ความคิดเห็นที่ 3
(จากหนังสือ "คนดีที่ข้าพเจ้ารู้จัก" พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
ประวัติ เจ้าพระยาศรีวิชัยชนินทร์ (ชม สุนทรารชุน)
มหาเสวกโท เจ้าพระยาศรีวัชัยชนินทร์ฯ (ชม สุนทรารชุน) ร.ว., ป.จ., ป.ช., ป.ม., ว.ม.ล., รัตน.ม.ป.ร. ๕, จ.ป.ร. ๓, ว.ป.ร. ๓, ส.ผ. เกิดในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันอังคารที่ ๒๘ มีนาคม ปีฉลู พระพุทธศักราช ๒๓๙๖ เป็นบุตรพระสุรินทรามายต์(คล้าย) หลานพระยาเทพอรชุน(ถึง) มารดาเป็นธิดาพระยาศรีสหเทพ(เพ็ง)
ตระกูลของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ เป็นข้าราชการวังหลวง แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวบวรราชาภิเษก เหมือนอย่างเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง จึงโปรดฯให้แบ่งข้าราชการวังหลวงขึ้นไปเป็นตำแหน่งข้าราชการวังหน้าตระกูลละคนหนึ่งหรือสองคน บิดาของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯถูกเลือกส่งไปรับราชการวังหน้า ได้มีตำแหน่งในกรมตำรวจ รับราชการมาจนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ลงมาสมทบรับราชการในวังหลวง จึงนำเจ้าพระยาศรีวิชัยฯถวายตัวเป็นมหาดเล็กวิเศษแต่ในรัชกาลที่ ๔
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ กรมหมื่นบวรวิชัยชาญได้ทรงรับอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ข้าราชการวังหน้าซึ่งยังมีตัวอยู่จะต้องกลับขึ้นไปรับราชการวังหน้าอย่างเดิม แต่ส่วนบิดาของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะเอาไว้รับราชการในกรมกลาโหมวังหลวงต่อไป จึงทูลขอให้เลื่อนเป็นที่พระสุรินทรามาตย์ แต่ขุนหมื่นไพร่ของพระยาสุนรินทรามาตย์ยังอยู่ในสังกัดวังหน้า จึงต้องให้นายชมบุตร(คือเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ)ขึ้นไปรับราชการวังหน้า เพื่อจะได้คงเป็นมูลนายผู้คนตัวเลกซึ่งเคยบังคับบัญชามาแต่ก่อน เจ้าพระยาศรีวิชัยฯขึ้นไปรับราชการวังหน้าได้เป็นที่จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ ปลัดกรมตำรวจ อยู่จนกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคต
ตรงนี้จะกล่าวความซึ่งข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงเรื่องประวัตินี้ได้ทราบด้วยตนเอง เป็นเรื่องประวัติของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯนอกทางราชการแทรกลงสักหน่อย เมื่อครั้งข้าพเจ้าแรกเป็นนายทหารมหาดเล็ก กำลังคะนองในเวลารุ่นหนุ่ม ได้เริ่มรู้จักกับเจ้าพระยาศรีวิชัยฯเมื่อยังเป็นที่จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ ด้วยเป็นคนกว้างขวางในทางนักเลงมีเพื่อนฝูงมาก แต่ความประพฤติของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯในสมัยนั้น ต่อมาให้โทษแก่ตัวเอง ด้วยหมดสิ้นทรัพย์สมบัติไปในการเล่น ครั้นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคต ขุนนางวังหน้ากลับลงมาสมทบวังหลวงอีก เจ้าพระยาศรีวิชัยฯไม่มีกำลังที่จะรับราชการ จึงไปสมัครรับราชการอยู่กับพระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ซึ่งเป็นลุงทางฝ่ายมารดา ต้องออกไปรับราชการอยู่เมืองจำปาศักดิ์และเมืองพระตะบองหลายปี ในตอนนี้จึงได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นที่หลวงเสนีพิทักษ์ในกระทรวงมหาดไทย
ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ พระยามหาอำมาตย์ให้เข้ามาแจ้งราชการในกรุงเทพฯ ประจวบข้าพเจ้าผู้แต่งเรื่องประวัตินี้ได้เป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้พบปะกันต่างก็ยินดีด้วยได้คุ้นเคยชอบพอกันมาแต่ก่อน ในวันที่พบกันนั้น เผอิญเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์เมื่อยังเป็นพระพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก มาปรึกษาข้าพเจ้าด้วยเรื่องจะหาตัวคนเป็นผู้ว่าราชการหัวเมืองต่างๆในมณฑลพิษณุโลก ปรึกษากันสำเร็จไปจนถึงผู้ว่าราชการเมืองพิจิตร ไปติดอยู่ ทั้งเจ้าพระยาสุรสีห์ฯและตัวข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะได้ผู้ใดดี นั่งตรองกันอยู่สักครู่ ข้าพเจ้านึกขึ้นถึงหลวงเสนีพิทักษ์ซึ่งได้มาพบกันในวันนี้ จึงบอกแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ฯว่ามีข้าราชการอยู่คนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยมาแต่ก่อน คือหลวงเสนีพิทักษ์ แต่ตามเรื่องประวัติมีทั้งคุณมหันต์และโทษอนันต์ คือเป็นคนฉลาดและอัชฌาศัยกว้างขวางแต่ว่าเป็นนักเลงจัด จะให้เป็นผู้ว่าราชการเมืองพิจิตรก็เป็นอย่างเสี่ยงทายจะได้กับเสียเท่ากัน เจ้าพระยาสุรสีห์ฯว่าควรจะลองดู เมื่อไม่ดีก็เปลี่ยนเสีย เป็นยุติกันดังนี้
เมื่อเจ้าพระยาสุรสีห์ฯไปแล้ว ข้าพเจ้าทราบว่าหลวงเสนีพิทักษ์ยังอยู่ในศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงเรียกตัวมาบอกว่าจะให้เป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองพิจิตร แต่ราชการครั้งนี้ต้องทำกันจริง จะเอาแบบอย่างเจ้าเมืองแต่ก่อนนั้นไม่ได้ ถ้าทำไม่ดีก็จะมีผิด ข้าพเจ้าจึงอยากทราบเสียก่อนว่าจะเต็มใจรับตำแหน่งนั้นหรือไม่ เจ้าพระยาศรีวิชัยฯตอบว่าจะรับด้วยยินดี และขอให้ข้าพเจ้าวางใจเถิดว่าจะตั้งใจล้างบาปที่ได้เคยมีมาแต่ก่อนมิให้ร้อนใจ เจ้าพระยาศรีวิชัยฯขึ้นไปรั้งราชการเมืองพิจิตรก็ไปดีได้จริงดังสัญญา ด้วยอัชฌาศัยซึ่งเคยเป็นนักเลงนั้นเองกลับให้คุณ เพราะสันทัดทางที่จะคบหาสมาคมผู้คนกว้างขวาง ในไม่ช้าราษฎรชาวเมืองพิจิตรก็พากันนิยมนับถือ เลยเป็นเหตุให้โจรผู้ร้ายราบคาบจนขึ้นชื่อลือนามว่าไม่เคยมีเจ้าเมืองพิจิตรเช่นนี้มาแต่ก่อน แต่เจ้าพระยาศรีวิชัยฯว่าราชการเมืองพิจิตรอยู่ไม่ช้า พอเมืองนครชัยศรีฯซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าโจรผู้ร้ายชุกชุม บังคับบัญชายาก ว่างตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองลง ข้าพเจ้าหาตัวผู้อื่นไม่ได้ จึงกราบทูลฯขอย้ายเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ จากเมืองพิจิตรมาว่าราชการเมืองนครชัยศรีก็ทำการดีต่อมา จนได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนขึ้นเป็นพระยาสุนทรบุรีศรีพิชัยสงคราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ ครั้นตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครชัยศรีว่างลงก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครชัยศรี รับราชการในตำแหน่งนั้นต่อมาถึง ๑๘ ปีจนแก่ชรา
ความสามารถของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯเมื่อเป็นตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล ควรยกย่องว่าวิเศษอย่างหนึ่งด้วยเรื่องกระบวนสืบจับผู้ร้าย ถ้าจะว่าเป็นอัศจรรย์ก็ว่าได้ ด้วยเจ้าพระยาศรีวิชัยฯมิได้มีโอกาสเล่าเรียนศึกษาตำรับตำราอันใด สามารถคิดวิธีขึ้นได้โดยประดิษฐ์ของตนเอง วิธีของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯนั้นดังนี้ คือในเวลาที่ไปเที่ยวตรวจราชการตามท้องที่ หรือแม้อยู่โดยปกติ มีสมุดพกติดตัวอยู่เล่มหนึ่ง จดชื่อและประวัติของบรรดานักเลงซึ่งสืบรู้ได้ตามท้องที่บ้าง สืบได้จากนักโทษในเรือนจำบ้าง และถ้ามีโอกาสคงพยายามให้รู้จักกับตัวนักเลงเหล่านั้นเอง ให้รู้นิสัยใจคอว่าเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเหตุปล้นสดมภ์ขึ้นตำบลใด เจ้าพระยาศรีวิชัยฯอาจบอกให้ไปถามนักเลงตนนั้น หรือสั่งให้เรียกตัวนักเลงคนนั้นๆมาถาม มักได้ตัวผู้ร้าย หรือรู้ว่าใครเป็นผู้ร้ายไม่เว้นแต่ละราย ข้าพเจ้าเคยได้ยินข้าราชการในมณฑลนครชัยศรีกล่าวกันว่า คิดไม่เห็นว่าเจ้าพระยาศรีวิชัยฯรู้ได้อย่างไรจึงชี้ตัวถูกมิใคร่คลาด
