ความคิดเห็นที่ 1 ในช่าวงที่ พระนางว่าราชการแผ่นดินนั้น ข้าราชบริพารต่างก็เรียกพระนางว่า "สมเด็จรีเยนทร์" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 15:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 "ข้อความจาก นวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน" แล้วในที่สุดข่าวลือเรื่องที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จประพาสยุโรป ก็กลายเป็นความจริงที่ทุกคนรับรอง เพราะมีหมายกำหนดการณ์ว่า จะเสด็จก่อนสงกานต์ที่จะถึงไม่กี่วัน นับเป็นพระมหากษัติย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จพระพาสไกลถึงภูมิภาคนั้น  และมีพระราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง "สมเด็จที่บน" เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทำให้ทุกคนต้องเรียกตามพระนามใหม่ว่า..... "สมเด็จรีเยนทร์"  และได้ทรงเฉลิมพระอิสริยยศว่า " สมเด็จพระบรมราชินีนาถ " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 15:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เสด็จพระองค์หญิง ของแม่พลอย ในเรื่องสี่แผ่นดิน เล่าให้เหล่านางใน ข้าราชบริพารฟังว่า " ระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเมืองยุโรป ความสำคัญต่างๆของราชการ จะย้ายจากฝ่ายหน้ามาอยู่ฝ่ายใน เพราะว่าสมเด็จรีเยนทร์ ทรงดำรงฐานะสูงสุดไม่มีฝ่ายหน้าคนไหนจะเสมอเหมือน และทุกวันนี้ท่านก็เสด็จออกว่าราชการที่ฝ่ายหน้าเช่นเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเคยปฏิบัติ และในระหว่างนั้น การขึ้นเข้าเฝ้าบนพระที่นั่งก็จะไม่มี เพราะว่าสมเด็จ จะลงไปที่สวนศิวาลัย แล้วก็ให้เจ้านายฝ่ายในกับคุณจอม ไปเข้าเฝ้าที่นั่นเกือบทุกวัน และท่านก็จะเล่นโปเก้ และก็จะทรงสรงน้ำในสวนเต่า และก็ประทับที่สวนเต่าจนถึงเวลาเสด็จ ขึ้น หรือก็อาจจะเสวยที่นั่นเลย ...." จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้าราชบริพาร ต่างก็ได้มีโอกาสตามเสด็จและได้ชื่นชมพระบารมี จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สวนศิวาลัย   พระนางทรงว่าราชการที่แห่งนี้เสมอครั้งอยู่ในฐานะ "สมเด็จรีเยนทร์" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:10:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำเอาช้อย มีความยินดีปรีดาอย่างมาก "คราวนี้ชั้นไม่กลัวผู้ชายอีกต่อไปแล้วเพราะผู้หญิงได้เป็นเจ้าแผ่นดิน" ช้อยพูด คุณสายได้ยินถึงกับตบอก ร้องลั่น "ว๊ายเด็กเวร ขืนพูดให้ใครเขาได้ยินเข้ามีหวังโดนลูกมะพร้าวห้าวยัดปากหล่อนเสียนี่.. เออ จะว่าไปมันก็จริงของหล่อนนะ เพราะเราก็ได้รับการอบรมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้วว่าผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิงเรา เมื่อตอนเราเป็นเด็กก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของพ่อ พอออกเหย้าออกเรือนไปก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของผัว   เฮ่อ ชีวิตนี้จะดีจะชั่วก็สุดแล้วแต่ผู้ชายจะบันดาล ดูเหมือนผู้หญิงเราจะตกอยู่ใต้กรรมสิทธิ์ของผู้ชาย  ไม่มีอำนาจจะไปบังคับบัญชาใครได้ ก็นอกจากจะบังคับบัญชากันเองในวังเนี่ยแหล่ะ    เออ.. จะว่าไปแล้ว นอกจากตำแหน่งคุณท้าวนางใน และเฒ่าแก่ในวังแล้ว ชั้นก็ไม่เคยเห็นว่าผู้หญิงอย่าเราเนี่ย จะไปรับราชการงานเมืองอะไรกับเค้าได้  ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ ที่ท่านแต่งตั้งสมเด็จรีเยนทร์เนี่ย  คราวนี้ก็จะได้รู้กันล่ะ ว่าถึงแม้จะแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย  ตำแหน่งแห่งหนหรือจะทำกิจการใดก็ตาม ถ้าผู้หญิงเราลุกขึ้นมาอยากจะทำแบบผู้ชายซะอย่าง เราก็คงจะทำได้  จริงมั้ยล่ะแม่ช้อย แม่เจ้าปัญหา" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "จากวรรณกรรมสี่แผ่นดิน" " ความจริงสมเด็จรีเยนทร์ อยู่ในฐานะที่ทุกคนเคารพยำเกรงกันทั้งวัง แต่ก็วิริยะอุตสาหะก่อความสามัคคี ด้วยพระอัธยาสัย ทำให้เกิดความรักเพิ่มเติมยิ่งขึ้นไปอีก พลอย ได้มีโอกาสตามเสด็จ เสด็จฯ ไปที่สวนศิวาลัยเป็นนิจ จึงได้ชมบารมี และรู้สึกทั้งรักทั้งยำเกรงเป็นที่สุด" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 8 " ในขณะที่ทรงกีฬาก็ดี ทรงสรงนำ หรือแม้แต่ประทับที่ศาลาก็จะมีการถ่ายประรูปหมู่เนืองๆ เพื่อส่งไปทูลเก้าถวายที่ยุโรป  พลอย สนใจในการถ่ายรูปเป็นพิเศษ ก็เคยได้ยินว่า การถ่ายรูปอย่างเอาเป็นเอาจังนั้นเป็นผู้ชาย แต่ครั้งนี้ช่างถ่ายภาพชื่อแม่สร้อย เป็นน้องสาวคุณชายาเป็นข้าหลวงตำหนักเสด็จพระองค์ฯอรทัย ชาววังสมัยนั้นก็จะเป็นที่รู้จักกันทุกคน" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปกติก็เข้ามาอ่านอยู่เป็นประจำนะคะ ห้องนี้ อิอิ ดีใจจังเจอคนคุ้นเคย มีหนังสือที่เขียนถึงพระองค์อยู่ 2 -3  เล่ม ไว้คืนนี้จะมาช่วยแปะนะคะ จากคุณ : วรดา - [ 1 มิ.ย. 51 16:43:19 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ้าวคุณวรดา เข้ามาจอยกันในนี้ก็ดีครับ เอาสาระหนีห้องเหลิมไทย มาหาสาระที่ห้องสมุดดีกว่า  ดีใจๆๆ ที่คุณวรดาจะช่วยเอามาแปะ ผมหลงเข้าไปในยยุคสมเด็จที่บนเสียแล้วครับ ในเวลานี้ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 1 มิ.ย. 51 16:51:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อ้าว  อันที่จริงเราก็เป็นคนมีสาระนะคะ   5555 อิฉันหลงไหลใน ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น  มานานแล้ว ตอนนี้ หนังสือที่ชอบมาก อ่านแล้วอ่านอีกหลายรอบเหลือเกิน คือเรื่อง " หอมติดกระดาน" ของคุณศันสนีย์   วีระศิลป์ชัย อ่านแล้วได้ความรู้ในการใช้ชีวิตของคนยุคนั้นมากมายเหลือเกิน "รักในราชสำนัก" อิฉันก็มีค่ะ  อ่านจนหนังสือเยินแล้ว     แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 51 17:02:46 จากคุณ : วรดา - [ 1 มิ.ย. 51 17:01:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คอยอ่านค่ะ จากคุณ : vemagold - [ 1 มิ.ย. 51 18:00:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 งัั้นใครขอ ท่านหญิงวรดา เล่าเรื่องกาลสมัยในยุคนั้นด้วยเถิด บ่าวอยากฟังเสียแล้ว  ขอบพระคุณอย่างสูง " หอมติดกระดาน" น่าสนใจ จากคุณ : มรว.ภานุฑัต สวัสดี สว่างวงศ์ (คุณพระนายไวยวงศา) - [ 1 มิ.ย. 51 18:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เข้ามาฟัง ยายวรดา เล่าเรื่องสมัยยังสาวๆกันเร้ว พวกเรา.. แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 51 12:37:31 จากคุณ : Imaginia - [ 1 มิ.ย. 51 19:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ข้างบนน่ะ ตามมาแซวถึงที่นี่เลยนะ ****************** เริ่มจาก  “สมเด็จที่บน” นะคะ ด้วยพระอัธยาศัยที่ทรงปรีชารอบรู้ประกอบกับทรงเป็นผู้ช่างสนทนาปราศัย  เมื่อเจริญพระชันษาขึ้นจึงได้ทรงทำราชการฝ่ายใน โดยชาววังทั่วไป มักขานพระนามว่า “สมเด็จที่บน” โดยอาศัยเหตุที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นสำคัญคู่กันกับ” สมเด็จพระตำหนัก”  คือสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี ซึ่งประทับอยู่ ณ ตำหนักใหญ่ด้านหลังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และมีสะพานสูงเดินเชื่อม ถึงกัน “ที่บน”ของสมเด็จฯ น้น อยู่บนชั้นสองของพระที่นั่งจักรีฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงพรรณาถึง “ที่บน” ไว้ว่า “...