ความคิดเห็นที่ 1 เพื่อแสดงให้เห็นว่า  ประเทศไทยประกาศสงครามต่อรัฐฝ่ายกลางด้วยความจริงใจ  มิใช่ประกาศแต่ในนามเท่านั้น  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเรียกผู้อาสาสมัครไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรป ปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์ไทยสมัครเป็นจำนวนมาก แต่ทรงรอการอาสาสมัครของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นพระราชวงศ์หรือแม่ทัพนายกองวันแล้ววันเล่า  ไม่ปรากฏมีผู้อาสาสมัคร  ทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง  มีพระราชปรารภว่า  คนไทยเราไร้ฝีมือ  ไร้ความกล้าหาญเยี่ยงบรรพบุรุษเสียแล้วหรือ  จึงไม่มีคนกล้ารับอาสาทำหน้าที่แทนพระองค์ เมื่อทราบพระราชประสงค์ พลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ (ซึ่งต่อมาได้รับเลื่อนขั้นเป็นพลเอกพระยาเทพหัสดินทร์) ผู้บัญชาการกองพลที่ 4 กราบบังคมทูลอาสาสมัครโดยไม่ถือเป็นการตัดหน้าแม่ทัพนายกองเจ้านายที่ดำรงตำแหน่งเหนือกว่า  เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก  เนื่องจากพระยาพิไชยชาญฤทธิเป็นข้าราชบริพารรับสนองพระมหากรุณาธิคุณอย่างใกล้ชิดมาเป็นเวลานาน ส่วนนายทหารชั้นรองลงไป  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพันโทพระทรงสุรเดช  พันโทหม่อมเจ้าฉัตรมงคล  พันตรีหม่อมเจ้าฉัตรมงคล  พันตรีหม่อมเจ้าอมรทัตเป็นผู้ช่วยหัวหน้าทูตทหาร มีนายทหารประจำอีก 8 นาย  คือ ร้อยเอกสาย บุณณะภุม ร้อยโทเมีย้น โรหิตเศรนี  ร้อยตรี ม.ร.ว.ตัน สนิทวงศ์  ร้อยตรีกมล โชติกเสถียร  ร้อยตรีเภา เพียรเลิศ  ร้อยตรีภักดิ์ เกษสำลี  ร้อยตรีชั้น ช่วงสุคันธ์  และร้อยตรีวัลย์ ทั้งหกนามหลังนี้  ปฏิบัติราชการประจำในยุโรปอยู่แล้ว  สำหรับกำลังพลได้คัดเลือกจากผู้อาสาสมัครไว้เพียง 1,223 คน  ส่งตัวไปรับการฝึกอบรมตามสมควรก่อนที่จะให้ออกเดินทางไปสมรภูมิ เรื่องจาก การวิเทโศบายของไทย กนต์ธีร์ ศุภมงคล  ม.ธรรมศาสตร์ 27 มิ.ย. 2527 ภาพจาก เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ ของ นายหนหวย คือพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์(ผาด เทพหัสดิน ณ กรุงเทพ)หัวหน้าคณะทูตทหารไทย จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 13:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผู้บังคับการกองทหารอาสาสมัครไทยและคณะเดินทางล่วงหน้าไปก่อน  ออกจากกรุงเทพเมื่อวันที่ 14 มกราคม  ถึงกรุงปารีสวันที่ 24 กุมภาพันธ์  เพื่อเตรียมการรายละเอียดที่เกี่ยวกับเรื่องที่อยู่  การฝึกอบรม ฯลฯ  ของกองกำลังที่จะตามไปภายหลัง  สำหรับทหารอาสาสมัครแยกออกเป็นสองกอง  คือ กองยานยนต์มีจำนวน 800 คน  กองบิน351 คน  การส่งทหารอาสาสมัครเหล่านี้ต้องอาศัยเรือของฝรั่งเศสเป็นพาหนะ  รับจากเกาะสีชังมื่อวันที่ 23 มิถุนายน  ถึงเมืองมาร์ซายส์วันที่ 1 สิงหาคม การวิเทโศบายของไทย จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 13:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผู้บังคับบัญชาในสงครามโลกครั้งที่ 1 จอมพล สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ เสนาธิการทหารบก ทรงอำนวยการ และบังคับบัญชากองทหาร พลตรี พระยาพิชัยชาญฤทธิ์(ผาด เทพหัสดิน ณ กรุงเทพ)หัวหน้าคณะทูตทหารไทย ผู้เปรียบเสมือนพระหัตถ์ขวาของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสงครามโลกครั้งที่ 1 พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป) ผู้บังคับบัญชากองทหารอาสา กองทหารที่ส่งไปร่วมรบในครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กอง และ1 หมวดพยาบาล คือ 1. กองบินทหารบก(ปัจจุบัน คือกองทัพอากาศ)มี พ.ต.หลวงทยานพิฆาต(ทิพย์ เกตุทัต) เป็นผู้บังคับบัญชา 2. กองทหารบกรถยนต์ (ปัจจุบัน คือกรมการขนส่งทหารบก) มี ร.อ.หลวงรามฤทธิรงค์ ต๋อย หัสดิเสวี) เป็นผู้บังคับบัญชา 3. หมวดพยาบาล มี ร.ต.ชุ่ม จิตต์เมตตา เป็นผู้บังคับหมวด กองทหารดังกล่าว อยู่ในบังคับบัญชาของ พ.อ.พระเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองทหารในสงครามครั้งนี้ กองบินทหารบกได้มีการฝึกอบรมในระหว่างที่ยังอยู่กรุงเทพ โดยแบ่งทหารเป็นกองย่อย 3 กอง คือ  กองบินใหญ่ที่ 1 กองบินขับไล่) มีร.อ.ปลื้ม สุคนธสาร เป็นผู้บังคับกอง กองบินใหญ่ที่ 2 กองบินลาดตระเวน) มี ร.ท.เหม ยศธร เป็นผู้บังคับกอง กองบินใหญ่ที่ 3 กองบินทิ้งระเบิด)  พ.ต.หลวงทยานพิฆาตเป็นผู้บังคับกอง ในกองบินใหญ่แต่ละกอง มีผู้บังคับบัญชา และพลทหาร นักบิน ช่างเครื่องนต์ แพทย์และพลพยาบาลประจำ ประมาณ 135 คน รวมทั้ง 3 กองบินใหญ่ มีพลประมาณ 500คนเศษ สำหรับกองทหารบกรถยนต์ มีกำลังพลทั้งหมดประมาณ 850 คนแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ 8กองแต่ละกองมีนายทหาร นายสิบ และพลทหาร ประมาณ 100 คน เมื่อได้รับการฝึกหัดในประเทศไทยเป็นเวลาพอสมควรแล้วในวันที่ 19 มิถุนายน พุทธศักราช 2461 กองทหารได้ออกเดินทางจากกรุงเทพโดยเรือศรีสมุทรลำเลียงทหารอาสาไปส่งขึ้นเรือเอ็มไพร์ท เกาะสีชัง เดินทางออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนพุทธศักราช 2461 ใช้เวลาเดินทาง 41 วัน จากนั้นกองทหารอาสาได้แยกย้ายกันไปรับการฝึกหัดเพิ่มเติม จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 13:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อถึงฝรั่งเศสแล้ว  หน่วยกองยานยนต์ถูกส่งไปฝึกอบรมที่เมืองลีอองและดูรดัง ส่วนหน่วยกองบินไปเข้าโรงเรียนฝึกการบินที่เมืองอีสตร์  และอาวอร์ด  แล้วส่งต่อไปเข้าโรงเรียนบินรบที่เมืองโป  โรงเรียนฝึกยิงปืนเครื่องบินที่เมืองกาโซ  ก่อนที่จะสามารถออกปฏิบัติการได้ ทั้งสองหน่วยอาสาสมัครไทยนี้กว่าจะเสร็จการฝึกอบรมที่จำเป็น  ต้องใช้เวลาหลายเดือน  สงครามสิ้นลงเสียก่อน หน่วยการบินจึงมิได้เข้าปฏิบัติในสนามรบ  แต่ก็ได้ความรู้ทางการบินกลับบ้านเมือง หน่วยยานยนต์ได้รับโอกาสเข้าไปทำการสนับสนุนส่งกำลังบำรุงกองทัพฝรั่งเศสในแนวหน้าเข้าไปถึงดินแดนเยอรมัน  บริเวณแม่น้ำไรน์ที่เมืองนอยชตัท  แล้วไปเมืองไกเซอร์เลาเตอร์น แฟรงเกินชไตน์  ชัตเดอร์ไคม์  มูซบัด  แมงเกินไฮม์  ลุดวิกซาเฟิน  โดยที่พวกอาสาสมัครจากประเทศไทย  ขาดความรู้ทางภาษาจึงจำต้องอาศัยนักเรียนไทยในยุโรปเป็นล่ามแปลและอธิบายคำสอนของผู้อบรมให้เข้าใจ ในชั้นแรกๆ เนื่องด้วยความขัดข้องทางภาษา  จึงเกิดความเข้าใจผิดระหว่างกองกำลังอาสาสมัครไทยกับทหารฝรั่งเศส  ประกอบกับนายทหารฝรั่งเศสวางตัวเป็นนายเหยียดหยามทหารไทยตามอุปนิสัย  ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่พวกอาสาสมัครมาก  ถึงกับถามกันว่าไทยจะออกไปสู้กับเยอรมันหรือฝรั่งเศสแน่ ในรายงานของพันตรีหลวงรามฤทธิวงศ์  จากแนวรบที่นอยชตัทมายังผู้ช่วยทูตทหารบกลงวันที่ 21 ธันวาคม 2461  มีข้อความว่า  “ไทยกับฝรั่งเศสเข้ากันไม่ได้  ฝรั่งเศสคอยเอาเปรียบอยู่เสมอ  พอเดินทางไปถึงที่พัก  ก็รีบเลือกที่ที่สบายๆ เอาสำหรับตน  หาความสะดวกสำหรับตน  ทำให้ทหารไทยแค้นใจและน้อยใจ  การอยู่ตามบ้านราษฏรฝรั่งเศส  บางแห่งรับรองอย่างธรรมดา  บางแห่งมีความรังเกียจเดียดฉันท์  พลเมืองเยอรมันซึ่งเป็นคนชาติศัตรูยังต้อนรับพวกเราดีกว่าฝรั่งเศส”  เป็นปัญหาตกหนักแก่นายทหารไทยที่จะต้องพยายามแก้ความเข้าใจผิดและประสานความสามัคคีต่อกัน อย่างไรก็ตาม  รัฐบาลฝรั่งเศสยอมรับรู้อำนาจของศาลทหารไทยเหนือบุคคลทั้งหลายที่อยู่ในกองทัพไทย  โดยไม่จำเป็นต้องไปขึ้นกับศาลฝรั่งเศส เรื่อง :การวิเทโศบายของไทย ภาพ : นายทหารฝรั่งเศสและไทยรวมกันถ่ายไว้เป็นที่ระลึกที่เมืองแวร์ซัยส์ใกล้ปารีสก่อนเข้าสู่ยุทธบริเวณ จาก นายหนหวย จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ภายหลังที่เยอรมันจำนนและลงนามในสัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2460  แล้ว กองทหารอาสาสมัครไทยส่วนหนึ่งเดินทางกลับประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งได้เข้าร่วมในการสวนสนามฉลองชัยชนะ  ผ่านประตูชัยในกรุงปารีสเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2461 ที่กรุงบรัสเซลส์เมื่อวันที่ 22 และกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 29 เดือนเดียวกัน ภาพนี้ขณะทหารไทยกำลังเดินสวนสนามผ่านประตูชัย ณ นครปารีส ภาพจาก นายหนหวย จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ภาพนี้ที่กรุงบรัสเซลล์ เบลเยี่ยม วันที่ 22 กรกฎาคม 2461 ขอนำภาพจากเวบข้างล่าง ก่อนที่เวบนั้นจะสูญสลายไปตามกาลเวลาครับ http://web.schq.mi.th/~afed/history_www/bbb1-1.htm (แต่ในเวบนี้บอกว่า สวนสนามที่ปารีสวันที่ 14 ที่บรัสเซลล์วันที่ 19  ที่อังกฤษวันที่ 22 กรกฎาคม) จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:33:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทหารไทยสวนสนามที่อังกฤษ จากเวบเดิม จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในการไปราชการสงครามในทวีปยุโรป ทหารอาสาเสียชีวิต 19 นาย ได้ฝังไว้ ณ ตำบล ดายูเบ คูรท์  (ในยุทธบริเวณประเทศฝรั่งเศส และได้ทำการฌาปนกิจที่สุสานประเทศเยอรมันนี เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจทางทหารแล้ว  กำลังรบของไทยก็ได้เดินทางกลับโดยเรือ “มิเตา”  ถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2462 จากหนังสือ “นำชมกรุงรัตนโกสินทร์” คราวสมโภชกรุง 200 ปี หน้า 297 เขียนเพิ่มเติมว่า การรบครั้งนี้ มีผู้กล้าหาญเสียชีวิตหลายท่าน  ได้มีการเผาศพในยุโรปแล้วนำอัฐิบรรจุในกล่องที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ  เป็นรูปปลอกกระสุนปืนใหญ่  ตั้งบนแท่นโดยมีกองทหารแต่งเครื่องสนามครบเป็นกองเกียรติยศ  เดินขบวนเชิญอัฐิมากระทำพิธี ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ เสร็จแล้วอัญเชิญไปสู่อนุสาวรีย์แล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลา จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:46:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อนุสาวรีย์ทหารอาสานี้  ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางสนามสามเหลี่ยม  ด้านมุมตะวันตกเฉียงเหนือของสนามหลวง  ตัวอนุสาวรีย์มีรูปทรงคล้ายศาสนาสถานของชวา  ตัวอนุสาวรีย์ทำด้วยหินขัดสีขาว  ฐานเป็นรูปพานย่อมุมช่วงกลางอนุสาวรีย์ทั้ง 4 ด้านเจาะลึกลงไปจารึกข้อความด้วยอักษรสีดำ จารึกด้านที่ 1 บอกไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการให้ประกาศสงครามแก่ประเทศเยอรมนี ออสเตรียและฮังการี พร้อมกับได้มีพระบรมราชโองการให้ประกาศเรียกอาสาที่จะไปราชการสงครามครั้งนี้ จารึกด้านที่ 2 บอกว่าทหารไทยได้ไปทำการรบช่วยเหลือฝ่ายพันธมิตรด้วยความกล้าหาญ  เยอรมนียอมเซ็นสัญญาสงบศึก  ทหารไทยจึงเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2462  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์นี้ขึ้น  และได้นำอัฐิของทหารที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามเข้าบรรจุไว้ จารึกด้านที่ 3 และ 4 บอกรายนามทหารหาญที่เสียชีวิตในราชการสงคราม  มีรายละเอียดวันเกิดและวันที่ถึงแก่กรรมด้วย และสุดท้ายมีคำจารึกไว้ว่าได้บรรจุอัฐิไว้เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2462 หน้าบันเหนือช่องจารึกประดับลายปูนปั้น  ลายช่อดอกไม้ กินรี และตัวเหรา  ส่วนยอดของอนุสาวรีย์ทำเป็นรูปเจดีย์ทรงกลมสูง มุมทั้ง 4 ประดับปูนปั้นรูปจำลองของอนุสาวรีย์  เหนือหน้าบัน สลักเป็นรูปกงจักร  อนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนพื้น 3 ชั้น ซึ่งย่อมุมเหมือนฐานอนุสาวรีย์ พื้นอนุสาวรีย์ล้อมรอบด้วยเสาหินขัด  สูงประมาณ 1.50 เมตร  มีโซ่เหล็กสีดำคล้องโดยรอบ  เว้นเฉพาะทางขึ้นทั้ง 4 ด้าน  ทางรัฐบาลได้ปรับแต่งพื้นที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ให้ดูร่มรื่นและสะอาดตา  มีสนามหญ้าและพุ่มไม้ดอกสวยงาม  นอกจากนี้ยังทำทางเดินคอนกรีตทอดไปสู่ตัวอนุสาวรีย์ทั้ง 4 ด้าน หนังสือ “นำชมกรุงรัตนโกสินทร์” คราวสมโภชกรุง 200 ปี ภาพ โดยความอนุเคราะห์ของคุณกัมม์ จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หนังสือ “จดหมายเหตุ การอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์” คราวสมโภชกรุง 200 ปี หน้า 463 อนุสาวรีย์นี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบ และหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย ทรงสร้าง อนุสาวรีย์เป็นเจดีย์ประยุกต์จากสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย  ซึ่งมีต้นเค้าจากศาสนสถานของชวาภาคกลาง (ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16)  ที่เรียกว่า “จันทิ” ส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูรักษาอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 และสนามโดยรอบนี้ คือ กรุงเทพมหานคร จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ได้อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะแบบรีวิวศรีวิชัย อยู่หน้า 36 ของลิ้งค์นี้ครับ http://elearning.skpschool.net/moodle/file.php/8/5.doc แบบรีวิว แบบรีวิวคือการที่นำเอาแบบอย่างของศิลปกรรมในยุคต่างๆ ของประวัติศาสตร์ศิลปะไทย มาดัดแปลงใหม่ให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้งานและสถานการณ์ของโลกปัจจุบันคิดประดิษฐ์ขึ้นในรัชกาลที่ 5-6 หนักไปทางด้านสถาปัตยกรรมแบบรีวิวของศรีวิชัย สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมของแบบรีวิวศรีวิชัยนั้นได้แก่อนุสาวรีย์ทหารอาสา กรุงเทพฯ เป็นแบบสถูปศรีวิชัยมาดัดแปลงขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับทหารอาสาที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 แผนผังบริเวณเป็นไปแบบอนุสาวรีย์สมัยใหม่โดยตรง การจัดส่วนละเอียดต่างๆ เช่น สถูปสำคัญอยู่กลาง สถูปบริวารอยู่ตรงมุมตามแบบการจัดสถูปแบบศรีวิชัยเดิม ไม่ค่อยจะปรากฏเท่าใดนักจะมีก็เป็นส่วนน้อย เช่น ภาพบรอนซ์ รูปพระนารายณ์ทรงปืนอยู่ที่หน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติและรูปนารายณ์บรรทมในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ภาพประกอบอ่างน้ำพุที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 14:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พบกันอีก 2 วัน วันอังคารครับ จากคุณ : NickyNick - [ 24 มิ.