ยศเจ้านายในราชสกุลมี ๒ ประเภท สกุลยศ คือ ยศที่เกิดเป็นเจ้านายชั้นใดประเภท ๑ อิสริยยศ คือ ยศที่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาตั้งแต่งในทางราชการประเภท ๑ จะกล่าวอธิบายทีละประเภทเป็นลำดับกันไป
สกุลยศ
สกุลยศของเจ้านายนั้น บรรดาผู้ที่เกิดในราชตระกูลจะเป็นราชบุตร ราชธิดา หรือราชนัดดา ก็ย่อมเรียกว่า "เจ้า" อันคำว่า "เจ้า" นี้ถือเป็นเกียรติยศของราชตระกูลไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์ ได้พบในหนังสือเก่าใช้เรียกว่าเจ้ามาตั้งแต่ชนชาติไทยยังตั้งประเทศรวมกันอยู่ในแดนจีนทุกว่านี้ข้างฝ่ายใต้ ถ้าจะประมวลเวลามาจนบัดนี้กว่า ๑๐๐๐ ปี ถึงในปัจจุบันนี้บรรดาชนที่เป็นชาติไทย จะเป็นไทยใหญ่ไทยน้อยอย่างไรก็ตาม ยังใช้คำว่าเจ้าเป็นยศของราชตระกูลอยู่เหมือนกันทั่วไป ต่างกันแต่วิธีจัดลำดับเป็นเจ้าชั้นสูงชั้นต่ำ ย่อมจัดตามลัทธิของประเทศไม่เหมือนกัน จะกล่าวแต่ส่วนในสยามประเทศเท่าที่ได้พบในหนังสือเรื่องต่างๆ
เจ้าที่สกุลยศเป็นชั้นสูงนั้น เรียกว่า "เจ้าฟ้า" ที่มาใช้เป็นราชสกุลยศเห็นจะมาแต่คติเดิมของไทยเรียกเทวดาว่า ผีฟ้า จึงเรียกเจ้านายของตนว่า เจ้าฟ้า(๑) ตรงกับที่เรียกว่า สมมติเทวราช เข้าใจว่าเป็นยศเกิดขึ้นทางเมืองไทยใหญ่ก่อน เรียกแต่เจ้าผู้เป็นพระราชาครองเมืองว่า "เจ้าฟ้า" แต่พวกไทยชาวสยาม แต่เดิมเรียกเจ้าผู้ครองเมืองของตนว่า "ขุน" หรือ "ขุนหลวง" หาได้เรียกเจ้าฟ้าไม่(๒) เมืองเขินและเมืองลื้อก็ยังเรียกเจ้าผู้ครองเมืองว่าเจ้าฟ้ามาจนทุกวันนี้ เช่น เจ้าฟ้าหมอกใหม่ เจ้าฟ้าเชียงตุง เจ้าฟ้าเชียงรุ้ง เป็นต้น
ยศเจ้าฟ้าที่ปรากฏในประเทศสยาม มีในหนังพงศาวดารเหนือว่า เมื่อพระเจ้าจันทโชตครองเมืองละโว้ มีเชษฐาภคินีทรงนาม เจ้าฟ้าแก้วประพาฬ พระมเหสีทรงนาม เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ ดังนี้ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้แต่งหนังสือนั้น ในชั้นหลังเอาคำเจ้าฟ้าเติมลงไปโดยพลการ ไม่เป็นความจริงในทางพงศาวดาร ความจริงจะเป็นอย่างที่สอบสวนได้ความในหนังสือพงศาวดารพม่า ว่าพึ่งมียศ เจ้าฟ้า ปรากฏในสยามประเทศนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๑ ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชแต่ยังครองเมืองพิษณุโลก ให้เป็น เจ้าฟ้าสองแคว (คำว่าสองแควเป็นชื่อเดิมของเมืองพิษณุโลก) นามเจ้าฟ้าสองแควนั้น ก็ตรงกับว่า พระเจ้าพิษณุโลก เป็นนามตำแหน่งผู้ครองเมืองประเทศราช ต่อนั้นมาจึงปรากฏในหนังสือราชการของไทยมี่ใช้คำว่าเจ้าฟ้าเป็นครั้งแรก มีในพระราชกฤษฎีกาของสมเด็จพระเอกาทศรถ อยู่ในกฎหมายลักษณะกบฏศึก ตั้งเมื่อปีมะเส็งจุลศักราช ๙๕๕ (พ.ศ. ๑๑๓๖)(๓) ภายหลังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชหงสาวดีปี ๑ ในพระราชกฤษฎีกานั้นเรียกพระนามสมเด็จพระนเรศวรว่า "สมเด็จบรมบาทบงกชลักษณ์ อัครบุริโสดม บรมหน่อนรา เจ้าฟ้านเรศวร์ เชษฐาธิบดี" ดังนี้ คำว่า เจ้าฟ้าในที่นี้หมายความว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีก
ที่มาใช้คำว่า เจ้าฟ้าเป็นสกุลยศสำหรับพระราชกุมาร ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารเป็นครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ เรียกพระราชโอรสว่า เจ้าฟ้าสุทัศน์ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ก่อนนั้นขึ้นไป แม้ในกฎมณเฑียรบาลตรงที่กล่าวถึงศักดิ์ราชกุมาร ก็มิได้ปรากฏคำ เจ้าฟ้า ต่อชั้นหลังเห็นจะแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง จึงได้มีพระราชกำหนดแน่นอนว่า พระราชโอรสธิดาที่พระมารดาเป็นเจ้า มีราชสกุลเป็นเจ้าฟ้า
