลองขออยู่ก่อนแต่งก่อนเสมอ จะว่าเอาตัวเราเป็นศูนย์กลางจักรวาลก็ได้ เราสองคนก็คบเจอหน้ากันอยู่ปีนึง อีกสองปีที่เหลือก็คืออยู่กันคนละประเทศโดยที่เค้าบินมาหาเราบ่อยๆ ถ้าเราคบกับใครคนนึงจนรู้จักตัวตนกันและกันแล้ว การทดลองอยู่ด้วยกันก็คงไม่จำเป็น เพราะยังไงก็ต้องมีอะไรๆที่ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบกันอยู่บ้าง แต่ถ้าเรารักกันแล้ว เรื่องแบบนี้ก็จะยอมๆกันได้ ถ้ารักเราแล้ว ทำไมไม่ทำอะไรๆให้เรามั่นใจไปเลย ให้ไปอยู่กันเพื่อศึกษาก็อาจจะพอเข้าใจได้ แต่ถึงขนาดต้องให้ฝ่ายใดฝ่ายนึงย้ายบ้านย้ายเมืองด้วยเนี่ย เราว่ามันออกจะกั๊กๆยังไงไม่รู้ เหมือนยังรักตัวเองมากกว่ารัีกเรา จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:27:57

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยกับคุณยุ้ยฯตามความเห็นข้างบนค่ะ รักกันไม่จำเป็นต้องกดดันให้อีกฝ่ายไปอยู่ด้วยนี่นา แฟนเรายังไม่เห็นบังคับ (ออกจะดีใจ 555)  เค้าบอกว่ายูยังสนุกกับงาน เค้าก็ตั้งตัวทำสำนักงานของเค้าเอง ต่างคนต่างตกลงกันได้เคารพในการตัดสินใจของกันและกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเธอไม่ย้ายชั้นจะเลิกหรืออะไร เพราะเรายังมีคำว่าเข้าใจคล้องเราไว้ ทุกอย่างเลยHappyค่ะ อยู่ที่ไหนก็รักกันได้ รอเวลาที่เหมาะสมหัวใจสองดวงก็จะให้คำตอบเองว่าเมือไรค่ะ  :) จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:37:02

ความคิดเห็นที่ 31 คุณยุ้ยพูดมา เราเห็นด้วยค่ะ ว่าเรายังไม่มั่นใจในตัวแฟน ว่าเค้ารักเราแค่ไหน และ เค้าเหมือนทำทุกอย่างให้ work สำหรับตัวเองก่อน แล้วให้เราทำตามเค้า เราก็ปล่อยเค้าไปค่ะ แต่เมื่อเลิกลากันไปสักพัก ก็มานั่งคิดว่า จริงๆ เราไม่อยากอยุ่นี่อีกแล้วเมื่อไม่มีเค้า เบื่องานที่นี่แล้วด้วย เราทำงานมาสิบปีแล้ว เงินทองมีเก็บมากกว่าเค้าอีกมั้งนะ ^^ เพราะงั้นพอเค้ายังอยากให้เราไปอยู่ด้วย เราก็เลยลังเลว่า หรือลองไปดีเพราะว่าไหนๆก็คิดอยากไปจากที่นี่อยู่แล้ว และจะได้ไปลองหางานใหม่ๆ อะไรใหม่ๆทำดู แต่ปัญหามันก็ย้อนมาที่บันทัดแรกว่า เรายังไม่มั่นใจในตัวเค้าค่ะ ^^' จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:45:16 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้างั้นก็ ลองหางานใหม่ในเมืองที่เค้าอยู่ก่อนดีไหมค่ะ คือเราย้ายไปเพราะงานเราเอง ไม่ได้ย้ายไป เพื่อที่จะไปอยู่กับเค้า คือถ้าเรามีหลักของเราพร้อม การย้ายไปก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตมากมายนัก อย่างน้อยงานก็มีทำ บ้านเราเองก็มีอยู่ จากคุณ : Scooterella เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:53:06

ความคิดเห็นที่ 33 ก็ถือเป็นไอเดียที่ดีนะคะ จะได้ไม่เป็นความกดดันด้วยว่า เราย้ายตามเค้าไปแต่เอางานมาอ้าง ^^' ขอบคุณทุกๆท่านมากๆที่ช่วยระดมความคิดค่ะ บางครั้งเราก็ต้องการเพื่อนเพื่อสะท้อนความต้องการ ความคิดที่แท้จริงออกมา ดีกว่าคิดคนเดียวค่ะ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 14:05:39 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 34 คุณออตโต้บ่นเบื่องาน ... ถ้าไม่บอกว่ากำลังเซ็งการงาน ก็อยากจะแนะนำให้กลับกัน คือ ให้ทางฝ่ายแฟนลองมาหางานในแถบด้านคุณ   ดูซิว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร คือ ชีวิตคู่นี่ จะดำเนินการได้สวยงามตลอดที่คบกัน จนถึงแต่งงาน จนถึงครองเรือนเป็นห้าปี สิบปี สิบห้าปี ยี่สิบปี .... มันต้องมีการรับ การให้  มีการเดินเคียงคู่กัน  ไม่ใช่เราหรือเขาต้องเป็นคนเดินตามกัน ตรงจุดนี้ต่างหากที่จะพิสูจน์กันว่า  เมื่อใดชีวิตของอีกคนตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การงาน การเงิน สุขภาพ  อีกฝ่ายจะพยุงเสมอโดยไม่รังเกียจรังงอน หรือต้องเดินตามอีกฝ่ายตลอด  ...  ถ้ามั่นใจถึงขนาดนั้น  จะไม่มีคำถามเรื่องอยู่ก่อนแต่งดีหรือไม่   เพราะแต่ละฝ่ายจะหาทางออกให้ดีทั้งเขา หรือเธอ  ไม่ใช่ดีเฉพาะเราคนเดียว   คุณควรคุยกับเขาในสิ่งที่คุณวิตกกังวัล  โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้  ... ถ้าเขาเข้าใจคุณ เขาจะไม่เชิญชวนว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษากันและกัน  มีอีกหลายทางเลือกที่จะทำกันได้  .... และถ้าหากแต่งงานกันไป  วันหนึ่งการเงิน การงานมีปัญหา  อีกคนอาจจะได้งานที่ไกลมาก ๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไร  มันก็ย้อนกลับมาหาตรงจุดที่คุณเจอปัญหาตรงนี้อยู่ดี   ใช่ไหมคะ จากคุณ : บีพี เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 19:23:09

ความคิดเห็นที่ 35 ..คุณออตโต้..อย่าไปคิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบเลย..ดิชั้นเห็นด้วยกับคห.13..เค้าเป็นคนที่คุณรักและอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอค่ะ?..คิดซะว่าไปเที่ยวไปเปิดหูเปิดตาละกัน..แต่ขอให้คุณเคลียร์เรื่องงานของคุณให้ได้ดีกว่า..ถ้าคุณพะวงมากนะ..ลางานสักอาทิตย์สองอาทิตย์น่ะ..ลองไปอยู่กับเค้าในช่วงสั้นๆดูก่อน..ไปหาลู่ทางที่นู่นและเคลียร์ตัวเองจนแน่ใจ..แล้วค่อยไปอยู่ยาวดีกว่านะคะ..**ช้าแต่ชัวร์ดีกว่านะ..* เราก็ลองอยู่กับแฟนอยู่ในขณะนี้นะ..จะเข้าปีที่ 3 เดือนกุมภาพันธ์ หน้านี้..life style เรากับแฟนไปกันได้..จากแรกๆที่ 2 ปีแรกกว่าจะเข้ากันได้..มันก็มีเหนื่อยใจ,ว้าวุ่น ตามปกติคู่รัก..แต่เราถือว่าเรามีโชคตรงที่แฟนเราเป็นคนที่ไม่เจ้าชู้เลย..ทำหน้าที่ว่าที่สามีได้ไม่ขาดตกบกพร่อง..อะไรที่มันว่าร้ายในสายตาคนอื่นเรากลับถือว่ามันเป็นเรื่องเล็ก...แล้วการได้อยู่ก่อนแต่งเราถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตก่อนแต่งมากๆ....*(ได้ยินแฟนเปรยๆว่าจะหมั้นเราแล้ว..แต่อุบเซอร์ไพรส์เรา..ว่าเป็นวันไหน) ..ถ้าเรามีลูก..เราจะอนุญาตให้ลูกเราอยู่ก่อนแต่งแน่นอน..เพราะมันทำให้เห็นธาตุแท้อะไรหลายๆอย่าง..ได้ดีกว่าการไม่เคยได้ลองอยู่ก่อนแต่ง..เราเคยผ่านการหย่ากับคนไทยมาแล้ว..เพราะเราเห็นเค้าแค่ภายนอกที่หอมหวาน..แต่ตัวตนที่แท้จริงของเค้าคือไอ้ขี้เมา..ซึ่งเค้าซ่อนตัวตนของเค้าเอาไว้..เราช็อคเลยล่ะ..พอแต่งปุ๊บเค้าออกลายเลย..มันเป็นคนละคนก่อนแต่งค่ะ.. ...ส่วนที่จขกท.ถาม..ฝรั่งเค้าลองอยู่ด้วยกันเพราะต่างมีจุดหมายร่วมกันคือการแต่งงานกันค่ะ..มันถือเป็นประเพณีอย่างนึงนะคะ..แต่ไม่ได้ฟิกหรือบังคับว่า..ต้องแต่งงานกับชั้นแน่ๆชัวร์นะ..เพราะชั้นเปลืองตัวให้เธอแล้ว ..แต่ฝรั่งมองว่าถ้าได้ลองอยู่ก่อนแต่งมันต้องได้เรียนรู้กันมาก.กว่าเจอกันแค่ข้างนอก..เพราะเจอกันแค่ข้างนอกมันมองเห็นแค่ด้านเดียวและเห็นแต่ด้านดีๆ..ด้านไม่ดีจะไม่มีวันเห็น..ชีวิตคู่มีแต่ลงเหว.**.ถ้ามันเลิกง่ายๆแบบไม่มีเงื่อนไขหรือข้อขัดแย้ง..คงไม่ต้องอยู่ก่อนแต่งหรอกค่ะ...คนเราอายุสั้นนะคะ** *ส่วนใหญ่เค้าจะเลือกลองอยู่ด้วยกันก่อนค่ะ..เค้าไม่คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบหรอกค่ะ..แต่บางคนก็ไม่มีกำหนด..บางคนก็ถือว่า .พิธีไม่มีความสำคัญ... จากคุณ : นางฟ้าฮอลแลนด์ >Holland Angel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 21:09:59