ย. 50 16:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สนใจอยากรู้เรื่องสงครามอินโดจีน ครับ จากคุณ : Knight - [ 24 มิ.ย. 50 19:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่านเรียบร้อยแล้วครับ ขอวคุณพี่นิค จากคุณ : หมาป่าดำ (หมาป่าดำ) - [ 24 มิ.ย. 50 22:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอเพิ่มเติมครับ การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระราชหฤทัยส่งกองทหารอาสาไปร่วมรบนั้น เห็นได้ชัดว่า "ทรงเอาคืน" จากฝรั่งเศส เพราะในรัชกาลที่ ๕ ฝรั่งเศสเบียดเบียนเอาดินแดนของดราไปจำนวนมาก เมื่อถึงคราวทรงเอาคืนก็ทรงดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายที่ฝรั่งเศสต้องจำยอน ลองคิดดูเล่นๆ นะครับ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้นกองทัพไทยมีเงินส่งนายทหารไปเรียนการบินได้เพียง ๓ นาย คือ นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป - ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น พลโท พระยาเฉลิมอากาศ) นายร้อยเอก หลวงอาวุธลิขิกร (หลง สินศุข - ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น นายพันเอก พระยาเวหาสยานต์ศิลปสิทธิ์) นายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต (ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น นาวาอากาศเอก พระยาทยานพิฆาต) เมื่อเรียนจบแล้วทั้งสามท่านได้มาช่วยกันฝึกนายทหารในกองทัพบกเป็นนักบินได้อีก ๕ คน ทั้ง ๘ ท่านนี้ได้อาสาไปราชการพระราชสงครามครั้งนี้ร่วมกับพลอาสาสมัครอีกหลายร้อย เมื่อเสร็จสงครามยังเรียนและฝึกไม่สำเร็จ กองทัพฝรั่งเศสก็ได้ช่วยฝึกหัดจนสำเร็จเป็นนักบินได้อีก ๙๗ คน และเป็นช่างซ่อมอากาศยานอีกหลายร้อยคน ถ้าคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะต้องลงทุนเพื่อการนี้ก็นับว่าเราได้ถอนทุนคืนจากฝรั้งเศสได้มาไม่น้อย นี่ยังไม่นับรวมกองทหารบกรถยนต์ที่เวลานั้นมีคนที่สามารถขับและซ่อมรถยนต์อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีพระราชดำริว่า นายทหารที่ได้เล่าเรียนมาหากไม่ได้ออกไปปฏอบัติการในสนาม ย่อมขาดความชำนาญในการรบ การที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งนายทหารที่ได้ชื่อว่าเป็นเสนาธิการที่มากความสามารถออกไปในการพระราชสงครามครั้งนี้ย่อมเป็นผู้แทนกองทัพไทยออกไปอวดความสามารถของทหารไทย ซึ่งในที่สุดกองทัพฝรั่งเศสถึงกับมอบตรา ครัวซ์ เดอ แกรต์ ประดับธงไชยเฉลิมพลกองทหารบกรถยนต์ สำหรับนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการพระราชสงครามครั้งนี้ซึ่งสมควรจารึกนามไว้ คือ นายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ แม่ทัพใหญ่ เมื่อเสร็จการพระราชสงครามกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว ได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการ แต่โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ เปลี่ยนราชทินนามเป็น พระยาเทพหัสดิน ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น นายพลโท และพลเอก ตามลำดับ ในระหว่างที่รับราชการเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ท่านผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมขึ้นเพื่อสนับสนุนงานการศึกษาประชาบาลที่กำหนดให้นัก้รียนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้วไม่มีโอกาสเรียนต่อชั้นมัธยม ก็ให้เรียนวิชากสิกรรมเป็นวิชาทำมาหาเลี้ยงชีพ อันเป็นการวางรากฐานการอาชีวศึกษา อนึ่ง ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่นำรถแท๊กซี่เข้ามาในประเทศไทยเป็นคนแรก เพราะได้เห็นฝรั่งเศสใช้รถแท๊กซี่ช่วยในการลำเลียงพลในยามสงคราม นายพันตรี หลวงรามฤทธิรงค์ (ต๋อย หัสดิเสวี) ผู้บังคับกองทหารบกรถยนต์ เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้ว ได้รับพระราชทานยศเป็น นายพันโท พระอาสาสงคราม แล้วลาออกจากราชการไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบที่เชียงใหม่จนถึงแก่กรรม อนุสาวรีย์ทหารอาสานี้ นอกจากที่สนามหลวงแล้ว ยังมีอีกแห่งที่มณฑลดุสิตราชธานี คือ ที่ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชวังพญาไท มีบันทึกว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเหยียบ ดุสิตธานี ในฐานะพระมหากษัตริย์เพียงสองครั้ง คือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตธานี และเมื่อเสด็จฯ ไปทรงพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารอาสาเนื่องในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศแก่ทหารอาสาที่เสียชีวิตในการพระราชสงคราม ส่วนในวั้นอื่นๆ นั้นทรงเป็น นายราม ณ กรุงเทพ ทวยนาคร หรือพลเมืองคนหนึ่งของดุสิตธานี จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 24 มิ.ย. 50 23:07:25 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาอ่าน ขอบคุณทั้ง จขกท และคุณ วีมี จากคุณ : Babatov - [ 25 มิ.ย. 50 01:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นอนดึกจังเลยครับ พี่นิค ลงชื่อไว้ก่อน  เดี๋ยวจะกลับมาอ่านนะครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 25 มิ.ย. 50 08:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 18 .....สงครามโลกครั้งที่ 1 กับราชอาณาจักรสยาม เศรษฐกิจสยามถดถอย ท้องพระคลังร่อยหรอ การปกครองและโลกทัศน์ที่แตกต่าง หลั่งไหลเข้ามาสู่หัวคิดของทหารรุ่นหนุ่มอย่างรวดเร็ว " ประชาธิปไตย ใช่อย่างที่เจ้านายเราว่าหรือ?" คลื่นกระทบเป็นระลอกใหญ่ สู่สมัยต่อมา บ้านเมืองจึงเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์จึงแค่ถูกจดจำ.............และภาคภูมิใจ......... ขี่ม้าแกลบ กร๊บ กร๊บ ย่าง 4 ขุม มาปล่อยให้เล็มหญ้าในทุ่งกว้างของพี่นิค นั่งมองไปสุดสายใจ สูดสายลมแห่งประวัติศาสตร์อันใกล้ตัว กลิ่นหญ้าเขียวพลิ้วพรายอาจไม่หอมนัก แต่ก็พาชื่นใจ........... จากคุณ : วรณัย - [ 25 มิ.