ห้องใหญ่ชั้นบนซึ่งอยู่เหนือห้องเก็บของของแม่แป้มนั้น เป็นห้องที่ประทับของสมเด็จย่า เป็นห้องใหญ่จนเกินไปที่ย่าท่านจะทรงใช้ห้องเดียวได้ ฉะนั้นท่านจึงทรงจัดแบ่งเป็นหลาย ๆ ห้อง วิธีแบ่งนั้นใช้ฉากไม้ขัดมัน แต่บนฉากนั้นเขาได้ตัดรอยโหว่ ๆ ทำเป็นกรอบรูป  และในกรอบตั้งหลายร้อยอันนั้นก็มีรูปถ่ายอยู่ในนั้นทุก ๆ กรอบ   รูปเหล่านั้น   เป็นรูปของย่าและลูก ๆ ของท่านเมื่อยังเด็ก ๆ และรูปที่ทูลหม่อมปู่ทรงถ่ายเองก็มาก เวลาที่สมเด็จย่าเสด็จประทับอยู่ในวังหลวงและประทับอยู่บน ที่บน  ข้าพเจ้าก็ได้นอนในห้องบรรทม อย่างเช่นที่พญาไท  นอกห้องใหญ่ของย่านั้นมีเฉลียงอยู่ริมบันได ถัดจากเฉลียงไปก็มีห้องใหญ่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งมีนามเรียกกันง่าย ๆ ว่า   ห้องน้ำเงิน  ห้องนี้ก็ใหญ่เกินไปที่จะใช้เป็นห้องเดียว  และก็ได้แบ่งออกเป็นสองสามห้องเช่นเดียวกัน ผิดกันกับห้องน้ำเงินนั้น ไม่ใช่ฉากถ่ายรูป  เป็นฉากรูปเขียนและเป็นรูปตอนต่างๆ จากละคร อิเหนา...” จากหนังสือ “ ในกำแพงแก้ว”  ผู้เขียน อาจารย์ธงทอง จันทรางศุ ของอิฉันเป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปี 2531  ปัจจุบันมีการพิมพ์ใหม่แล้ว รูปเล่มสวยเชียวค่ะ จากคุณ : วรดา - [ 1 มิ.ย. 51 22:35:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คัดลอกบางตอนที่เกี่ยวข้องกับ "พระพันปีหลวง" จากหนังสือ  "หอมติดกระดาน" ของ ศันสนีย์  วีระศิลป์ชัย *************** อาหารการกินของชาววัง   หมอสมิธ   บรรยายเกี่ยวกับพระกระยาหารของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ไว้ว่า “... พระกระยาหารที่พบเห็นบ่อยๆ ได้แก่ ซุปข้น ซึ่งมีส่วนผสมของข้าว และใช้ปลาปรุงรสแทนเนื้อ ชนิดของปลาที่ใช้จะต้องเลือกสรรเป็นพิเศษ  เพื่อให้มีรสชาติอร่อย ยิ่งถ้าได้ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลก็จัดได้ว่าเป็นอาหารจานแปลกอีกชนิดหนึ่ง  พระกระยาหารจานแปลกอีกอย่างที่พบเห็นบ่อยๆ  ได้แก่เนื้อวัวหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ นำลงทอดในน้ำมันมาก ๆ  เติมเกลือและน้ำตาลลงไปในปริมาณที่เท่ากัน  ทอดจนเกรียม เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยอย่างเดียวหรือเสิร์ฟพร้อมกับแกงก็ได้ ..” อาหารที่หมสมิธบรรยายทั้งสองชนิด น่าจะได้แก่ “ข้าวต้มปลา” และ”เนื้อหวาน” ซึ่งเป็นอาหารที่รับประทานกันทั่ว ๆ ไป และหมอสมิธได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่อง พระกระยาหารแปลก ๆ ในพระราชสำนักสมเด็จพระศรีพัชรินนทราบรมราชินีนาถไว้ว่า  “...  ในการเข้าเฝ้าอีกคราวหนึ่ง ข้าพเจ้าได้พบพระองค์กำลังสำราญพระทัยอยู่กับการเสวยด้วงมะพร้าว  ตัวอ้วนใหญ่สีขาวนวลพูนจาน (ข้าพเจ้า ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรให้ชัดเจนไปกว่านี้) แต่เผอิญว่าในวันนั้น มีผู้เตือนข้าพเจ้าไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า  ข้าพเจ้าจึงสามารถปฏิเสธได้ทัน  อย่างไรก็ตาม มีผู้ใก้การยืนยันว่า  หากนำด้วงมะพร้าวลงทอดในน้ำมันจากตัวมันเองแล้ว จะมีรสชาติอร่อยเช่นเดียวกับเวลาที่รับประทานเนื้อมะพร้าวเลยทีเดียว จากคุณ : วรดา - [ 1 มิ.ย. 51 22:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ประเพณีการแต่งการของข้าราชสำนักฝ่ายใน การแต่งกายของสตรีในพระราชสำนักเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่   เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จกลับจากยุโรป ใน พ.ศ. 2440  สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  ทรงเป็นผู้นำ ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้  ด้วยทรงมีพระปรีชาสามารถในเชิงช่างอยู่แล้ว  จึงทรงมีพระราชดำริปรับปรุงเสริมแต่งดัดแปลงฉลองพระองค์โดยนำแบบของชาวยุโรปมาประยุกต์ให้เข้ากับฉลองพระองค์แบบไทยๆ  ทั้งชนิดของผ้าก็เปลี่ยนเป็นไปตามแบบยุโรป  เช่น ผ้าลูกไม้   จนเป็นแบบที่ลงตัว สำหรับใช้ในโอกาสต่างๆ  ดังนี้ ฉลองพระองค์ขณะประทับอยู่ในตำหนัก  จะทรงผ้าพื้นหรือผ้าลายโจงกระเบน ฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้หรือแพรเนื้อแน่นสีอ่อนๆ  แบบเรียบ ๆ  มีแพรห่มจีบตามยาว  สะพายจากพระอังสาซ้ายห้อยชายไว้ทางขวาหรือทั้งหน้าหลัง แล้วรวบไว้แค่บั้นพระองค์ สวมถุงเท้าโปร่งมีลวดลาย ใส่รองเท้าหนังมีส้นสีดำหรือขาวแล้วแต่โอกาส ส่วนชุดออกงานถ้าเป็นพระราชพิธีสำคัญ ๆ ก็จะทรงฉลองพระองค์แบบโบราณ คือผ้าทรงไหมสียกทอง หรือยกเงินมีเชิง จีบหน้านางไว้ชายพก  คาดสายรัดบั้นพระองค์สายทองหัวลงยาประดับเพชรพลอยอันงดงามตามแบบโบราณ ฉลองพระองค์คอกลมแขนกระบอกหรือจีบยาวจดข้อพระหัตถ์  ตัดเย็บด้วยแพร ไหม ตาด เยียรบับ หรือลูกไม้และอาจจะประดับตกแต่งด้วยริบบิ้น เลื่อม ลูกปัด แล้วแต่ความเหมาะสม  และงดงาม  ทรงสะพักทับนอกเสื้อ ด้วยผ้าต่วนปักดิ้นหรือเลื่อม เครื่องแต่งพระองค์ที่ทรงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงขึ้นใหม่เป็นชุดเต็มยศในงานพระราชพิธี  เป็นแบบโจงกระเบนใช้ผ้ายกดอกไหม สีต่าง ๆ สวมเสื้อนอก แพร ไหม ผ้าลูกไม้  สีกลมกลืนกันกับผ้านุ่งเครื่องประดับเสื้อ  ก็มีริบบิ้น  ลูกไม้ ลูกปัด ดิ้น และเลื่อมสีต่างๆ  ตามที่เห็นว่างามและเหมาะสม  สะพายแพรแถบสีชมพู ปักดิ้นที่ทรงกำหนดขึ้นไว้คู่กับดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า สวมถุงเท้า รองเท้า ส้นสูง ชุดฉลองพระองค์อีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมกันในพระราชสำนักฝ่ายใน คือ แบบที่ดัดแปลงมาจากเสื้อสตรียุโรป ที่เรียกว่า  “ เลดี้ผู้ดีฝรั่ง “  คือเสื้อสมัยควีนวิคตอเรีย แขนพองแบบที่เรียกว่า “เสื้อแขนหมูแฮม”  และอีกแบบหนึ่งคือ “เสื้อประดับลูกไม้” หรือ “เสื้อผ้าลูกไม้”  แต่ทั้งหมดก็ยังคงใส่กับ “โจงกระเบน” ผู้นำแฟชั่นเครื่องแต่งกายในสมัยนี้ ตกเป็นพระราชภาระของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงมีช่างตัดเย็บทั้งไทยและต่างประเทศ  ถ้าฉลองพระองค์ธรรมดาก็โปรดให้ “พระองค์เจ้าหญิงศศิพงศ์ประไพ” พระเจ้าลูกเธอพระองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดเย็บ แต่ถ้าเป็นชุดใหญ่สำหรับออกงานสำคัญ ๆ  โปรดใช้ช่างฝรั่ง เช่น ช่างจากห้างแรมแซ  ห้างแบดแมน  และห้างยอนแซมสัน ส่วนการปักเลื่อมปักดิ้น  หรือปักไหมลวดลายต่าง ๆ  นั้น ทรงใช้ช่างฝีมือในพระตำหนัก จากคุณ : วรดา - [ 1 มิ.ย. 51 22:53:14 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เนตไม่เป็นใจค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อนะคะ ยังอีกหลายเรื่องราวเชียวค่ะ จากคุณ : วรดา - [ 1 มิ.ย. 51 23:02:50 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบๆๆๆ  คุณยายมาต่อเร็วๆนะครับ จากคุณ : Imaginia - [ 2 มิ.