ความคิดเห็นที่ 6
(ต่อ)
ครั้นปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘ พระเจ้าปดุงให้เตรียมกองทัพที่จะยกเข้ามาตีเมืองไทย เกณฑ์คนในเมืองหลวงและหัวเมืองขึ้น ตลอดจนเมืองประเทศราชหลายชาติหลายภาษา รวมจำนวนพล ๑๔๔,๐๐๐ จัดเป็นกระบวนทัพ ๙ ทัพ คือ
ทัพที่ ๑ ให้เเมงยี แมงข่องกยอ เป็นแม่ทัพ มีทั้งทัพบกทัพเรือจำนวนพล ๑๐,๐๐๐ เรือกำปั่นรบ ๑๕ ลำ ลงมาทางเมืองมะริดให้ยกทัพเข้ามาตีหัวเมืองไทยทางปักษ์ใต้ ตั้งแต่เมืองชุมพรลงไปจนเมืองสงขลา ส่วนทัพเรือนั้นให้ตีหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกัวป่าไปจนเมืองถลาง
ในพงศาวดารพม่าว่า แมงยี แมงข่องกยอ ยกลงมาแต่เดือน ๘ ปีมะเส็ง ด้วยพระเจ้าปดุงให้เป็นพนักงานรวบรวมเสบียงอาหาร ไว้สำหรับกองทัพหลวงที่จะยกลงมาตั้งประชุมทัพที่เมืองเมาะตะมะด้วย ครั้นเมื่อกองทัพหลวงยกลงมาไม่ได้เสบียงอาหารไว้พอการ พระเจ้าปดุงทรงพิโรธให้ประหารชีวิตแมงยี แม่งข่องกยอเสีย แล้วตั้งเกงหวุ่นแมงยีหมาสีหะสุระอัครมหาเสนาบดีเป็นแม่ทัพที่หนึ่งแทน
ทัพที่ ๒ ให้อนอกแผกคิดหวุ่น เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๐,๐๐๐ ลงมาตั้งที่เมืองทวาย ให้เดินเข้ามาด่านบ้องตี้ มาตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี ลงไปประจบกองทัพเมืองชุมพร
ทัพที่ ๓ ให้หวุ่นคยีสะโดะสิริมหาอุจจะนา เจ้าเมืองตองอู เป็นแม่ทัพ ถือพล ๓๐,๐๐๐ ยกมาทางเมืองเชียงแสน ให้ลงมาตีเมืองลำปางและหัวเมืองทางริมแม่น้ำแควใหญ่และน้ำยมตั้งแต่เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย ลงมาบรรจบกองทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ทัพที่ ๔ ให้เมียนหวุ่นแมงยีมหาทิมข่อง เป็นแม่ทัพถือพล ๑๑,๐๐๐ ยกลงมาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เป็นทัพหน้าที่จะยกเข้ามาตีกรุงเทพฯ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๕ ให้เมียนเมหวุ่น เป็นแม่ทัพ ถือพล ๕,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ(๑) เป็นทัพหนุนทัพที่ ๔
ทัพที่ ๖ ให้ตะแคงกามะ ราชบุตรที่ ๒ (พม่าเรียกว่าศิริธรรมราชา) เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๒,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะเป็นทัพหน้าที่ ๑ ของทัพหลวงที่จะยกเข้ามากรุงเทพฯ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๗ ให้ตะแคงจักกุ ราชบุตรที่ ๓ (พม่าเรียกว่าสะโดะมันซอ) เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๑,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะเป็นทัพหน้าที่ ๒ ของทัพหลวง
ทัพที่ ๘ เป็นกองทัพหลวง จำนวนพล ๕๐,๐๐๐ พระเจ้าปดุงเป็นจอมพล เสด็จลงมาเมืองเมาะตะมะเมื่อเดือน ๑๒ ปีมะเส็ง
