ความคิดเห็นที่ 1 ไม่แน่ใจนะคะ ลองเข้าไปดูที่ http://www.me.in.th/Live/ จากคุณ : . (*AQUA*) - [ 2 ธ.ค. 51 18:56:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 วันนี้จัดอย่างรวบรัด แต่สง่างามเหมาะสมดีค่ะ เป็นกำลังใจให้ทหารรักษาพระองค์ทุกท่านค่ะ จากคุณ : pimon - [ 2 ธ.ค. 51 19:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สงสัยค่ะ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ 8 คน นอกจาก ผบ.สส. ทบ. ทอ. ทร.แล้ว อีก 4 คนตำแหน่งอะไรคะ จากคุณ : แก้ม (yinggam7) - [ 2 ธ.ค. 51 19:40:23 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณ นะคะ  ... คุณ  AQua จากคุณ : mulila - [ 2 ธ.ค. 51 19:40:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตำแหน่งเสนาธิการของแต่ละเหล่าทัพอ่ะครับ จากคุณ : เจไอ - [ 2 ธ.ค. 51 20:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สงสัยเหมือนกับ คคห ๔ แต่ที่ได้ยิน คือ กองที่เกี่ยวกับการรักษาพระองค์อะไรสักอย่าง ไม่ใช่ เสธ หรอก สาบานว่าหูไม่เพี้ยน เอ ใครทราบมั่งว่า ธงไชยเฉลิมพล มีไว้เพื่อการใด? จากคุณ : กินนรเริงร่า - [ 2 ธ.ค. 51 20:32:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ยืนยันตามคุณคห. ๕ ค่ะ ว่า ผู้บัญชาการ ๔ เหล่าทัพ + เสนาธิการของแต่ละเหล่าทัพ รวมเป็น ๘ นายค่ะ ดูพิธีการย้อนหลังก็ได้ค่ะ เพราะผู้บรรยายบอกไว้เหมือนกัน ซึ่งก็บอกมาทุกปีแหละ จากคุณ : Kitsunegari - [ 2 ธ.ค. 51 22:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ธงชัยเฉลิมพล พูดง่ายๆ คือ ธงที่เป็นขวัญกำลังใจให้กองทัพ เป็นธงแทนพระมหากษัตริย์ ด้วยเพราะเบื้องบนของธงบรรจุเส้นพระเจ้าในพระเจ้าอยู่หัว เป็นธงนำกองทัพ เวลามีการรบน่ะครับ จากคุณ : natthaset - [ 2 ธ.ค. 51 23:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เสธ. แต่ละเหล่าทัพครับ ยืนยันครับ จากคุณ : ดอกต้อยติ่ง - [ 3 ธ.ค. 51 00:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สีเสื้อของทหารรักษาพระองค์นั้นเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕  โดยเริ่มจากกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ที่ทรงกำหนดสีเสื้อไว้เป็นสีแดง  กางเกงดำแถบแดง  พู่หมวกสีแดง  ส่วนทหารรักษาพระองค์เหล่าอื่นคงใช้เสื้อเต็มยศสีเทาตามแบบนายทหารเยอรมัน  โดยมีส่วนที่ต่างจากทหารหน่วยอื่นคือ เพิ่มขดลวดทองที่ริมขอบอินทธนูและที่ปกคอเสื้อ  ส่วนเครื่องประกอบอื่นๆ เหมือนกับหน่วยทหารอื่นๆ ภายหลังจากที่มีการจัดอัตรากำลังเป็น ๑๐ กองพลตามแบบกองทัพในยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ แล้ว  จึงเริ่มมีการกำหนดสีประจำเหล่าทหารบกโดยอนุโลมตามสีประจำเหล่าของนายทหารอังกฤษ และมีการใช้สีประจำเหล่าประกอบในเครื่องแบบทหารบก  ที่พื้นบนของอินทธนู  ที่ปกคอเสื้อและแถบสีที่ขากางเกง คือ เหล่าราบ  หมายสีแดง เหล่าปืนใหญ่  หมายสีเหลือง เหล่าม้า  สีฟ้าหม่น เหล่าช่าง  หมายสีดำ เหล่าพาหนะ (ขนส่ง) หมายสีเลือดหมู เหล่าสื่อสาร  หมายสี เม็ดมะปราง (ม่วง) เครื่องแบบทหารรักษาพระองค์มาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗  นสมัยรัชกาลที่ ๖ ทีโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์  และกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ ซึ่งทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษใช้เครื่องแบบพิเศษต่างไปจากหน่วยทหารรักษาพระองค์อื่นๆ คือ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ หมวกยอดมีพู่สีดำ  แล้วเปลี่ยนเป็นหมวกยอดมียอดหมวกเป็นพระครุฑพาห์สีเงิน เสื้อสีน้ำเงิน (สีประจำวันพระบรมราชสมภพ)  มีแถบทองติดที่คอเสื้อและปลายแขน  มีคันชีพและสายคันชีพแถบทอง  ดุมทองตราพระมหามงกุฎ  อินทรธนูพื้นบนสีน้ำเงินพื้นล่างสีแดงมีแถบทองตามชั้นยศ  ต่อมาโปรดให้เปลี่ยนเป็นเครื่องทองเป็นเครื่องเงินทั้งหมด กางเกงดำแถบแดง ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  มีการเปลี่ยนเครื่องหมายเงินกลับไปเป็นทอง  และเปลี่ยนยอดหมวกเป็นพู่ดำ  ซึ่งได้ใช้มาถึงปัจจุบัน กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์   หมวกยอดมีพู่สีฟ้า เสื้อทูนิกแบบอูลาน (ดุมสองแถวแบบทหารม้า) กางเกงขี่ม้าแถบสีเหลือง เครื่องแบบนี้คงใช้มาจนถึงปัจจุบัน  แต่มีการเปลี่ยนหมวกเป็นหมวกโลหะสีเงินมีพู่สีฟ้าเฉพาะเวลาขี่ม้า ส่วนนายทหารรักษาพระองค์เหล่าอื่น  คงสวมเสื้อราชปะแตนสีขาว  กางเกงแถบสีดำ  ต่างกันที่คอเสื้อ  ปลอกข้อมือ  อินทรธนู  และแถบขากางเกงเป็นสีตามเหล่า  ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น  จะมีที่พิเศษอีกอย่างคือ ยอดหมวก  ที่เหล่าปืนใหญ่ยอดหมวกจะเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่รูปกลมมีขายึดสี่ขา  ส่วนหน่วยอื่นเป็นยอดบัวตูมทรงเตี้ย  ติดตราพระครุฑพาห์ที่หน้าหมวกทั้งหมด จากคุณ : V_Mee - [ 3 ธ.