ความคิดเห็นที่ 36 "น่ารักจังเลยค่ะ คุณ Scooterella แฟนเราเค้าบอกเสมอว่าอยากให้เราบินไปหาแล้วเค้าจะช่วยออกค่าเครื่องให้ครึ่งนึง แต่เราต้องบินไกล 10 ชม ค่ะ เลยทำแบบคู่คุณไม่ได้ ^^' แต่ปัญหาใหญ่คือจะต้องลางานไป แล้วลาเป็นอาทิด เพราะบินระยะไกล กลัวเค้าจะไล่ออกสะก่อนค่ะ เลยคิดว่าถ้าจะคบกันคือ ต้องย้ายไปอยุ่ด้วยกันเท่านั้น เราบอกเค้าว่าถ้ายังไม่มั่นใจในกันและกันขนาดอยากแต่งงานด้วย ก็ขอให้ปล่อยกันไปดีกว่า แต่เราทั้งคู่ก็ยังรักกันค่ะ เค้าก็เลยยังพยายามทำให้เราใจอ่อนอยู่" อ่านประโยคนี้แล้วผมสงสัยว่าแฟนคุณเค้าเห็นแก่ตัวไปรึป่าวครับ คือเราต้องไปหาเค้าฝ่ายเดียวเลยเหรอ ทำไมเค้าไม่มาหาเราบ้าง ดูเหมือนเค้าจะค่อนข้างเห็นแก่ตัวน่ะครับ   อนาคตจะไม่มากกว่านี้อีกเหรอครับ ทั้งให้มาอยู่ด้วย แต่ไม่คิดจะแต่ง ทั้งให้บินมาหาฝ่ายเดียว ผมว่าความรักอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ คุณลองคิดดีๆ จากคุณ : tottui เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 23:23:22

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่มีใครที่จะไม่ผิดหวังหรอกค่ะ ถ้าเราจะรักใครสักคนมันก็ต้องเสี่ยงดวงอยู่แล้ว (เพราะถ้ามัวแต่กลัวเดื๋ยวหมู่บ้านคานทองนิเวศจะถามหา) โดยเฉพาะ จขกท บอกว่ามีงานทำที่ดีและอาจจะมีเงินเก็บมากกว่าเขา แต่ถ้าได้เรียนรู้ชีวิตกันและกันแล้วมันไม่คลิกกันก็ต้องเลิกกันอยู่แล้ว อยู่คนเดียวมานานแล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้อีก เงินเราก็มี อยู่ ตปท ก็ถูกกฏหมาย แล้วค่อยหางานใหม่(ถ้าคิดจะออกจากงานไปอยู่กับเขา) ในเมื่อคนนี้ไม่ใช่เราก็ยังมีสิทธิ์หาคนใหม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้นะว่าใครจะคิดยังไงแต่สำหรับเราถ้ารักใครสักคนเราคงไม่มานั่งคิดคำนวณว่าใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ ถ้าคบแล้วไม่ใช่หรือเขาไม่ดีจริงเราก็คงถอยออกเอง ถึงช่วงแรกจะเสียใจวันต่อไปมันก็คงดีขึ้นเอง เพราะเราก็ยังมีพ่อ แม่ ที่เราต้องดูแลท่านอยู่แล้วเสี ยใจมาเราก็ต้องคิดถึงท่านเป็นอันดับแรกแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น แล้วจะทำให้เห็นปัญหาเป็นเรื่องจิ๊ดๆ แต่จากที่อ่านความรู้สึกของ จขกท เหมือนไม่ค่อยรักเขาเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพียงเพราะความเหงาต้องการใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย เลยทำให้คิดเล็กคิดน้อยหรืออาจจะคิดอีกแง่หนึ่งว่าอยากจะเริ่มต้นมีชีวิตครอบครัว ไม่อยากจะไปอยู่กับเขาไปวันๆ แต่เขากลับขอเวลาเรียนรู้ต่อไปอีก เลยทำให้ จขกท เริ่มคิดมาก... ยังไงก็ลองถามใจตัวเองดูว่าขาดผู้ชายคนนี้ได้ไหมถ้าคิดว่าขาดเขาไม่ได้หรือไม่อยากจะเริ่มใหม่กะใคร ก็ทำตามใจตัวเองซะ หรือถ้าคิดว่าไม่มีเขาก็ไม่เป็นไหร่จะเลิกคบหรือ จขกท จะหาคนใหม่ก็ตัดสินใจดีๆ เพราะคบคนใหม่ก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีก แต่ที่แน่ๆ นี่เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของ จขกท เท่านั้นนะ จริงๆ แล้วอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดเขาอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้ ชีวิตเหมือนการลงทุนต้องเสี่ยงถ้าขาดทุนก็ถือซะว่าเราโชคร้ายเอง ถ้าได้กำไรมันก็คือกำไรชีวิตของเรา (แนะนำได้แค่ว่าถ้าจะไปอยู่กับเขาจริงอันดับแรกคือการหางานทำ เพราะยังไงมันก็คือสิ่งที่เรายืนด้วยตัวเองได้เผื่อมีปัญหา) ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ อย่าคิดมาก ^_^! จากคุณ : C&G เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 23:47:07 A:223.207.4.174 X: TicketID:203091

ความคิดเห็นที่ 38 เขาไม่คิด แต่ จขกท. คิด ยังไงๆ ความคิดแบบผู้หญิงไทย ก็ยังฝังอยู่ในหัวเนอะ ^^ ถ้ามันยากนัก ก็อย่าได้มีเลย อิอิ ^^ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 00:13:10

