ความคิดเห็นที่ 1 ผมคิดว่าถ้าปารีสมีความคิดจะเป็นดาราเป็นหลักแล้ว การยอมรับผิด หรือพูดง่ายๆว่า fair ต่อการกระทำของตัวเอง มันดูดีกว่า และจะดีต่อชื่อเสียงของเธอเองในระยะยาวนะครับ จากคุณ : เชษฐา - [ 8 มิ.ย. 50 09:19:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงครับ เพียงแต่ว่าแต่ละชาติจะมีปัญหาเรื่องนี้มากหรือน้อยกว่ากัน ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ประเพณี การศึกษา ความรู้ความเข้าใจของประชาชนในแต่ละชาติซึ่งแตกต่างกัน ตัวอย่างในกรณีนี้ สังคมของอเมริกันเป็นสังคมที่เปิดกว้าง ความไม่ชอบมาพากลในลักษณะนี้ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ในวงกว้าง ซึ่งเป็นผลดีต่อตัวของปารีส ฮิลตันเอง (แต่ไม่รู้เธอจะรับรู้เรื่องนี้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเธอเองมากกว่า) และเป็นผลดีต่อสังคมส่วนรวม การวิพากษ์วิจารณ์แบบมีเหตุมีผลย่อมจะมีประโยชน์กว่าการวิพากษ์วิจารณ์แบบซุบซิบนินทา เพราะผู้ตกเป็นเป้าของสังคมไม่รู้ตัวเลยว่า อะไรคือข้อกล่าวหา ซึ่งเราคงนำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ได้นะครับ จากคุณ : hummel - [ 8 มิ.ย. 50 09:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สงสัยต้องมีกฎหมายสำหรับคนจน คนรวย แยกกันแล้ว ม้างถ้าไม่เคารพกฎหมายที่เราร่วมกันสร้าง จากคุณ : endoo (MayMie) - [ 8 มิ.ย. 50 11:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข่าวจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ฉบับวันศุกร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ รุมวิจารณ์กรณี"ปารีส ฮิลตัน" ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด อัยการและประชาชนต่างวิจารณ์เรื่องที่"ปารีส ฮิลตัน" ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกหลังรับโทษได้เพียง ๔ วัน (๘ มิย.) "ปารีส ฮิลตัน" ทายาทสาวเจ้าของธุรกิจโรงแรมในเครือฮิลตัน ได้รับการปล่อยตัวออกจากทัณฑสถานในเมืองลอสแองเจลิสแล้วเมื่อเช้าวันพฤหัสบดี หลังจากเข้าไปรับโทษคดีละเมิดทัณฑ์บนคดีเมาแล้วขับได้แค่ ๔ วันท่านั้น ทั้งที่เธอต้องโทษจำคุกนาน ๔๕ วัน ทำให้หลายฝ่ายแสดงความโกรธเคืองต่อการเลือกปฏิบัติและอัยการสัญญาว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้ ฮิลตัน วัย ๒๖ ปี ซึ่งเข้าเรือนจำเมื่อเวลา ๕ ทุ่มครึ่งของวันอาทิตย์ก่อนกำหนดวันรับโทษสองวันได้กลับบ้านเรียบร้อยแล้วแลกกับการใส่กำไลพิเศษที่ข้อเท้าซึ่งเป็นระบบสัญญาณติดตามตัวและต้องอยู่แต่ในบริเวณบ้านเป็นเวลา ๔๐ วัน โดยทางการลอสแองเจลิส แถลงว่า เรื่องสุขภาพของฮิลตันเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจปล่อยเธอออกจากเรือนจำ แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดขณะที่เวบไซต์หนึ่งรายงานว่าฮิลตันไม่ยอมรับประทานอาหารในเรือนจำ ร้องไห้ตลอด นอนไม่หลับ และต้องพบกับจิตแพทย์ แต่นายร็อกกี้ เดลกาดิลโล อัยการเมืองลอสแองเจลิส