ความคิดเห็นที่ 17
ขอบคุณครับคุณเชษฐา ผมก็กะว่าจะเล่าเลยลงไปถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์เหมือนกันครับ ติดตามต่อไปนะครับ
....................
นครศรีธรรมราช ศาสนจักรและอาณาจักร
ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ พระเจ้าตากสินก็เสด็จยกกองทัพไปปราบเมืองนครศรีธรรมราช นับเป็นชุมนุมใหญ่อีกชุมนุมหนึ่งซึ่งยังตั้งท้าทาย "พระราชอาณาจักรอยุธยา" ของพระเจ้าตากสิน
ผู้นำชุมนุมแห่งนี้จะมีบทบาทในรัชสมัยของพระองค์ต่อมา
สภาพทางการเมืองของภาคใต้ในเวลานั้นออกจะปั่นป่วนพอสมควร ไม่ว่าจะมีพม่ายกมาติดกรุงศรีอยุธยาหรืไม่ก็ตาม
ความอ่อนแอของภาคใต้นั้นเห็นได้จากการที่มีโจรสลัดมลายูยกเข้ามาทำอันตรายชุมชนถึงกับบ้านแตกสาแหรกขาดอยู่เนือง ๆ ดังที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองพัทลุงอยู่แล้ว ในขณะเดียวกัน สงขลาซึ่งเติบโตขึ้นเนื่องจากการค้าเป็นลำดับก็ต้องการปลีกตัวออกจากการขึ้นต่อพัทลุง
อำนาจของนครศรีธรรมราชอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยหลายอย่างทำให้ไม่สามารถอำนวยความสงบ และระเบียบแก่อาณาบริเวณนั้นได้อีก
ทางฝั่งตะวันตกมีอิทธิพลของไทรบุรีและบูกิสครอบงำและคุกคามหัวเมืองไทยในคาบสมุทรตอนใต้ จึงต้องการความร่วมมือกันเพื่อคุ้มครองตนเองจากอำนาจภายนอก ยิ่งเมื่อราชอาณาจักรอยุธยาสลายตัวไปแล้ว การจะหวังพึ่งศักดิ์ศรีของอยุธยาไว้คุ้มกันตนจากการปล้นสะดมและขยายอำนาจของโจรสลัดและรัฐมลายูก็เป็นไปไม่ได้
เพราะเหตุนั้น เมื่อปลัดเมืองนคร (ปลัดหนู) ตั้งตัวเป็นใหญ่ หัวเมืองทางใต้ที่อยู่ประชิดไปทางรัฐมลายูจึงพากันเข้าด้วยโดยดี สำเนากฎตั้งเจ้านครครั้งกรุงธนบุรีก็ยกความดีความชอบของเจ้านครในครั้งนี้ว่า "ครั้งพระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึกแต่ก่อนฝ่ายกรมการพลเมือง ๆ นครหาที่พึ่งไม่ ยกปลัดเมืองขึ้นผ่านแผ่นดิน...ก็ได้พึ่งพาอาศัยสัประยุทธ์ชิงชัยชนะแขกข้าศึก ถ้าหาไม่ขัณฑสีมาก็จะระส่ำระสายเป็นไปความชอบมีอยู่กับแผ่นดิน..." (ตรี อมาตยกุล, (รวบรวม), รวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช, พระนคร, พิมพ์ในงานศพพลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต, ๒๕๐๕, หน้า ๑๗๕)
จึงเห็นได้ว่าภัยที่คุกคามหัวเมืองภาคใต้ร่วมกันในขณะนั้นคืออันตรายจากมลายู และเป็นไปได้มากว่าเจ้านครตั้งตัวขึ้นอย่างสะดวกโดยอาศัยการร่วมมือเพื่อเผชิญภัยคุกคามร่วมกันนี้
อาณาเขตของเจ้านครนั้นไม่น่าจะขึ้นมาทางเหนือกว่านครศรีธรรมราชมากนัก ชุมพรนั้นมีหลักฐานว่าถูกกองทัพพม่ารบกวนในระหว่างสงคราม และอย่างน้อยก่อน พ.ศ. ๒๓๑๒ เมื่อพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพลงไปตีนครนั้น ไชยาและชุมพรก็เป็นแดนในราชอาณาจักรของพระองค์ไปแล้ว