เจ้าฟ้ายังมีอีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นพระราชนัดดา คือ ถ้าพระมารดาเป็น เจ้าฟ้า พระโอรสธิดาก็เป็นเจ้าฟ้าตามอย่างพระมาดา เจ้าฟ้าชั้นนี้ปรากฏครั้งแรกในหนังสือพงศาวดารครั้งแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ คือเจ้าฟ้าหญิงสังวาลย์และเจ้าฟ้าชายจีด พระบิดาทรงพระนามว่า พระองค์เจ้าแก้ว ลูกเธอในสมเด็จพระเพทราชา เจ้าฟ้าเทพราชธิดาของพระเจ้าท้ายสระเป็นพระมารดา ในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เป็นเจ้าฟ้าราชนัดดามาแต่เสด็จสมภพในรัชกาลที่ ๑ เพราะสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ พระบรมราชชนนีเป็นเจ้าฟ้า
....................................................................................................................................................
(๑) ผมขอตั้งข้อสังเกตนิดหนึ่งครับ อีกคำหนึ่งที่น่าจะเกิดจากคติชุดนี้ คือคำว่า "ไพร่ฟ้า" หมายถึงราษฎร (ไพร่ แปลได้อย่างเดียวว่า ไม่ใช่เจ้า) ใช้คำนี้เพื่อบอกว่าไม่ใช่ "เจ้า" นะ **
(๒) ในหนังสือพงศาวดารเขมรแห่ง ๑ มีความว่า "ลุศักราช ๙๗๖ ศกวอกนักษัตร แต่พระองค์(หมายถึงนักพระสัฏฐา)ทรงราชย์มาได้ ๙ ปี พระชันษาได้ ๓๒ ปี พระองค์สบพระราชหฤทัยด้วยสมเด็จพระราชบุตรทั้ง ๒ พระองค์ ให้ทรงราชย์เป็นสมเด็จ คือ กษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ พระราชบุตรผู้พี่นั้นปีวอก พระชันษาได้ ๑๑ ปี ได้อภิเษกทรงน้ำสังข์สรงพระเกศทรงพระนารายณ์ทรงพระขรรค์ ทรงพระนาม พระบาทสมเด็จเสด็จพระไชยเชษฐาธิราชรามาธิบดี พระราชบุตรผู้น้อยนั้นปีชวดพระชันษาได้ ๖ ปี อภิเษกทรงน้ำสังข์สรงพระเกศทรงพระนารายณ์ทรงพระขรรค์ ทรงพระนาม พระบาทสมเด็จบรมราชาธฺราชรามาธิบดี พระบาทบรมบพิตรทั้ง ๓ พระองค์ทรงราชย์"
ยกมาให้เห็นว่า
กษัตริย์นั้นมีหลายพระองค์ได้ แต่องค์ที่เป็นใหญ่ออกพระนามว่า "พระมหากษัตริย์"
ขุน(ผู้ครองเมือง)มีหลายขุนได้ แต่พระองค์ที่เป็นใหญ่ออกพระนามว่า "พ่อขุน"
ราชามีหลายพระองค์ แต่พระองค์ที่เป็นใหญ่ออกพระนามว่า "มหาราชา" / "ราชาธิราช" **
(๓) เป็นศักราชในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่สมเด็จพระเอกาทศรถออกประกาศพระราชกฤษฎีกาได้ ด้วยมีคติโบราณว่า พระมหาอุปราช(ที่รัชทายาท)ครองเมืองกึ่งหนึ่ง และเคยอ่านมาจากเล่มไหนนึกไม่ออกตอนนี้ว่า พระราชกฤษฎีกานี้ออกสำหรับบังคับหัวเมืองเหนือ ซึ่งเป็นเมืองในบังคับพระมหาอุปราช ก่อนหน้านี้พระมหาอุปราชทรงประทับพิษณุโลกมีอำนาจบังคับหัวเมืองเหนือ ต่อมาได้ทำศึกกับหงสาวดีหัวเมืองเหนือยับเยิน ผู้คนก็เบาบาง อีกทั้งต้องรวบรวมกำลังที่มีอยู่สู้ศึก จึงโปรดฯให้ถ่ายคนลงมาอยู่ในพระนคร สมเด็จพระเอกาทศรถก็ต้องทรงประทับในพระนครด้วย แต่พระราชอำนาจยังคงอยู่เหมือนเดิม
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 49 19:54:09
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 49 19:52:32
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 49 19:28:03