ค. 51 06:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น  ทรงตั้งหน่วยทหารพิเศษขึ้นกรมหนึ่งสังกัดกระทรวงวัง  มีภารกิจหลักในการอยู่เวรยามรักษาพระราชฐานและเป็นกองดับเพลิงประจำพระราชสำนัก  รวมทั้งการแบกหามพระราชยาน  และการป้องกันพระราชอาณาจักรในมณฑลปักษ์ใต้ที่มีสัญญาลับกับอังกฤษว่าสยามจะไม่ส่งกองทหารลงไปประจำการ  พระราชทานชื่อกรมทหารนี้ว่า "กรมทหารรักษาวังของพระบาสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" เรียกอย่างย่อว่า "กรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร."  มีเครื่องแบบต่างไปจากทหารรักษาพระองคือื่น คือ หมวกค๊อกแฮตสวมทางขวาง  (แบบหมวกพระเจ้านโปเลียน)  มีพู่ทรงตั้งติดที่หน้าหมวก เสื้อราชปะแตนสีขาว  ปลอกคอ  ปลอกข้อมือ  และอินทรธนูพื้นสีบานเย็น (สีประจำกระทรวงวัง) กางเกงรูเซีย (กางเกงขาพองรัดใต้เข่า  เหมือนกางเกงทหารเยอรมัน) สีดำ  แถบสีบานเย็น กระบี่ไทย (รูปทรงเหมือนดาบไทยมีโกร่งกระบี่เหมือนที่สี่พระตำรวจหลวงที่นำเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสะพาย) ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  กรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร.ถูกแปรสภาพป็น กองพันทหารราบที่ ๙  แล้วเปลี่ยนเป็นกองพันที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ จนถึงปัจจุบัน   เมื่อสภาพมาเป็น ร.๑ พัน ๓ ร.อ. นั้น  ได้มีการเปลี่ยนหมวกจากค๊อกแฮตสวมทางขวางมาเป็นหมวกยอดมีพู่สีบานเย็น  ส่วนปลอกคอ  ปลอกข้อมือและแถบขากางเกงคงใช้สีบานเย็นต่อมาถึงปัจจุบัน ในรัชกาลปัจจุบัน  มีการเพิ่มเครื่องแบบของกรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  เป็นเสื้อสักหลาดสีม่วง  และต่อมาในสมัยที่พลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบกได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบทหารรักษาพระองค์อีกครั้ง คือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เปลี่ยนเสื้อสักหลาดสีเหลือง  หมวกยอดมีพู๋ กรมทหารราบที่ ๒  รักษาพระองค์  เสื้อสักหลาดสีเขียว  กางเกงแถบสีเขียว กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์  เสื้อกางเกงสักหลาดดำ  หมวกแก๊ปสีขาว กรมนาวิกโยธินที่ ๑ รักษาพระองค์  เสื้อสักหลาดสีแดง   กรมนักเรียนนายเรืออากาศ รักษาพระองค์  เสื้อสักหลาดสีฟ้า  กางเกงดำ กรมอากาศโยธิน รักษาพระองค์  เสื้อสักหลาดสีบานเย็น   กรมทหารขนส่งรักษาพระองค์  เสื้อสักหลาดสีเลือดหมู นอกจากนั้นยังมีเครื่องแบบทหารรักษาพระองค์ที่ใช้สรตามเหล่าแต่แตกต่างกันที่ลายปักที่คอและข้อมืออีกหลายหน่วย จากคุณ : V_Mee - [ 3 ธ.ค. 51 07:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตื่นมาเฝ้ากระทู้  แต่เช้า..... ขอขอบพระคุณ ทุกๆท่าน ที่มาให้ ความกระจ่าง นะคะ ...มุลิลา.... จากคุณ : mulila - [ 3 ธ.ค. 51 09:02:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แก้ไขส่วนที่ผิดในความเห็นที่ ๑๑ ให้นะครับ ทหารปืนใหญ่คือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ (ไม่จำเพาะว่าในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ) ส่วนนาวิกโยธิน คือ กองพันทหารราบที่ ๙ รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ ๓ (ตั้งอยู่ที่ จว.นราธิวาส) ส่วนปี ๒๕๕๐ นั้น กองพันนาวิกโยธินที่สวนสนามเป็นกองพันทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ เครื่องแบบสีเหลือง จากคุณ : amm - [ 3 ธ.