ความคิดเห็นที่ 1 ปัญหาอีกอย่างในการอ่าน the Economist คือ พี่แกติ๊ต่างว่าคนอ่านมีความรู้เศรษฐศาสตร์ (แบบคลาสสิค) ระดับหนึ่ง ก็เลยไม่อธิบายบางคำ เช่น invisible hand, demand curve, หรือ comparative advantage ที่ร้ายไปกว่านั้น แกยังไม่อธิบายคำหรือวลีที่มาจากภาษาฝรั่งเศส กรีก หรือลาตินอีก เช่น ผมเพิ่งอ่านเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย เจอคำว่า Lese majeste (เขียนแบบมีขีดข้างบนด้วย) บ๊ะ อั๊วไม่เคยเรียนฝรั่งเศส เปิดดิคก็ไม่เจอ เลยต้องไปถามน้าวิกิฯ ก็เลยได้คำตอบว่ามันคือ the crime of violating majesty หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั่นเอง ก็มีบางคนเขาวิจารณ์ว่า the Economist ไม่ต่างกับบัณฑิตใหม่ใฝ่แรง (เกิน) จากมหาวิทยาลัยมีชื่อในอังกฤษซึ่งไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำตัวหัวสูง เสแสร้ง และตีขลุมอะไรง่าย ๆ เกินไป ไม่เสนอข้อเท็จจริง แถมชอบยัดเยียดแนวความคิด privatization, deregulation และ liberalization ราวกับว่ามันเป็นสัจธรรมที่ทุกประเทศต้องทำตามเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาอ่าน เราต้องสวมหมวก Critical Thinking กันหน่อยนะครับ จากคุณ : นัท305 - [ 5 มิ.ย. 51 10:25:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านไปอ่านมา จะพาลไม่กล้าอ่าน the Economist กัน ผมก็เลยขอจิ๊กบทความจากฉบับล่าสุดมาคุยกัน (educational purpose นะคร้าบ...) จะได้เห็นว่า มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นซักหน่อย The oil price: Recoil May 29th 2008   From The Economist print edition จากคุณ : นัท305 - [ 5 มิ.ย. 51 10:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จากปกฉบับนี้ จะเห็นได้เลยครับว่าเขาเล่นคำว่า RECOIL โดยเน้นคำว่า REC กับ OIL แยกกัน แต่มันมาจากคำว่า re + coil ครับ จริง ๆ ผมก็ไม่รู้จักคำว่า recoil หรอกครับ รู้จักแต่คอลย์ในรถที่เป็นขดลวดจ่ายไฟให้หัวเทียน (spark plugs) (ที่รู้ก็เพราะเพิ่งไปเปลี่ยนเจ้าคอยล์มาเนี่ยแหละ เวลาคอยล์จ่ายไฟไม่ค่อยดี รถจะสตาร์ทติดยาก) ดังนั้น coil เฉย ๆ ก็คือ ถ้าเป็น noun ก็คือ ซักอย่างที่มัน "ขด" นั่นเอง เช่น a coil of rope ก็คือขดเชือก หรือในการ์ตูน เวลาปิ๊งไอเดียอะไรออก ก็จะมีรูปหลอดไฟอยู่บนหัวใช่มั้ยครับ ไอ้เจ้าใส้หลอดไฟที่อยู่ในหลอดแก้วนั่น ก็เรียกว่า the coil in a light bulb ส่วนสปริงที่อยู่ในปากกาแบบกด ในรถ หรือในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ก็เรียกว่า coil spring ครับ ส่วนถ้าเป็น verb ก็หมายถึง เอาอะไรมาขด หรือทำอาการขด เช่น     The snake coiled around the branches of the tree.     She felt her stomach coiling into knots of dread.          -> เครียดจนรู้สึกว่าลำไส้มันขดเป็นปม อูย... ทีนี้ พอเอา re มาใส่ข้างหน้า coil กลายเป็น recoil ก็หมายถึงผงะ เด้งกลับเพราะเกลียดหรือกลัว หรือลองนึกภาพปืนใหญ่สมัยโบราณ recoil ก็คือแรงสะท้อนที่เกิดหลังจากเวลายิงปืนออกไปแล้วน่ะครับ ดังนั้นการที่เขาขึ้นปกว่า RECOIL ก็หมายถึงอาการที่ทั้งโลกได้ผลกระทบจากราคาน้ำมัน แล้วในคำนี้มันก็มี oil ซ่อนอยู่พอดี ส่วน rec เน้นสีแดง ผมเดาว่าคือระดับราคาที่ highest record ครับ จากคุณ : นัท305 - [ 5 มิ.