ย. 50 10:42:08 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สงครามโลกครั้งที่ 1 กับราชอาณาจักรสยาม เศรษฐกิจสยามถดถอย ท้องพระคลังร่อยหรอ สงครามโลกครั้งที่ ๑ มีผลทำให้เศราฐกิจถดถอยในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๓ แล้วครับ คลื่นลูกนี้กระทบไปทั่วโลก แต่ที่เศรษฐกิจสยามถดถอยในช่วงปี ๒๔๖๐ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้น เพราะสัญญาบังคับให้เก็บภาษีร้อยชักสาม แล้วปี ๒๔๖๐ มีนเท่วมใหญ่ เรียกว่าน้ำท่วมปีมะเส็ง นาล่มเกือบทั้งประเทศ ข้าวไม่พอส่งออก ๒๔๖๑ - ๒ - ๓ ฝนแล้งติดต่อกันสามปี ไม่มีผลผลิตข้าวพอส่งออก แม้แต่จะบริโภคในประเทศยังแทบจะไม่พอ ขาดรายได้จากภาษีส่งออกข้าวที่เป็นรายได้หลักถึงสี่ปี แล้วรัฐบาลไปลงทุนสร้างระบบชลประทานทุ่งเจ้าพระยาที่เรียกกันว่า โครงการทุ่งรังสิต เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและฝนแล้ง จนต้องกู้เงินจากต่างประเทษมาลงทุน คนไทยก็ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ ใช้เงินจนหมดท้องพระคลัง ประเทศชาติจะล่มจม แต่ไม่ยักมีใครพูดว่า โครงการเจ้าพระยาที่สร้างคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแม่น้ำบางปะกงนั้นส่งผลให้ทุ่งรังสิตเป็นแหล่งผลิตข้าวแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นการขาดทุนเพื่อกำไร หรือภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า งบประมาณขาดดุล นั้นกลับไม่มีใครพูดถึง ทั้งที่ในหลวงของเราเป็นคนแรกของโลกที่กล้าทำงบประมาณขาดดุล การปกครองและโลกทัศน์ที่แตกต่าง หลั่งไหลเข้ามาสู่หัวคิดของทหารรุ่นหนุ่มอย่างรวดเร็ว " ประชาธิปไตย ใช่อย่างที่เจ้านายเราว่าหรือ?" คลื่นกระทบเป็นระลอกใหญ่ สู่สมัยต่อมา บ้านเมืองจึงเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์จึงแค่ถูกจดจำ.............และภาคภูมิใจ. ข้อความตอนท้ายนี้ผมว่า น่าจะเป็นผลจากการปกครองในตอนต้นรัชกาลที่ ๗ ที่เจ้าขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง ประกอบกับการดุลข้าราชการขนานใหญ่ในตอนต้นรัชกาลที่ ๗ ทำให้หม้อข้าวของข้าราชการจำนวนหนึ่งต้องถูกทุบ โดยไม่มีประกันสังคมมารองรับ ทั้งที่ รัชกาลก่อนท่านเลี้ยงคนไว้แต่ไม่ขึ้นเงินเดือนให้ ให้ตรา ให้บรรดาศักดิ์เป็นรางวัล ถึงเงินจะน้อยแต่ท้องยังพออิ่ม แม้เงินเดือนไม่ขึ้นแต่ให้มีเกียรติ ก็ยอมรับกันได้ ผมว่าประวัติศาสตร์ตอนนี้ต้องศึกษากันอย่างจริงจังเสียที อย่าเพียงแต่ว่า เขาว่ากันมาอย่างนี้ ก็เลยว่าตามกันไป ลองศึกษากันจริงๆ แล้วไซร้ แล้วจะเห็นอะไรที่แอบแฝงอยู่ อย่างเช่น นายพลตรี พระยาเทพหัสดิน แม่ทัพใหญ่ไปสงครามโลกครั้งที่ ๑ เหตุไรจึงไม่ได้ตรา รามาธิบดี ทั้งที่นายทหารทั้งสัญญาบัตรและประทวนได้ตรารามาธิบดีกันหลายคน อย่าโทษว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่พระราชทาน เพราะตรานี้เป็นอำนาจคณะกรรมการฯ ที่จะพิจารณาว่าผู้ใดสมควรได้รับ แล้วนำความกราบบังคมทูลเพื่อทราบ โปรดสังเกตว่า เพื่อทราบ ในสมัยนั้นในหลวงไม่มีสิทธิ์พิจารณาครับ จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 25 มิ.ย. 50 21:53:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มาลงชื่ออ่านค่ะ คุณพี่นิค ^______________^ จากคุณ : ปริยวาที - [ วันสุนทรภู่ 08:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีทุกท่านครับ ตั้งแต่คุณ Knight  คุณหมาป่าดำ  คุณ V_Mee คุณ Babatov คุณกัมม์ คุณวรณัย คุณกัมม์ ผมนอนไม่ดึกหรอก ดูเวลาที่โพสต์สุดท้ายซี นอนหัวค่ำไปด้วยซ้ำ คุณวรณัยครับ ชอบครับ ทำให้การอภิปรายกว้างขวางขึ้น ความรู้ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว วันนี้มักน้อยนะครับ ม้าแกลบตัวเล็ก ขโยกไม่แรง ถ้าเริ่มจากม้าอ่อนหรือม้าเด็ก การอบรมสั่งสอนให้อยู่ในกรอบที่ดีจะง่ายกว่า แต่ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมและผู้ฝึกที่เหมาะสมด้วย  หากอยู่ในมือผู้เหลิงอำนาจหรือหน้ามืดตามัวเมื่อไร เราจะสิ้นหวังกับอนาคตของม้าเหล่านี้ ขอบคุณมากครับคุณ V_Mee ที่กรุณาให้ความรู้และชี้แจงเรื่องหลายเรื่องให้กระจ่างขึ้น ความจริงสิ่งที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ หลายเรื่องก็ไม่เคยรู้มาก่อน หรือไม่เคยคิดว่าจะมีเกร็ดปัญหาดังกล่าวแทรกอยู่  หลายเรื่องก็ถูกซุกซ่อนอยู่เอกสารที่ไม่สามารถค้นคว้าหาอ่านได้ง่าย เรื่องที่ผมควรจะได้ค้นคว้าหาอ่านต่อไปดังที่ปรากฏในเนื้อความข้างบน เช่น - ทำไมพระยาเทพหัสดินจึงไม่ได้รับเหรียญรามาธิบดี - ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทหารไทยเหล่านี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1  ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่พอดู - เรื่องโครงการทุ่งรังสิต อันนี้มีรายละเอียดในผลงานวิชาการในหนังสืออยู่แล้วและละเอียดดีด้วย  มีการขยายโครงการออกไปอย่างกว้างขวางก็เพราะเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่ด้วย  ส่วนโครงการที่มีประโยชน์มากแต่ถูกละเลยก็คือ โครงการฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งขอบเขตรวมถึงลุ่มแม่น้ำท่าจีนในเมืองสุพรรณบุรีบ้านของผมด้วย จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 08:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดีครับ หนูจิ๋วปริยวาที เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกำลังทรงศึกษาวิชาทหารที่ประเทศอังกฤษ  และด้วยความรู้สึกฮึกเหิมเยี่ยงชายชาติทหารทั่วไป  จึงได้ทรงยื่นใบสมัครเพื่อร่วมรบในนามทหารอังกฤษด้วย  แต่เนื่องจากเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าแห่งกรุงสยาม และยังวางตัวเป็นกลางในการสงครามครั้งนั้น ทางอังกฤษจึงไม่สามารถสนองพระราชประสงค์ได้ ต่อมาพระองค์ก็ได้เสด็จกลับประเทศไทย มาเป็นนายทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของทูลกระหม่อมเล็ก คือสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ พระเชษฐา ภาพจาก "นายหนหวย" ขณะเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกที่ รอยแยล มิลิตารี่ อาแคเดมี วูลฟ์ลิช อังกฤษ จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 09:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงเตรียมความพร้อมทางทหาร โดยให้มีการฝึกประลองยุทธใหญ่ขึ้นหลายครั้งทุกปี ทั้งในปี พ.ศ.2457, 2458 และ 2459  ส่วนใหญ่มีการซ้อมรบกันในท้องทุ่งกรุงศรีอยุธยา เช่น ทุ่งลุมพลี ภาพ "นายหนหวย" พลโทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงอำนวยการประลองยุทธในภูมิประเทศภาคกลางและภาคตะวันตกของเมืองไทย จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 11:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เหล่าทหารจำนวนกว่าสองหมื่นห้าพันคนที่เข้าทำการประลองยุทธใหญ่ เมื่อปี 2459 ภาพจาก "เกิดวังปารุสก์" จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 11:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 "พ่อทรงม้าขณะทอดพระเนตรการซ้อมสวนสนามในฐานะผู้อำนวยการซ้อมรบ" จากหนังสือเกิดวังปารุสก์ จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 11:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 "ย่าประทับบนพลับพลาเพื่อทอดพระเนตรการซ้อมรบในปี 2459 โดยผู้แต่งในชุดนักเรียนนายร้อยยืนอยู่ที่พื้นด้านซ้าย" ภาพจาก "เกิดวังปารุสก์" จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 11:15:22 ]