ย. 51 12:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มาต่อค่ะ ************* เข้าเฝ้าเจ้านายฝ่ายใน พระตำหนักสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ใหญ่โต เจ้าของพระตำหนักทรงมีวาสนาบารมีเป็นที่โปรดปราน ข้าหลวงในตำหนักส่วนมากเป็นลูกผู้ดีมีสกุลทั้งสิ้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงถนัดและเชี่ยวชาญด้านงานช่างฝีมือ ข้าหลวงในพระอุปการะที่ขึ้นเฝ้านอกจากจะถวายงานรับใช้ส่วนพระองค์แล้ว ข้าหลวงรุ่นใหญ่ก็จะต้องช่วยงานช่าง ซึ่งมีทั้งงานเย็บปักถักร้อย ปักสะดึง กรึงไหม หักทองแล่ง ทองขวาง ประดิษฐ์จัดแต่งดอกไม้สดดอกไม้แห้งชนิดต่างๆ  แกะสลักผักผลไม้  ตลอดจน พับจีบ  อบร่ำ  ปรุงเครื่องหอม ส่วนข้าหลวงรุ่นเล็ก ๆ ก็จะเป็นลูกมือซึ่งถือเป็นการฝึกงานไปด้วยในตัว  เช่นคอยสนเข็มเวลาผู้ใหญ่ปักสะดึงบ้าง  เข้าไปส่งเข็มใต้สะดึงบ้าง  หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องหัดถักลูกไม้คอเสื้อชั้นในเอาไว้ใส่เอง จนกว่าผู้ใหญ่จะเห็นว่าถนัดงานชนิดใด  หรือตนเองจะรู้สึกว่าชอบงานประเภทไหน จึงจะมุ่งฝึกงานนั้นอย่างจริงจัง ซึ่งก็จะโปรดให้มีครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยสอนหัดให้ทำที่ห้องใต้พระตำหนักที่บน ในส่วนพระองค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีพระปรีชาสามารถในการออกแบบดัดแปลงงานช่างและงานประดิษฐ์ต่าง ๆ ให้ดูแปลกใหม่สวยงามจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา ในกระบวนการการประดิษฐ์ดอกไม้ไม่ว่าจะเป็นตาข่าย  มาลัยคลุมไตร ระย้า  เฟื่องห้อย  อุบะพู่กลิ่น  พุ่มกรวย หรือเย็บแบบติดกลีบ   ตลอดจน ช่อบูเก้ หรือบุหงา   นั้นไม่มีตำหนักไหนจะทำได้งดงามประณีต  เกินฝีมือช่างพระตำหนักที่บน เรื่องนี้ปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช  เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งทรงบันทึกไว้ขณะมีพระชนมายุเพียง 10  ชันษา  ความว่า   “...... เราอยู่กับน้าสร้อย ป้าโสมไม่อยู่ ไปดูการร้อยดอกไม้ของเสด็จน้าที่พระที่นั่งทรงธรรม  ค่ำไปดูดอกไม้เสด็จน้า  และพวกเจ้าจอมแขวนในที่งามดี “ และทรงบันทึกเกี่ยวกับงานเลี้ยงรับรองพระราชอาคันตุกะไว้ว่า “......วันนี้ที่บนวุ่นมาก เพราะอ๊าชดุ๊กลิวโปลจะมาทูลลา  มีดินเน่อร์ด้วย ค่ำทูลหม่อมทรงเครื่องเต็มยศรับอ๊าชดุ๊ก เลี้ยงโต๊ะแล้วขึ้นกินน้ำชาที่ห้องน้ำเงิน เสด็จน้าทรงแต่งห้องรับแข็งแรงมาก  มีดอกไม้แขวนด้วย...” นอกจากพระตำหนักใหญ่ซึ่งองค์เจ้าของทรงมีพระบารมีจึงมีข้าหลวงมากมายแล้ว  พระตำหนักอื่น ๆ ข้าหลวงที่เข้าเฝ้าก็จะมีงานทำและมีความเชี่ยวชาญตามองค์เจ้าของพระตำหนัก  จนเป็นกล่าวกันว่าลักษณะข้าหลวงแต่ละพระตำหนักนั้นจะมีคุณสมบัติพิเศษโดยเฉพาะพอเห็นลักษณะท่าทางกิริยาอาการก็จะรู้กันว่าเป็นข้าหลวงตำหนักใดเช่นลักษณะของข้าหลวงตำหนักสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถจะ ภูมิฐานแต่งตัวงดงาม ว่ากันว่า ประแป้งแต่งตัวหวีผมห่มสไบเฉียง และทัดพลูยาวงามนักทั้งสวยทั้งเก๋ มีมารยาทระเบียบแบบแผนเคร่งครัดตาม ตามแบบชาววังที่แท้จริง ข้าหลวงตำหนักนี้จึงมักจะหยิ่งยโส ไว้เนื้อไว้ตัวสูงกว่าข้าหลวงตำหนักอื่น  เมื่อออกจากตำหนักนี้ไปมีครอบครัว มักจะได้ตำแหน่งท่านผู้หญิง คุณหญิง อย่างน้อย ๆ  ก็ขนาดคุณนาย ถ้าเป็นข้าหลวงตำหนักพระวิมาดาเธอ  มักเป็นสตรีที่ว่องไว กระฉับกระเฉง ไม่ใคร่อ่อนช้อย นุ่มนวล เก่งทางบริการมีฝีมือการทำอาหารเป็นเลิศ  จัดครอบครัวดี เลี้ยงลูกดี มีความรู้พื้นๆ ไม่เปรื่องปราด แต่งตัวเรียบ ๆ เสงี่ยมเจียมตัว และมักชำนาญทางขับร้องดนตรีด้วย ส่วนข้าหลวงในตำหนัก สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี  พระ พันวัสสาอัยยิกาเจ้านั้น เนื่องจากองค์เจ้าของตำหนักทรงเชี่ยวชาญธุรกิจต่าง ๆ  ลักษณะข้าหลวงจึงมักเคร่งครัดเจ้าระเบียบ แต่งกายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ฉูดฉาด  เรียบงาม มารยาท กะทัดรัด คมสัน หนักแน่น ความรู้ปราดเปรื่องเรื่องการงานและธุรกิจ โดยมากมักมีหลักฐานทางการเงิน กระเหม็ดกระแหม่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ถ้าเป็นข้าหลวงตำหนัก พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี เรียกเป็นสามัญว่าข้าหลวงตำหนักสมเด็จพระนาง ว่ากันว่าข้าหลวงตำหนักนี้เก๋ยิ่งนัก  แต่งตัวฉูดฉาดบาดตา แต่มีเสน่ห์ พูดเก่ง กล้าหาญ ว่องไว ความรู้หนักไปทางรอบตัว เมื่อออกไปมีเรือน โดยมากมักเป็นภรรยาข้าราชการฝ่ายทหาร แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 51 14:05:53 จากคุณ : วรดา - [ 2 มิ.ย. 51 14:05:10 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ........... เข้าเฝ้าถวายตัว วิธีการเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นข้าหลวงหรือเป็นผู้ที่อยู่ในพระอุปการะของเจ้านายแต่ละตำหนัก มีวิธีการคล้ายคลึงกันคือ บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่  ซึ่งทรงคุ้นเคยเป็นอย่างดี จะเป็นผู้นำบุตรหลานเข้าเฝ้าพร้อมกับธูปเทียนแพและดอกไม้ไปถวายและกราบทูลฝากฝังบุตร      หลานของตนให้อยู่ในพระอุปการะ หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร   ได้เขียนเล่าถึงการเข้าเฝ้าถวายตัวของท่าน กับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ไว้ว่า .”.... จึงบ่ายวันหนึ่ง คุณแม่ก็ได้นำตัวผู้เขียนพร้อมทั้งธูปเทียนแพและดอกไม้ใส่พานเข้าไปในวัง คอยเฝ้าสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่อัฒจันทร์ของพระที่นั่งสุทธาศรี  พอบ่ายราว 5 โมงเย็น สมเด็จก็เสด็จออกรับแขกที่อัฒจันทร์ ขั้นสุดนั่นเอง  ถ้าเป็นบ้านธรรมดาก็ว่าตรงหัวบันไดได้ แต่บันไดพระที่นั่งกว้างใหญ่ ปูด้วยหินขาวกับดำงดงาม เมื่อทรงทราบความประสงค์ว่าจะพาลูกมาถวายฝาก ก็ทรงรับรองด้วยพระอัธยาศัยอันอ่อนหวาน  ผู้เขียนแม้จะยังเป็นเด็กอยู่ ก็ยังรู้สึกกระแสแห่งพระเมตตาแผ่มาสู่  เมี่อมองเห็นพระพักตร์ และพระเนตรที่หวานและคมของพระองค์ ทรงรับดอกไม้ธูปเทียน เป็นเสร็จพิธีถวายตัว......” กรณีของหม่อมศรีพรหมา  เป็นกรณีการเข้าเฝ้าถวายตัวบุตรธิดา ของผู้ที่ทรงคุ้นเคย หากเป็นผู้ที่ไม่ทรงรู้จัก แต่อาจมีญาติพี่น้องเทือกเถาเหล่ากอดี  รู้จักมักคุ้นกับข้าหลวงในตำหนัก  และได้รับการขอร้องไหว้วอนหรือฝากฝังให้นำเข้าเฝ้าถวายตัว กรณีนี้จะต้องมีการสอบถามประวัติความเป็นมาของเด็ก ขอดูตัวเด็ก ถ้าเห็นว่าประวัติและฐานะของตระกูลดีไม่มีมลทินด่างพร้อย รูปร่างหน้าตากิริยา มารยาทเรียบร้อยไม่น่ารังเกียจ ก็จะรับปากเป็นผู้นำเข้าเฝ้าถวายตัว ซึ่งเป็นการถวายตัวอย่างมีพิธีรีตอง  เรื่องนี้ จุลลดา ภักดีภูมินทร์  เล่าไว้ในหนังสือ “เลาะวัง” ความว่า “...... ส่วนข้าหลวงในพระองค์และข้าหลวงเรือนนอกนั้นเข้าเฝ้าถวายตัวกันอย่างเดียวกัน คือชั้นแรกจะต้องมีข้าหลวงชั้นผู้ใหญ่  ท้าวนาง  คนใดคนหนึ่ง เป็นผู้นำเข้าเฝ้าถวายตัว   แต่สำหรับ    สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ พระพันปีหลวงนั้นจะต้องกราบบังคมทูลพระกรุณาก่อน เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นเฝ้า จึงจะนำเข้าเฝ้าได้  ท่านข้าหลวงชั้นผู้ใหญ่ก็จะกราบทูลเบิกให้ทรงทราบว่าเป็นบุตรผู้ใด สกุลใด แล้วผู้ถวายตัวก็จะเชิญพานดอกไม้ ธูปเทียน คลานเข้าไปกราบทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระหัตถ์ โอกาสนี้ก็จะพระราชทานเหรียญพระนามทองลงยาสำหรับห้อยคอ...” จากคุณ : วรดา - [ 2 มิ.ย. 51 14:07:57 ]