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ บีพี พูดเหมือนแม่เราเลยค่ะ แม่บอกว่าจะดีกว่ามั้ยถ้าให้เค้าย้ายมาทำงานที่นี่ ตอนที่ลองคบกัน เพื่อให้เค้าแสดงออกว่า เค้าก็ทำเพื่อเราได้ เพราะพอได้แต่งงานกันจริงๆ เราต้องย้ายตามเค้าอีกเยอะ แม่น่ารักมากค่ะ พยายามจะเข้าใจเรา ไม่พูดทำลายน้ำใจเราว่า แฟนเราเห็นแก่ตัว ฮ่าๆๆ แถมแม่ยังพยายามเข้าใจการอยู่ก่อนแต่งอีกต่างหาก แม่อยากให้เรามีความสุขก็เลยให้เราตัดสินใจเองแค่คอยเตือนบ้างเล็กน้อย ทุกคนทำให้เราตัดสินใจได้แล้วค่ะ ว่าเราจะไม่ย้ายตามเค้าไป เพราะเมื่อคิดทบทวนแล้วตลอดเวลาที่คบกัน มันจะเป็นแบบนี้เสมอคือ เราต้องเป็นฝ่ายทำอะไรๆ ที่มันลำบากใจเพื่อให้เค้าสบายใจ ถ้าเค้าทำเพื่อเราได้มากพอ จนเรามั่นใจว่า ไม่ว่าพรุ่งนี้เราจะตกงานหรืออะไรก็ตาม เค้าก็จะอยู่เคียงข้าง เราคงไม่ลังเลที่จะตามเค้าไป แต่เราไม่มั่นใจจริงๆค่ะ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 00:41:03 A:216.126.124.127 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 40 เรากับแฟนไม่ได้ทดลองอยู่ก่อนแต่ง ..จีบกันอยู่ 2 ปี ก็แต่งงาน เพราะตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า คบเพื่อดูคนที่ใช่แล้วแต่งเลย ถ้าไำม่ใช่ก็เลิก เราเคยคบแฟนมาสองสามคนแต่ละคนคบนานๆทั้งนั้น มันก็ไม่พูดเรื่องแต่งงานซะที รอบนี้บอกตัวเองรอบสุดท้าย ไม่คบจนกระทั้งรอเขาพูดเรื่องแต่งงาน บอกเขาไปตรงๆว่าเราคบเขาเพื่ออะไร .......!!! มีเพื่อนสนิทคบกับแฟนแล้วอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้แต่ง พอถามฝ่ายชาย คำตอบทำให้เราอึ้งเหมือนกัน " จะแต่งไปทำไม ก็อยู่ด้วยกันแล้วนิ" คบกับแฟนมาตอนนี้จะเข้าสิบแปดปีแล้ว ก็ยังดูใจกันอยู่  แต่ฝ่ายหญิงก็เริ่มมีบ่นๆแล้ว ?? ส่วนอีกราย มาอเมริกาวีซ่าคู่หมั้น ตอนนี้ยังไม่แต่งงานเลย อยู่จนเลยมาปีกว่าแล้ว พอถามฝ่ายชายเมื่อไหร่จะแต่ง ฝ่ายชายบอกให้ไปถามพระเจ้า ชีวิตนี้มีความเสี่ยงจริงๆ จริงๆแล้วแต่งหรือไม่แต่งก็ไม่มีผล แต่ความรู้สึกนึกคิดของเราผู้หญิงก็คือผู้หญิง การแต่งงานก็เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ตอนจบเป็นแค่การเริ่มต้น  แต่ก็เป้นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่น่าจะดีได้ แต่ถึงขั้นต้องย้ายบ้าน เปลี่ยนงาน ขอให้คิดให้กถี่ถ้วนนะคะ รักตัวเองให้มากที่สุด จากคุณ : BeauUSA เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 02:16:01

ความคิดเห็นที่ 41 คุณออตโต้ึคะ บีพีอาจจะรุ่นคุณแม่คุณก็ได้ค่ะ  ที่เขียนเช่นนั้นก็เพราะ  อ่านดูแล้วคุณมีความวิตกกังวัลในเรื่องที่ถาม  แต่คู่รักของคุณมิได้เสนอทางเลือกอื่นใดให้  เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัว และคนรักกันจะไม่เสนอข้ออะไรที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม กับอนาคต หน้าที่การงาน หรือกับอะไรหลาย ๆ อย่างของทั้งคุณและเขา  คือ ความรักจะไม่เห็นแก่ตัว  นั่นเอง จะพูดอย่างไรดีนะ  คือ  คนทุกคนจะมองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของตน  แต่ถ้าเรารักใคร หรือใครรักเรา  มันจะออกมาในมุมที่ต่างฝ่ายต่างช่วยกันคิด  ช่วยกันหาข้อสรุป  ไม่ขัดขื่น ไม่ข่มใจเพื่อ ...   ถ้าชีวิตรักเริ่มได้อย่างนี้  ในชีวิตต่อไปที่จะเดินร่วมกัน  ปัญหาใหญ่จะกลายเป็นเล็ก  ปัญหาเล็กก็จะไม่มี  และก็จะเป็นการเดินเคียงคู่กันที่อบอุ่น ไม่ว่าจะต้องฝ่าพายุร้าย  ฝ่าอันตรายอะไรที่จะเข้ามาโจมตี  คุณและเขาจะมั่นใจกันและกัน  และเมื่อใดที่ต้องเดินทางแยกกันเพราะหน้าที่การงาน หรืออะไรก็ตามแต่  ... มันจะไม่มีเรื่องที่ไม่วางใจกัน หรือมีเรื่องอะไรจิปาถะที่ชีวิตคู่หลายคู่ไม่อยากจะประสบ ใครบอกว่าแค่คุยกันไม่พอ  แต่บีพีว่าพอที่จะถึงจุด .. ที่จะรู้จักแบบลึกซึ้งเลยนะคะ  ถ้ารู้จักหยิบเรื่องประเด็นมาคุย และต้องคุยเพื่อค้นหาตัวตนแท้จริงของเขา  เวลาเราเลือกคู่ ... ต้องเลือกเจาะเข้าไปถึงเนื้อแท้ของเขานะคะ  อย่ามองแค่เปลือกผิว  ไม่งั้นต่อให้อยู่กันก่อนแต่งนานแค่ไหน  ก็อาจจะต้องแยกกันค่ะ   จะขอเรียกว่า การใช้ดวงตาที่สาม .. ดวงตาที่เรียกว่าปัญญานะคะ  ส่องเจาะมองหาคนที่ดี ไม่ใช่หาคนที่รวย  คุณจะพบความสุขจากรักแท้  คนที่รักคุณจริง ๆ รักที่ไม่มีข้อแม้ และมิใช่รักที่ความสวยงามของรูปกายภายนอก แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 53 04:45:10 จากคุณ : บีพี เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 04:39:29

ความคิดเห็นที่ 42 จริงๆ แล้ว จะอยู่ก่อนแต่งเพื่ออะไร? หากต้องเลิกลากันแล้วทำใจไม่ได้จะทำอย่างไร? เพราะนี่ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ยังไงคนไทยก็ถูกสอนมาให้รักนวลสงวนตัวมันเป็นรากที่ฝังอยู่ในจิตใจของเรา ถึงแม้ว่าจะมีแฟนฝรั่งยิ่งต้องระวังค่ะ หากเขารักเราเขาต้องเข้าใจเราค่ะ ไม่ใช่รักเราเพื่อให้เรายอมอยู่ก่อนแต่งกับเขา อย่างน้อยๆ ก็ให้เราได้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมิดีกว่าหรือคะ จากคุณ : comedian (comedian) เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 05:59:59

ความคิดเห็นที่ 43 อย่าว่าแต่คนไทยเลย สาวเมกันให้ย้ายออกนอกรัฐไปอยู่ที่อื่นกะแฟน เค้ายังไม่ไปเลย เป็นเราๆ ก็ไม่ไปคะ ถ้าใกล้ๆ ญาติ เพื่อน คนรุ้จัก สถานที่ๆ เราคุ้นเคย เราก็ไปนะ เพราะถือว่า เป็นการเรียนรู้ ไม่เคยคิดว่าเสียเปรียบได้เปรียบ แต่ถ้าให้ย้ายไกลไปจาก comfort zone ถ้าไม่ หมั้น ไม่แต่ง ไม่ไป จากคุณ : lonely pig เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 07:37:36

ความคิดเห็นที่ 44 อาการเดียวกับคุณ จขกท เลยค่ะ ลังเล เพราะรู้สึกฝ่ายแฟนไม่ได้ให้ความมั่นใจ(มากพอ) สุดท้าย เราก็เลือกงานไว้ก่อนค่ะ ค่อยๆ ขยับขยายชีวิต จากคุณ : HuGGie เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 12:11:31

ความคิดเห็นที่ 45 I read all above.. Mostly I agreed with, excellent, thoughtfully opinions given. Best of Luck krub. จากคุณ : isvasu เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 18:51:50 A:71.114.75.107 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 46 ดีใจที่คุณจขท.คิดได้ว่าจะไม่ย้ายไปกับเขา เราเห็นด้วยกับคุณ เพราะดูๆแล้วคุณยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความเจ็บปวดที่จะตามมา และมีแนวโน้มเสียด้วยเพราะคุณบอกเองว่าไม่มั่นใจกับผู้ชายคนนี้เอาเสียเลย วิธีจะดูว่าผู้ชายคนนี้น่าร่วมหัวจมท้ายด้วยไหม ดูง่ายๆค่ะ ๑. เขาเคยวางแผนอนาคตอะไรที่มีคุณและเขาอยู่ในนั้นหรือเปล่า เช่นอยากมีบ้านให้คุณช่วยเลือกของแต่งบ้าน ให้คุณออกแบบสวน อยากเปิดบริษัทให้คุณช่วยเก็บเงิน เป็นต้น และ ๒. เขาได้ลงมือทำให้คุณมั่นใจว่าข้อ ๑ มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ หรือยัง พวกฝันกลางวันก็ไม่เอานะคะ ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่เวิร์ค ยังมีผู้ชายดีๆอีกมากในโลกนะคะ ถ้าประตูบานหนึ่งปิด อีกบานมันจะเปิดเอง อย่าปิดประตูตัวเองค่ะ จากคุณ : ##TUKTA## เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 19:54:35