ความคิดเห็นที่ 27 "ทูลหม่อมลุง (รัชกาลที่ 6) เสด็จมาเป็นองค์ประธานตรวจพลสวนสนาม โดยมีพ่อในฐานะผู้อำนวยการประลองยุทธนำเสด็จ" ภาพจาก "เกิดวังปารุสก์" จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 11:17:19 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ระหว่างนี้ขอพักโฆษณาก่อนครับ เพื่อนๆ ที่มีความสนใจในเรื่องในกรอบบ้าง นอกกรอบบ้าง หลายรสชาติ กรุณาคลิกชมได้เลยครับ รับรอง ไม่ผิดหวัง http://www.oknation.net/blog/voranai/ จากคุณ : NickyNick - [ วันสุนทรภู่ 12:38:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 จริง ๆ แล้วก่อนเกิดสงคราม สยามกับเยอรมานีก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันนี่ครับ? จากคุณ : Roh_Z - [ วันสุนทรภู่ 13:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ทำไมมีบางคนพูดล้อเลียนว่า ทหารไทยที่ไปไม่ได้ไปรบอะไรกับเขา กว่าจะไปถึงก็สงครามเลิก ได้แค่ไปเดินสวนสนามกับเขาครับ ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ  เลย จากคุณ : หมาป่าดำ (หมาป่าดำ) - [ วันสุนทรภู่ 14:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เจอปัญหาออโต้ดีลีท ต้องใช้วิชามารอีกแล้ว แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 19:11:38 จากคุณ : กัมม์ - [ วันสุนทรภู่ 19:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เสียดาย นั่งคัดมาตั้งนาน จากคุณ : กัมม์ - [ วันสุนทรภู่ 19:32:09 ]

ความคิดเห็นที่ 36 (ต่อ) จากคุณ : กัมม์ - [ วันสุนทรภู่ 19:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 37 นางธิดามาผจญเสียแล้ว  ขอค้างไว้ก่อนครับ พี่นิค ยังอีก ๓ แผ่น  พรุ่งนี้จะคัดให้จบครับ ความรู้เพิ่มเติม ตรงนี้ พระราชกฤษฎีกานับวันแบบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้  เกิดขึ้นตอนนี้เอง ซึ่งต่อไปพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนวันนี้ เป็นข้ออ้างในการทำการจับกุมชาติที่เป็นศัตรูด้วย ออโต้ดีลีท แก้ไขได้ด้วย ScreenRip32 version 1.0 BETA http://www.progency.com/other.html#screenrip32 ติดเครื่องไว้เถิดครับ  บรรเทาอาการอารมณ์เสียได้ชะงัก จากคุณ : กัมม์ - [ วันสุนทรภู่ 19:36:20 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กำลังรออ่านเกร็ดเล็กเกร็ดลับอยู่ครับคุณกัมม์ ว่าแต่ว่ามีความพยายามเหลือเกิน พิมพ์มาเรื่อยๆ พันทิปก็ลบออกซะเรื่อยๆ เมื่อวานผมตั้งกระทุ้ใหม่ให้มีอะไรทำแก้เหงา ก็โดนลบแต่หัวกระทู้เลย ลบต่อหน้าต่อตา คงบุญวาสนาไม่พอ  วุ่นวายอยู่กับแก้ไขคำเพราะไม่รู้ว่าเราพิมพ์คำต้องห้ามซ่อนอยู่รึเปล่า ก็ไม่เห็นมีแจ้ง จึงไม่รู้ว่าถูกลบเพราะอะไร เลยไม่เหงาซะแล้ว จริง ๆ แล้วก่อนเกิดสงคราม สยามกับเยอรมานีก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันนี่ครับ? จากคุณ : Roh_Z ใช่ครับ แต่เรื่องสงครามเรื่องผลประโยชน์ มันไม่เข้าใครออกใครหรอกครับ ทำไมมีบางคนพูดล้อเลียนว่า ทหารไทยที่ไปไม่ได้ไปรบอะไรกับเขา กว่าจะไปถึงก็สงครามเลิก ได้แค่ไปเดินสวนสนามกับเขาครับ ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ  เลย จากคุณ : หมาป่าดำ (หมาป่าดำ) โชคดีที่มีผู้ใหญ่พูดคุยให้ความรู้แต่เล็ก อิจฉานะครับ ผมเองก็มีโอกาสได้มาอ่านเมื่อโตขึ้นมาพอสมควร ยังไม่รู้เรื่องราวลึกซึ้งอะไรหรอก เพียงแต่เข้ามานำเสนอกระทู้ ก็เพื่อเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตอบ เราก็พอจะได้รับความรู้เพิ่มเติมกับเขาบ้าง ที่จริงก็ถูกต้องส่วนหนึ่ง คือทหารไทยยังไม่ได้เข้าร่วมรบอะไรกับเขาจริงจังเลย แต่ถือว่ามีใจแล้ว พร้อมทั้งได้รับผลประโยชน์กลับคืนสู่ประเทศชาติหลายประการ การพูดคุยล้อเลียนที่เราได้รับฟังกัน  บางทีเพื่อให้สนุกสนานหรือสมเหตุสมผลของผู้เล่า ก็ต่อเติมเสริมแต่งเข้าไปบ้าง และขณะนั้น ทหารไทยยังมีโอกาสได้เข้าไปสู่ยุทธบริเวณสำคัญบางแห่ง ดังการนำเสนอใน คห.19 http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/06/K5477959/K5477959.htm#19 "...ทหารไทยได้ไปปฏิบัติการรบสนับสนุนกองทัพบกฝรั่งเศส และได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารชาติสัมพันธมิตรอย่างกล้าหาญองอาจ เข้าสู่ยุทธบริเวณในย่านกระสุนตกท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บ นอกจากนั้นกองทหารบกรถยนต์ยังได้ลำเลียงทหารสัมพันธมิตรข้ามแม่น้ำไรน์ (Rhine) ที่เมืองไมน์ส (Mainz) เข้ายึดดินแดนเยอรมันทางฝั่งซ้ายแม่น้ำไรน ได้สำเร็จ..." แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 50 13:25:31 จากคุณ : NickyNick - [ 27 มิ.ย. 50 09:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 39 สวัสดีครับพี่นิค ไหนว่าจะมาตอนเย็น วันนี้งานเยอะ  แต่ก็หาเวลามานั่งปั้นจนแล้วได้ (ต่อ)          ผู้เขียนก็ไม่เคยทราบต้นสายปลายตุอะไรมาเลย  แต่ก่อนที่ฝึกหัดที่ต้องเข้ามานอนในศาลาสหทัยนี่แสดงว่า  ถ้าเป็นการฝึกซ้อมก็เป็นการซ้อมอยู่เวรรักษาการณ์ประจำซองกันมาแล้วตามปรกติ  แต่นี่เป็นสมาชิกเสือป่ามานอนอยู่เวรรักษาการประจำซองก็ต้องมีอาวุธปืน  เมื่อมีแต่ปืนไม่มีกระสุนก็ดูไม่สมจริง  เขาจึงจ่ายกระสุนให้ด้วย  เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงตอบไปตามฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาว่า  ทุกคราวที่เคยใช้กระสุนซ้อมรบก็เพราะเราไปทำการซ้อมรบอยู่ในสนาม  แต่ที่นี่ไม่ใช่ภูมิประเทศสำหรับซ้อมรบ  ควรจะเรียกว่าการฝึกหัดอยู่เวรรักษาการประจำซองมากกว่า  การจ่ายกระสุนจริงนี่ก็เพื่อให้เห็นจริงเห็นจังขึ้นเท่านั้น  ไม่ได้ให้ไปยิงใครที่ไหนกันหรอก  การอยู่เวรรักษาการประจำซองก็เท่ากับเสือป่าราบหลวงของเราได้รับเกียรติให้มีหน้าที่เป็นกองรักษาการเพื่อรักษาพระองค์  แม้ที่การ์ดทหารมหาดเล็กเขาก็มีกระสุนจริงเตรียมพร้อมไว้จ่ายได้ทันที  ที่เขาไม่จ่ายให้ประจำตัวทหารเป็นการพร่ำเพรื่อก็เพื่อป้องกันมิให้มีเรื่องอันไม่เป็นสาระขึ้น  พูดกันง่ายๆ ก็คือไม่ไว้ใจพวกนายสิบพลทหาร โดยเกรงว่าจะเกิดเล่นสกปรกบรรจุลูกปืนยิงเล่น  เข้าจะจ่ายก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆ เท่านั้น          ส่วนเสือป่าของเรา  