กล่าวว่า เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากกับการปล่อยตัวฮิลตัน และเรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนทุกคนอย่างยุติธรรมและเสมอภาคกัน เพราะไม่อาจทนต่อระบบยุติธรรมที่มี ๒ มาตรฐานที่จะให้การดูแลเป็นพิเศษแก่คนรวยและผู้มีอำนาจ นอกจากนี้ทั้งกลุ่มสิทธิพลเรือนและประชาชนต่างประณามการเลือกปฏิบัติเป็นพิเศษแก่ทายาทเศรษฐีคนดังรายนี้เช่นกัน ข่าวปารีส ฮิลตันในหนังสือพิมพ์ไทยฉบับต่าง ๆ http://search.sanook.com/searchnews.php?qID=&wi=&hnl=&ob=&asc=&q=+%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99&ct=all&si=n จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 มิ.ย. 50 12:06:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่ามันเป็นมายาคติที่ชาวโลกถูกครอบหัวมาว่าสังคมอเมริกันเป็นสังคมที่เท่าเทียมกัน (โดยมากผ่านหนังฮอลลี่วู๊ดกระแสหลัก) สังคมอเมริกันอาจจะดูเหมือนเป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่เคยผ่านยุคของศักดินามาเหมือนประเทศในยุโรปและเอเชีย แถมยังโปรโมตเสียใหญ่โตเพื่อทำสงครามทางจิตวิทยากับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น คนที่อยู่ในประเทศโลกที่สามที่เอียนกับสังคมอันเลวร้ายของตัวเองเข้าไปหรือไปเรียนต่อก็อดเปรียบเทียบกับของตัวเองไม่ได้เลยทำให้ ภาพของอเมริกาดูดีเข้าไปอีก ความจริงคนอเมริกันต่างก็มีความเหลื่อมล้ำกันทางสังคมโดยใช้มาตรฐานอื่นเข้าวัด เช่นเรื่องเงิน เรื่องของตระกูล ผิวสี ฯลฯ ในอเมริกา กฏหมายจำนวนมาก (บอกว่าจำนวนมากนะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอื้อผลประโยชน์ของนายทุน คนท้องถิ่นต่างลุกขึ้นมาต่อสู้กับทั้งนายทุนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แพ้บ้างชนะบ้างตามแต่กรณีเลยเกิดกฏหมายใหม่ๆ ขึ้นมา (การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันนี่ประชาชนในประเทศโลกที่สามก็มีเยอะแยะนะครับเพียงแต่ว่าไม่ดังเท่าอเมริกาซึ่งอยู่ในสว่าง) คิดว่าคงมีกรณีดาราฮอลลี่วู๊ดแบบปารีสก่อหน้าปารีสอีกเยอะแยะ เพียงแต่ว่าเราอยู่ห่างไกลเลยไม่ใส่ใจเท่ากับลูกของนักการเมืองในบ้านเรา จริงอยู่ที่สังคมอเมริกันมีการเปิดกว้างให้มีการนำเสนอความคิดเห็นส่วนบุคคล หรือวิพากย์วิจารณ์กันแต่ก็มีขีดจำกัดของมัน เราอาจจะเอาไปเปรียบเทียบกับสังคมเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จไม่ว่าจีนหรือโซเวียตในอดีต อเมริกาก็เลยดูเหมือนแดนสวรรค์เลย ถ้าเป็นการแสดงความเห็นสาระพัดสาระเพของคนอเมริกันนี่ไม่มีปัญหาเลยไม่โดนจำกัดเหมือนอยู่ในพม่าหรอก แต่สำคัญที่ว่าใครจะมาได้ยินเสียงของคนตัวเล็ก ๆนี่สิสำคัญกว่า เรื่องสื่อจึงสำคัญอย่างยิ่ง ความจริงแล้วสื่อทั้งหลายของอเมริกาต่างก็มีขีดจำกัดในการนำเสนอความจริง สื่อจำนวนมากของอเมริกาถูกระบบทุนนิยมผูกขาด การตัดสินใจในการนำเสนอจึงขึ้นอยู่กับนายทุนเพียงคนเดียวซึ่งโดยมาจากมีอคติ เห็นแก่เงินหรือแสวงอำนาจทางการเมือง ข่าวสำคัญจำนวนมากไม่อาจถูกนำเสนอในหน้าหนังสือพิมพ์ (แน่นอนว่าข่าวจำนวนมากก็ได้แก่ข่าวร้าย ๆในประเทศโลกที่สามที่ถูกเกิดจากการเข้าไปแทรกแซงของรัฐบาลอเมริกาเอง) จนต้องรอให้นักข่าวใจกล้ามาขุดคุ้ยเอา จะดังอื้อฉาวแบบคดีWatergate ก็แล้วแต่โชควาสนา ต้วอย่างของเสรีภาพที่จำกัดก็ตอนที่บุชสั่งบุกอัฟกานิสถานและบุกอิรักใหม่ ๆ สื่อเกือบทุกชนิดก็เชียร์ โหมโรงกันสนั่นหวั่นไหวเหมือนกันหมดไม่ว่า ซีเอนเอนไทมส์ นิวส์วิคต้องมาช่วงหลัง ๆ ที่อเมริกาเริ่มแย่ สื่อเหล่านั้นเลยตีตนออกห่างมาโจมตีนโยบายของรัฐบาล เสรีภาพการเสนอความเห็นของอเมริกายังถูกจำกัดจากสถานการณ์ทางการเมืองด้วยนะอย่างเช่นในช่วงหลังเหตุการณ์ 9-11 ใหม่ๆ ใครที่กล้าออกมาเสนอความเห็นคัดค้านกับรัฐบาลบุชที่ทำสงครามกับอัฟกานิสถานเพื่อจับตัวบินลาเดน นี่ต้องโดนต่อต้านเสียรุนแรง แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 50 15:43:53 จากคุณ : Johann sebastian Bach (Johann sebastian Bach) - [ 8 มิ.ย. 50 15:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สังคมอเมกันไม่ได้เท่าเทียมกันอย่างที่เราคิดหรอกนะคะ มันยังมีเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติ อย่างเห็นได้ชัดสำหรับคนในสังคมชนบท แต่ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะไม่ค่อยเห็นกัน  คนอเมกันยังดูถูกคนเอเชียก็มีให้เห็น เพียงแต่มันอยู่ในเมืองเล็กๆ เท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าสังคมไหนก็จะให้ความสำคัญทางด้านชื่อเสียงและเงินทอง ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะบอกว่า สังคมที่พวกเค้าอยู่นั้นมีความเท่าเทียมกันและเป็นสังคมแห่งโลกเสรี แต่แท้ที่จริงยังมีการเลือกปฏิบัติยู่ อย่างที่เราเห็นๆๆกัน .. ดังนั้นจะหาความเท่าเทียมกันในสังคมคงยากค่ะ ... จากคุณ : poockey - [ 8 มิ.ย. 50 15:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่เท่าเทียมกันหรอก เวลาคุณไปช้อปปิ้งเนี่ย ส่วนใหญ่พวกทำงานเป็นยามหรือพวกคนขับรถหรือ พวกทำงานใช้แรงงานส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ ส่วนคนเอเชียก็ไม่ค่อยได้ทำงานสายบริหาร (รวมถึงในออสเตรเลียด้วย) ทั้ง ๆ ที่ผลการเรียนออกมาดีอาจจะดีมากกว่าเจ้าของประเทศด้วยซ้ำ (อันนี้ รวมในออสเตรเลียด้วย เพราะทุกคนรู้ดีว่า คนฮ่องกงนี่เรียนเก่งกว่าเจ้าของ ประเทศในทุกวิชา อาจรวมไปถึงภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ เกิดที่นี่ด้วย) หลาย ๆ โรงแรม ไม่รับจีเอ็มเป็นคนเอเชียด้วยซ้ำ (จริง ๆ ในโลกเราก็ยังมีการเลือกปฎิบัติทั้งนั้น นั่งเรียนหนังสือในวิชาเอชอาร์ พูดหัวข้อเอ็มพลอยเม้นท์รีเลชั่น เขาก็บอกว่า ก็มีการไม่เท่าเทียมกันในเรื่อง ของการจ้างงาน ของผู้หญิง ของเด็ก ของเกย์ ของคนเอเชียอยู่ดี) นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 8 มิ.