ความคิดเห็นที่ 22 .......... การรับประทานอาหารของชาววัง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  ก็ทรงมีวิธีการเสวยเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  คือทรงใช้เวลาในการเสวยยาวนาน  และเวลาเสวยก็จะเป็นเวลาเดียวกับที่ทรงมีพระปฏิสันถารกับผู้มาเฝ้า    หม่อมศรีพรหมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเสวยของสมเด็จพระศรีพัชรินทร์ฯ ไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของ ท่านว่า “...... ข้าหลวงรุ่นใหญ่ตั้งเครื่อง เครื่องแต่ละถาดใหญ่และหนักมาก ถึง  3  ถาด เรียกว่าเครื่องใหญ่ มีกับสารพัดเว้นแต่แกงกับของจิ้ม ถาดเครื่องกลางมีแต่แกง  เครื่องเล็กมีเครื่องจิ้มต่างๆ กับผักหรือแกล้มบ้าง....” และเล่าถึงวิธีการเสวยว่า “...พระองค์เสวยช้ามากบางที 2  ชั่วโมงบางทีกว่าเด็ก ๆ หมอบเฝ้าที่เฉลียงตรงต่อพระพักตร์ขาดไม่ได้กันเลยสักวัน..” หมอสมิธ  นายแพทย์ประจำพระองค์       บันทึกพระจริยวัตรที่เกี่ยวกับกับการเสวยของ      สมเด็จพระศรีพัชรินทร์  ขณะประทับ ณ พระราชวัง พญาไทย  ซึ่งหมอสมิธ มีความรู้สึกว่าเป็นพระจริยวัตรที่แปลกกว่าคนอื่น คือจะทรงบรรทมเวลากลางวันและตื่นเวลากลางคืน เวลาเสวยพระกระยาหารมักคลาดเคลื่อน ไม่ใช่เวลาปกติของคนทั่วไป  ดังที่หมอสมิธได้บรรยายไว้ว่า”.......ในบางโอกาสกว่าสมเด็จพระพันปีหลวงจะเสวยพระกระยาหารมื้อหลัก ซึ่งจะเป็นมื้อเดียวของทั้งวัน ก็เมื่อเวลาดึก พระกระยาหารส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กับที่ชาวสยามทั่วไปนิยมบริโภค  คือมีแกงชนิดต่าง ๆ  เป็นหลักบรรจุมาในภาชนะเล็ก ๆ  หลายใบ.....” และเล่าวิธีการเสวยว่า “...... สมเด็จพระพันปีหลวงทรง ใช้เวลาในการเสวยพระกระยาหารแต่ละมื้อค่อนข้างนาน  ไม่ใช่เพราะเสวยมากแต่เป็นทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอื่น ๆ  ควบคู่ไปด้วย  เป็นต้นว่า ทรงให้คำแนะนำ  ปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานภายในราชสำนัก  หรือไม่ก็ทรงรับฟังข่าวสารประจำวัน ตลอดจนให้การรับรองผู้คนที่มาเข้าเฝ้าไปด้วยในขณะเดียวกัน จริงๆ แล้วการเสวยพระกระยาหารถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญรองลงมา เมื่อครั้งที่สมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ดี  พระองค์ทรงมีเวลาในการเสวยพระกระยาหารแต่ละครั้งนาน 2 -3 ชั่วโมง และช่วงเวลาการเสวยก็ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่าจะทรงมีพระประสงค์เมื่อใด...” จากคุณ : วรดา - [ 2 มิ.ย. 51 14:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ...... เครื่องอาภรณ์เพชรพลอยของชาววัง พระมเหสีเทวีที่ได้ชื่อว่าโปรดปรานเครื่องเพชรพลอยและใฝ่พระทัยเสาะแสวงหาเพื่อจัดสรรให้ได้เป็นชุดเป็นเถา แต่ละชิ้นล้วนมีค่ามีราคาและมีเป็นจำนวนมหาศาลก็คือ   สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  เครื่องประดับดังกล่าวมีทั้งที่ทรงซื้อด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ได้รับพระราชทานจากพระบรมราชสวามี  ตลอดจนพ่อค้าคหบดี  นำมาทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสต่างๆ แล้วยังทรงเป็นพระมเหสีเทวีองค์เดียวที่ทรงได้รับเครื่องอัญมณีเป็นของขวัญล้ำค่าจากพระราชาธิบดีและพระราชินีต่างประเทศ ที่ทรงฝากมาถวายอีกด้วย จนเป็นที่กล่าวขวัญกันว่า ไม่เคยมีพระมเหสีเทวีพระองค์ใดในรัชกาลใด ๆ แห่งพระราชวงศ์จักรีทั้งในอดีตและปัจจุบันจะได้เป็นเจ้าของราชาภรณ์ที่เป็นเพชรนิลจินดาค่าควรเมืองที่งดงาม หลากสี หลายตระกูล ขนาดต่างๆ และนานาชนิดเหมือนของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถเลย นางอมรดรุณารักษ์ อ. สุนทรเวช  ผู้เคยเป็นข้าหลวงใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทได้บรรยายเกี่ยวกับเครื่องเพชรเฉพาะชุดใหญ่ ๆ ที่มีความงามเป็นเยี่ยมและมีค่าควรเมืองไว้ในหนังสือพระราชประวัติชีวิตส่วนพระองค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ไว้ดังนี้ 1. ชุดเพชรรูปกลม ประกอบด้วย สร้อยพระศอ เป็นเพชรลูกน้ำขาวเม็ดใหญ่ เหมือนเฟื่องระย้าซ้อนสองชั้น รัดเกล้ารูปดอกเบญจมาศเพชรคาดรอบพระเศียร เข็มกลัดดอกเบญจมาศระย้าเพชรใหญ่สามดอกจัดเป็นช่อ พระวลัยกรเพชรลายละเอียดโปร่งทั้งสองข้าง  และพระธำมรงค์เพชรเป็นชุดหนึ่ง 2. ชุดเพชรรูปกลมขนาดใหญ่  เป็นสร้อยสังวาลเฟื่องเพชรสามชั้นรอบพระศอเรียงกันตามลำดับเล็กใหญ่เป็นเถา สำหรับประดับเวลาทรงเครื่องเต็มยศอย่างขัตติยนารีตามแบบโบราณราชประเพณีของไทยเดิม 3. เพชรรูปน้ำหยด ประกอบด้วยสร้อยพระศอระย้าเพชรสลับกับไข่มุก ล้วนแต่เม็ดใหญ่น้ำงามๆ  โดยเฉพาะเม็ดเพชรน้ำหยดนั้น มีขนาดใหญ่พิเศษบริสุทธิ์ กะบังเพชรรูปเพชรน้ำหยดกับไข่มุกและสร้อยสังวาลระย้าเพชรสลับไข่มุกเป็นรัศมีกว้าง เต็มพระอุระเป็นชุดหนึ่ง 4. ชุดทับทิม เป็นทับทิมจากพม่าสีแดงสดเจียระไนเป็นรูปหัวใจบ้าง รูปไข่บ้าง และรูปสี่เหลี่ยมบ้าง ประกอบลวดลายมงคลเพชรรวมกันเป็นชุดใหญ่ มีทั้งตุ้มพระกรรณ สร้อยพระศอ สังวาลระย้าลายกนกเพชรประกอบทับทิม กำไลต้นพระพาหา พระวลัยกร หัวเข็มขัด และพระธำมรงค์ทับทิมมงคลเพชร เข็มกลับรูปตัวแมลง และปิ่นปักผม 5. ชุดมรกต  เป็นมรกตรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่น้ำเขียวขจีสดใสประกอบด้วยสร้อยพระศอ พาหุรัดสวมต้นพระพาหา  วลัยกร และพระธำมรงค์ 6. ชุดนิลสีน้ำเงินแก่ เป็นนิลสีน้ำเงินเข้มมงคลเพชร ประกับกันเข้าเป็นชุด 7. ไข่มุก ทรงมีทั้งชุดไข่มุกประกอบเพชร และไข่มุกหลายสี หลายขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ ทำเป็นเครื่องประดับลักษณะต่าง ๆ เช่นสร้อยพระสังวาลเฟื่องไข่มุกเม็ดขนาดใหญ่ 3  ชั้น มีตุ้มเพชรห้อยเป็นระยะ หรือเป็นไข่มุกขนาดกลางร้อยเป็นสายยาวพันรอบพระศอเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่สั้นลงมาจนถึงบั้นพระองค์  6-7 ชั้น  ซึ่งจะต้องใช้ไข่มุกคัดที่มีสีและขนาดเท่า ๆ กัน หรือลดหลั่นเข้าเถากันได้ไม่ต่ำกว่าพัน ๆ เม็ด และยังมีสร้อยพระศอไข่มุกสีกุหลาบอ่อน นอกจากนี้ยังทำเป็นเครื่องอาภรณ์แบบต่าง ๆ มีทั้งที่เป็นระย้าเพชรประกอบไข่มุกติดเข็มกลัด เกี่ยวกับเครื่องประดับประเภทไข่มุก  หมอสมิธ แพทย์ประจำพระองค์ได้บันทึกไว้ว่า “......คืนนั้นข้าพเจ้าได้ทูลขอให้สมเด็จพระพันปีหลวงทรงนำสร้อยพระศอไข่มุกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นของขวัญแก่พระองค์เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ซึ่งมีมูลค่าถึง 100,000 ปอนด์ ออกมาให้ชม แม้ว่าข้าพเจ้าจะเคยเห็นสร้อยพระศอเส้นนี้มาแล้วหลายครั้งในขณะที่พระองค์ทรงสวมอยู่แต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นและสัมผัสอย่างใกล้ชิด สร้อยพระศอเส้นดังกล่าวถูกนำออกมาจากห้องที่อยู่ติด ๆ กันเกือบจะในทันที และเมื่อเห็นข้าพเจ้าก็มิได้รู้สึกผิดหวังเลย ไข่มุกเม็ดที่จัดว่าเป็น “น้ำเอก” มีขนาดกำลังพอเหมาะประดับตกแต่งด้วยอัญมณีงดงาม  ภายใต้แสงตะเกียงสลัวๆ  ขณะปล่อยให้มันไหวตัวกลิ้งไปมาส่งประกายระยิบระยับอยู่ในอุ้งมือของข้าพเจ้า นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือน ความยาวเต็มที่ของสร้อยที่ร้อยเข้าไว้ด้วยกันทั้งเส้นวัดได้เกือบ 6 ฟุต เวลาสวมสามารถจัดแต่งให้พันรอบพระศอได้เป็น  2  ทบมุกเม็ดใหญ่ที่สุดขนาดเท่าลูกหินห้อยอยู่ตรงกลางของมุกแต่ละสาย...” ความมากมายมหาศาลของเครื่องอัญมณี ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประจักษ์ชัดจากคำบรรยายของนางอมร ดรุณารักษ์ ว่า “....เครื่องเพชรพลอยดังกล่าวนี้  ถ้าชนิดไหนสร้างขึ้นเป็นชุดใหญ่ที่มีเครื่องทรงครบ จะบรรจุไว้ในหีบหนัง ซึ่งทำขึ้นโดยเฉพาะพอเหมาะกับรูปร่างของเครื่องอาภรณ์นั้นๆ  ภายในหีบกรุด้วยกำมะหยี่ ฝาสปริงปิดสนิท เป็นชุด ๆ ตามขนาดต่าง ๆ เช่นชุดใหญ่ที่อาจจะมีสร้อยพระสังวาลระย้าเพชรวางตรงกลางหีบ และมีพระวลัยกร พระธำมรงค์ หรือตุ้มพระกรรณ และอื่น ๆ  อาจจะเป็นเข็มกลัดต่างๆ  เป็นต้น ส่วนเครื่องเพชรที่เป็นชิ้นปลีกย่อยก็จะบรรจุเรียงรายกลึงติดไว้ในถาดกำมะหยี่ สี่เหลี่ยมเหมือนลิ้นชัก  นี้วางซ้อนกันได้ 2-3  ชั้น  โดยไม่ต้องกลัวจะกดทับเครื่องเพชรข้างในให้เสียหาย  เวลาเอาถาดเหล่านี้ออกเรียงกันแล้วแลดูงามวาววับจับตา......” พระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  ทรงบรรยายเกี่ยวกับเรื่องเครื่องเพชร  ของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  ครั้งประทับอยู่ ณ วังพญาไท  ในหนังสือเกิดวังปารุสก์ ความว่า “...... สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯเห็นจะต้องเป็นพระกษัตรีไทยพระองค์หนึ่งที่ใคร ๆ จะต้องยอมรับกันทั่วไปว่า ท่านทรงมีเครื่องเพชรมากมายเหลือเกิน  ถ้าจะเสด็จไปในงานใด ข้าหลวงจะต้องเอาเครื่องเพชรมาถวายทั้งหมดให้ให้ทรงเลือก  นอกจากเครื่องใหญ่จริง ๆ จึงไม่มีที่เก็บไว้ที่พญาไท  เพราะเครื่องชุดใหญ่ๆ นั้นเก็บรักษาไว้ที่ในพระบรมมหาราชวัง ถึงกระนั้นเครื่องย่อยๆ ของท่านจะดูคล้าย ๆ กับร้านขายเครื่องเพชรร้านใหญ่ในมหานครในยุโรป ข้าหลวงต้องขนมาเป็นถาดๆ หลาย ๆ ถาด บางทีถาดเดียวจะมีแต่พระธำมรงค์เพชรพลอยต่างๆ  ตั้ง 60   วง แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 51 14:14:47 จากคุณ : วรดา - [ 2 มิ.ย. 51 14:11:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามานั่งฟังเพื่อน ๆ คุยกันค่ะ ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ จากคุณ : biebie999 - [ 2 มิ.ย. 51 15:08:30 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณมากๆครับสำหรับเรื่องที่นำมาให้อ่านกัน จากคุณ : จ้องจนปวด - [ 2 มิ.ย. 51 16:41:09 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ลงชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวว่างๆเข้ามาอ่าน ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ จากคุณ : พนอจัน - [ 2 มิ.ย. 51 17:54:51 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคุณวรดามากๆ สำหรับ ข้อเนื้อเกี่ยวกับ พระพันปี ผมเอาบรรยากาศ ในการเข้าวังมาให้ชม เพิ่มบรรยากาศการอ่านกระทู้ เป็นบรรยากาศตอนที่แม่แช่มพาแม่พลอยเข้าวังใน ละครเรื่อง "สี่แผ่นดิน" เวอร์ชั่น หม่อมน้อย จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 17:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ยินดีต้อนรับ คุณพนอจัน ท่านผู้ใจดีในห้องสมุดอีกท่านครับ   ฝากเนื้อฝากตัวเป็นพันธมิตรและช่วยกันหาข้อมูลดีๆมาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ................................................................................... บรรยากาศหน้าประตูศรีสุดาจันทร์ หรือประตูดิน ซึ่งจะมีแต่พวกนางข้าหลวงเข้าๆออกๆ กันคึกคักหน้าประตูวังจะมี จ่าโขลน ทำหน้าที่เป็นใหญ่คอยดูแลคนเข้าออก ใครเข้าใครออกก็จะเกรงใจและเกรงกลัวท่านมาก จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 29 บรรยากาศทั่วไปในเขตส่วนใน ซึ่งจะมีแต่หมู่ข้าหลวงผู้หญิงเท่านั้นที่เข้ามาได้ จะเห็นว่า จะมีข้างหลวงนางในหลากหลายตำหนัก ซึ่งก็จะมักจะแต่งการแบบชาววังซึ่งมีการแต่งตัวตามสีประจำวัน ค่อนข้างมีระเบียบแบบแผนอย่างมาก เป็นวิถีชีวิตที่น่าสึกษา เป็นประวิตศาสตร์ที่ได้เพียงแค่การจดจำและบันทึกเท่านั้น จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตามเข้ามาดูบรรยากาศในวังกัน จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ได้ความรู้เยอะมากเลยค่ะ คุณยาย และคุณป้า จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ว (โอ๊ะเอ๊ว) - [ 2 มิ.ย. 51 18:12:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 และนี่คือภาพการเสด็จของ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จที่บน(ในละคร)  จะมีคุณข้าหลวงประกาศเสียงดังว่า "เปิดข้าง"..เปิดข้างแล้ว"   ทุกคนจะหมอบกราบ แล้ว จะเสด็จพระราชดำเนินมา พร้อมกับข้าหลวงแต่ละตำหนักและ คุณจอมต่างๆ รวมทั้งเสด็จพระองค์หญิง ที่ตามเสด็จด้วย เป็นบรรยากาศ ที่อบอุ่นและดูงดงาม มีแบบแผนสำหรับสมัยนั้นทีเดียว จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เจ้าพนักงาน คุณข้าหลวงสั่ง "เปิดข้าง เปิดข้างแล้ว"  ทุกคนหมอบกราบเตรียมรับเสด็จที่จะพระราชดำเนินมา แล้ว   *ขออนุญาตใช้รูปของ คุณพนอจัน นะครับ จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:25:52 ]