เพิ่งจะเคยมาการฝึกหัดอยู่เวรรักษาการประจำซองครั้งนี้เป็นครั้งแรก  และผู้บังคับบัญชาก็ไว้ใจเพราะเป็นข้าราชการ  ย่อมเป็นผู้รู้จักรับผิดชอบดีอยู่แล้วจึงได้จ่ายกระสุนจริง  อย่างเดียวกับอยู่เวรรักษาการประจำซองจริงๆ  ไม่มีอะไรหรอก  ข้อสำคัญมีอยู่ว่าอย่าอุตริเล่นสกปรกไปบรรจุกระสุนยิงเข้าก็แล้วกัน  ถ้าเป็นทหารทำผิดเขาก็ให้ขึ้นศาลทหาร  แต่เสทอป่าทำผิดแบบนี้  เรายังไม่มีศาล  เห็นจะต้องขึ้นศาลรับสั่งกระมัง  แล้วเราก็ต่างคนก็ต่างหัวเราะ เพราะคิดมากไปเปล่าๆ          เสือป่าราบกองร้อยหลวงมีหน้าที่เป็นเวรรักษาการประจำซองอยู่ที่ศาลสหทัยจนถึงเวลาเย็นวันที่ ๒๒ กรกฎาคม  เจ้าหน้าที่ยกกระบัตรเสือป่า  จึงมารับปืนซองกระสุนและลูกปืนกับผ้าแบล็งเก็ตคืนไป  แล้วผู้บังคับบัญชาก็ปล่อยให้กลับ  โดยมิได้แจ้งเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใดเลย          ส่วนเสือป่ากรมม้าหลวงทำการฝึกหัดอยู่สนามเล็กริมสนามไชยหน้าพระราชอุทยานสราญรมย์  ขณะที่เสือป่าราบหลวงเดินแถวผ่านออกมาจากสวนสราญรมย์  นายกองโทพระทรงพลราบ (ม.ล.อุรา  คเนจร) ภายหลังเป็นพระยานเรนทรราชา  ก็ได้รับหนังสือคำสั่งจากกองบัญชาการเสือป่าเสนาหลวงรักษาพระองค์ว่า  ให้นกกองเสือม้าหลวงไปตั้งรักษาการอยู่ที่กรมพระอัศวราช ณ สนามม้าราชตฤณมัยสมาคม  เมื่อกองเสือป่าม้าหลวงรักษาพระองค์ไปถึงกรมพระอัศวราช  มีเจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธทหารบกขนกระสุนดินดำเป็นอันมากไปเก็บรักษาไว้ที่นั่นก่อนแล้ว  ส่วนเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ก็มีประจำตัวทหารที่ไปเฝ้ารักษาเท่านั้น  ทั้งนี้ผู้เขียนสันนิษฐานว่า  ทางการกรมสรรพาวุธคงเกรงการก่อวินาศกรรม  จึงได้ทำการขนย้ายจากที่เดิมมาเก็บรักษาไว้ที่กรมพระอัศวราชเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย          เมื่อผู้เขียนทราบแน่ชัดว่า  ในวันประกาศสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้น  เจ้าคุณนเรนทรราชาท่านได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง  จึงได้เรียนถามเรื่องละเอียดจากท่านต่อไป  คงได้ความว่า  ขณะนั้นเป็นพระทรงพลราบ มียศเสือป่าชั้นนายกองโทและเป็นผู้บังคับการกรมม้าหลวงรักษาพระองค์  และในวันที่ เจ้าคุณบำรุงราชบริพารเดินแถวออกมาจากพระราชอุทยานสราญรมย์  เห็นกองเสือป่าม้าหลวงรักษาพระองค์นั้น  ถูกต้องตรงกัน  เพราะทางกองเสือป่าม้าหลวงก็ได้รับคำสั่งให้มาฝึกหัดกันที่สนามไชย บริเวณหน้ากระทรวงต่างประเทศขณะนี้  ครั้นแล้วท่านก็ได้รับหนังสือลับเฉพาะจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ให้ไปทำการรักษาคลังกระสุนดินดำที่กรมพระอัศวราช  เพราะในวันนั้นเองทางกรมยกกระบัตรทหารบกได้ย้ายคลังกระสุนดินดำทั้งหมดไปรักษาไว้ที่นั่น  จุดใหญ่ก็เพื่อรักษาความปลอดภัยไว้ก่อนเพราะถ้าข้าศึกรู้ตัวล่วงหน้า  อาจจะถูกก่อวินาศกรรมก็ได้  เมื่อเจ้าคุณนเรนทร์นำกองเสือป่าม้าหลวงไปถึงกรมอัศวราชแล้วจึงพบว่า  โรงฝึกม้าหลังใหญ่ทั้งโรงที่เคยใช้แสดงเป็นโรงละครสัตว์หลังนั้น  กลายเป็นโรงเก็บกระสุนดินดำของทหารไปแล้วอย่างเต็มที่  ท่านได้สั่งวางยามรักษาการณ์อย่างกวดขันมั่นคง  ด้วยกำลังพลของกองเสือป่าแท้ๆ            ในขณะผู้เขียนกำลังจับปากกาเขียนข้อความอันนี้สู่ท่านผู้อ่าน  ก็รู้สึกตื้นตันในพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง  ที่มิเสียที่ทรงตั้งกองเสือป่าขึ้นมาในครั้งกระโน้น  มิใช่ทรงเล่นดังที่พวกปากมอมไม่รู้ความจริงนำเอาไปกล่าวกันให้คนรุ่นหลังหลงผิด          อนึ่งกองเสือป่าม้าหลวงนี้ยังถูกแบ่งกำลังพลออกไปรักษาการณ์ ณ ที่ควบคุมเชลยศึกที่สโมสรของชาวเยอรมัน ถนนสุริยวงศ์  งานที่กล่าวได้ช่วยอยู่ ๓ วัน  จึงได้มอบทางการทหารต่อไป  นอกจากนั้นกองราชนาวีเสือป่าก็มีบทบาทช่วยนำเรือของเสือป่าทำการยึดเรือเชลยในลำแม่น้ำเจ้าพระยาอีกทางหนึ่งดังได้กล่าวมาแล้ว. จากคุณ : กัมม์ - [ 27 มิ.ย. 50 11:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สองภาพนี่มอบเป็นพิเศษ แด่คุณ V_Mee ครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 27 มิ.ย. 50 11:11:41 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบพระคุณครับ  เมื่อมอบมาให้ก็ต้องเป็นหน้าที่ขยายความต่อ ภายในความเห็นที่ ๓๙ นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นายกเสือป่า ทรงฉายขณะรอทอดพระเนตรการซ้อมรบเสือป่าที่บ้านไร่  ตำบลคลองตาคต  อำเภอโธราม  จังหวัดราชบุรี  เมื่อวันที่  ๑๔  กุมภาพันธ์  พ.ศ. ๒๔๖๒ นายเสือป่าและนักเรียนเบื้องหลังพระปฤษฎางค์นั้นเริ่มจากซ้ายไปขวา นายหมวดโท พระทรงพลราบ (บุญมา  หิรัญมาน) กรรมการซ้อมรบ นายกองโท พระยาเทพทวาราวดี (จำเริญ  สวัสดิ์-ชูโต  ต่อมาเป็นพระยานรเทพปรีดา)  ราชองครักษ์เสือป่าและกรรมการซ้อมรบ พลเสือป่า อั้น  บุนนาค (ต่อมาเป็นเจ้าหมื่นสรรเพธภักดี) พลเสือป่าเดินข่าวประจำนายกเสือป่า นายเรือตรี หลวงอนงค์ลีลาศ (แสวง  โรหิตจันทร์) ร.น.ส. (ย่อมาจากราชนาวีเสือป่า) นายเสือป่ารับใช้ประจำนายกเสือป่า นายหมู่เอกนักเรียนเสือป่าหลวง หม่อมเจ้าหัชชากร  วรวรรณ นักเรียนเสือป่ารับใช้ประจำนายกเสือป่า นายหมู่เอกนักเรียนเสือป่าหลวง หม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล นักเรียนเสือป่ารับใช้ประจำนายกเสือป่า ภาพในความเห็นที่ ๔๐  ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งทุษยันต์  ผู้ที่โดยเสด็จมาในรถยนต์พระที่นั่ง คือ นักเรียนเสือป่าหลวง ปาณี  ไกรฤกษ์ (ต่อมาได้เป็นนายจ่ายวด  แล้วประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรมเมื่ออายุเพียง ๒๑ ปี)  ท่านผู้นี้เป็นพี่ชายของท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา  มาลากุล   โปรดสังเกตที่หน้ารถยนต์พระที่นั่งองค์นี้  เป็นรูปท้าวหิรัญพนาสูร   รถยนต์พระที่นั่งองค์นี้มีเรื่องเล่าว่าในรัชกาลที่ ๗ มีเจ้านายพระองค์หนึ่งทรงขอรถยนต์พระที่นั่งองค์นี้ไปใช้  แต่ต้องตื่นบรรทมขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงแตรรถดังไม่หยุด  เมื่อเสด็จไปทอดพระเนตรพบว่าไฟหน้ารถพระที่นั่งนั้นเปืดอยู่และรถพระที่นั่งนั้นก็กลับทิศเป็นจอดขวางในโรงรถ  กว่าจะขยับรถยนตฺพระที่นั่งออกจากรงรถได้เสียเวลาไปเป็นชั่วโมง  ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่มีใครกล้าใช้รถยนต์พระที่นั่งองค์นี้อีก  จนได้ถอดรูปหล่อนี้ออกจากรถยนต์พระที่นั่งและเชิญขึ้นประดิษฐานบนหิ้งบูชาที่หมวดรถยนต์หลวง (ถนนราชวิถี  ซึ่งเรียกกันว่า หมวดนอก)  เป็นที่เคารพสักการะของสารถและข้าราชการในกองพระราชพาหนะมาจนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 27 มิ.