และด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวไว้ในหลักฐานอื่นว่ากองทัพของกรุงธนบุรีอาศัยไชยาเป็นที่ตั้งในการโจมตีนคร
หากภยันตรายที่คุกคามเมืองแถบนี้มาจากมลายู ไชยาและชุมพรก็ไม่มีเหตุจะต้องวิตกมากนัก ในขณะเดียวกันทั้งสงขลาและพัทลุงต่างมีปัญหาของตนเอง การยอมร่วมอยู่กับเจ้านครดูจะให้ประโยชน์แก่ผู้นำท้องถิ่นได้ดีกว่าการอยู่ในราชอาณาจักรอยุธยา และด้วยเหตุนี้ก็จำเป็นต้องประนีประนอมกับผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำในพัทลุงและสงขลามากกว่า หัวเมืองเหล่านี้จึงมีเหตุผลที่จะแยกตัวออกจากราชอาณาจักรอยุธยาในคราวกรุงแตกอยู่มาก
เจ้านครได้ตั้ง "นายจัน" ซึ่งเป็นหลานเขยขึ้นเป็นวังหน้าของเมืองนคร เรื่องราวของนายจันนั้นมีกล่าวไว้ตรงกันทั้งในงานของ ก.ศ.ร. กุหลาบ และ ปฐมวงศ์ อันเป็นพระราชนินธ์ รัชกาลที่ ๔
เมื่อกรุงแตก เจ้านครซึ่ง ก.ศ.ร. กุหลาบระบุว่าเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่ด้วยตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ส่วนหลวงนายฤทธิ์ (นายจัน) ก็หนีมาอาศัยที่นครศรีธรรมราช ตังบ้านเรือนอยู่ตำบลสามอู่ เจ้านครเห็นหลานเขยเคยได้รับราชการในกรุงและเป็นเชื้อสายผู้ดีเก่า มีความรอบรู้ในกิจราชการมาก ก็ได้ปรึกษาหารือราชการด้วยหลวงนายฤทธิ์อยู่เสมอ และต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นวังหน้า (มหามุขมาตยานุกูลว่าด้วยลำดับวงศ์ตระกูลขุนนางไทยทั้งสิ้นในแผ่นดินสยาม, พระนคร โรงพิมพ์สยามประเภท, ร.ศ. ๑๒๔, หน้า ๑๘๕-๑๘๘ และ "ปฐมวงศ์", ใน พระราชประวัติและพระราชนิพนธ์บางเรื่อง, พระนคร พิมพ์ในงานพระศพพระองค์เจ้าประดิษฐาสารี, ๒๕๐๕, หน้า๘๕)
และเพราะอุปราชจันหรือที่ในหลักฐานของทางใต้เรียกว่า "เจ้าชายฤทธิ์" นี้เป็นคนที่มีปูมหลังเกี่ยวกับราชอาณาจักรอยุธยามาตามสายตระกูลผู้ดีของตน จึงคงไม่สู้จะเต็มใจร่วมมือกับเจ้านครในการแยกออกเป็นอิสระจากราชอาณาจักรอยุธยานัก
"ปฐมวงศ์" เล่าถึงเรื่องการเดินทางของครอบครัวเจ้าขรัวเงินพระภัสดา และกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ลงไปนครในรัชกาลพระเจ้าตากสิน เพื่อตักเตือนให้อุปราชจันอันเป็นญาติกับเจ้าขรัวเงินปลีกตัวออกจากเจ้านครเสีย ("ปฐมวงศ์", ใน พระราชประวัติและพระราชนิพนธ์บางเรื่อง, พระนคร พิมพ์ในงานพระศพพระองค์เจ้าประดิษฐาสารี, ๒๕๐๕, หน้า๘๖-๘๗)
พงศาวดารเมืองสงขลากล่าวความตรงกันว่า เจ้าชัยฤทธิ์ซึ่งระบุว่าเป็นน้องชายของเจ้านคร (วิเชียรคีรี, เจ้าพระยา, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๓ (พงศาวดารเมืองสงขลา), พระนค, ก้าวหน้า, ๒๕๑๙, หน้า ๔) เป็นไส้ศึกให้แก่พระเจ้าตากสิน เพราะหวังว่าเมื่อเมืองนครอยู่ในอำนาจของพระเจ้าตากสินแล้ว ตนก็จะได้เป็นเจ้าเมืองแทนเจ้านครหนู (อนุสรณ์, กรงเทพฯ, พิมพ์ในงานศพหลวงพิสูจน์พาณิชยลักษณ์, ๒๕๒๘, หน้า ๙๒ และ วิเชียรคีรี, เจ้าพระยา, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๓ (พงศาวดารเมืองสงขลา), พระนคร, ก้าวหน้า, ๒๕๑๙, หน้า ๔-๕)