ย. 51 10:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Painful though it is, this oil shock will eventually spur huge change. Beware the hunt for scapegoats. บางคนเจอประโยคแรกก็ผงะแล้ว (Painful though it is, ...) จริง ๆ มันก็คือ Though it is painful, ... นั่นเองครับ แต่การเอา adjective มาไว้ข้างหน้าก็เพื่อเป็นการเน้น (รูปประโยคแบบนี้ อาจารย์ Yoda ใน Star War ชอบใช้) ส่วน scapegoat ก็คือแพะรับบาป IN THE early 1970s a fourfold rise in the price of oil almost brought the world to a standstill. The shock of the Arab embargo left a deep mark in many countries: America subjected its cars to fuel-efficiency standards, France embraced nuclear power-- though sadly shoene rukku, or "energy-conscious fashion", the inspiration for Japan's fetching short-sleeved business suit, was ahead of its time. fourfold four ก็สี่ fold ก็พับหรือทบ ก็คือ สี่เท่านั่นเอง ส่วน embargo ก็คือการห้ามการค้าขายหรือส่งออกครับ คือในปี 1973 เนี่ย กลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นประเทศอาหรับประกาศจะไม่ส่งออกน้ำมัน ไปยังประเทศที่สนับสนุสอิสราเอลในสงครามระหว่างอิสราเอลกับซีเรียและอียิปต์ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา, พันธมิตรในยุโรป และญี่ปุ่น ราคาน้ำมันตอนนั้นก็เลยสูงตามอุปทานในตลาดโลกที่ลดลง (หวังว่าคงจำเรื่องอุปสงค์อุปทานที่เรียนตอนม.ปลายได้นะครับ) คำว่า fetching ปกติ fetch เป็น verb หมายถึง ไปเอาบางอย่างและนำกลับมาด้วย อย่างเช่น play fetch ก็หมายถึง เล่นขว้างของให้สุนัขไปคาบกลับมา ส่วน fetching ดันหมายถึง attractive, especially because the clothes you are wearing suit you ประมาณว่าแต่งตัวขึ้นน่ะครับ คือเขาจะบอกว่า shoene rukku หรือ "แฟชั่นจิตสำนึกในเรื่องพลังงาน" ซึ่งทำให้เกิดชุดทำงานแบบแขนสั้นที่หล่อทีเดียว แต่ว่า ณ ตอนนั้น มันดูเหมือนมันจะมาก่อนเวลาไปหน่อย แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 51 11:58:56 จากคุณ : นัท305 - [ 5 มิ.ย. 51 10:30:09 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Thirty-five years on, oil prices have quadrupled again, briefly soaring to a peak of just over $135 a barrel. But, so far, this has been a slow-motion oil shock. quadruple ก็คือเพิ่มเป็น 4 เท่าครับ เหมือน double หรือ triplle นั่นแหละ แต่ย่อหน้าแรกใช้คำว่า fourfold ไปแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนคำบ้าง ในภาษาอังกฤษมี synonym ให้เลือกใช้เยอะครับ แต่ต้องเลือกใช้ให้ถูกความหมายและบริบท จะเป็นการยกระดับภาษาขึ้นมา If the Arab oil-weapon felt like a hammer-blow, this time stagnant oil output and growing emerging-market demand have squeezed the oil market like a vice. ผมชอบตรงที่เขาเปรียบเทียบว่า ถ้าการที่อาหรับใช้น้ำมันเป็นอาวุธเหมือนกับการใช้ค้อนทุบ การที่ระดับการผลิตไม่เพิ่มขึ้นผนวกกับอุปสงค์ในตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเติบโต ก็มีผลบีบคั้นตลาดน้ำมันเหมือน a vice เจ้า vice นี่คืออุปกรณ์ที่หมุน ๆ เอาไว้ล็อควัตถุน่ะครับ For almost five years a growing world shrugged it off. Only now is it recoiling in pain. เกือบห้าปีที่ผ่านไป คนมัวแต่เห่อการเติบโตของเศรษฐกิจจน shrugg off เรื่องน้ำมัน shrugg ก็คือยักไหล่ครับ เรายักไหล่ ไม่ใช่เพราะเราเต้นอยู่ในผับแบบไทเทฯ แต่ยักไหล่เพื่อแสดงความไม่สนใจใยดีกับเหตุการณ์หรือปัญหานั้น ๆ ประโยคสุดท้ายก็เลยบอกว่า ตอนนี้ปัญหามันก็เลยสะท้อนกลับมาแล้ว แต่อ่านแล้วอาจจะงงนิดหน่อย เพราะเขียนในรูป inversion ถ้าเขียนง่าย ๆ ก็คือ Now it is only recoiling in pain. นั่นเอง [อันนี้คือรูป vice ครับ] จากคุณ : นัท305 - [ 5 มิ.