ย. 50 16:46:12 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คห.37 ความรู้เพิ่มเติม ตรงนี้ พระราชกฤษฎีกานับวันแบบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้  เกิดขึ้นตอนนี้เอง ซึ่งต่อไปพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนวันนี้ เป็นข้ออ้างในการทำการจับกุมชาติที่เป็นศัตรูด้วย อ่านถึงตรงนี้ยังไม่เข้าใจว่า พรฎ.ฉบับนี้เป็นข้ออ้างในการจับกุมชาติศัตรู ยังไง? ขอบคุณคุณกัมม์ และคุณ V_Mee มากครับ รายละเอียดดังที่นำเสนอ และอธิบายเพิ่มเติมเหล่านี้ มีอยู่ในหนังสือที่ปัจจุบันค่อนข้างจะหายากเอาการสำหรับคนทั่วไป หากเราไม่มีโอกาสได้เข้ามาซื้อหนังสือที่ศึกษาภัณฑ์กรุงเทพ หรือมาหาซื้อในงานสัปดาห์หนังสือที่บู้ทของมหาวชิราวุธานุสรณ์  หรือเป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังคุณกัมม์แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้อ่านกันง่ายๆ หนังสือสมัยใหม่ก็สุดแสนจะแพง ยิ่งของศึกษาภัณฑ์ที่เป็นหนังสือเรียนด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้แพงขึ้นแพงขึ้น คุณภาพรูปเล่มหนังสือก็ไม่ถือว่าดีนัก ดังนั้นจะว่าไป การศึกษารายละเอียดเรื่องราวเหล่านี้ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก แม้แต่เรื่องที่สามารถเผยแพร่กันได้ง่ายอย่างนี้ก็หาอ่านไม่ง่าย แล้วเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จะมิยิ่งน้อยไปกว่าหรือ ผมสะดุดตาภาพใน คห.40 มานานแล้ว และพยายามหาความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในปัจจุบัน ก็ไม่ทราบ  เพราะท่านเป็นมหาดเล็กรับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ใกล้ชิดพระยุคลบาท สายตระกูลท่านย่อมต้องสูงส่งพอสมควร เพิ่งมารู้ว่าท่านเป็นพี่ชายของท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล หรือพี่เขยของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ก็ในตอนนี้เอง ท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ? เมื่อปลายเดือนมกราคม 2462 อายุ 21 ปี รูปที่ถ่ายบนรถยนต์พระที่นั่งทุษยันต์  พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถ่ายเมื่อราวปี พ.ศ. 2460  ตอนนั้นก็อายุเพิ่งจะประมาณ 19 ปี แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 50 09:11:24 จากคุณ : NickyNick - [ 28 มิ.ย. 50 09:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สวัสดีครับ บอกแล้วว่าเป็นพิเศษสำหรับคุณ V_Mee จริงๆ มีเพื่อนส่งข่าวให้ทราบว่า จะมีแฟนพันธุ์แท้รัชกาลที่ ๖ ขอให้คุณ V_Mee ได้ไปด้วยนะครับ  ช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้องและติติงรายการอย่างที่เคยมีกระทู้ด้วย สำหรับหนังสือชุดนี้ (พระราชกรณียกิจที่สำคัญในรัชกาลที่ ๖) เป็นที่เสียดายมาก วันที่ไปขนจากร้านศึกษาภัณฑ์  เอามาไม่หมด  วันหลังจะไปขนอีก  หมดเสียแล้ว(ไม่ได้มา) ได้มาแต่ชุดเสือป่า ๔ เล่ม กับเล่มอื่นๆ อีก ๓- ๔ เล่ม  ราคาปกอ่อน ๑๐ บาท ปกแข็ง ๑๔ บาท หาที่ไหนได้เสียดายมาก สำหรับปัญหาที่พี่นิคสงสัยอยู่   ผมเคยอ่านเจอว่า  ฝรั่งชาติที่เป็นอรินั้นตอนนั้น ซึ่งถูกจับกุม กล่าวหาว่าเราทำไม่ถูกต้อง  จับกุมพวกเขาก่อนประกาศสงคราม พรฎ.เปลี่ยนเวลานับวันฉบับนี้ออกก่อนหน้าประกาศสงครามและจับกุมนิดเดียวเอง นับว่า  ทรงพระปรีชาสามารถมาก  ทรงรอบรู้แบบธรรมเนียมในการทำสงคราม ผมจำไม่ได้แล้วว่าได้อ่านจากหนังสือเล่มไหน   คุณ V_Mee น่าจะให้ข้อมูลได้ชัดเจนกว่าผมนะครับ  ฝากด้วยครับ กระทู้วัดพระแก้วยังหาหนังสือมาช่วยไม่ได้  ขอเวลาอีกนิดครับ มีเพื่อนสมาชิกฝากมาถาม ความคิดเห็นที่ 16   คุณกัมม์ ครับ คุณ วสินสุข หายไปไหนหรือครับ จากคุณ : Max2000  - [ วันสุนทรภู่ 17:33:50 ] ท่านใดทราบ  และติดต่อท่านได้ฝากข้อความถึงท่านด้วยครับ ส่วนกระทู้พระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย)  ตอนนี้คัด พรรณพฤกษาแลสัตวาภิธาน มาลงไว้ด้วย ท่านใดสนใจบทชมนกชมเนื้อชมไม้ชมสัตว์  เรียนเชิญครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5545861/K5545861.html#31 ตั้งแต่ได้อ่านวรรณกรรมมา  ดูเหมือนว่าของท่านพระยาศรีฯจะรวบรวมพันธุ์ไม้พันธุ์สัตว์ไว้มากที่สุด (แหงล่ะ - เพราะท่านแต่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ) แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 50 11:43:55 จากคุณ : กัมม์ - [ 28 มิ.ย. 50 10:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับคุณกัมม์ ถ้าจะมีคนติติงรายการ เขาคงตัดเทปตอนนั้นจนไม่ได้ออนแอร์แน่นอน หรือว่าจะไม่เชิญออกรายการอีกเลยก็ได้นะครับ คนรู้จักคนหนึ่งออกรายการ เขารู้จักกับคนออกข้อสอบหมด แม้แต่คำถามวิ่งลอยผ่านตาแว๊บเดียว เขาก็ตอบได้ อธิบายเป็นฉากๆ จนหมดสิ้น คนอาไร๊ เก่งสิ้นดี เรื่องคุณวศินสุข ขอถือวิสาสะนำมาแจ้งให้ทราบก็แล้วกัน จากกระทู้นี้ครับ ล่าสุดที่ผมเห็น คุณวศินสุขคงจะดีใจที่มีคนคิดถึง เมื่อรั้วของชาติเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ : ปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานเกือบ 24 ปี http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/04/K5325097/K5325097.html#17 NickyNick   - [ 17 เม.ย. 50 10:28:03 ] ........................... พักนี้กำลังเป็นโรคเบื่อโลก ตั้งใจว่าจะ "เว้นเวรรค" ไม่เข้า "พันทิป" รวมถึงเวบอื่น ๆ (ที่ไม่เกี่ยวกับงาน) สักระยะหนึ่ง วันนี้กะเข้ามาดูเป็นครั้งสุดท้าย ก็เลยเจอกระทู้ของคุณนิกพอดี อ่านแล้วซึมเลย..... และยิ่งปลงกับโลกมากขึ้น ไม่รู้จะว่าอย่างไร แต่ในฐานะพุทธศาสนิกชนก็ต้องบอก (ทั้งที่คงจะมีคนไม่เห็นด้วย) ว่าคงเป็นเวรกรรมของคุณลุงคุณป้า (จริง ๆ เมื่อดูอายุแล้ว ผมน่าจะเรียกว่าคุณอา หรือคุณน้ามากกว่า) ที่จริงทางราชการน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าตอน "วีรชน" ตาย ก็ทำเพียงแค่ยื่นจดหมายให้ทำเหมือนกับว่า "ไปอ่านเอาเองนะว่าจะต้องทำยังไงบ้าง" ซึ่งคนต่างจังหวัดในสมัยก่อนจำนวนมากไม่ค่อยรู้หนังสือ แล้วยิ่งต้องมาติดต่อราชการด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่อยากยุ่งด้วย แถมต้องหาหลักฐานอะไรต่อมิอะไรมากมาย  วุ่นวายเกินกว่าที่คนบ้านนอกจะเข้าใจได้ ผมไม่โทษคุณลุงคุณป้าของคุณนิกหรอกครับ ผมว่าทางราชการนั่นแหละต้องรับผิดชอบ เพราะทีแรกก็ควรจะส่งคนมาช่วยเหลือ ไม่ใช่ส่งแต่ "หนังสือตราครุฑ" ควรจะส่งเจ้าหน้าที่มาประสานงานให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง ถ้าคิดตั้งใจจะช่วยจริง ๆ ก็แค่บ่น ๆ ให้ฟังน่ะครับคุณนิก  อาจจะไม่ได้อ่านต่อจนจบว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยยังไง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณสำหรับกระทู้ดี ๆ นะครับ สวัสดีครับ จากคุณ : วศินสุข  - [ 17 เม.ย. 50 12:43:52 ] . แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 50 13:29:29 จากคุณ : NickyNick - [ 28 มิ.