ความคิดเห็นที่ 34 พระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จที่บนเสด็จมาแล้ว พร้อมด้วยคุณข้าหลวงต่างๆ จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เป็นยุคที่งดงามน่าหลงไหลอย่ามาก จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 36 .... จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ... . จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 38 " ภาพ ที่แม่แช่ม พาพลอยไปถวายตัวให้เสด็จพระองค์หญิงฯ ซึ่งบรรยากาศการถวายตัวสมัยนั่นเป็นสมัยเดียวกันกับ สมัยของสมเด็จพระศรีพัชรรินทราบรมราชเทวี " " ขออนุญาตนำมาประกอบ ในความเห็น 21 ที่ คุณวรดา โพสข้อความไว้" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:48:02 ]

ความคิดเห็นที่ 39 .... . จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 . . . ภาพประกอบ ความเห็น 21 ของคุณวรดา เรื่อง การถวายตัว... เครดิตภาพจาก ละคร"สี่แผ่นดิน" ของหม่อมหลวงพันธ์เทวนพ เทวกุล (หม่อมน้อย) จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ... .บนพระตำหนัก ก็จะเต็มไปด้วย คุณข้าหลวง นางใน ที่คอยรับงานต่างๆ ซึงจะเป็นแบบนี้ทุกตำหนัก จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:54:30 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เป็นฉากการถวายตัวของ แม่พลอย ต่อ สมเด็จพระองค์หญิงฯ ซึ่ง ในช่วงเวลานั้น การถวายตัวให้กับเจ้านาย น่าจะมีแบบแผนที่คล้ายคลึงกัน ขอยกข้อความของ คุณวรดาจาก 21  มาประกอบภาพ นะครับ " วิธีการเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นข้าหลวงหรือเป็นผู้ที่อยู่ในพระอุปการะของเจ้านายแต่ละตำหนัก มีวิธีการคล้ายคลึงกันคือ บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่  ซึ่งทรงคุ้นเคยเป็นอย่างดี จะเป็นผู้นำบุตรหลานเข้าเฝ้าพร้อมกับธูปเทียนแพและดอกไม้ไปถวายและกราบทูลฝากฝังบุตร      หลานของตนให้อยู่ในพระอุปการะ หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร   ได้เขียนเล่าถึงการเข้าเฝ้าถวายตัวของท่าน กับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ไว้ว่า .”.... จึงบ่ายวันหนึ่ง คุณแม่ก็ได้นำตัวผู้เขียนพร้อมทั้งธูปเทียนแพและดอกไม้ใส่พานเข้าไปในวัง คอยเฝ้าสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่อัฒจันทร์ของพระที่นั่งสุทธาศรี  พอบ่ายราว 5 โมงเย็น สมเด็จก็เสด็จออกรับแขกที่อัฒจันทร์ ขั้นสุดนั่นเอง  ถ้าเป็นบ้านธรรมดาก็ว่าตรงหัวบันไดได้ แต่บันไดพระที่นั่งกว้างใหญ่ ปูด้วยหินขาวกับดำงดงาม เมื่อทรงทราบความประสงค์ว่าจะพาลูกมาถวายฝาก ก็ทรงรับรองด้วยพระอัธยาศัยอันอ่อนหวาน  ผู้เขียนแม้จะยังเป็นเด็กอยู่ ก็ยังรู้สึกกระแสแห่งพระเมตตาแผ่มาสู่  เมี่อมองเห็นพระพักตร์ และพระเนตรที่หวานและคมของพระองค์ ทรงรับดอกไม้ธูปเทียน เป็นเสร็จพิธีถวายตัว......” จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:57:09 ]

ความคิดเห็นที่ 43 .  . จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 44 .  . . . จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 18:59:30 ]

ความคิดเห็นที่ 45 . ... . จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:01:05 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณพระนายไวยวงศา ทำภาพได้สวยงามา ทำให้เพิ่มพูนอรรถรสในการชมกระทู้ ขอชื่นชม อย่างที่เคยกล่าวมาหลายกระทู้ว่า โดยส่วนตัว จะมีความเทิดทูนสมเด็จพระนางเจ้าศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เมื่อมาได้ดูกระทู้นี้ ชื่นใจจริงๆ จากคุณ : พนอจัน - [ 2 มิ.ย. 51 19:05:47 ]

ความคิดเห็นที่ 47 การแต่งกายในรั้วในวังก็จะมีแบบแผนนุ่งห่มกันแบบสีประจำวัน ขอยก ข้อความเสริมความรู้ จากส่วนหนึ่งใน นิยาย เรื่อง "สี่แผ่นดิน"  ตอนที่แม่แช่มสอนพลอยให้รู้จักการห่มการนุ่งผ้าในวัง " ชั้นหยิบผ้านุ่งผ้าห่มมาดู ไปอยู่นอกวังเสียนาน ไม่ค่อยได้ใส่ใจ จะนุ่งจะห่มอะไร ก็หยิบไปเสียอย่างนั้นล่ะ คนนอกวังนี่ก็แปลกนะคะ จะนุ่งจะห่มอะไรก็เอาแต่ใจเข้าว่า ไม่นุ่งห่มสีตัดกันเหมือนเราในนี้ " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:07:31 ]

ความคิดเห็นที่ 48 " พลอยดูแม่ให้ดีนะลูก แม่จะจัดผ้าห่มสีประจำวันให้ดู ..."วันจันทร์.". นุ่งเหลืองอ่อน ห่มสีน้ำเงินอ่อนหรือบานเย็กนก็ได้ลูก.... " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:09:52 ]

ความคิดเห็นที่ 49 พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ จากคุณ : พนอจัน - [ 2 มิ.ย. 51 19:11:08 ]

ความคิดเห็นที่ 50 "นี่ก็วันจันทร์เหมือนกัน น้ำเงินนกพิราบก็ต้องห่มจำปาแดง" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:12:20 ]

ความคิดเห็นที่ 51 สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ.. จากคุณ : พนอจัน - [ 2 มิ.ย. 51 19:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 52 "วันอังคาร ก็จะนุ่งม่วงเม็ดมะปราง  ห่มโสก หรือว่า จะนุ่งโศกห่มม่วงอ่อนก็ได้ลูก" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 53 " วันพุธ  นุ่งสีถั่วแล้วก็ห่มจำปา " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:17:51 ]

ความคิดเห็นที่ 54 "สำหรับวัพฤหัส  ก็จะนุ่งเขียวใบไม้ห่มแดงเลือดนก  หรือ จะนุ่งแสด ห่มเขียวอ่อนก็ได้" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 55 "วันศุกร์ นุ่งน้ำเงินแก่ ห่มเหลือง" จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:21:32 ]