ย. 51 10:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อันนี้เป็นแค่สองย่อหน้าแรกของบทความทั้งหมด อยากอ่านต่อ กรุณาสอบถามแผงหนังสือแถวสยามหรือสีลมนะครับ จะเห็นได้ว่า ผมไม่แปลเป็นไทยตรง ๆ เพราะต้องคำนึงถึงบริบทและความหมายของมัน จริง ๆ แล้วผมไม่ชอบแปลด้วยซ้ำ เพราะเสียอรรถรสหมด เพราะบางคำ เราต้องเข้าใจความแตกต่างทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ถ้าถึงที่สุดแล้ว จะเข้าใจได้ (ใกล้เคียงที่สุด) เราต้องรู้ว่าฝรั่งเขาคิดอย่างไรด้วยนะครับ ผมเลยแปลแบบเหมือนเพื่อนนั่งคุยกันดีกว่า แถมทิปนิดนึง ตอนนี้เวลามีใครมาถามว่า จะพูด/เขียนประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษยังไง ผมจะไม่นึกแปลเป็นตัว ๆ ไป แต่จะนึกว่า ไอ้สิ่งที่เขาต้องการสื่อนั้น ผมเคยได้ยินหรือได้อ่านที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นในหนัง, series, นิยาย, หนังสือพิมพ์ หรือตำรา และพยายามดึง form นั้นออกมาใช้ ซึ่งจะได้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ (แบบที่ native เขาใช้กัน) มากกว่า ตอนนี้ก็พอรู้บ้าง งู ๆ ปลา ๆ ยังไม่ค่อยเก่ง ต้องหมั่นเรียนรู้และจดจำเยอะ ๆ ทีนี้ ยิ่งเรามีคลังของรูปแบบการใช้ภาษาในหัวเยอะเท่าไหร่ (ซึ่งต่างกับการรู้ศัพท์เยอะ ๆ แต่ใช้ไม่เป็น) เราก็จะสื่อสารได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ จากคุณ : นัท305 - [ 5 มิ.ย. 51 10:35:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณนัทกลับมาครั้งนี้ฮายยยโซมั่กๆๆๆ ว่าแล้วมันอ่านยากนัก เราไปอ่านซ้อ 7 กันดีก่า อิอิ จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง - [ 5 มิ.ย. 51 10:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบใจนะคุณนัท105 เอ๊ย 305 ถ้าให้เราอ่านเอง คงไม่รู้เรื่องอย่างนัทอธิบายแน่เลย โดยเฉพาะหน้าปกน่ะ อธิบายได้ดีจัง เราว่าเธอก็ยังเป็น economist อยู่นะ ไม่ใช่ ex-economist ซะหน่อย จากคุณ : Flowery - [ 5 มิ.ย. 51 14:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมว่าหนังสืออย่าง the economist หรือ newsweek ถ้าจะอ่านให้รู้เรื่องมันต้องรู้เหตุการณ์หรือต้องมีความรู้เฉพาะทางนั้นด้วย ภาษาดีแค่ไหน ถ้าไม่รู้หลัก econs ก็งงได้ ถ้าเขาใช้ศัพท์อย่าง monetary policy หรือ fiscal policy หรือ opportunity cost ก็เสร็จครับ ผมเองก็มั่นใจในภาษาระดับนึงเลยแต่จะให้ผมไปอ่าน newsweek ที่เกี่ยวกับการเมือง/การเลือกตั้ง president ของเมกาก็ขอบอกว่าไม่ไหว เพราะผมไม่ติดตามการเมือง และไม่รู้ว่าระบบเลือกตั้งของเมกาเป็นไง ตอนนั้นผมอ่าน newsweek เกี่ยวกับสงครามอิรัก ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลย ก็เพราะผมไม่ได้ติดตามเหตุการณ์ซักเท่าไร รู้คร่าวๆว่า'มันแย่' เท่านั้น จากคุณ : hoyhey - [ 5 มิ.ย. 51 17:44:21 A:203.146.25.174 X: ]