ยังกระบวนถามผู้ร้ายเมื่อจับได้ตัวมาแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องสำคัญเจ้าพระยาศรีวิชัยฯถามเอง ไม่ให้ผู้อื่นทำแทน บางทีถามที่แห่งหนึ่ง บางทีก็พาผู้ร้ายไปถามที่ต่างเมือง ลงปลายมักจะรับสารภาพโดยชื่นตา ไม่ต้องขู่เข็ญ หัวหน้าผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งจับมาได้จากเมืองปทุมธานี(๑)ในเวลาข้าพเจ้าอยู่เมืองนครปฐม ได้บอกข้าพเจ้าในภายหลังว่าถ้าเป็นผู้อื่นถามก็ไม่รับ แต่วิธีถามของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ ท่านไม่ซักไซ้ขู่เข็ญเหมือนคนอื่น ถ้าไม่รับท่านก็ไปถามใหม่ แต่เวียนถามอยู่ ๒ วัน ๓ วันจนผู้ร้ายเบื่อลงเนื้อเห็นว่ารับท่านเสียให้สิ้นรำคาญ ดังนี้
วิธีของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯได้ใช้เป็นตำราต่อไปในที่อื่น แต่ก็ไม่เห็นมีใครอาจทำได้เสมอเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ เว้นแต่ในกรุงเทพฯนั้นอย่างไรไม่ทราบ ด้วยวิธีโปลิศในกรุงเทพฯเป็นอย่างหนึ่งต่างหาก เจ้าพระยาศรีวิชัยฯเป็นพระยาสุนทรบุรีศรีพิชัยสงครามมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศง ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา มีประกาศพระแสพระบรมราชโองการฯ เมื่อทรงตั้งดังนี้(๒)
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
แต่เมื่อเจ้าพระยาศรีวิชัยฯได้เป็นเจ้าพระยานั้น เริ่มทุพพลภาพด้วยเกิดโรคภัยในตัวและอายุมากอยู่แล้ว ต่อมาไม่ช้าก็ปรากฎว่าไม่สามารถจะรับราชการในตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ เป็นมหาเสวกโท มีสังกัดในกระทรวงวัง อยู่ได้หน่อยหนึ่งก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปลดจากราชการประจำ รับพระราชทานเบี้ยบำนาญต่อมาจนตลอดอายุ
เรื่องประวัติเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ ตั้งแต่ออกจากตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบความพอที่เอามาเรียบเรียงได้ ด้วยตัวข้าพเจ้าเองก็ออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยใกล้ๆกับเวลาเจ้าพระยาศรีวิชัยฯออกจากสมุหเทศาภิบาล ความสมาคมเกี่ยวข้องกันมิได้มีมากเหมือนแต่ก่อน เป็นแต่ไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนกันฉันเป็นมิตร แต่เข้าใจว่าเรื่องประวัติของเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ ที่เป็นสาระอันควรนำมาแสดง ก็เห็นจะมีเพียงออกจากตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล ต่อนั้นมาก็เป็นคนทุพพลภาพทั้งโรคภัยเบียดเบียน มีอาการป่วยหนักจะถึงอสัญกรรมแล้วกลับฟื้นเล่าหลายครั้ง ลงปลายกลายเป็นอย่างคนง่อยต้องอยู่แต่กับเรือนมานาน จนถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ คำนวนอายุได้ ๗๓ ปี
สิ้นเรื่องประวัติเจ้าพระยาศรีวิชัยฯ เพียงเท่านี้
....................................................................................................................................................
(๑) คือ มหาโจรนามว่า จันทร์ ภายหลังมาก็กลับตัวเป็นคนดีได้ จนเป็นที่ทรงพระมหากรุณาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเล่าอย่างพิศดารในตอนต่อไปครับ
(๒) ประกาศฉบับนี้ คือประกาศฉบับที่พิมพ์ไว้ในความคิดเห็นที่ ๑ เพราะฉะนั้นขออนุญาตไม่พิมพ์ซ้ำนะครับ เมื่อย
จากคุณ :
กัมม์
- [
22 พ.ค. 49 14:14:11
]
|
|
|