ย. 50 16:49:11 A:203.122.76.108 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 8 และนี่คือโลกแห่งความฝัน  อันมิเคยเกิดขึ้นจริง THE UNIVERSAL DECLARATION OF HUMAN RIGHTS Article 1. All human beings are born free and equal in dignity and rights.They are endowed with reason and conscience and should act towards one another in a spirit of brotherhood. Article 2. Everyone is entitled to all the rights and freedoms set forth in this Declaration, without distinction of any kind, such as race, colour, sex, language, religion, political or other opinion, national or social origin, property, birth or other status. Furthermore, no distinction shall be made on the basis of the political, jurisdictional or international status of the country or territory to which a person belongs, whether it be independent, trust, non-self-governing or under any other limitation of sovereignty. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ๑. มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาอิสระเสรีและเท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิทุกคนได้รับการประสิทธิประสาทเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง ๒. บุคคลชอบที่จะมีสิทธิและเสรีภาพประดาที่ระบุไว้ในปฏิญาณนี้ ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใดๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นใด นอกจากนี้การจำแนกข้อแตกต่างโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมืองทางดุลอาณาหรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้ ทั้งนี้ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกราชอยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด http://www.un.org/Overview/rights.html http://th.wikipedia.org/wiki/ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 มิ.ย. 50 17:05:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมได้อ่านความเห็นของแต่ละท่านที่โพสท์เข้ามาแล้วอดชื่นชมไม่ได้ เป็นความเห็นที่หลากหลายและมีคุณค่าทั้งสิ้นครับ ดีใจแทนผู้ที่ได้พยายามก่อตั้งห้องนี้มา จากคุณ : hummel - [ 8 มิ.ย. 50 17:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เพิ่งดูข่าวต่างประเทศ ถึงตอน ส.ว.อเมริกัน สองคนชกหน้ากัน ในสภา นี่ก็ตอกย้ำว่า ไอ้ที่ถือตัวกันว่า...ศิวิไลซ์..กว่าคนอื่น เขา จริงๆแล้ว มันก็...ครือ...กันน่ะแหละ จากคุณ : Benedetta. - [ 8 มิ.ย. 50 20:12:16 A:151.30.132.7 X: TicketID:108206 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความไม่เท่าเทียมมันก็มีเกือบทุกสังคม อย่างแถวๆ นี้ก็มีอย่างกรณี ด๊อกเตอร์ตีเมียตาย โดยลงโทษแค่ไปสอนหนังสือชดเชยความผิด บางทีเส้นสาย ก็ช่วยให้อัยการทำหูหนวกตาบอดไปได้เหมือนกัน จากคุณ : Viengวิไล - [ 9 มิ.