ค. 51 23:17:14 A:61.19.220.5 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอแก้ไขความเข้าใจของคุณ amm ในความเห็นที่ ๑๓ ครับ นามกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์นั้น  นามที่ถูกต้องคือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่มีสร้อยนามกรมเช่นนั้นเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยทรงรับราชการประจำในกรมนี้  จึงมีการถวายพระเกียรติยศให้ปรากฏพระบรมนามาภิไธยคู่กับกรมนี้ตลอดไป  มิได้หมายความว่า กรมทหารนี้เป็นหน่วยรักษาพระองค์เฉพาะในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ดังเช่นที่คุณamm เข้าใจ ธรรมเนียมการเติมสร้อยนามกรมเป็นเกียรติยศนี้  มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษครับ  เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่  ๒๓  ตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๕๓  ต่อมาอีก ๒ วันคือ วันที่  ๒๕ ตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๕๓  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกประชุมนายทหารในกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ทุกนาย  แล้วได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้นายทหารทุกคนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่ทรงเป็นผู้ก่อตั้งกรมทหารนี้ทั้งยังได้ทรงดำรงพระยศเป็นนายพันเอก ผู้บังคับการกรมด้วยพระองค์เองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษต่อมาตราบจนเสด็จสวรรคต  เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เติมสร้อยนามกรมนี้เป็น "กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" เรียกอย่างย่อว่า "กรทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร." เพื่อให้ปรากฏพระเกียรติคุณสืบไปชั่วกัลปาวสาน  และได้โปรดเกล้าฯ ให้เชิญอักษรพระบรมนามาภิไธย "จ.ป.ร." ประดับบนอินทรธนูของนายทหารในกรมนี้เป็นสัญลักษณ์แทนเลขหมายนามกรมด้วย จากนั้นมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เติมสร้อยนามกรมทหารรักษาวังว่า "กรมทหารรักษาวังของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" หรือ "กรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร."  จากนั้นมาได้เกล้าฯ ให้เจ้านายพระองค์ต่างๆ ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษกรมทหารเพื่อให้ทรงรับพระภาระช่วยทนุบำรุงกรมกองทหารนั้นๆ แล้ว  ก็จะโปรดให้เติมสร้อยนามกรมตามพระนามพระบรมวงศ์ผู้ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ เช่น กองพันทหารม้าที่ ๖ รักษาพระองค์ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง  มีสัญลักษณ์เป็นอักษรพระนามาภิไธย "ส.ผ." ประดับบนอินทรธนูแทนนามกรมเป็นต้น ในปัจจุบันอักษรพระบรมนามาภิไธยและพระนามาภิไธยพระบรมวงศ์ที่ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษนั้นใช้ติดที่อกเสื้อข้างขวาของนายทหารในสังกัดกรมหรือกองพันที่เจ้านายพระองค์นั้นเคยเป็นหรือทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษมาก่อน  สำหรับกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ป.ป.ร. นั้น  โปรดสังเกตที่อกเสื้อข้างขวาของนายทหารในกรมนั้นจะประดับอักษรพระบรมนามาภิไธย "ป.ป.ร." จากคุณ : V_Mee - [ 4 ธ.ค. 51 09:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ต้องยอมรับในข้อมูลของคุณV_Meeนะครับ ว่ามีข้อมูลของทหารมากมาย แม้แต่ทหารเองถ้าไม่ได้ทำงานในหน่วยนั้น ๆ หรือไม่ได้อ่านเรื่องราวในประวัติศาสตร์ทหาร ก็จะไม่ทราบ อันที่จริงหน่วยทหารปืนใหญ่ที่สวนสนาม คือกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ แต่ก็ได้พูดถึงหน่วยบังคับบัญชา คือ ป.๑ รอ. อย่างไรก็ตามผมก็ขอมาแก้ในส่วนที่ผิดให้อีก คราวนี้นำกฎกระทรวง แล้วก็ราชกิจจานุเบกษามาให้อ่านด้วยเลย คงจะเป็นข้อมูลเพิ่มให้ได้นะครับ หน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์นั้น ปัจจุบันผมขอแบ่งเป็นสองประเภท คือ ๑. หน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ ๒. หน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประเภทที่ ๑ คือหน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ในพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ซึ่งก็คือรัชกาลที่ ๙ เสื้อเต็มยศรักษาพระองค์เป็นสีเหลืองปลอกข้อมือปักอักษร ภปร ตัวอย่างหน่วยคือ กรมทหารปืนใหญที่ ๑ รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์, ป.พัน.๑๑ รอ.เป็นต้น ส่วนประเภทที่ ๒ เป็นหน่วยรักษาพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสื้อเต็มยศรักษาพระองค์เป็นสีเหลือง ปลอกแขนปักอักษร สก ตัวอย่างคือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ รักษาพระองค์ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๒ รักษาพระองค์, ป.พัน.๑๒ รอ.,ป.พัน.