ความคิดเห็นที่ 56 " วันเสาร์ ก็นุ่งม่วงเม็ดมะปราง ห่มโศก " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 57 " แล้ววันอาทิตย์ ก็จะนุ่งเหมือนวันพฤหัส  นุ่งเขียวห่มแดง หรือว่าเราจะนุ่ง สีลิ้นจี่หรือสีแดงเลือดหมู ห่มสีโศก " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:24:55 ]

ความคิดเห็นที่ 58 " จำไว้นะพลอย อย่าไปแต่งตัวเล่อล่าเป็นคนบ้านนอกเดี๋ยวเขาจะหาว่ามีแม่เป็นชาววังแล้วไม่สอนลูก " จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จะเห็นได้ว่า การแต่งกานสมัย "สมเด็จพระศรีพัชรรินทราบรมราชินีนาถ" ผู้หญิงในวัง จะพิถีพิถันกับการนุ่งห่มเหลือเกิน เหมือนอย่างที่ คห  21  ที่คุณรดาโพสไว้ ขออนุญาตให้รูป ที่คุณ พนอจัน โพสมา(ชอบรูปพระพันปีในชุดนี้มาก) จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 2 มิ.ย. 51 19:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อ่านจากเรื่อง "เกิดวังปารุสก์"   พระองค์ทรงมีเครื่องประดับและเครื่องเพชรมากมาย และทรัยพ์สินส่วนพระองค์มากมาย ทรงพระปรีชาสามารถจดจำเครื่องเพชรของพระองค์ได้ทุกชุด อีกด้วย จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 2 มิ.ย. 51 19:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เครื่องเพชรชุดเล็กของพระองค์ท่าน  มีจำนวนมากพอๆกับร้านเพชรขนาดย่อมๆเลยทีเดียว  สำหรับเครื่องประดับเพชรชุดใหญ่ๆ ทรงเก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวัง จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 2 มิ.ย. 51 19:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 62 หากใช้คำราชาศัพท์ผิดพลาดไป  ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ และขอความกรุณาท่านผู้รู้ ช่วยแนะนำด้วยนะครับ จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 2 มิ.ย. 51 20:08:23 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขออัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ มา ณ ที่นี้ อีกสักภาพ จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 2 มิ.ย. 51 20:10:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เข้ามาชมภาพสวยๆ ครับ จากคุณ : นอกราชการ - [ 2 มิ.ย. 51 21:19:45 ]

ความคิดเห็นที่ 65 นั่นมะเมี๊ยะ กับเจ้าน้อยศุขเกษม ใช่เนอะทั้งสองก็อยู่ในประวัติศาสตร์ช่วง รัชกาลที่  5 ขอบคุณคะหมออิม รูปใหญ่ดีแท้   ว้าว มีรูปสวย ๆ มาขยายตัวหนังสือด้วย ขอบคุณค่ะคุณพระนาย   แล้วก็รูปของคุณ พนอจันด้วย   พระพันปี งดงามจริง ๆค่ะ อ่อ ไว้วันหลังมาคุยกันเรื่องพระมเหสีองค์อื่นของ พระพุทธเจ้าหลวงกันอีกนะคะ จากคุณ : วรดา - [ 2 มิ.ย. 51 22:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 66 -ขอบคุณคับ จากคุณ : ชาย_วชิร - [ 2 มิ.ย. 51 23:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 67 นำลิงค์พระราชประวัติ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ มาช่วยเสริม http://www.rta.mi.th/22020u/sripatcharin/sripatcharin1.htm จากคุณ : พนอจัน - [ 3 มิ.ย. 51 07:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เข้ามาชมอีกรอบค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 3 มิ.ย. 51 10:03:16 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ปัจจุบันเครื่องเพชรของสมเด็จฯ ไม่ทราบว่าอยู่ในความครอบครองของพระองค์ใดหรือท่านใดบ้างคะ จากคุณ : Happy to be Me (Happy to be Me) - [ 3 มิ.ย. 51 13:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เท่าที่ทราบทรงพระราชทานให้รัชกาลที่เจ็ดไว้มากพอดูเพระเป็นพระโอรสองค์เล็ก แต่ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครองรัชกาลที่เจ็ดทรงนำออกไปได้เพียงบางส่วนเพราะรัฐบาลอายัด ที่ทรงนำไปได้ก็ทรงขายเสียบ้างเพื่อดำรงพระเกียรติยศในอังกฤษ นอกนั้นคิดว่าสมเด็จพระภัคคินีน่าจะทรงครอบครองอยู่เพราะถือว่าทรงเป็นสายตรงแท้ๆ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ - [ 3 มิ.ย. 51 14:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ได้ความรู้อีกมากมายเลยค่ะ ต้องขอขอขบคุณทุกๆๆท่านด้วยนะคะที่หาข้อมูลและความรู้มาให้ศึกษากัน จากคุณ : สการะวาตี - [ 3 มิ.ย. 51 16:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 72 พูดถึงเรื่อง รัฐบาลในช่วงนั้น ที่เข้ามา วุ่นวายกับ ราชวงศ์เนี่ย ทำให้ผมรู้สึกถึงความเลวร้ายของพวกเค้าจริงๆ  เพราะคนมีความรู้ คิดไปเองว่าการมีการปกครองแบบ "ดีมอเครซี่" นั้นมันจะดีเลิศประเสริฐศรีทั้งๆที่ไม่ดูรากเหง้า ตัวเอง   ร. 7 ท่าน จึงต้องออกนอกประเทศอย่างที่เป็น   ไม่พุดเรื่องนี้มากครับ แค่บ่นๆนิดหน่อย เรามาคุยกัยเรื่องเพชรหรือเเรื่องพระพันปีต่อเถอะ จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 3 มิ.ย. 51 17:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 73 หนึ่งในพระราชมรดกของสมเด็จพระพันปีฯ  ที่ตกทอดมายัง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ   ขอบคุณภาพ : จากนิตยสาร Lips จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 3 มิ.ย. 51 21:03:15 ]

ความคิดเห็นที่ 74 งดงาม มิอาจหาใดเปรียบ จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 3 มิ.ย. 51 21:07:46 ]

ความคิดเห็นที่ 75 สร้อยพระศอ  ที่แต่ละเหรียญเป็นรูปพระราชโอรส ของ สมเด็จพระพันปีฯ จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 3 มิ.ย. 51 21:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ชุดทับทิม ครับ (เป็นพระราชมรดกหรือเปล่า  ไม่แน่ใจครับ) แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 51 21:31:11 จากคุณ : คุณชาย...หูกาง - [ 3 มิ.ย. 51 21:10:34 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ต้องขอโทษ คุณพระนายไวยวงศา ด้วยนะคะถ้าความจริงในใจของอิฉันมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับสมเด็จพระพันปีเท่าไหร่นัก ตั้งแต่ได้อ่านเรื่องที่พระองค์ท่านขอพรพิเศษกับพระพุทธเจ้าหลวงที่ให้พระราชโอรสสายพระองค์ท่านได้สืบราชสมบัติก่อนทั้งที่ก่อนหน้านั้นพระพุทธเจ้าหลวงได้ตรัสไว้ว่าให้ลูกที่เป็นเจ้าฟ้าเรียงพี่เรียงน้องตามพระชนมายุสืบราชสมบัติ ถ้าเป็นยังงั้นได้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าคงจะมีพระชนชีพที่มีความสุขกว่าทีผ่านมามากๆ ไม่ทราบว่าคุณพระนายไวยวงศาคิดเห็นเป็นเช่นไรบ้างคะ(อย่าโกรธกันนะคะ ขอบคุณค่ะ) จากคุณ : giggsmay - [ 3 มิ.ย. 51 22:51:29 ]