ย. 50 00:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เคยบ่นกับน้องชายของสามีเรื่องเหยียดคนเอเชียอยู่เหมือนกันค่ะ เค้าบอกว่า "อเมริกันบางคนอาจจะอิจฉาคนเอเชีย ที่มีสมองเป้นเลิศเข้ามาเรียน และก็ใด้งานดีๆทำก็ใด้" ....            ในหน่วยงานบางหน่วยที่อยู่ในสังกัดของรัฐบาลสหรัฐ ยังมีหน่วยงานที่เรียกว่า  Equal Employment Opportunity แสดงว่าการเหยียดผิวยังคงมีอยู่ แต่ก็มีความพยายามในการแก้ไขค่ะ             เคยไปอบรมการเขียนจดหมายสมัครงาน ผู้อบรมเน้นว่าผู้จ้างไม่มีสิทธิที่จะถามถึง อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ภาพถ่าย หรือแม้แต่เรื่องลูกว่ามีกี่คน อายุเท่าไหร่ฯลฯด้วยค่ะ โดยจะให้เน้นเรื่องของ ความรู้ ประสบการณ์ ความสำเร็จที่เคยมีเป็นสำคัญค่ะ เคยคิดจะกลับไปทำงานที่ไทยแต่ก็ติดที่อายุเกินที่กำหนดใว้ซะส่วนใหญ่  ขอรูปถ่ายอีกต่างหาก...โอ้ย...ยิ่งหมดสิทธิกันไปใหญ่             เรื่องของคนเชื้อสายเอเชีย (เกาหลี)เกิดและโตที่นี่ ใด้ตำรงตำแหน่ง Chief of Staff ของกองทัพสหรัฐก็มีนะคะเพิ่งจะเกษียรอายุเมื่อเร็วๆนี้ค่ะ             แต่เรื่องของ ปารีส ก็ยังดีที่มีคนจะตามเรื่องการเลือกปฏิบัติให้ถึงที่สุดนะคะ ไม่งั้นหากมีใครไม่อยากอยู่ในคุก ก็เอาแต่ร้องให้ อดอาหาร ทำท่าว่าจะฆ่าตัวตาย จนต้องพบจิตแพทย์ให้ประเมินว่ามีภาวะถดถอยทางจิตอย่างหนัก แนะว่าให้กลับไปคุมตัวอยู่ที่บ้านอันแสนจะสุขสบายใด้ ออกมาอีกเรื่อยๆ  ย้อยกลัมมาดูบ้านเรามีอย่างเค้าบ้างไหมค่ะ ... จำใด้แต่คร่าวๆว่า มีนายพลคนหนึ่ง อยู่คุก 5 ดาว.....***** หรือบางคดีก็หมกเม็ด ซุกใต้พรมอยู่ ไม่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือถูกเข้าคุกด้วยซ้ำไป               เรื่องเสรีภาพของสื่อเมกานี่   เห็นด้วยเป้นอย่างยิ่งว่านายทุนเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างมากค่ะ  เนื่องด้วยสื่อของเมกาสามารถขายใด้ทั่วโลก อย่างสื่อไทยเรามีภาพข่าวจาก ซีเอ็นเอ็น ก็ต้องทำสัญญาซื้อค่ะปีละเป้นล้านๆบาท  ดังนั้นภาพข่าวสงครามจึงนำเสนออย่างละเอียดเพื่อที่จะขายใด้ตามความต้องการของตลาดทั่วโลก    ทหารสหรัฐทำอะไร  ที่ไหน กลยุทธ รูปแบบการฝึกเป็นอย่างไร บอกให้ศัตรูรู้หมด ทำยังกับว่าเป็นหน่วยข่าวกรองให้ซะเอง แต่ในทางกลับกัน ทางศัตรูกลับออกสื่อเฉพาะที่ต้องการโฆษณาชวนเชื่อ หรือข่มขวัญทางสหรัฐเท่านั้น             นอกจากนี้ เคเบิลทีวีช่องอื่นๆ เช่น มิลิตารี่ แชนแนล ก็นำเสนออย่างละเอียดยิบถึงปฏิบัติการทหารของหน่วยต่างๆ ยังมีช่องอื่นๆอีกค่ะ              หรือว่าทางอเมริกาจะต้องสูญเสียเพราะสำลักเสรีภาพของตัวเองจนจุกอกตายกระมัง ปล่อยให้ศัตรูรู้จนหมดใส้หมดพุงอย่างนี้                รู้สึกว่าขี้บ่นมากไปหน่อย ต้องขออภัยที่อาจจะทำให้ท่านผู้ใดระคายเคืองนะคะ... จากคุณ : แม่ขา - [ 9 มิ.ย. 50 01:46:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านข่าวล่าสุด ศาลสั่งให้กลับเข้าคุกตามเดิมแล้วค่ะ จากคุณ : แม่ขา - [ 9 มิ.