๒๑ รอ. เป็นต้น กฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบทหารบก http://www.geozigzag.com/RESOURCE5/army/data/part1/111_3.pdf (ดูในกฎกระทรวง หน้า ๓๒ ข้อ ๙ เสื้อเต็มยศรักษาพระองค์ ข้อ(ฎ)และ (ฏ)) การเป็นหน่วยรักษาพระองค์ในประเภทที่ ๒ นั้นจำเพาะเจาะจงแล้ว ว่ารักษาพระองค์สมเด็จ ฯ พระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ ก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป เสื้อเครื่องแบบก็ติดเครื่องหมายพระนามย่อ สก ที่หน้าอก เว็บ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ รักษาพระองค์ http://www.rta.mi.th/21240u/ เว้นแต่จะมีพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนไปรักษาพระองค์ในพระราชวงศ์อื่น ๆ ก็จะเปลี่ยนนามการรักษาพระองค์ของหน่วย ไปยังพระราชวงศ์อื่น ๆได้ ส่วนประเภทที่ ๑ นั้น รักษาพระองค์ในพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ขออ้างในกฎกระทรวง หน้า ๖๙ ข้อ ๓๔ การประดับพระนามย่อ ข้อย่อย (๓)ดังนี้ "ทหารในกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ทหารในหน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ และในหน่วยทหารช่างรักษาพระองค์ ใช้อักษรพระปรมาภิไธยย่อในองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เซนติเมตร" ก็คือเครื่องหมาย ภปร. ไม่ใช่ ปปร. หรือพระปรมาภิไธยอื่น และคงไม่สมควรในการพูดถึงอนาคต, (ข้อย่อย(๔) อธิบายพระนามย่อของหน่วยปืนใหญ่รักษาพระองค์ประเภทที่ ๒) ส่วนเมื่อหลังจากปี ๒๕๔๒ เป็นต้นมานั้น จะมีการสถาปนา ป.๑ รอ. เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ ตามที่คุณV_Mee บอกมา ก็ขออภัยด้วยนะครับ ผมไม่มีข้อมูลการสถาปนาในข้อนี้ จากกฎกระทรวง ว่าด้วยเครื่องแบบทหารบก ทำให้แยกหน่วยทหารรักษาพระองค์ของทหารบกในปีนั้นได้ดังนี้ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ ๑๒ รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค์ หน่วยทหารม้ารักษาพระองค์ ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หน่วยทหารม้ารักษาพระองค์ หน่วยทหารม้ารักษาพระองค์ ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ หน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หน่วยทหารช่างรักษาพระองค์ หน่วยทหารสื่อสารรักษาพระองค์ กรมทหารขนส่งรักษาพระองค์ และ กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จากคุณ : amm - [ 7 ธ.ค. 51 22:06:44 A:118.173.183.38 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 การเกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ ๗ ที่ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ถวายพระเกียรตินั้น คงเป็นเข็มที่ระลึกนี้ http://www.tahanchang.com/tahanchangling/cuangmay/sakdidech.htm เรื่องต่อมา การเรียกนาม ร.๑ รอ. ผมก็มีราชกิจจามาอ้างอิงด้วย การตั้งผู้บังคับการ วันพุธที่ ๒๖ ต.ค. ๒๔๕๓ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2453/D/1792.PDF พระราชดำรัส ให้เรียกนามกรมนี้ว่า กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2453/D/1794.PDF ซึ่งในท้ายพระราชดำรัส ก็ทรงรับเป็นนายพันเอกพิเศษของกรม ไม่ได้เป็นผู้บังคับการพิเศษ และสุดท้าย ขอเพิ่มเติมหน่วยทหารในพระองค์ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2543/D/078/2.PDF จากคุณ : amm - [ 7 ธ.ค. 51 22:34:05 A:118.173.183.38 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบพระคุณคุณamm เป็นอย่างสูงที่กรุณามาแก้ไขข้อผิดพลาดให้ ข้อมูลเรื่องหน่วยทหารรักษาพระองค์ที่ผมกล่าวถึงนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓  ผมได้รับมอบหมายจากหม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล อดีตรองประธานกรรมการปฏิบัติงานแทนประธานกรรมการมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ศึกษาค้นคว้าเรื่องเครื่องแบบทหารและเสือป่าในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดสร้างเครื่องแบบขึ้นใหม่สำหรับทรงพระบรมรูปในพระบรมราชะประทรรศนีย์ (พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง) รัชกาลที่ ๖  ที่หอวชิราวุธานุสรณ์  ผมจึงได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องหน่วยทหารรวมทั้งเครื่องแบบทหารในสมัยรัชกาลที่ ๖ ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ ๗ โดยละเอียด  และเป็นโชตดีที่พิพิธภัณฑ์กรมการรักษาดอนแดนมีฉลองพระองค์ทหารและเสือป่าในรัชกาลที่ ๖ เก็บรักษาไว้เป็นจำนวนมาก  จึงได้มีโอกาสเห็นของจริงเปรียบเทียบกับความในพระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวทหาร พ.