ย. 50 11:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขออนุญาตใช้สิทธิ์พาดพิงครับผม ล้อเล่นครับ ขอโทษและขอรบกวนใช้พื้นที่ของคุณนิคแถลงข่าวนิดเดียวนะครับผม ขอบคุณมาก ๆ นะครับที่หลาย ๆ ท่านคิดถึง และทำให้ผมรู้สึกละอายใจจังที่ทำให้มิ่งมิตรหลาย ๆ ท่านต้องเขียนมาถาม ที่ "เว้นวรรค" ก็ไม่ใช่เพราะเบื่อห้องนี้นะครับ (เพราะตัวเองก็แอบเข้ามาอ่านกระทู้ในนี้บ่อย ๆ แต่ว่าไม่ได้ล็อกอิน เพราะยังไม่อยากแสดงความเห็น) เพียงแต่งานประจำมันมากขึ้น ๆ เวลาที่จะมาเสวนาก็น้อยลง นั่นเป็นเหตุผลประการแรก ประการต่อมา ตัวเองกำลังเริ่มเขียนหนังสือ ซึ่งจำเป็นต้องใช้สมาธิค่อนข้างมาก จึงมีเวลาเข้ามาอ่านกระทู้น้อยลงไป พอมีเวลาว่างก็อยากแต่จะเขียนหนังสือ ประการที่สาม สุขภาพของผมเอง คือว่าเวลาที่ผมเข้ามาแสดงความเห็นในนี้จะเป็นเวลาดึก ๆ หรือไม่ก็วันหยุด เพราะผมไม่อยากใช้เวลางานประจำ ทำให้พักผ่อนน้อย พอพักผ่อนน้อยก็มีอาการเจ็บไข้บ้าง ประการที่สี่ ผมอยากจะให้เวลาวันหนึ่งมี ๔๘ ชั่วโมงเหลือเกิน พักนี้ผมได้หนังสือใหม่ ๆ น่าอ่านมาหลายสิบเล่ม แต่ไม่มีเวลาอ่านเลย หลาย ๆ เล่มในจำนวนนี้ก็มีมิตรรักส่งมาให้ยืมอ่าน ก็ตั้งใจว่าจะเร่งอ่านให้จบ เวลาที่มีน้อยอยู่แล้วก็น้อยลงไปอีก ประการสุดท้าย ก็คอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ที่บ้านมันเจ๊ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผู้ใหญ่โทษเด็ก (เล่มเกม) เด็กก็โทษผู้ใหญ่ (เล่นเกมเหมือนกัน) ก็เลยไม่รู้ว่าใครทำ สรุปก็คือ "เจ๊ง" ผมก็ต้องใช้โน้ตบุคไปพลาง ๆ ก่อน ครั้นจะพิมพ์นาน ๆ ก็ไม่ใคร่ถนัดเหมือนคีย์บอร์ดเครื่องใหญ่ เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงก็อย่างที่บอกมานะครับ ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงมากครับที่ยังระลึกถึงอยู่ ผมก็ยังติดตามอ่านเรื่องของคุณนิกและคุณกัมม์ รวมถึงท่านอื่น ๆ อยู่เสมอนะครับ แต่จะอ่านจากบล็อกบ้าง หรือตามอ่านเมื่อจบแล้วบ้าง เพราะอย่างที่บอกว่าไม่ค่อยได้เข้ามาในนี้บ่อยนักในพักหลังนี้ อาทิตย์หน้าก็จำเป็นต้องเดินทางไปหัวหินอีก ว่าจะคว้าหนังสือไปอ่านด้วยเผื่อมีเวลา ขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ปล. ฝากเรียนคุณเชษฐาด้วยนะครับว่า ต้นฉบับงานเขียนของคุณที่ส่งมาให้ผมตรวจนั้น ผมกำลังอ่านอยู่นะครับ ต้องขอโทษที่ใช้เวลานานหน่อยเพราะเป็นงานที่ยาวพอใช้ แต่จะพยายามอ่านให้เร็วที่สุดและหากมีแก้ไขจะแจ้งให้ทราบทางเมล์นะครับ แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 50 21:35:29 จากคุณ : วศินสุข - [ 30 มิ.ย. 50 21:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดีครับพี่วศินสุข เป็นเรื่องธรรมดาครับ คนเราก็มีภาระหน้าที่กันทุกคน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครทราบทั้งหมดด้วย แต่โชคดีที่ตอนนี้พี่ได้บอกให้ทุกคนทราบแล้ว ก็สบายใจด้วยครับ เพื่อนรักคนหนึ่งในนี้ ช่วงหลังก็มาอ่านงานประวัติศาสตร์ห้องสมุดพันทิป และคอมเมนท์น้อยลง แต่ทำให้มีเวลาอ่านนิยายกำลังภายใน แล้วก็หนังสืออื่นๆ ที่ตัวเองชอบ และดองไว้นานแล้วเหมือนกัน ซึ่งเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ก็เป็นความสุขหรือความถนัดของแต่ละคนครับ ในเรื่องโลกแห่งความจริง หรือโลกเสมือนจริงที่คุณกัมม์ยกตัวอย่างให้ฟังในกระทู้โน้น ก็เป็นจริงอยู่ส่วนหนึ่ง หรือเป็นจริงสำหรับบางคน แต่ก็ไม่ทั้งหมด สำหรับพี่ก็มีอีกเหตุผลหนึ่งของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปซ้ำกับของใคร การที่พี่ได้ลดการเข้าร่วมกระทู้พันทิปขณะนี้ พี่จึงมีเวลาส่วนตัวทำงานในหน้าที่อื่นได้มากยิ่งขึ้น  ผมก็อยากเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพราะตอนนี้การที่ผมมาหมกมุ่นอยู่ในกระทู้ห้องสมุด ทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาหลายอย่างได้เลย เมื่อความรู้สึกแบบนี้เพิ่มขึ้น และผมเริ่มห่างหายออกไป เมื่อนั้นคุณกัมม์และเพื่อนในนี้จะรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปจากห้องสมุดพันทิปด้วยรึเปล่า ก็ไม่รู้นะ จากคุณ : NickyNick - [ 1 ก.ค. 50 09:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 47 โธ่! ห้องสมุดนี้ขาดคนอย่างคุณนิก คุณกัมม์ คุณแสนฯ คุณปริยวาที ฯลฯ ไม่ได้เป็นอันขาดครับ บางครั้งผมก็อดรู้สึกเบื่อไม่ได้ เวลาที่ตั้งใจแสดงความเห็นอะไรในกระทู้หนึ่งพร้อมข้อมูลรายละเอียดตั้งมากมาย แต่ปรากฏว่า เพียงไม่ทันข้ามคืนก็มีคนตั้งกระทู้ถามในเรื่องเดียวกันนั้น รู้สึกเสียดายเวลาที่นั่งค้นคว้าตำรับตำรามากมายมาตอบ และอีกประการหนึ่ง พอกระทู้ตกลงไปก็เหมือนลงถังขยะ ขาดคนสนใจ ผมจึงคิดว่ากระทู้ในเวบไซต์แบบนี้เหมาะกับงานฉาบฉวยประเภทรับประทานเร็ว (fast food) มากกว่างานที่ต้องการความละเอียด อ้างอิงข้อมูลมากมาย เลยอดที่จะรู้สึกเซ็งไม่ได้ แค่บ่นตามประสาคนมีอายุ ไม่ชอบรับประทานเร็ว จากคุณ : วศินสุข - [ 1 ก.ค. 50 22:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สวัสดีที่นี้อีกครั้งครับ คุณ วศินสุข พี่นิค "บางครั้งผมก็อดรู้สึกเบื่อไม่ได้ เวลาที่ตั้งใจแสดงความเห็นอะไรในกระทู้หนึ่งพร้อมข้อมูลรายละเอียดตั้งมากมาย แต่ปรากฏว่า เพียงไม่ทันข้ามคืนก็มีคนตั้งกระทู้ถามในเรื่องเดียวกันนั้น" อันนี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง  ที่ผมเพียรคัดหนังสือเก็บไว้ให้ห้องสมุด เมื่อไรที่มีกระทู้ที่ตรงกับที่คัดไว้  ก็ Paste มาได้เลย  ไม่ต้องคัดอีก สังเกตดูหลายกระทู้ อย่างเช่น สามก๊ก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ และอื่นๆ ลดลงไปเยอะ  สำหรับหนังสือที่คัดไว้  ทุกคนสามารถ Paste ได้ ผมเป็นแค่คนคัดหนังสือ  สำหรับส่วนกุศลเป็นส่วนของผู้นิพนธ์หนังสือครับ อย่าเซ็งเลยครับ  บางทีเขาเพิ่งเข้ามา อาจไม่รู้ว่ามีกระทู้แบบนี้แล้ว หรืออาจไม่รู้ทางไปคลัง หรือต้องการทราบ และการตั้งกระทู้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะหาความรู้ หรืออื่นๆ อีกมากมาย  เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น(อย่างคุณครูเกนหลงฯ ว่าไว้)ครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 2 ก.ค. 50 08:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 49 กระทู้ถามซ้ำไปซ้ำมาต่างๆ เหล่านี้บางทีมันก็น่าเบื่อเหมือนกันครับพี่วศินสุข ตอนนี้ผมก็คิดแต่เพียงว่า เราตั้งกระทู้ขึ้นมา เพื่อตัวของเราเอง พิมพ์ตั้งเยอะแยะมากมาย ได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่มาตอบในกระทู้เราสักเล็กน้อย ก็ถือว่าเราได้กำไรแล้ว คิดเท่านี้ ก็สบายใจแล้ว แต่บางคนงานยุ่งจริงๆ แทบไม่สามารถจัดเวลาได้อย่างใจต้องการ อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของตัวเองแล้วล่ะ จากคุณ : NickyNick - [ 3 ก.ค. 50 08:40:07 ]