ความไว้วางใจของเจ้านครต่ออุปราชจันเพราะเหตุที่เป็นญาตินั้น ไม่สนองผลตอบได้ดังหวัง เพราะปูมหลังของอุปราชจันสอนให้อุปราชจันฝากอนาคตตนเองกับราชอาณาจักรอยุธยา ไม่ใช่ชุมชนอิสระที่แยกสลายราชอาณาจักรออกเป็นเสี่ยง ๆ และในความเป็นจริง อุปราชจันก็ได้เติบโตในราชการของราชอาณาจักรอยุธยาต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๑ และถึงแก่อนิจกรรมลงในตำแหน่งเจ้าพระยสุรินทราชา ผู้ว่าราชการแปดหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันตก
และไม่เพียงอุปราชจันเท่านั้นที่เอาใจออกห่างเจ้านครใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ขุนนางอยุธยาอีกจำนวนหนึ่งที่หนีภัยมาเข้าด้วยเจ้านครก็คงคิดอย่างเดียวกับอุปราชจัน
เมื่อกองทัพของพระเจ้าตากสินยาตรามาถึงเมืองนคร ก็เปิดทางเลือกให้แก่คนเหล่านี้ที่จะกลับไปสู่การรื้อฟื้นราชอาณาจักรอยุธยาอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่คุ้นเคยและมีผลประโยชน์อยู่ในระบบราชอาณาจักรย่อมพอใจจะเข้าด้วยพระเจ้ากรุงธนบุรีมากกว่าเจ้านคร
ด้วยเหตุนี้ จึงมีรายงานจากความทรงจำด้วยว่า เมื่อพระเจ้าตากสินเข้าล้อมเมืองนคร ได้เริ่มรบกันไปเพียง ๒-๓ วัน ก็เกิดแตกแยกกันเองในหมู่ประชาชนในเมืองนคร มีความระแวงสงสัยกันเอง บางคนก็กลับเป็นอริกับเจ้านคร บางคนเป็นสายลับให้พระเจ้าตากสิน เจ้านครเห็นความปั่นป่วนวุ่นวายนั้นก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เลยหลบหนีไปพึ่งราชาแห่งปัตตานี "ซึ่งเป็นพระสหายมาก่อน" ให้ความคุ้มครอง (Smith, S.J., "Brief Sketches of Siamese History, (Facts from H.S.M. the late King Phra Chaum Klau in 1850," Siam Repository, (October, 1869): หน้า ๒๖๕-๒๖๖)
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีตีเมืองนครได้ พร้อมทั้งได้ตัวพวกของเจ้านครมาแล้ว ก็เสด็จประทับจัดราชการที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่ก็ประทับอยู่ไม่นานนัก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์เสด็จมาปราบกฏในรัชกาลที่ ๑ และที่ ๓ กรมพระราชวังบวรจะประทับอยู่ภาคใต้เป็นเวลานานเพื่อจัดราชการ