ทัพที่ ๙ ให้จอข่องนรทาเป็นแม่ทัพถือพล ๕,๐๐๐ (เข้าใจว่าตั้งที่เมืองเมาะตะมะเหมือนกัน) ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตาก มาตีหัวเมืองทางริมแม่น้ำพิง ตั้งแต่เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร ลงมาประจบทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
กองทัพ ๙ ทัพที่กล่าวมานี้ กำหนดให้ยกเข้ามาตีเมืองไทยในเดือนอ้าย ปีมะเส็ง พร้อมกันทุกทัพ คือจะตรงมาตีกรุงเทพฯ ๕ ทัพเป็นจำนวนพล ๘๙,๐๐๐ ตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ๒ ทัพเป็นจำนวนพล ๓๕,๐๐๐ ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ๒ ทัพจำนวนพล ๒๐,๐๐๐ จำนวนพลของข่าศึกที่ยกมาตีเมืองไทยครั้งนี้ รวมทั้งสิ้นจึงเป็น ๑๔๔,๐๐๐๐ ด้วยกัน
กระบวนทัพที่พระเจ้าปดุงให้ยกมาครั้งนี้ ผิดกับกระบวนทัพที่พม่าเคยยกมาตีเมืองไทยแต่ก่อน กองทัพพม่ายกมาตีเมืองไทยแต่ก่อนแม้เป็นทัพใหญ่ทัพกษัตริย์ เช่นครั้งพระเจ้าหงสาวดีก็ดีและครั้งพระเจ้าอลองพญาก็ดี ก็ยกมาแต่ทางเดียว บางทีก็ยกมาเป็นสองทาง เช่นเมืองคราวให้พระยาพสิมยกมากับพระเจ้าเชียงใหม่ในครั้งสมเด็จพระนเรศวร และครั้งพม่าตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวหลังนั้น
แต่คราวนี้ยกมาถึง ๕ ทาง คือทางใดที่พม่าเคยยกกองทัพเข้ามาเมืองไทยแต่ก่อน ก็ให้กองทัพยกเข้ามาในคราวนี้พร้อมกันหมดทุกทาง ประสงค์จะเอากำลังใหญ่หลวงเข้ามาทุ่มเทตีให้พร้อมกันหมดทุกด้าน มิให้ไทยมีประตูที่จะสู้ได้
แต่ที่แท้พระเจ้าปดุงปรีชาญาณในยุทธวิธีไม่เหมือนพระเจ้าหงสาวดีแต่ปางก่อน กะการประมาณพลาดในข้อสำคัญ ด้วยไพร่พลมากมายย้ายแยกกันเป็นหลายทัพหลายกอง และยกมาหลายทิศหลายทางเช่นนั้น ไม่คิดเห็นว่ายากที่จะเดินทัพเข้ามาถึงที่มุ่งหมายให้พร้อมกันได้ อีกประการหนึ่งซึ่งยิ่งสำคัญกว่านั้นคือ มิได้คิดถึงความยากในเรื่องที่จะหาและลำเลียงเสบียงอาหารให้พอเลี้ยงกองทัพได้หมดทุกทาง ความพลาดพลั้งของพระเจ้าปดุงทั้งสองข้อนี้ ที่ไทยเอาเป็นประโยชน์ในการต่อสู้พม่าครั้งนั้นได้เป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้ในรายการที่จะปรากฏต่อไปข้างหน้า
ที่นี้จะกล่าวถึงฝ่ายข้างไทยต่อไป ขณะพม่าลงมือประชุมพลในฤดูฝนปีมะเส็งนั้น พวกกองมอญไปลาดตระเวนสืบทราบความ ว่าพม่าเตรียมทัพที่เมืองเมาะตะมะจะมาตีเมืองไทย เมืองกาญจนบุรีบอกเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ ต่อนั้นมาหัวเมืองเหนือใต้ทั้งปวงก็บอกข่าวศึกพม่าเข้ามาโดยลำดับ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดฯให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ กับทั้งเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่พร้อมกันหน้าพระที่นั่ง ทรงปรึกษาการที่จะต่อสู้พม่าข้าศึก ข้อปรึกษาและมติที่ตกลงกันในครั้งนั้นจะเป็นอย่างไรยังหาพบจดหมายเหตุไม่ จึงได้แต่พิเคราะห์ดูโดยลักษณาการที่ได้ต่อมา เข้าใจว่าคงเห็นพร้อมกันในที่ประชุมว่า
