PANTIP.COM : H3437198 อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างเรียนกฎหมายแบบ LLM กับ JD ครับ []

ความคิดเห็นที่ 6

ขออนุญาตบอกเท่าที่ทราบครับ คือ หลักสูตรการเรียน กม. ของสหรัฐ ในหลักสูตร J.D. (Jurist Doctor) ผู้สมัครเรียน ต้องมีปริญญาสาขาอื่นมาก่อน (ตรี โท หรือ เอก ไม่จำกัด) และต้องสอบ LSAT เพื่อวัดความสามารถในการใช้ตรรกะฯ มีคุณสมบัติหลายประการที่เกี่ยวข้อง เช่น เกรดของปริญญาที่เราใช้สมัครฯ จะใช้เวลาเรียน ๓ ปี ประมาณ ๙๐ หน่วยกิต จบแล้ว ต้องสอบ Bar exam จึงจะมีงานทำฯ หลักสูตร J.D. เป็นหลักสูตรประเภท Professional เฉกเช่นเดียวกับ พวกที่เรียนแพทย์ฯ ไม่ถือเป็นหลักสูตร Undergrad ครับ

ส่วนการศึกษากฎหมายในระดับสูงขึ้นกว่า J.D. เช่น ระดับปริญญาโท LL.M. หรือ MCL.(Master’s Degree of Comparative Law) และหลักสูตรในระดับปริญญาเอก ซึ่งเรียกหลักสูตรนี้ว่า JSD หรือ บางแห่งเรียกว่า SDJ และในมหาวิทยาลัยบางแห่งก็เรียนว่า Ph.D. in Law. ซึ่งในสหรัฐ จะมีเพียงไม่กี่มหาวิทยาลัย ที่จะเปิดหลักสูตรในระดับปริญญาเอก และเป็นที่ยอมรับว่ารับนักศึกษาเข้าเรียนยากมาก แต่ละแห่งจะรับนักศึกษาไม่เกิน ๑ หรือ ๒ คน ในแต่ละปี การเรียนในระดับนี้ ถือเป็นการเรียนระดับ Graduate study ซึ่งโดยปกติ มหาวิทยาลัยจะเข้ามาควบคุมคุณสมบัติของผู้เข้าเรียนอีกชั้นหนึ่ง (ไม่ปล่อยให้เป็นอิสระ ของ Law School เหมือนหลักสูตร Professional – J.D. )

การเรียนในระดับปริญญาโท หรือ LL.M. ส่วนใหญ่ จะต้องจบ J.D.หรือ ปริญญาตรีทางกฎหมาย LL.B. มาก่อน โดยใช้คะแนน TOEFL เป็นส่วนประกอบในการพิจารณา อย่างไรก็ตาม ในประเทศอังกฤษ และออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งในประเทศสหรัฐบางแห่ง หากมีประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพทางกฎหมายมาก่อนฯ เช่น เคยทำเป็นพนักงานสอบสวนฯ เรียนทางรัฐศาสตร์ที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่คล้ายนิติศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยในอังกฤษ และออสเตรเลีย ก็เคยรับบุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษ เข้าเรียนระดับปริญญาโทและเอก เหมือนกัน

หลักสูตร LL.M. จะเป็นหลักสูตรการเรียนลงทะเบียนรายวิชา แต่ละมหาวิทยาลัยจะกำหนดจำนวนหน่วยกิต แตกต่างกันไป โดยปกติจะประมาณ ๒๐ ถึง ๓๒ หน่วยกิต เรียนรวมกับนักเรียน J.D. เว้นแต่บางรายวิชาที่หลักสูตรจัดเฉพาะสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น Introduction to U.S. Law. เป็นต้น โดยปกติจะใช้เวลาเรียนประมาณ ๑ ปี แต่สำหรับผู้ที่ต้องการจะเรียนต่อในระดับปริญญาเอกทางกฎหมาย อาจจะต้องมีการทำ Thesis เป็นการวิจัย ซึ่งต้องสอบ Defense ก็อาจจะขยายเวลาในการเรียนออกไปได้ แต่บางแห่ง ก็จัดโปรแกรม LL.M. แตกต่างออกไป เช่น ที่ วิสคอนซิน จัดเป็นโปรแกรม สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นอาจารย์ฯ หลักสูตรนี้ ก็จะมีข้อบังคับประการเดียว คือ การทำวิจัย และสอบปากเปล่า ฯ ไม่มีการเรียนการสอนแบบโปรแกรมปริญญาโททั่วไป สำหรับผู้ที่สำเร็จหลักสูตร LL.M. ก็สามารถสอบ Bar exam ได้ แต่เฉพาะที่ นิวยอร์ค และแคลิฟอร์เนีย ไม่อาจสอบ Bar exam ของ State ที่มหาวิทยาลัย นั้น ตั้งอยู่ได้

สำหรับผู้ที่มีวุฒิกฎหมายจากประเทศอื่น และต้องการเรียนในหลักสูตร J.D. ก็สามารถเทียบโอนหน่วยกิตมาได้ประมาณ ๓๐ หน่วยกิต โดยร้องขอกับมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ทาง ABA หรือ เนติบัณฑิตอเมริกัน ได้ กำหนดวิธีการเทียบโอนไว้แล้ว โดยผู้สมัครจะต้องเข้าสอบ LSAT เช่นเดียวกัน

หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 48 03:19:00

จากคุณ : POL_US - [ 30 เม.ย. 48 14:26:21 ]