ความคิดเห็นที่ 47 แล้วคุณ จขกท.  ชอบแบบไหนล่ะค่ะ ถ้าคิดว่ากลัวเสียเปรียบก็อยู่แบบนั้นน่ะดีแล้วค่ะ ฝรั่งหัวทอง แม้แต่ชายไทย ต่างก็ชอบอยู่ก่อนแต่งทั้งนั้นแหละค่ะ เพื่อศึกษานิสัยใจคอกันไปก่อน ถ้าเข้ากันได้ดีจึงตัดสินใจแต่งงาน เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่บุคคลและความรู้สึก สามีดิฉัน.......เมื่อก่อนมีแฟนเป็นฝรั่งด้วยกัน หน้าที่การงานดีทั้งคู่ อยู่กันนานสิบกว่าปี มีลูกสองคน จนลูกโตก็ไม่แต่ง ซื้อแหวนแต่งงานมาใว้ดูให้ฝ่ายหญิงชื่นใจไปหลายปี สุดท้ายทนดูต่อไปไม่ไหวเลยหอบลูกหนีไปอยู่ที่อื่น(อันนี้ดิฉันเข้าใจ) สุดท้าย ..พอมาเจอดิฉันสาวไทย(ทางเน็ต)ผู้ขี้เหร่แต่ไม่ง้อผู้ชาย แต่สามียอมขอแต่งงานด้วยทั้งๆที่รู้จักกันไม่ถึงสองเดือนด้วยซำ ของแบบนี้มันแล้วแต่ความรู้สึกค่ะ ว่ากันไม่ได้ แต่ชายหนุ่มผมทองนั้นหวงความโสดมากๆ นอกจากว่าพวกเขาอายุมากแล้ว และอยากมีคู่ชีวิตจริงๆถึงจะยอมแต่งงานกับคนรัก สรุปแล้วเรื่องแต่งงานของคนตะวันตก เอาแน่เอานอนไม่ได้ ฝ่ายชายต้องเป็นผู้เอ่ยปาก เมื่อเขาพร้อมเขาคงบอกเราค่ะ  ทุกอย่างมันบอกไม่ได้ว่าเราต้องรอนานแค่ไหน ของแบบนี้ต้องใจวัดใจนะคะ โบราณบอกว่าคนในอยากออกคนนอกอยากเข้า สงสัยจะเป็นเรื่องจริง สำหรับดิฉันถ้าเลือกได้ในความรู้สึกตอนนี้อยากโสดค่ะ เหตุผลก็คือ ไม่มีใครมาบงการชีวิตเรา ไม่ต้องมาแบกรับภาระอันใดให้ใครๆ ไม่ต้องมานั่งเป็นแม่เลี้ยงทั้งๆที่ในชีวิตจริงก็ไม่เคยเป็น (สับสนมาก) เพราะเป็นคนรักสันโดดชอบอยู่เงียบๆ แต่มันคงสายไปแล้วกว่าจะคิดได้แบบนี้ เฮ้อ.......ชีวิต   ถ้ายังไม่มั่นใจในตัวเขาก็อย่าเพิ่งตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ค่ะ อย่างน้อยฝ่ายชายก็น่าจะทำให้เรามีมั่นใจก่อน เพราะชีวิตนางต่างแดนมันไม่ได้วยหรูทุกคนเสมอไป ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่แตกต่างกันกับเมืองไทยของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คิดดีๆก่อนตัดสินใจนะคะ จากคุณ : เพราะรักจึงเทใจ (Ramaekers) เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 20:00:30

ความคิดเห็นที่ 48 การมีความรักนั้นเรื่องบางอย่างก็สมควรที่จะคิดให้รอบคอบแต่บางเรื่องก็อย่าไปคิดให้เปลืองสมองเลย มันต้องมีความสมดุลย์และเหมาะสมในตัวเองและขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลอีกด้วย ดิฉันเองไม่เคยคิดจะทดลองอยู่กับใครและเกลียดคำๆนี้มาก เพราะใครกันหนอเวลาย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้วจะคิดว่าเออขอลองใช้ดูก่อนดีก็แต่งแต่ถ้าไม่ดีก็เลิก มันไม่จริงหรอก คนที่ย้ายไปอยู่ด้วยกันมันแสดงว่าต้องรักกันและอยากอยู่ด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะแต่งงานหรืออาจยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้นก็เป็นไปได้  เพราะไม่ไช่ว่าทุกคนหรอกในโลกใบนี้ที่ยึดมั่นว่าถ้ารักกันจริงจะต้องจบลงด้วยการแต่งงานตีทะเบียน  ดิฉันเองเกิดมาไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลยไม่เคยอยู่ในสมองหรือในความฝัน ไม่ชอบและไม่อยากเป็นเจ้าสาว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ได้คาดหวังหรือคิดไว้ล่วงหน้าเลย แฟนดิฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายที่รุ้สึกเองว่าควรแต่งงานจดทะเบียนเสียให้มันถูกต้องตามกฏหมาย ดิฉันเองก็อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง อยู่กินด้วยกันที่เมืองไทยมาแล้วสองปีถึงจะจดทะเบียนสมรส พ่อแม่ดิฉันก็รับรู้และไม่เคยว่าอะไรและไม่เคยคาดหวังว่าเราจะต้องแต่งงานกันเสียก่อนถึงจะอยู่ด้วยกันได้  การแต่งงานเพื่อผูกมััดกันไว้ก่อนหรือเพื่อให้การหย่าขาดมันทำได้ยากขึ้นจนทำให้ต่างฝ่ายต้องทนๆกันไปนั้นดิฉันว่าไม่น่าจะไช่การแต่งงานที่ดีแน่ๆ  เพราะการแต่งงานไม่ได้ช่วยให้คนสองคนรักกันมากขึ้นกว่าเดิมหรือช่วยเปลี่ยนนิสัยคู่สมรสได้  คนถ้าจะรักกันจะแต่งหรือไม่แต่งก็จะอยู่ด้วยกันจนหมดลมหายใจไปข้างนึงอยู่ดี ไม่มีอะไรในโลกนี้หรอกที่มันแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีวันคลาดเคลื่อน ทุกสิ่งมันไม่ยั่งยืน ถึงจะแต่งงานหรือหมั้นใหญ่โตก็สามารถเลิกกันได้ถ้าคนสองคนไม่ได้รักกันและเป็นคู่แท้  ดิฉันมีัเพื่อนที่แต่งงานแล้วถึงสามครั้งหย่าสามครั้งอายุเพืิ่งจะสามสิบต้นๆเองเพราะคบใครก็แต่งร่ำไปทุกทีไม่ดูเลยว่ามันไช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า แต่ดิฉันขอแต่งเพียงครั้งเดียวจะดีกว่าถ้าครั้งนี้พลาดก็จะไม่ขอแต่งอีกแล้วแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ   ใครจะทดลองอยู่กับใครหรือใครจะต้องแต่งงานถึงสามครั้งกว่าจะเจอผู้ชายในฝันตัวจริงก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องตัดสินใจเอง เพราะความต้องการและความเชื่อของแต่ละคนและแต่ละครอบครัวนั้นต่างกัน ถ้าคุณถูกสอนมาว่าการอยู่ด้วยกันก่อนแต่งมันผิดและเสียเปรียบ เสียหน้า เสียตัว ไม่ได้เงินค่าสินสอด เมื่อฝ่ายชายไม่ขอแต่งงานคุณจะรู้สึกแย่และผิดหวังรวมทั้งเสียเวลาเป็นธรรมดา ส่วนคนที่ไม่ได้จริงจังกับเรื่องแต่งงานอาจจะคิดได้อีกแบบว่า เออดีไป ไม่ต้องทนอยู่กับไอ้หมอนี่จนหัวล้านหนังหน้าเหี่ยว เหม็นสาปไปจนตาย ไม่ต้องเสียค่าทนายฟ้องหย่า และคนที่อยู่ด้วยกันน่ะมันไม่น่าที่จะมีฝ่ายไหนเสียควรที่จะได้ด้วยกันทั้งคู่เพราะอย่างน้อยเวลาที่ผ่านมาก็มีคนไปทานข้าวด้วย ร่วมทำอะไรสนุกๆด้วยกัน มีคนให้กอด หอม แสดงความรัก ชีวิตไม่เหงาอับเฉาอยู่คนเดียว มีคนขับรถ มีคนช่วยถือของให้ มีคนช่วยเกาหลังหรือใช้ให้ไปซื้อผ้าอนามัยได้แล้วคุณๆจะมาบอกดิฉันว่าเสีย มีแต่เสีย อันนี้ดิฉันจึงไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะเท่าที่ดิฉันเคยอยู่กับผุ้ชายมาก่อนแต่งนี่ไม่ได้เสียนะมีแต่ได้ค่ะ  ถึงเค้าไม่ได้ขอให้จดทะเบียนต้องเลิกกันไปดิฉันก็คงจะถือว่ามีคนรับใช้และดูแลเราตั้งสองปีแน่ะ  อย่างนี้ไม่รู้จะเสียใจไปทำไมเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 53 20:53:41 จากคุณ : Gisele เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 20:51:02