ศ. ๒๔๕๗ และ ๒๔๖๒ ในเรื่องหน่วยทหารรักษาพระองค์นั้น  ในสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗ นั้น  หน่วยรักษาพระองค์มีเฉพาะที่สังกัดกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์เท่านั้น คือ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ กองทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ กองทหารสื่อสารที่ ๑ รักษาพระองค์ ดังที่เรียนแล้วว่า หน่วยทหารรักษาพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ - ๗ นั้นมีสัญลักษณ์เป็นขดลวดติดทีคอเสื้อและปลอกข้อมือเสื้อกับที่ขอบอินทรธนู  ส่วนกรมทหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษนั้นจึงติดอักษรพระบรมนามาภิไธยหรืออักษรพระนามพระบรมวงศ์ที่ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษที่กึ่งกลางอินทรธนูแทนเลขหมายนามกรม  เช่น กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดอักษรพระบรมนามาภิไฑย "จ.ป.ร." กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ติดอักษรพระบรมนามาภิไธย "ว.ป.ร." ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ร.ร.๖"  เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนายพันเอกผู้บังคับการพิเศษมาตั้งแต่ทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗   กรมทหารบกม้ากรุงเทพฯ รักษาพระองค์ (ปัจจุบันคือ กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์) ติดอักษรพระบรมนามาภิไธย "ว.ป.ร." และเปลี่ยนเป็น "ร.ร.๖" เพราะทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ นอกจากนั้นยังมีหน่วยทหารที่พระบรมวงศ์ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ คือ กองพันทหารม้าที่ ๖ ต่อมาเปลี่ยนเป็นกรมทหารบกม้านครราชสีมา  ติดอักษรพระบรมนามาภิไธย "ส.ผ." ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง กรมทหารบกราบที่ ๔ ติดอักษรพระนาม .... (จำไม่ได้)  ในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ มีการขนานนามกรมเพื่อให้ปรากฏพระเกียรติยศของผู้บังคับการพิเศษเพิ่มเติม คือ กรมทหารบกม้ากรุงเทพฯ รักษาพระองค์  เป็นกรมทหารบกม้ากรุงเทพฯ รักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมทหารบกปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์  เป็นกรมทหารบกปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   การใช้อักษรพระบรมนามาภิไธยหรืออักษรพระนามติดเสื้อจึงมีความหมายในทางประกาศพระเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ซึ่งทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษของหน่วยทหารนั้น  หาใช่ว่าหน่วยทหารนั้นจะเป็นหน่วยรักษาพระองค์เฉพาะในพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศ์พระองค์นั้นๆ โดยเฉพาะ  ดังมีความปรากฏในวิทยานิพนธ์ฉบับหนึ่ง  ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนายทหารในกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์  แล้วทรงประกาศขนานนามกรมทหารนี้ว่า กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ให้เป็นข้าในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ สืบไปชั่วกัลปาวสาน  เมื่อผมได้อ่านวิทยานิพนธ์ฉบับนี้แล้วได้ทักท้วงท่านผู้ทำวิจัยถึงประเด็นที่นำเสนอไว้ในวิทยานิพนธ์นั้นว่า เหตุใดจึงระบุว่า รัชกาลที่ ๖ ไม่โปรดทหารกรมนี้จึงได้โปรดให้เป็นข้าของรัชกาลที่ ๕ ไปชั่วกัลปาวสาน  ทั้งที่การเติมสร้อยนามกรมนี้เป็นธรรมเนียมของหน่วยทหารในยุโรปที่การเติมสร้อยนามกรมนั้นเพื่อประกาศเกียรติคุณท่านผู้มีอุปการคุณแก่หน่วยทหารหน่วยนั้น  คำตอบที่ได้รับคืออาจารย์ผู้ควบคุมการทำวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นสั่งให้แก้เป็นดังว่า  และเมื่อสืบสาวราวเรื่องต่อไปจึงทราบว่า อาจารย์ที่ควบคุมนั้นท่านเป็นผู้ที่มีอคติกับรัชกาลที่ ๖ เป็นการส่วนตัว จากคุณ : V_Mee - [ 8 ธ.