ย. 50 10:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ข่าวจากเว็บไซต์ของกรุงเทพธุรกิจ ส่งปารีส ฮิลตันกลับเข้าคุก ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๐๙:๑๖:๐๐ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในนครลอสแองเจลิส มีคำสั่งให้ส่ง ปารีส ฮิลตัน ที่ได้รับการปล่อยตัวหลังรับโทษได้เพียง ๗๒ ชั่วโมงกลับเข้าคุก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดาราสาวไฮโซ ปารีส ฮิลตัน ถึงกับกรีดร้องและร่ำไห้ หลังจากผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ส่งเธอกลับเข้าไปควบคุมตัวในเรือนจำเขตลอสแองเจลิส เป็นครั้งที่สอง เพื่อรับโทษที่เหลือจากการละเมิดทัณฑ์บนจากข้อหาเมาแล้วขับเป็นเวลา ๔๕ วัน รายงานระบุว่า ฮิลตัน ทายาทโรงแรมดังวัย ๒๖ ปี ถูกนำตัวมาขึ้นศาลในนครลอสแองเจลิสเมื่อวานนี้ ในสภาพถูกสวมกุญแจมือ หน้าตากระเซอะกระเซิง และร่ำไห้ โดยในระหว่างการไต่สวน ฮิลตันมีอาการตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่ผู้พิพากษามีคำสั่งส่งเธอกลับเข้าคุก เธอกรีดร้อง และร้อง ตะโกนว่า"มันไม่ถูกต้อง"  เรียกหาแม่ทั้งน้ำตา และยังได้พยายามเข้าไปหาพ่อและแม่ แต่เจ้าหน้าที่ล็อคแขนเธอไว้ก่อนจะพาตัวออกไปจากห้องพิจารณาคดี การตัดสินคดีนี้มีขึ้น หลังอัยการยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลส่งฮิลตันกลับเข้าคุก หลังเธอรับโทษจำคุกในเรือนจำเพียง ๗๒ ชั่วโมงก่อนที่นายอำเภอจะปล่อยตัวเธอออกไปโดยแลกกับการสวมกำไลติดตามตัวแบบพิเศษและให้ถูกกักบริเวณในบ้านนาน ๔๐ วัน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก อย่างน้อยก็พอหาความยุติธรรมได้จากศาล  หากสถาบันตุลาการมีหลักการมั่นคงในความเสมอภาคและยุติธรรม  สังคมก็ยังพอมีที่พึ่งบ้าง ข่าวส.ว.อเมริกันชกหน้ากันในสภาที่คุณ Benedetta นำมาเสนอใน # ๑๐  ถ้ามองในแง่ดีก็จะเห็นว่ามาตรฐานสภาของไทย (และไต้หวัน) เทียบเท่ากับสภาอเมริกันแล้ว   จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 9 มิ.ย. 50 10:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอนทำไม่คิด พอผิดแล้วก็มาร้องห่มร้องไห้แบบนี้หล่ะ อย่างกรณีนักร้องชาย ที่มีข่าวกับลูกสาวเชื้อเจ้าท่าหนึ่งนั้นก็เหมือนกัน ขับรถชนคนตาย หลบไปบวชซักพักก็กลับมาออกอัลบั๊มได้เฉยเลยไม่ติดคุก กับอีกคน ขุนทอง อัสนีนั่นไง ไม่ถึงกับฆ่าคนตายแต่โดนข้อหาทำร้าย ทำลายหรือพยายามฆ่า ยังต้องไปนอนคุกตั้งหลายปี จากคุณ : Viengวิไล - [ 11 มิ.ย. 50 01:12:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สังคม เท่าเทียม กันนะครับ กฎหมายก็ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าคนใช้นี่สิ ใครเด่น ใ:-) ใครมีอำนาจ ก็ย่อมมีสิทธิ์พิเศษนิดหน่อย จากคุณ : etgsgroup - [ 11 มิ.