ความคิดเห็นที่ 49 ขอแยกประเภทของผู้หญิงที่มีแฟนหรือสามีต่างชาติตามวัยวุฒิดังนี้ - อายุตั้งแต่ 18-25 ปี เพิ่งจะเรียนจบได้ปริญญาตรีมาหมาดๆ ทำงานได้ไม่นาน พ่อแม่ยังไม่ทันได้พึ่งพาอาศัยเลย อีกทั้งยังไม่เคยผ่านการมีครอบครัวมาก่อน ถ้ามีแฟนต่างชาติในวัยนี้ 99.5% จะมีผู้คนพากันทักท้วงมากมายด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นว่าอายุยังน้อย ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก หากไปเจอแฟนต่างชาติไม่ดีแล้วอาจจะโดนหลอกให้เสียใจและเสียกายเป็นที่อับอายได้ บางครอบครัวจึงไม่ต้องการให้ลูกสาว หรือหลานของตัวเอง เดินทางไปอยู่กับแฟนต่างชาติก่อน ถ้าจะไปอยู่ด้วยกันก็ต้องแต่งงานให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องมีพิธีหมั้นเพื่อไม่ให้ลูกหลานเป็นที่ครหาของคนอื่นๆ ส่วนจะไปด้วยกันได้หรือไม่นั้นค่อยมาลุ้นเอาตอนหลัง - อายุตั้งแต่ 26-35 ปี วัยนี้ส่วนมากจะทำงานเป็นหลักแหล่งแล้ว บางคนก็แต่งงาน กับผู้ชายไทยจนมีลูกด้วยกัน บางคู่ก็ครองคู่กันอย่างมีความสุข แต่บางคู่ก็ล้มเหลว จนกระทั่งเลิกลากันไป คำว่าผู้ชายจะแก่แค่ไหนก็ยังหาผู้หญิงคนใหม่มาเป็นภรรยาได้ แต่ผู้หญิงล่ะ อายุเกิน 27 ก็แก่เกินแกงสำหรับชายไทยเสียแล้ว แถมมีลูกติดอีกต่างหากทำไงได้ล่ะทีนี้? การมีแฟนใหม่เป็นคนต่างชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังนิยมในปัจจุบัน ด้วยวัยขนาดนี้ ครอบครัวก็ผ่านมาแล้ว ลูกก็มีแล้ว เรื่องจะทดลองอยู่ก่อนแต่ง กับต่างชาติดูเหมือนจะ 50 50 อยู่ก่อนแต่งก็ได้ หรือแต่งก่อนก็ดีเพราะยังมีพ่อ แม่ ญาติพี่น้องและสังคมที่มีหน้าตาหลงเหลืออยู่ บ้างก็ยังเป็นห่วงอยู่แต่คงไม่มากนัก เค้าโตแล้วปล่อยให้เค้าคิดและตัดสินใจเองดีกว่า - อายุตั้งแต่ 35-40 ปี วัยนี้ถ้ายังเป็นโสดก็คงต้องถามหาคานทองนิเวศน์แล้วล่ะ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง มีแต่อยากจะช่วยสอยให้ลงมาจากคานทองเร็วๆ ไม่ต้องห่วงล่ะรุ่นนี้ จะอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่ก็คงไม่สำคัญแล้วล่ะ บางคนก็เพิ่งมาหย่ากับสามีไทยในวัยนี้ คนเราไม่ได้ตายกันในวัยนี้เสียเมื่อไหร่ล่ะ ยังต้องมีชีวิตอยู่กันอีกนาน ทีนี้ความเหงามันช่างทำร้ายจิตใจของผู้หญิงวัยนี้ เสียเหลือเกิน...การคบแฟนต่างชาติเป็นทางเลือกสุดท้ายของผู้หญิงวัยนี้และ ช่างเหมาะเจาะกันดีกับต่างชาติวัยเกษียณอีกมากมายที่หย่ากับภรรยาแล้ว ต่างคนต่างหาเพื่อนคู่ทุกข์ คู่สุข ในบั้นปลายชีวิตกันแทบทั้งนั้น จากคุณ : Virgo me เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 53 23:13:00

ความคิดเห็นที่ 50 ผู้หญิงฝรั่งเค้ามองว่าตัวเองทัดเทียมกับผู้ชายนะคะ  เพราะโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นแบบนั้น  ทั้งฝรั่งชายหญิงจะถูกสอนให้ทำงานช่วยเหลือตัวเองเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก  พอวัยรุ่นก็ทำงานมีรายได้ให้ตัวเองแล้ว  พ่อแม่ฝรั่งก็ให้อิสระและให้ลูกคิดตัดสินใจด้วยตัวเอง  คือจะดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แต่ไม่ก้าวก่ายลูก หรือก้าวก่ายบ้างแต่ไม่เยอะ เพราะฉะนั้นผู้หญิงฝรั่งเค้าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่  และจะไม่คิดว่าตัวเองเสียเปรียบผู้ชายเรื่องการอยู่ก่อนแต่ง  เพราะเค้าพึ่งพาตัวเองได้ อยู่ๆ กันไปไม่ถูกใจก็เลิกกัน แล้วก็หาใหม่ แต่สภาพสังคมและวัฒนธรรมประเพณีบ้านเราไม่ได้เป็นแบบนั้น  พ่อแม่คนไทยค่อนข้างหวง ห่วงและดูแลลูกสาว  ลูกสาวเลยต้องรักษาเกียรติของครอบครัวด้วย  รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน  ตราบใดที่ผู้หญิงสามารถดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ และพ่อแม่โอเคกับการกระทำ  เราว่าการอยู่ก่อนแต่งของผู้หญิงไทยก็คงยอมรับได้   ส่วนเรื่องแฟนของ จขกท. เราว่าถ้าจขกท.  พึ่งพาตัวเองได้  และ คุณพ่อคุณแม่ให้สิทธิจขกท. ตัดสินใจด้วยตัวเอง จะอยู่ก่อนแต่งก็ได้ค่ะ  แต่อย่าลืมว่าอะไรก็ไม่แน่นอน คู่ฝรั่งอยู่ก่อนแต่งแล้วในที่สุดแต่งงานกันก็มี  อยู่กันไปแล้วเลิกก็มี  เพราะฉะนั้นถ้า จขกท. คิดว่าตัวเองเสียเปรียบ ก็อย่าเลยค่ะ แต่ถ้าคิดแล้วว่าจะลองดูไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ลองดู   แต่ต้องเผื่อใจไว้ด้วยนะคะ แต่ก็ขออวยพรให้โชคดีค่ะ จากคุณ : sweetkiwi เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 04:19:15