ศึกพม่าที่พระเจ้าปดุงยกมาครั้งนั้นใหญ่หลวง ผิดกับศึกพม่าที่เคยมีมาแต่ก่อน ด้วยรี้พลมากมายและจะยกมาทุกทิศทุกทาง กำลังข้างฝ่ายไทยมีจำนวนพลสำรวจได้เพียง ๗๐,๐๐๐ เศษ น้อยกว่าข้าศึกมากนัก ถ้าจะแต่งกองทัพไปต่อสู้รักษาเขตแดนทุกทางที่ข้าศึกยกเข้ามา เห็นว่าเสียเปรียบข้าศึก เพราะเหตุที่ต้องแบ่งกำลังแยกย้ายไปหลายแห่ง กำลังกองทัพไทยก็จะอ่อนแอด้วยกันทุกทาง เพราะฉะนั้นควรจะรวบรวมกำลังไปต่อสู้ข้าศึกแต่ในทางที่สำคัญก่อน ทางไหนไม่เห็นสำคัญปล่อยให้ข้าศึกทำตามใจชอบไปพลาง เมื่อเอาชัยชนะข้าศึกเป็นทัพสำคัญได้แล้ว จึงปราบปรามข้าศึกทางอื่นต่อไป
เนื้อความที่ปรึกษาคงจะลงมติเป็นอย่างนี้ ก็เลานั้นสืบได้ความว่ากองทัพใหญ่ของข้าศึกยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ และพระเจ้าปดุงเป็นจอมพลมาเองในทางนั้นด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดฯให้จัดกองทัพสำหรับที่จะต่อสู้เป็น ๔ ทัพ
ทัพที่ ๑ ให้กรมพระราชวังหลัง (เวลานั้นยังดำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้า กรมหลวงอนุรักษ์มนตรี) เป็นแม่ทัพถือพล ๑๕,๐๐๐ ไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ คอยป้องกันอย่าให้กองทัพพม่าที่ยกลงมาทางข้างเหนือ ล่วงเลยมาถึงกรุงเทพฯได้ ในเวลากำลังต่อสู้ข้าศึกเมืองกาญจนบุรี
ทัพที่ ๒ เป็นกองทัพใหญ่กว่าทุกทัพ จำนวนพล ๓๐,๐๐๐ ให้กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จเป็นจอมพลไปตั้งที่เมืองกาญจนบุรี(เก่า) คอยต่อสู้กองทัพพระเจ้าปดุง ที่จะยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๓ ให้เจ้าพระยาธรรมา(บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราชถือพล ๕,๐๐๐ ไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี รักษาทางลำเลียงของกองทัพที่ ๒ และคอยต่อสู้พม่าซึ่งจะยกมาแต่ทางข้างใต้หรือทางเมืองทวาย
ทัพที่ ๔ กองทัพหลวงจัดเตรียมไว้ในกรุงเทพฯ จำนวนพล ๒๐,๐๐๐ เศษ เป็นกองหนุน ถ้ากำลังศึกหนักทางด้านไหนจะได้ยกไปช่วยให้ทันที
....................................................................................................................................................
(๑) รายการเรื่องสงครามคราวนี้ พงศาวดารพม่ายุติต้องกันกับหนังสือพระราชพงศาวดารแทบทุกข้อ แต่ทัพที่ ๕ นี้ไม่มีในพงศาวดารพม่า จะเป็นเพราะเขียนฉบับเดิมก็เป็นได้
จากคุณ :
กัมม์
- [
27 มิ.ย. 49 12:04:01
]
|
|
|