ย. 50 08:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อยากให้ดูข่าวนี้ประกอบครับ http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9500000066776 เอเอฟพี - ปีเตอร์ ซูคอฟ ลูกชายของรองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย อเลกซานเดอร์ ซูคอฟ ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุกที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลา 14 เดือน หลังพบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุมทำร้ายเพื่อนข้างห้องในกรุงลอนดอน             ปีเตอร์ ซูคอฟ วัย 24 ปี ถูกศาลลอนดอน ตัดสินว่ามีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย เบน แรมซีย์ วัย 26 ปี จนถึงขั้นสลบ มีเลือดไหลไม่หยุดและต้องเย็บบริเวณริมฝีปากกว่า 20 เข็ม             นอกจากนี้ แรมซีย์ ยังถูกทำร้ายจนโหนกแก้มแตก มีแผลแตกบริเวณศีรษะด้านหลัง ซึ่โครงหัก 2 ท่อน ขากรรไกรบวม มีแผลถลอกบริเวณแขน หัวไหล่ หน้าอกและขา             ผู้พิพากษา นิโคลัส โลเรน สมิธ ปฏิเสธที่จะพูดตรงๆว่าการทำร้ายร่างกายครั้งนี้คือความโหดร้ายไม่ต่างจากการกระทำสัตว์ แต่เขายอมรับว่าด้วยอาการบาดเจ็บของผู้ถูกทำร้าย ไม่มีโทษอะไรที่เหมาะสมไปกว่าการขังคุกอีกแล้ว             เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม โดย ซูคอฟ กำลังโหลดเพลงอยู่ในห้องพักของเพื่อน อาร์ตอม ดาห์โก วัย 27 ปี ระหว่างนั้น แรมซีย์และเพื่อนอีกคน ซึ่งพักอยู่ห้องข้างๆ ได้เข้าไปทักทายและแนะนำตัว ทำความรู้จัก             ในทีแรกพวกเขาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทว่าหลังจากนั้น ดาห์โก ที่อยู่ในสภาพเมาเต็มคราบ ตรงเข้าไปทำร้าย แรมซีย์ กับเพื่อน สาเหตุเพียงเพราะว่าทั้งสองคนไม่ยอมย้ายรองเท้าออกจากที่ของเขา             ศาลตัดสินว่า ดาห์โก ขาดการควบคุมตัวเองและเป็นคนทำร้าย แรมซีย์ แถมยังกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่เปิดโอกาสให้ผู้เคราะห์ร้ายหนี             ด้าน ซูคอฟ ซึ่งในทีแรกพยายามจะห้ามเพื่อน แต่ทำไปทำมากลับเป็นฝ่ายร่วมลงมือเสียเอง แถมทั้งคู่ยังตามออกไปเล่นงาน แรมซีย์ นอกห้อง ทั้งต่อยและเตะเขาซ้ำอีก             สำหรับ ซูคอฟ เพิ่งจะก่อคดีทำร้ายคนขับรถแท็กซี่ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ศาลสั่งจำคุกเขาเป็นเวลา 14 เดือน             ในส่วนของคดีทำร้ายร่างกาย แรมซีย์ ทาง ดาห์โก และ ซูคอฟ ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับโจทก์อีกคนละ 15,000 ปอนด์ นอกจากนี้ ซูคอฟ ต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการฟ้องร้อง 4,100 ปอนด์ ส่วน ดาห์โก ต้องจ่ายเพิ่ม 1,000 ปอนด์ จากคุณ : เชษฐา - [ 11 มิ.ย. 50 11:48:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้กลับเข้าคุกไปแล้วค่ะ เพราะคนไม่พอใจเยอะ จากคุณ : เดว่อน - [ 11 มิ.ย. 50 15:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องของเรื่องเป็นเพราะแม่เขาเลี้ยงมายังไง  แล้วยายเลี้ยงแม่ยังไง  สืบต่อๆกันเป็นลูกโซ่ มันถึงได้อีเดียดกันนัก จากคุณ : akebi1 - [ 11 มิ.ย. 50 18:23:55 ]