ความคิดเห็นที่ 51 เราคุยกันหลายครั้งแล้วค่ะ และทุกครั้งก็คือหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ทุกครั้งเราจะคุยกันดีๆ ไม่มีโมโห หรือ พูดจาเอาชนะกัน เราแค่อยากจะหาข้อสรุปร่วมกัน แต่ด้วยความต่างทางความคิด โตมาคนละแบบ แล้วเราก็มาอยู่บ้านเมืองเค้า เค้าก็เลยไม่ค่อยจะคิดว่าเค้าต้องสนใจว่าสังคมไทยเป็นอย่างไร สำหรับเราไม่เกียวกับว่าเราแคร์ว่าสังคมไทยคิดอย่างไร แต่เราคิดเหมือนสังคมไทยส่วนใหญ่มากกว่า ที่เราคิดว่าเราเสียเปรียบนั้นไม่ใช่เรื่องเพศสัมพันธ์ แต่เป็นเรื่องของ โอกาสในการได้ในสิ่งที่ต้องการ ถ้าเราย้ายไปอยู่กับเค้า แน่นอนว่าเรารักเค้าแล้ว และอยากทำทุกอย่างไปถึงจุดที่แต่งงานกัน ถ้ามันไปได้ดีเราคงอยากแต่งมากกว่าอยู่ไปเรื่อยๆ แต่โดยนิสัยแล้วผู้ชายมักจะเรื่อยๆ มากกว่าอยากแต่ง ถ้ามันไปได้ไม่ดีเรารับได้อยู่แล้วค่ะว่าควรจะเลิกกัน เราไม่เคยอยู่เรื่อยๆกับใครเลยค่ะ ไม่ว่าชายไทยหรือฝรั่ง เราไม่เคยเข้าใจคนทีอยู่กับแฟนมาได้เป็นสิบๆปี แล้วพอแฟนไม่ยอมแต่งก็เลิกไม่ได้เพราะผูกพันมาก ก็เลยต้องทนไปเรื่อยๆ เราคุยกับเค้าครั้งล่าสุดก็พูดไปหมดที่ต้องการพูดค่ะ สบายใจดี ไม่สมหวังก็ต้องทำใจ แต่เรารู้ตัวว่า เราเป็นคนคิดมาก ขี้น้อยใจ อย่างไรสะ ถ้าอยู่กันไปเรื่อยๆ รอเค้าตัดสินใจขอแต่งงานนั้น ไม่น่าจะเหมาะกับเราค่ะ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 05:37:51 A:199.247.253.98 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 52 good idea คนรักอยากเรียนรู้กัน ก็บอกกันตรงๆ หรือคุยกันไปเลยดีกว่า คนสองคน จะใช้เวลาเรียนรู้นิสัยกันให้ลึกซึ้งเนี่ย คุยกันสองสามเดือน ก็รู้เรื่องแล้ว คนที่มองในโลกในแง่ดีไปก็คงไปเจอพวกที่กั๊กๆ ให้ตัวเองดูดี แบบนั้นแสดงว่า คนที่คบอยู่ไม่จริงใจ ให้บอกผ่านไปได้เลย กล้าสู้ความจริงนิดนึง แต่คุณก็ต้องแสดงด้านมืดออกมาด้วย ว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ รับไม่ได้ก็บ๊ายบายไปเลย รับได้ก็คบกันต่อไป อยากจะคบกันจะกลัวทำไมเสียฟอร์ม ไร้สาระน่ะค่ะ เราไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญเลยที่จะต้องอยู่ก่อนแต่ง ข้อเสีย คือ 1 เสียเวลาเจอคนที่ใช่ ที่อาจจะผ่านเข้ามาในช่วงที่เรากำลังหัวใจไม่ว่าง ตัวก็ไม่ว่าง 2 เสียเวลาบอกลา เสียเวลาทำใจ ในระยะยาว คนที่ใช่อาจหลุดลอยไป 3 เสียความรู้สึกว่าทำไปแล้วพลาด ตัดสินใจผิด > ร้อยละ 97 ไม่รอดแน่ๆ 4 เสียเงินทอง ข้าวของ สู้เก็บไว้ให้คนที่เราแต่งงานด้วยดีกว่า ทุ่มเทไปเลย รับรองมีแต่ได้กับได้ ถ้าอยู่เป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ระวังคำครหาไว้เลยละกัน ว่ามาเกาะ เห็นๆ ทั้งตอนคบและตอนเลิก จะเสียหน้าได้ ก็ตลอดเวลาดันแบมืออย่างเดียว หรือเหนื่อยแทบขาดใจแต่ต้องไปใช้จ่ายร่วมกับอีกคน พอมีปัญหา ก็ไม่พ้นเรื่องนี้อยู่ดี 5 ชีวิตมีแต่ความไม่แน่นอน และสงสัย เพิ่มปัญหาให้ชีวิตตัวเองได้อีก 6 อยากเรียนรู้ แต่ไม่ได้เติบโตมาในสังคมตะวันตก คือ ความคิดที่ไม่ผิด แต่ไม่เหมาะสม สุดท้ายมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากคู่นอน แต่ในนาม อยู่ก่อนแต่ง ที่สังคมเขียนให้มันดูดี หวังดี แม้ไม่เคยลอง แต่พออนุมานได้จริงๆ ฝากถึงสาวๆ ที่กำลังจะคิดด้วยนะ จากคุณ : คห 17 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 10:44:18 A:124.120.99.226 X: TicketID:289840

ความคิดเห็นที่ 53 เข้ามาเสริมอีกนิดนึง ฝากไว้ สาวๆ อาจจะพิจารณาจากครอบครัว ของฝ่ายชาย ถ้าหากเป็นลูกชาย ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เป็นคนรักครอบครัว พ่อแม่ ดีกับคุณ ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเค้าด้วยเนี่ยย ก็เป็นนิมิตหมายอันดีมากกว่านะคะ น่าไว้วางใจ มากกว่า เคสที่จะเล่านี้ค่ะ สืบเนื่องมาจาก ที่ผ่านมา เรากะเพื่อนพอดีเคยไปนอนแบคแพค bb บ่อยๆ เจอมาเยอะอ่ะ แบดบอย (ในสายตาคนไทยนะ) นอนอยู่ดีๆ เราอยู่ห้องหญิง เพื่อนเราอยู่ห้องชาย เจอเคสบ่อยๆ คือ เพื่อนร่วมห้องเรา พาผช มานอนด้วย เวลาเราไม่อยู่ ส่วนเพือนผช ก็เจอเคสเหมือนกันคือ เพื่อนร่วมห้องพาสาวมานอนกก กันซึ่งๆ หน้า ไม่มีความเกรงใจ ตกกลางคืนก็ไปแฮงเอ๊า กลับเช้า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า วัยรุ่นฝรั่งแบบนี้ นั้นเซี๊ยวนัก เห็นแล้วได้แต่ทำตาปริบๆ ส่ายหัวดิกๆ ใครไม่เคยเห็น ไม่มีวันจะรู้หรอกค่ะ เลยเข้ามาเล่า ด้วยความหวังดี อย่าคิดว่า หนุ่มฝรั่งจะดีแบบที่เห็นไปเสียทุกคน ดูการใช้ชีวิตของพวกเขาก่อนนะคะ จากคุณ : คห 17 ( ต่อ) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 10:52:44 A:124.120.99.226 X: TicketID:289840

ความคิดเห็นที่ 54 ขอเข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง เรื่องการไปอยู่ก่อนแต่งทุกคนก็ได้แสดงความคิดเห็นไปหมดแล้วและ จขกท ก็ได้ตัดสินใจแล้ว ก็คงขอพูดถึงเรื่องแต่ง(จากความคิดเห็นข้างบน 51 ของ จขกท) เราเองในฐานะผู้หญิงแน่นอน 100% คบใครเป็นแฟนก็ย่อมอยากให้เขาขอแต่งงานงานเร็วๆ แต่คงมีไม่กี่คนหรอกค่ะ ที่เจอกันรักกันไม่ทันไรแล้วผู้ชายจะขอแต่งงานเลย และตัวเราเองก็อาจจะเป็นหนึ่งคนในฝั่งที่โชคร้ายเพราะว่าคบมานานแต่เขายังไม่พร้อมที่จะแต่ง สำหรับเราตรงนี้เรารับได้ (เพราะเชื่อในโชคชะตาตัวเอง) ถึงเวลาก็ต้องแต่งอยู่ดี ถ้ายังไม่ใช่ต่อให้เรารบเร้าฝ่ายชายมากขนาดไหนก็คงไม่ได้แต่งอยู่ดี แต่สำหรับเราแค่มีคนรักอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลกัน เราก็ทำงานของเรา เขาก็ทำงานของเขา เรื่องแต่งช้า-เร็วไม่ใช่ปัญหาใหญ่ จากประโยคนี้ "เราไม่เคยเข้าใจคนทีอยู่กับแฟนมาได้เป็นสิบๆปี แล้วพอแฟนไม่ยอมแต่งก็เลิกไม่ได้เพราะผูกพันมาก ก็เลยต้องทนไปเรื่อยๆ " = เพราะเขามีความสุขกับชีวิตตรงนี้ไงค่ะ การได้อยู่ด้วยกันก็เหมือนการใช้ชีวิตครอบครัวสามี-ภรรยา การแต่งงานจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ (คิดเห็นส่วนตัวเรานะ) การแต่งงานมันไม่ได้ใช่สิ่งยืนยันว่าจะไม่เลิกกัน อย่างที่ จขกท บอกคนที่อยู่กับแฟนเป็น 10 ปี แต่ไม่แต่งงานก็ยังไม่เลิก อย่าลืมว่าเขาก็อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีแล้วนะค่ะ ตรงกันข้ามบางคู่ที่แต่งบางคน(อาจจากกระทู้เก่าๆหลายๆ กระทู้) แต่งแบบยังไม่ทันขอกรีนการ์ดฝ่ายชายก็ไล่ออกจากบ้านแล้ว หรือฝรั่งบางคนมาเมืองไทยเจอคนถูกใจคบกันไม่ถึงปีรีบขอวีซ่าแต่งงานจัดงานแต่งให้ผู้หญิง พอผู้หญิงมาอยู่ด้วยจริงเห็นเกือบ 24 ชม. นานเข้าถึงเห็นทาสแท้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี ขอหย่าแทบไม่ทัน จะจ้างทนายก็ไม่มีเงินสุดท้ายก็ต้องทนอยู่บ้านหลังเดียวกัน อาจจะเพราะฝ่ายหญิงไม่มีที่ไป หรืออาจจะเพราะกฏหมายถ้าฝ่ายหญิงขนของออกจากบ้านย่อมเสียเปรียบถ้าฝ่ายชายจะจ้างทนายมาฟ้องฝ่ายหญิงเพื่อเขาจะได้ไม่จ้องจ่ายตังค์สักกะบาท เพราะฉะนั้นเราเข้าใจความคิดของ จขกท ถ้าคิดว่าไม่ชอบชีวิตที่อยู่ไปเรื่อยๆกับคนรัก (ที่ยังไม่แต่งงานกัน) อาจจะเหมือนเป็นการเสียเวลาก็ถอยออกมาเถอะค่ะ เพราะเท่าที่อ่านยังไง จขกท ก็ยังไม่มีความสุขกับโจทย์"อยู่ก่อนแต่ง" อย่างที่บอกถ้า จขกท จะเลิกกับผู้ชายคนนี้แล้วหาแฟนใหม่ก็มีสิทธ์เจอคนที่อาจจะพร้อมแต่งงานทันที หรือยังไม่พร้อมแต่งอีกก็ได้ ของแบบนี้อยู่ที่พรหมลิขิต * ของแบบนี้ต่างความคิด ต่างความชอบ บังคับกันไม่ได้แต่ก็ทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองมีความสุขไม่ฝืน ไม่มีความทุกข์ไปกับมันก็พอแล้ว ทำใจให้สบายแล้วอาจทำให้ตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น จากคุณ : C&G เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 11:23:14 A:223.207.4.174 X: TicketID:203091