ความคิดเห็นที่ 78 หนูสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วง ร.5 ขออนุญาตออกความเห็นนิดหน่อยนะคะ หนูว่าทุกคนมีมุมมืด มุมสว่างของชีวิต เหมือนเหรียญ 2 ด้าน ราชการฝ่ายในในขณะนั้น มีฝักมีฝ่ายมากมาย มีพรรคมีพวกก็คงไม่แตกต่างกันนักกับปัจจุบัน การที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 นั้นต้องมีทั้งพระเดช และพระคุณ มีดีมีโหด แล้วแต่กรณีเพื่อได้มาซึ่งอำนาจ ปกป้องอำนาจ และกลัวเสียอำนาจ ชีวิตในวังทุกชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใดล้วนน่าสงสาร พระพันปีเองชีวิตก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มีสุข มีทุกข์ มีขมขื่น โดยเฉพาะกับลูก ๆ ซึ่งไม่ค่อยได้ดังใจสักเท่าไหร่นัก ถึ่งแม้จะเต็มไปด้วยทรัพย์สินศฤงค์คาร มากมาย แต่ชีวิตบั้นปลายใช่ว่าจะมีความสุขสบายสักเท่าใดนัก เราถือนิยายชีวิตกันคนละเล่ม แต่นิยายชีวิตของท่านนั้นช่างมีสีสรรและน่าสนใจ เพราะมีทั้งสุขที่สุด ทุกข์ที่สุด รุ่งเรืองที่สุด ตกต่ำจนยากที่จะทำใจ และสุดท้ายก็จบชีวิตอย่างเหงา ๆ ค่ะ จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ว (โอ๊ะเอ๊ว) - [ 4 มิ.ย. 51 05:39:27 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องพรพิเศษมีจริงหรือไม่ แต่การที่สายพระองค์ท่านได้สืบราชสันตติวงศ์ก่อนไม่ใช่เป็นเพราะกฏมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ดอกหรือ? แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 51 08:04:05 จากคุณ : อเทตยา - [ 4 มิ.ย. 51 08:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เรื่องพรพิเศษที่ทรงขอนั้นมีหลายกระแสบอกว่าไม่รู้ใครไปเอามาจากไหนเหมือนกัน ค้นกันหลายทีแล้วก็ไม่เคยพบบันทึกว่าทรงขอเช่นนั้นกับพระพุทธเจ้าหลวง(เคยอ่านในหนังสือฉบับหนึ่งแต่จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน) เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อค่ะ โดยส่วนตัว (เอาส่วนตัวเลยนะคะ) ชื่นชมพระจริยวัตรของพระพันวสามากกว่าค่ะ ซึ่งพระจริยวัตรนี้ได้ถ่ายทอดมาถึงล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ได้อย่างงดงาม ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลถึงทำอะไรท่านไม่ได้สักอย่าง วังสระปทุมก็สวนดีๆนี่เอง อยู่กินกันในนั้นเสร็จสรรพ ไม่ต้องซื้อต้องหาให้เปลืองเงิน เหลือก็ขาย เอาเงินเข้าห่อ อยากให้ลองอ่านมาลัยสามชายดูจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวท่านผู้หญิงสองท่านในเรื่อง (ตอนดิฉันอ่านภาพลอยมาเต็มๆ) ป.ล.ชุดทับทิมอลังการมาก แต่พลอยนพเก้าบอกว่าชุดมรกตเลิศอลังการกว่า ถ้าครบชุดนี่ฝรั่งมีพูดไม่ออก แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 51 08:52:07 จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ - [ 4 มิ.ย. 51 08:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 81 สร้อยพระศอในความเห็นที่ ๗๕ เป็นเงินเฟื้องทองคำพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทุกเหรียญ ไม่ใช่พระรูปของพระราชโอรสของสมเด็จพระพันปีหลวงครับ สร้อยพระศอทับทิมในความเห็นที่ ๗๖ ไม่ใช่พระราชมรดกในสมเด็จพระพันปีหลวง แต่เป็นสร้อยพระศอที่ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงซื้อไว้แต่ครั้งประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ด้วยเงินส่วนพระองค์ที่ทรงหาได้และเก็บออมไว้ด้วยพระองค์เองครับ คำบรรยายภาพในนิตยสารดังกล่าวมีที่ผิดพลาดหลายแห่งครับ จากคุณ : นาย UP - [ 4 มิ.ย. 51 09:12:09 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ส่วนตัว ชื่นชมในพระจริยวัตรของสมเด็จพระพันวัสสาฯ เช่นกันค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า สมเด็จพระพันปีฯ ทรงเป็นสตรีที่มี "ดวง" สูงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากทรงดำรงพระเกียรติยศที่สูงยิ่ง 3 สถานะ ได้แก่ ลูกกษัตริย์ เมียกษัตริย์ และ แม่กษัตริย์ นอกจากนั้น ยังทรงเป็น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ องค์แรกแห่งรัตนโกสินทร์อีกด้วยค่ะ จากคุณ : Happy to be Me (Happy to be Me) - [ 4 มิ.ย. 51 10:11:01 ]

ความคิดเห็นที่ 83 พระพักตร์ในรูปคห.51 คล้ายพระพันวสามาก...... จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ - [ 4 มิ.ย. 51 11:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เสร็จจากกระทู้นี้แล้ว  เราไป ขึ้นกระทู้ เปิดวังสระประทุมกันนะครับ  เพราะมีเรื่องราวของ พระพันวัสสาที่น่าสนใจมากเช่นกัน  ส่วนตัวนั้นผมเห็นในพระพันวัวสามากเช่นกัน ส่วนพระพันปีอย่างที่ทราบ ท่านเป็น บุคคลที่มีดวง และบารมี แบบยากที่คนอื่นจะมีเหมือน จากคุณ : คุณพระนายไวยวงศา - [ 4 มิ.ย. 51 14:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ดีค่ะที่คุณพระนายไวยฯเปิดกระทู้พระพันวัสสา ดิฉันเทิดทูน สนใจและเห็นพระทัยของพระองค์มาก รออ่านค่ะ จากคุณ : แม่ของObst (obst) - [ 4 มิ.ย. 51 14:39:19 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ถ้าท่านที่คิดว่าสมเด็จพระพันปีหลวงทรงดำรงพระเกียรติยศอันสูงส่งด้วยเหตุแห่งพระชะตา โดยปราศจากพระปรีชาสามารถในเชิงราชการนั้น ขอให้ท่านลองอ่านหนังสือสักสองเล่ม ชื่อว่า "พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชทานแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ในเวลาที่ทรงสำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาศยุโรป พ.ศ.๒๔๔๐" และ "พระราชหัตถเลขาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  พระราชทานเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี" ลองหามาอ่านดูสิครับ โดยเฉพาะเล่มแรก ท่านอาจจะมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของพระองค์ และอาจจะหมดความสงสัยไปได้เลยว่าเหตุใดสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงพระราชทานพระมหากรุณาเป็นพิเศษเช่นนั้น จากคุณ : นาย UP - [ 4 มิ.ย. 51 15:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เรื่องในราชสำนัก มันสุดที่จะคาดเดาเพราะเป็นสังคมที่ปกปิดหวงห้าม ยิ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นเหตุการณ์ในอดีต โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบเลยที่บรรดานักวิชาการหรือผู้รู้บางท่าน จับเอาข้อความในบันทึกนู่นนิด จดหมายนี่หน่อย แล้วเอามาตีความในลักษณะที่สอดแทรกความคิดตัวเองลงไป ซึ่งทั้งๆที่จริงแล้ว ในประวัตศาสตร์ก็ไม่มีกล่าวอ้าง ด้วยสังคมไทยสมัยก่อนเป็นสังคมที่ไม่มีการจดบันทึก ยิ่งเป็นเรื่องที่อ่อนไหว ยิ่งไม่มีใครกล้าเขียน กล้าบันทึกด้วยกลัวราชภัยกันทั้งนั้น ดูอย่าง หนังสือของท่านหญิงพูนพิศสมัยก็แล้วกัน ขนาดว่ากล้าเอามาดีพิมพ์ยังตัดชื่อบุคคลที่เกียวข้องออกโดยใส่.......เอาไว้ตั้งเยอะแยะจนอ่านแทบไม่รู้เรื่องไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  เราจะพอทราบว่าอะไรเป็นอะไร ก็จากคำบอกเล่าต่างๆนานาจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งไม่แน่ว่าทุกสิ่งจะจริงเสมอไป ด้วยว่า นายใครใครก็รัก พ่อแม่ใคร ใครก็รัก ก็เกิดความยึดติด เล่าลือแต่เรื่องที่ดีงาม เรื่องไม่ดีก็เงียบเสีย..  มันเลยออกมาเป็นแบบที่เห็น คือสิ่งที่เราได้รู้ๆมา มันอาจจริงหรือไม่จริงก็ได้ ที่จริงอาจจะจริงไม่หมด ราชสำนักฝ่ายในใดๆทุกที่ย่อมมีความวุ่นวาย ทุกอย่างมันไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับ ความสามารถ อำนาจ เล่ห์กล หรือโชคชะตา วาสนาบารมีก็สุดจะเดา จากคุณ : สายธารธรรม (พลอยนพเก้า) - [ 5 มิ.ย. 51 09:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ^ ^ ^ เราจะตีกรอบความคิดของใครคงไม่ได้กระมังคะ แต่ถ้าเขียนล้ำเส้นจริงๆคงเตือนกันได้ค่ะ จากคุณ : แม่ของObst (obst) - [ 5 มิ.ย. 51 13:43:16 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เราเคยได้หนังสือที่รวบรวมเครื่องเพชรที่ตกทอดมาถึงเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ แต่หาไม่เจอไม่รู้อยู่ไหน เสียดายจริง ๆ แต่ละชุดอลังการณ์ทั้งนั้น ในหนังสือบอกว่าเครื่องเพชรที่ถูกอายัดทั้งหลาย  รัชการที่ 9 ทรงโปรดให้นำมาแบ่งเป็นพระราชมรดก ท่านจึงกลับมารับ จากคุณ : iluvtravel - [ 8 มิ.ย. 51 16:18:59 ]