ค. 51 19:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕  มีการยุบหน่วยทหารระดับบังคับบัญชาทั้ง กองทัพน้อย กองพล และกรมลงทั้งหมด  คงเหลือแต่หน่วยทหารระดับกองพัน  และมีการปรับเปลี่ยนชื่อหน่วยเป็นกองพันที่ ๑  ๒  ๓  เรียงกันไปเป็นลำดับ  ในการปรับเปลี่ยนคราวนั้นคงมีกองพันทหารรักษาพระองค์เหลืออยู่เพียง กองพันทหารราบที่ ๑ และ ๒ มหาดเล็กรักษพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  กองพันทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด๋จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในสมัยสงครามอินโดจีนมีความจำเป็นที่จะต้องสนธิกำลังหน่วยต่างๆ ในสนาม  จึงได้มีการรื้อฟื้นการจัดกองกำลังเป็นกองทัพ  กองพล และกรมเป็นหน่วยบังคับบัญชาขึ้นอีกครั้ง  และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีการปรับกำลังเป็นกองทัพภาคที่ ๑ ๒ และ ๓  (กองทัพภาคที่ ๔ เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่เมื่อราวยี่สิบปีเศษมานี้)  มีการรวมหน่วยระดับกองพันจัดเป็นกรม  และรวมกรมเป็นกองพลขึ้นใหม่  แต่ในการจัดรวมหน่วยครั้งนี้ไม่ได้คำนึงถึงประวัติเดิมของหน่วย  จึงทำให้ประวัติของหน่วยมหารเดิมถูกลบล้างไปเกือบหมด  คงมีเฉพาะกรมทหาราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ที่ยังคงรักษาเกียรติประวัติเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ได้มีการแปรสภาพกองพันทหารราบที่ ๙ ที่แปรสภาพมาจากกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. เดิม  มาเป็นกองพันที่ ๓ ของกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์  ส่วนกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์นั้นถูกปรับเปลี่ยนจนไม่เหลือประวัติเดิม  ส่วนกองพันทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์นั้นคงสังกัดกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ต่อมา ในยุคที่มีการจัดกำลังเป็นกองพล และกรมในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองยี้เองที่มีการรื้อฟื้นเครื่องแบบเต็มยศนายทหารรักษาพระองค์ที่เริ่มใช้มาแต่รัชกาลที่ ๕ และ ๖ ขึ้นมาอีกครั้ง ประกอบไปด้วย กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์  กองพันที่ ๑ และ ๒  คงใช้เครื่องแบบเดิมซึ่งใช้มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์  กองพันที่ ๓  คงใช้เครื่องแบบเดิมของกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร.  แต่เปลี่ยนหมวกเป็นหมวกยอดมีพู่สีบานเย็น กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์  กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์  และกรมทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์  รวมทั้งกองพันที่ ๑ ของทุกกรมที่ออกนามมานั้นคงใช้เครื่องแบบเดิมที่เคยใช้กันมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์คงใช้เรื่องแบบเดิมสมัยรัชกาลที่ ๖  แต้เปลี่ยนแถบไหมทองที่คอและข้อมือเสื้อ  กับสายราชองครักษ์  สายคันชีพจากแถบทองเป็นแถบเงินทั้งหมด  เปลี่ยนประคตไหมสีน้ำเงินสลับขาวเป็นพื้นแดงริ้วทองเช่นเดียวกับนายทหารรักษาพระองค์หน่วยอื่น อนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น  ทรงดำรงพระยศเป็นนายพันเอก ทรงบังคับบัญชาราชการในกรมนี้ด้วยพระองค์เอง  เมื่อทรงมีพระราชกิจมากขึ้นจึงทรงมอบหมายให้พระบรมวงศ์เป็นนายพันโท ผู้บังคับการกรมต่างพระองค์  โดยทรงเป็นผู้บังคับการพิเศต่อมาตราบจนสิ้นรัชกาล  ถึงรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงรับพระยศเป็นนายพันเอก ผู้บังคับการพิเศษของกรมนี้ต่อมา (มีหลักฐานกล่าวถึงในตำนานกรมทหารบกราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระนิพนธ์ในจอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงษภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช)  และได้โปรดเกล้าฯ ให้นายพลโท สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ (พระยศในขณะนั้น) เป็นนายพันโท ผู้บังคับการกรมนี้ต่างพระองค์   ธรรมเนียมการรับสัญญาบัตรยศสำหรับตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษที่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการพิเศษคงมียศเป็นเพียงนายพันเอกสำหรับกรมทหารที่เป็นผู้บังคับการพิเศษนี้มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕  ไม่ว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการพิเศษนั้นจะมียศในกองทัพบกถึงชั้นจอมพลหรือนายพล  แต่ถ้าเป็นผู้บังคับการพิเศษในกรมใดคงมียศสูงสุดสำหรับกรมนั้นเพียงนายพันเอก  เว้นแต่กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนายพันเอกผู้บังคับการพิเศษเพียงพระองค์เดียว  นายทหารอื่นๆ ในกรมนี้จึงมียศสูงสุดได้เพียงนายพันโท  แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงถวายพระเกียรติยศให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษกองพันที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ  สมเด็จพระพันปีหลวงก็ทรงมีพระยศเป็นเพียงนายพันโทในกรมนี้เท่านั้น   ต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี  ก็ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระเกียรติยศให้ทรงเป็นนายพันโท ผู้บังคับการพิเศษกองพันที่ ๒  กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์  ต่อมาจึงเป็นธรรมเนียมว่า สมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ และรัชกาลปัจจุบันล้วนได้รับพระราชทานพระเกียรติยศให้ทรงเป็นนายพันโท ผู้บังคับการพิเศษกองพันที่ ๑  กรมทหาราบราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ต่อมา อนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว.อรุณ  ฉัตรกุล) เสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ได้ทรงรับราชการในตำแหน่งนายพันโท ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์มาด้วยดี  สมควรจะได้รับพระราชทานเลื่อนพระยศเป็นนายพันอกเป็นกรณีพิเศษ  เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วได้มีพระบรมราชวินิจฉัยให้เลิกธรรมเนียมกำหนดยศสูงสุดสำหรับตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษที่นายพันเอกซึ่งถือปฏิบัติกันมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น  แล้วให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการพิเศษของกรมทหารต่างๆ คงใช้ยศสูงสุดที่ได้รับพระราชทนในกองทัพแทน  แต่ในเวลาแต่งเครื่องแบบเต็มยศสำหรับหน่วยทหารที่เป็นผู้บังคับการพิเศษนั้นแม้จะใช้อินทรธนูและปลอกคอปลอกข้อมือตามชั้นยศจอมพลและนายพลก็ตาม  แต่ให้คงให้ใช้กางเกงสำหรับยศชั้นนายพันนายร้อย  ซึ่งเป็นแถบคู่สีตามเหล่าแทนกางเกงแถบสีบานเย็นสำหรับยศชั้นจอมพลและนายพล จากคุณ : V_Mee - [ 8 ธ.ค. 51 20:05:27 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องของตำแหน่งนายทหารพิเศษที่พูดถึง ผมขอให้แยกเป็นสามประเภท คือ ๑.นายพันเอกพิเศษ ๒.ผู้บังคับการพิเศษ และ ๓.นายทหารพิเศษ ซึ่งทั้งสามตำแหน่งควรแยกว่าพระองค์ใด มีตำแหน่งใด ตามห้วงเวลานั้น ๆจะนำมาเรียกผสมกลมกลืนว่าเป็นอย่างเดียวกัน ผมคิดว่ายังไม่ถูกต้องนัก เพราะปัจจุบัน ตำแหน่ง นายทหารพิเศษ กับผู้บังคับการพิเศษนั้น มีความหมายต่างกัน แต่ผมเองก็ยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่นอนของความต่างกันของทั้งสามตำแหน่ง จึงสันนิษฐานไปตามหนังสือ,คำสั่ง หรือบทความที่ได้อ่าน โดยต้องมีที่มาจากธรรมเนียมฝรั่ง ในการตั้ง colonel in chief เพื่อเป็นเกียรติแห่งกรมทหาร เริ่มจากแปลไทยว่า นายพันเอกพิเศษของหน่วย ตั้งตามแบบธรรมเนียมต่างประเทศ ที่ให้พระราชวงศ์ เป็น colonel in chief นายพันเอกของหน่วย เพื่อเป็นเกียรติยศ เช่น ที่คุณ V_Mee บอกมา “ ร.๖ ทรงเป็นนายพันเอกผู้บังคับการพิเศษ ร.๑๑ รอ. มาตั้งแต่ทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ” แต่ควรใช้คำว่า เป็น นายพันเอกพิเศษ ตามราชกิจจานี้ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2437/044/363_1.PDF (ซึ่งคุณ V_Mee คงทราบแล้วว่า เดิม ร.๑๑ รอ. คือกรมทหารล้อมวัง) ต่อมาผมสันนิษฐานว่า เปลี่ยนจากคำว่า “พันเอกพิเศษของหน่วย” มาเป็นตำแหน่ง “ผู้บังคับการพิเศษ” จึงมีการตั้งให้เป็นผู้บังคับการพิเศษของหน่วยต่าง ๆ และหน่วยมีสิทธิประดับพระนามย่อของพระองค์นั้น ที่บ่ายศ ตามราชกิจจาที่ผมนำมาประกอบ จากคุณ : amm - [ 12 ธ.ค. 51 19:47:44 A:118.173.184.33 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 - ร.๖ ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ และหน่วยทหารปืนใหญ่อื่น ๆ และสมเด็จพระศรีพัชรินทรา ฯ ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่ ๕ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2455/D/2755.PDF - กรมทหารราบที่ ๔ (ราชบุรี) สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2472/D/237.PDF - ร.๗ ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2468/D/3151.PDF และกรมทหารบกม้านครราชสีมา ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ ต่อไปคือนายทหารพิเศษของหน่วย ซึ่งมีการแต่งตั้งกันในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งพระราชวงศ์ และสามัญชน ดังตัวอย่าง - สมเด็จฯพระบรมราชชนนี ทรงเป็นนายทหารพิเศษ และผู้บังคับการพิเศษ ม.๔ รอ. http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2523/D/095/1894.PDF - การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2526/D/096/1.PDF ทั้งนี้ได้แต่งตั้งเพื่อเป็นเกียรติ ทำให้นายทหารผู้นั้น ซึ่งเคยรับราชการในหน่วยรักษาพระองค์มาก่อน เป็นนายทหารพิเศษของหน่วยเดิม สามารถแต่งเครื่องแบบเต็มยศรักษาพระองค์ได้ จากคุณ : amm - [ 12 ธ.