ความคิดเห็นที่ 55 ถ้าเราคิดได้แบบคุณเราคงได้อยู่กับเค้าต่อเนอะ เราเข้าใจแฟนเราค่ะ ว่าเค้าอยากทดลองอยู่ให้ชัวร์เพื่ออะไร ซึ่งมันก็มีข้อดีอยู่บ้าง แต่เรามานั่งคิดทบทวนว่า เราคิดได้แบบเค้าจริงหรือ มันเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงเหรอ ก็ปรากฏว่าไม่ เพราะถ้าคิดได้แบบเค้าจริง เราก็คงไม่ต้องมานั่งเครียดอยู่แบบนี้ เรายอมตัดใจเพื่อให้วันข้างหน้า เราทั้งสองได้มีทางเดินที่สบายไม่อึดอัด แม้จะต้องเดินแยกกัน เราบอกเค้าตรงๆค่ะ ว่า เค้าจะตัดสินใจยังไงก็ได้ให้มัน work สำหรับเค้า แต่ถ้ามันไม่ work สำหรับเราแล้ว เชื่อเถอะว่าเค้าไม่ต้องการเราอยู่ข้างๆหรอก เพราะเราจะทำให้เค้าปวดหัวเปล่าๆ ฮ่าๆๆ เค้าก็บอกว่า fair enough ค่ะ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 11:35:02 A:207.189.237.223 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 56 good ...let's it go.. take it easy... life is so simply.. without men waiting for soulmate .. cool cool จากคุณ : คห 17 ( ต่อ) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 14:14:32 A:124.120.99.226 X: TicketID:289840

ความคิดเห็นที่ 57 เรากลับไปอ่านความเห็นที่ 17 ของคุณอีกครั้ง เราเห็นด้วยทุกตัวอักษรค่ะ :) จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 14:25:06 A:207.189.237.223 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 58 กลับมาอีกรอบ เราว่าฝรั่งที่เค้าย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ด้วยกันเนี่ย เค้าต้องมั่นใจในคู่ของเค้าระดับนึงนะคะ มั่นใจมากทีเดียวด้วย ไม่ใช่รักกันหนาพากันหนีก็มาอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่นะคะ ฝรั่งที่มีหัวคิดเค้าก็รู้ว่ารักอย่างเดียวไม่พอ และเค้าก็ไม่เสี่ยงย้ายเพียงเพราะอยากอยู่ใกล้แฟนเขาหรอกนะคะ เหตุผลแค่นี้เบาไป เขาจะย้ายก็ต่อเมื่อ เขามีความมั่นใจ อยากสร้างชีวิตกับคนๆนี้แล้ว เรียกว่าเป็นมากกว่าแฟนว่างั้นเถอะ อันนี้พูดถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน ไม่นับวัยรุ่นฮอร์โมนพลุ่งพล่านทั้งหลายนะคะ เพราะฝรั่งนั้นไม่ว่าหญิงชายคุณคงทราบว่าเขามีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง การจะให้ใครมาใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม เตียงนอน เตาหุงต้ม หม้อกาแฟ โซฟา และอื่นๆ ร่วมกันนั้น มันไม่ใช่ง่ายๆนะคะ มันอึดอัดถ้าไม่มั่นใจ ไม่รู้จักไม่ไว้ใจ เชื่อใจกันจริงๆ เพื่อนฝรั่งสมัยเราอยู่หอตอนเป็นแฟนกันก็ไปๆมาๆ ถึงแม้จะมาค้างด้วยกัน แต่เช้าแฟนเขาก็กลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ทำแบบนี้อยู่เป็นปีๆ จนวันหนึ่งเขาคบกันจนแน่ใจ อยากสร้างอนาคตด้วยกัน เขาเลยตัดสินใจซื้ออพาร์ทเม้นท์เพื่ออยู่ด้วยกัน เงินที่ลงไปก็เป็นเงินของทั้ง ๒ คน ไม่ใช่มาอยู่ด้วยฟรีๆ แล้วเขาก็จดทะเบียน partner ไม่ใช่แต่งงานนะคะ ที่จดเพราะจะได้มีอะไรรับรองทางกม.เรื่องทรัพย์สินเพราะเค้าซื้อของใหญ่ๆร่วมกันเท่านั้นเอง คู่นี้ไม่แต่งงานค่ะ แบบนี้เราถือว่าเป็นคอนเส็ปการอยู่ก่อนแต่งของฝรั่ง คือใช้สติในการดำเนินชีวิต รับผิดชอบตัวเองได้ ไม่มีใครนำและตามใคร เป็นผู้ใหญ่ทั้งร่างกายและความคิด แค่จะบอกว่าจริงๆแล้วการอยู่ก่อนแต่งไม่ง่ายนะคะ ทั้งชายหญิงเสี่ยงพอๆกันน่ะแหละ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 53 17:40:46 จากคุณ : ##TUKTA## เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 53 17:33:03

ความคิดเห็นที่ 59 เห็นด้วยกับคุณ TUKTA ค่ะ หลายคู่ในยุโรป  ไม่จดทะเบียนสมรสค่ะ  ... คิดว่าทางเมืองไทยก็คงฮิตแบบนั้นเหมือนกัน คือมีจัดพิธีบอกเล่าญาติมิตร แต่ไม่ผูกลงไปในเอกสาร  ซึ่งบางคู่ก็บอกว่าสะดวกในการทำธุรกิจ ฯลฯ  แต่หญิงไทยกับสามีต่างชาตินี่ ต้องว่ากันไปถึงเอกสาร เพราะไม่งั้นติดปัญหาเรื่องวีซ่า จะว่าไปแล้ว มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคู่นะคะว่าจะจัดการกับเรื่อง ความเป็นอยู่ การงาน การเงิน อย่างไร  ถ้าตัดเรื่องความรักออกไป  ก็เหมือนการร่วมลงทุนสร้างชีวิตด้วยกัน  มองหา soulmate ดีสุดค่ะ จะบอกว่ามองหาเพื่อนแท้อะไรประมาณนั้น  ต้องใช้เวลา ต้องใ้ช้ความจริงใจ ของทั้งสองฝ่ายนะคะ  ฉะนั้นเรื่องข้อดีข้อด้อยของทั้งสองฝ่ายจะต้องจริงใจที่จะแสดงออกมา และที่สำคัญสำหรับคู่ชีวิตที่หลายคนลืมคิดตอนรักกัน ก็คือ  การไม่ดูถูกกันและกันนะคะ  ไม่ใช่แบบว่ากันหยิก ๆ กัด ๆ แต่จริงแล้วยังแฝงการดูแคลนนิดหน่อย  แบบนี้อยู่กันนานไป แต่งไม่แต่งก็ต้องเลิกจากกันอยู่ดี   เพราะหลายอย่างอาจจะเอื้อเฟื้อทนกันได้  แต่เรื่องความดูแคลนกันนี่ มันจะบ่งออกมาในน้ำเสียง เจือปนกับการไม่คิดถึงอีกฝ่าย  และผลสุดท้ายจะไปจบที่  ฉันจะเอาแบบนี้  เธอต้องตามฉัน ถ้าไม่แล้ว ... ก็ต่างฝ่ายต่างไป  ... หรือไม่ก็อดทนกันไปเพราะลูก หรือเพราะอะไรก็ว่ากันไป ลองสังเกตดีดีซิคะ  คู่ที่เลิกรากัน หรือชีวิตคู่ไม่มีความสุข มักจะเริ่มจากตรงนี้ก่อนเสมอ คือ ลึก ๆ ลงไปแล้ว จะมีฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะมองว่าตนเองเหนือกว่าอีกคน ไม่ว่าจะเป็นด้านอะไรสักอย่าง หาคนที่มองว่าคุณและเขามีศักดิ์มีศรีเท่าเทียมกันค่ะ  (ฉะนั้นลืมเรื่องช้างเท้าหน้าเท้าหลังได้เลยค่ะ) แล้วเรื่องการให้เกียรติ จะมีให้กันและกันเสมอไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าหรือลับหลังกัน  และถึงแม้อีกฝ่ายจะด้อยกว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด อีกฝ่ายจะมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องช่วยเหลือกัน  .. เพื่อว่าคู่ของเราจะได้เดินไปพร้อม ๆ กัน ขอให้โชคดีในการตามหาคู่ชีวิตที่เป็นเพื่อนชีวิตตลอดกาลนะคะ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 53 02:56:07 จากคุณ : บีพี เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 53 02:45:21