ทั้งนี้ เพราะการจัดราชการของพระเจ้าตากสินนั้นกระทอย่างรวบรัดด้วยความจำเป็นทางการเมืองขณะนั้น ได้โปรดแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางพระราชหฤทัยขึ้นปกครองหัวเมืองทั้งสามที่นครศรีธรรมราช โปรดให้พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ "ครอง" เมืองนคร แต่ก็มีข้าราชการจากส่วนกลางคอยช่วยเหลืออยู่ด้วยตามที่ระบุชื่อไว้คือ พระยาราชสุภาวดี พระศรีไกรลาศ และพระไชยนาท เรียกว่าเสนาบดีข้าหลวง (พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี, พระนคร, พิมพ์ในงานพระเมรุกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช, ๒๔๕๙. หน้า ๗๔) ส่วนที่พัทลุงและสงขลาก็ได้ตั้งผู้นำท้องถิ่นที่ไว้วางพระทัยขึ้นเป็นเจ้าเมืองทั้งสองแห่ง
ส่วนตัวเจ้านครและพรรคพวกนั้นโปรดให้นำกลับมาธนบุรี แต่ก็มิได้ลงโทษอย่งไรมากกว่านั้น ตัวเจ้านครเองมารับราชการอยู่ในส่วนกลาง ส่วนหลวงสงขลานั้นมีหลักฐานว่าภายหลังยังสามารถหนีไปอยู่กับพระยาราชาเศรษฐีที่พุทธไพมาศได้ อุปราชจันกลับเข้ามาอยู่ธนบุรีได้ตำแหน่งเป็น พระยาอินทรอัคราชในสมัยต่อมา (ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, ๒๙ เจ้าพระยา, พระนคร, ๒๕๐๙, หน้า ๖๕๘) เจ้าพัดบุตรเขยเจ้านครติดตามพ่อตามาอยู่เมืองธนบุรี
พระราชพงศาวดารกล่าวว่า หลังจากฉลองการได้เมืองนครทั้งในทางศาสนาและทางโลกย์แล้ว ก็ได้โปรดให้เชิญเอาพระไตรปิฎกจากเมืองนครกลับเข้ามาจำลองไว้ยังเมืองธนบุรีด้วย (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๕ (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ), พระนคร, คุรุสภา, ๒๕๑๒, หน้า ๔๕) ลอเรน กีซิค ได้ให้ความหมายทางการเมืองแก่การกระทำดังนี้ว่า "การกระทำดังกล่าวเป็นการให้เกียรติแก่จารีตทางศาสนาของนคร และชื่อเสียงอันเก่าแก่ของนครศรีธรรมราชในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษาพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันก็เป็นการย้ำประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า บัดนี้นครศรีธรรมราชก็เป็นส่วนหนึ่งของ "อยุธยา" ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งแล้ว" (Gesick, Lorraine Marie, Kingship and Political Integration in Traditional Saim, 1767-1824, Ph.D dissertation, cornell, University, หน้า ๘๑)
นอกจากพระไตรปิฎกแล้ว พระราชพงศาวดารยังกล่าวว่าได้อาราธนาพระอาจารย์ศรี และสานุศิษย์กลับเข้าเมืองธนบุรีด้วย (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๕ (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ), พระนคร, คุรุสภา, ๒๕๑๒, หน้า ๔๕) เข้าใจว่าในนครศรีธรรมราชคงมีพระภิกษุจากส่วนกลาง เช่น พระอาจารย์ศรีหลบหนีภัยไปอาศัยอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับขุนนาง เช่นหลวงนายฤทธิ์ซึ่งก็คงมีที่หลบภัยอยู่อีกเช่นกัน
(เรียบเรียงจากหนังสือที่ได้อ้างถึงแล้ว)
จากคุณ :
วศินสุข
- [
18 ม.ค. 50 00:10:38
]
|
|
|