ค. 51 19:51:52 A:118.173.184.33 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมได้อ่านราชกิจจา ฯ ที่ผมคิดว่าทำให้คุณ V_Mee เข้าใจว่า ป.พัน.๑ รอ. หรือ ป.๑ รอ. เป็นหน่วยรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ แล้วดังนี้ (ขอแก้ส่วนที่ผิดในข้อความคุณ V_Mee ไปด้วยเลยนะครับ) ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการติดเครื่องหมายพระนามย่อที่อินทรธนู ตามที่คุณ V_Mee บอกไว้ แต่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี ๒๔๗๕ มีการยุบหน่วย จึงเหลือหน่วยทหารรักษาพระองค์อยู่ ๓ กองพัน คือ ๑. กองพันทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดเครื่องหมาย จปร. ที่อกเสื้อ (กองพันที่ ๒ เป็นหน่วยธรรมดา และปัจจุบันคือ ร.๑๑ พัน.๑ รอ.) ๒. กองพันทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ (ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) เมื่อเปลี่ยนรัชกาล ปี ๒๔๖๘, ร.๗ โปรดเกล้า ฯ ให้คงเป็นหน่วยรักษาพระองค์ ของ ร.๖ จึงเป็นสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ติดเครื่องหมาย รร.๖ ที่อกเสื้อ ๓. กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ (ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ซึ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะนั้นคือ ร.๗ หน่วยจึงติดเครื่องหมาย ปปร ตามประกาศในราชกิจจาฉบับนี้ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2475/A/292.PDF จากคุณ : amm - [ 12 ธ.ค. 51 20:01:04 A:118.173.184.33 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ต่อมาเมื่อเข้าสู่ปี ๒๔๗๗ สมัยรัชกาลที่ ๘ หน่วยในข้อ ๑ – ๒ ไม่เปลี่ยนเครื่องหมาย แต่หน่วยทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ ก็ต้องเปลี่ยนเครื่องหมายมาใช้ อปร คือรัชกาลปัจจุบันในตอนนั้น(ร.๘) แสดงว่า กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ไม่ได้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือไม่ได้มีนามหน่วยว่า กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแต่เดิม - พรบ. เครื่องแบบทหาร ๒๔๗๗ (กล่าวถึงกว้าง ๆ) http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2478/A/138.PDF - กฎกลาโหมว่าด้วยเครื่องแบบทหารบก ๒๔๗๗ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2478/A/142.PDF แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ - ต่อมา จึงกำหนดให้กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ใช้เครื่องหมาย อปร. ในกฎกระทรวงฉบับที่ ๒ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2478/A/1198.PDF - หน่วยต่อมาที่กำหนดให้มีเครื่องหมายคือ กองพันทหารราบที่ ๙ ทหารรักษาวัง ฯ ใช้ วปร http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2478/A/2077.PDF - กฎกลาโหม ฉบับที่ ๗ ใช้ ว มีพระมหามงกุฎ และกองพันทหารม้าที่ ๓ ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ มีเครื่องหมาย สผ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2479/A/893.PDF จากคุณ : amm - [ 12 ธ.ค. 51 20:05:42 A:118.173.184.33 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์นั้น เปลี่ยนนามหน่วย เป็นกรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ในช่วง ๒๖มี.ค. ๒๔๗๐ - ๑๕ ต.ค. ๒๔๗๕ (พ.ศ.๒๔๗๕ เปลี่ยนนามหน่วยกองพันเป็นตัวเลขต่อกันไป ตั้งแต่กองพันทหารราบที่ ๑ ฯ ถึงกองพันทหารราบที่ ๑๘ และกรมทหารรักษาวัง วปร. พัน.๑ พัน.๒) เมื่อถูกยุบหน่วยระดับกรมลงไป แต่หน่วยระดับกองพันยังคงอยู่สืบมาถึงปัจจุบันดังนี้ กองพันที่ ๑ เปลี่ยนเป็นกองพันทหารราบที่ ๔ ปัจจุบันคือกองพันทหารราบที่ ๑ (ในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) ศูนย์การทหารราบ หรือ ศร.พัน.๑ กองพันที่ ๒ เปลี่ยนเป็นกองพันทหารราบที่ ๕ ปัจจุบันคือกองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๕ (ร.๕พัน.๑) อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา กองพันที่ ๓ เปลี่ยนเป็นกองพันทหารราบที่ ๖ ปัจจุบันคือกองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค์ (ร.๓๑พัน.๑ รอ.) อ.เมือง จว.ลพบุรี จากคุณ : amm - [ 12 ธ.ค. 51 20:14:12 A:118.173.184.33 X: ]