ความคิดเห็นที่ 60 I love my husband. We haven't got married but we have been living together for 5 years. Our parents know of our relationship and happy for us. We call each other husband and wife .I think we should not really judge the love without marriage with only cuture different reason. There are more issues to be integrated such as legal things.. Some western countries, there are laws and rules that are protect women. For example if a man is living with a woman for more than 2 years ,when things've gone sour ..they dont feel love anymore and the woman wants to get out of his life.Then the man have to pay big money for the woman. The same rule and law as a marriage couple. So, there is not much different between get married or unmarried. If you have kids together... some couple might consider about getting a proper marriage as it is benefit them financially better when it comes to be a tax return time... they can claim money from goverment more than not getting married. Now, in Thailand we don't have the system that looks after woman like that.. I think that is why we have the attitude about living together without married differently. จากคุณ : pattada@yahoo.com เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 53 15:27:22 A:115.70.137.162 X: TicketID:296280

ความคิดเห็นที่ 61 ^ ^ good idea ค่ะ พอดีวันนี้พี่ชายเค้าก็เพิ่งทำเรื่องหย่า เป็นชนิดจดกันในนามเฉยๆ อ่ะค่ะ เพื่อประโยชน์ซึ่งกันและกัน จะได้ทำงานเมืองนอกได้สะดวก เค้าบอกว่า วุ่นวายมาก ไม่ง่ายเหมือนไทย เราฟังแล้วก็อืม น่าคิด แบบนี้คงต้องรอให้คุณแฟนพร้อม เลยล่ะค่ะ สาวๆ โชคดีที่เพื่อนสาวๆของเราเค้าจดทะเบียน รอซิติเซ่นกัน รักกันไปแล้ว ส่วนอีกคนก็ไม่ย้ายตามเหมือนกันค่ะ จนกว่าจะแน่ใจก่อน ทั้งหมดนี้หมายถึงใน ออสเตรเลียนะคะ น่าอยู่มากๆ เลยค่ะ ที่นี่เค้าคุ้มครองฝ่ายหญิงมากๆ เลยค่ะ ห้ามแตะต้องหรือทำร้ายร่างกายเลย ไม่ว่าจะเป็นแฟนที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วประเทศอื่นเป็นยังไงบ้าง มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ค่ะ จากคุณ : um เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 53 17:36:01 A:124.122.137.165 X: TicketID:289840

ความคิดเห็นที่ 62 คห 54 ถ้ามีความสุข แ้ล้วทำไมต้องใช้คำว่า "ทนอยู่"  ถ้าฝ่ายชายรู้ว่าในใจฝ่ายหญิง ยังอยากเป็น คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฏหมาย ทำไมไ่ม่จัดการซะ ถ้ามีความสุขจริง ไม่ควร "ทนอยู่"  ฝ่ายชายถ้าแคร์และรู้ว่าฝ่ายหญิงยังไม่สบายใจเรื่องสถานะ ก็ควรจะ "ใส่ใจ" ความรู้สึกของผู้หญิงด้วย   ฝ่ายหญิงโดยทั่ว ๆ ไป ถ้าอยู่กินกันมาหลายปีแล้ว คงไม่หวังหรอกว่าต้องจัดงานใหญ่โต แต่อย่างน้อย จดทะเบียนก็น่าจะพอใจแล้ว (ถ้าฝ่ายชายไม่เป็นหนี้เยอะนะ) จากคุณ : Freedom of Life เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 53 13:53:47

ความคิดเห็นที่ 63 เราดีใจนะคะ ที่สุดท้ายแล้ว เราก็ตัดสินใจได้จาก การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทุกๆคนที่นี่ มันเหมือนกระจกสะท้อนความคิดของเราออกมาว่า แท้จริงแล้วเราต้องการอะไร ซึ่งตรงนี้เรามองว่า ผู้หญิงทุกคนที่คิดอยากจะแต่งงาน รวมถึงตัวเราด้วย ควรจะมองอนาคตไกลๆ ว่า การย้ายไปอยู่ด้วยกันเฉยๆนั้น วันนี้เราอาจจะได้อยู่กับเค้า ได้ครอบครอง ได้ผูกพัน และดูแลเค้าก็จริง แต่เราก็ไม่อาจรู้เลยว่า เค้ามีเป้าหมายปลายทางระหว่างเราสองคนไว้เช่นไร ในขณะที่เราวาดหวังไว้ว่ามันจะมีวันที่เค้ารักเราหมดใจ หยุดที่เรา และขอเราแต่งงานไว้ในใจตั้งแต่แรกแล้ว ความรักที่เราวาดฝันจะค่อนข้างเหมือนนิยายที่ผู้ชายรักจริงหวังแต่งและทำทุกอย่างเพื่อชนะใจเราได้ และเราก็โชคดีที่ยังมีโอกาสเจอคนๆนั้นอยู่ตราบใดที่เรายังโสด เราก็ยังหวังได้ เราคิดว่าการอยู่กันก่อนแต่งจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนที่ไม่ต้องทิ้งทุกอย่างแล้วย้ายตามผู้ชายคนนึงไป แต่เคสของเราค่อนข้างน่าลำบากใจค่ะ จริงๆ เราน่าจะตั้งกระทู้ให้ตรงประเด็นว่า "จะทิ้งทุกอย่างและย้ายตามผู้ชายไปทั้งๆที่ไม่รู้อนาคตดีมั้ย ?" แบบนี้คงไม่มีใครตอบ yes ใช่มั้ยคะ ฮ่าๆๆ จากคุณ : ออตโต้ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 53 03:04:35 A:207.189.244.11 X: TicketID:174286

ความคิดเห็นที่ 64 ^ ^ ^ ถ้าคำถามเป็นแบบนั้น ก็ยังตอบ yes ได้นะ  ถ้าคนที่คุณจะเดินไปพร้อมกับเขา คือคนที่คุณพิจารณาแล้วว่า  เขาคือคนดี คนที่ไม่เอาเปรียบคุณไม่ว่าจะเป็นเช่นไร  และเมื่อเขาคนนั้นไม่เอาเปรียบคุณ  สิ่งใดที่คุณหวาดหวั่น สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่เขาหวาดหวั่นเช่นกัน    เรียกว่า เขามีความสุข  คุณก็มีความสุขด้วย  ไม่เช่นนั้น ทำไมเราถึงพูดกันว่า ร่วมทุกข์ ร่วมสุข  หรืออย่างง่าย ๆ ดูจากคำมั่นสัญญาที่มีต่อกันในโบสถ์ (ในกรณีที่นับถือศาสนาคริสต์) ที่ว่า .... for better, for worse, for richer, for poorer, in sickness and in health, until death do us part. คนที่เปลี่ยนถิ่นที่อยู่  เปลี่ยนอาชีพ  เปลี่ยนทุกอย่าง  เพราะเดินตามความรัก (จะเรียกว่ากัดก้อนเกลือกินกันเพราะรัก ... ก็มี .. มิใช่ไม่มี)  แต่ไม่ใช่เดินตามเขาคนนั้นไปแบบปิดตา ปิดใจ ปิดปัญญาหมด  อย่างงี้ต่อให้ไม่ได้กัดก้อนเกลือกินกัน ... ถึงมีน้ำตาลเต็มบ้าน หวานอย่างไร ก็หมดหวานได้เหมือนกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 53 08:09:46 จากคุณ : บีพี เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 53 08:02:37

ความคิดเห็นที่ 65 คห.62 ค่ะ เรา C&G คห54 ในความคิดเห็นของเราไม่ได้บอกว่า " ทนอยู่ " ค่ะ เพียงแต่เราไป copy ความคิดของ จขกท คห.ที่ 51 มาค่ะเพราะ จขกท เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนไม่แต่งงานกันถึงทนอยู่ได้เป็น 10ๆ ปี เราก็เลยเข้ามาตอบว่าเพราะเขามีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนั้น การแต่งงานจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายหรือไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันว่าจะไม่เลิกกัน จากคุณ : C&G again เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 53 18:01:47 A:223.205.231.40 X: TicketID:203091