ซึ่งจริงๆแล้วแนวคิดในการคำนวณดังกล่าวข้างต้นของเรา มันก็ยังมี flaws อยู่อีกหลายๆแห่งที่จะต้องแก้ไข
เมื่อแก้ไข flaws ทั้งหมดได้ ...สมมุติว่าแก้ไขได้...เทคนิคอีกอย่างหนึ่งของ the art of problem solving นั่นก็คือ drop certain conditions at certain stages แล้วค่อยกลับมา satisfy all conditions ในภายหลัง.... เราจะพิสูจน์ได้ว่า กว่าจะเรียนทักษะการแปลจนครอบคลุมความรู้ทั้งหมดเพื่อที่จะแปลให้ได้ดีในระดับเทพนั้น
ทำให้การสอนการแปลแบบอ่านตำราเล่มใดเล่มหนึ่ง หรือแม้กระทั่งอาจารย์ เอา passages หลายๆ passages หรือเอาหนังสือหลายๆเล่ม มาให้นักศึกษาแปล แล้วอาจารย์เฉลยนั้น มันก็ยังไม่ไม่ครอบคลุมการแปลทุกประเภทได้เลย! ดังนั้น วิธีสอนการแปลที่ดีที่สุด ก็คือสอนให้ผู้เรียนสอนตัวเองได้ว่าจะแปลอย่างไร
การที่จะค้นคิดศาสตร์และศิลป์แห่งการแปลชั้นสูงขึ้นมาได้นั้น เราจะต้องใช้วิธีคิดที่พลิกแพลง ซึ่งคนอื่นๆไม่เคยคิด เราต้องใช้ cells สมองส่วนที่คนอื่นๆ ไม่เคยใช้ (แต่คนบ้า ที่เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ไม่โง่ ใช้คิดได้)
วิธีการพลิกแพลงก็มี ดังเช่น
1. ใช้วิชา parapsychology เช่น ใช้ telepathy หรือ esp หรือ clairvoyance สื่อสารกับจิต และ/หรือวิญญาณของผู้เขียน source text (ไม่ว่าเขาหรือเธอหรือครึ่งเขาครึ่งเธอ (กรณีเป็นเพศที่ 3 ที่ 4 หรือไม่มีเพศ) จะอยู่ในภพนี้หรือภพอื่น) นักแปลจะได้ตีความได้ง่ายๆว่าผู้เขียนต้องการจะสื่ออะไร
2. ใช้วิชา psychohistory แบบที่ Isaac Asimov เขียนไว้ในนิยาย (บอกแล้วว่า แม้กระทั่งเรื่องราวในนิยายก็นำมาใช้สอนการแปลให้กับตัวเองได้) มาคำนวณว่า ในอีก ประมาณ 200 ปีข้างหน้า ผู้เขียน source text (สมมุติว่าเป็นคนไทย) ไว้ เป็นหนังสือภาษาไทย จะไปเกิดใหม่เป็นฝรั่งชาวอังกฤษ เราจะต้องมองทะลุเวลา แล้วได้ยินเสียงเขาพูด และเห็นตัวหนังสือที่เขาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เราจะได้รู้คำแปลได้โดยไม่ต้องออกแรงเรียนภาษาอังกฤษมากมายนัก
3. นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องศึกษาในเรื่อง time travel คือเดินทางผ่านเวลาในมิติต่างๆ ไปสู่ภพต่างๆ นั่นเอง
4. ฝึก photographic memory เพื่อที่จะได้จำศัพท์ได้มากๆ และจำ syntax และ sentence structure types ได้มากๆภายในพริบตาเดียว
5. อีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือพยายามคิดค้นระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาซึ่งแทนที่จะควบคุมการทำงานจากระยะไกลได้ด้วย computer devices, programs หรืออะไรเช่นนั้น แต่กลับให้ควบคุมได้ด้วย esp (extrasensory perception) นั่นก็คือเราใช้พลังจิตสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานจากระยะไกล
หากทำเช่นนี้ได้ ตัวเราเองก็จะกลายเป็น walking dictionary/encyclopedia ไปได้ เพราะว่าเราใช้พลังจิตสื่อสารกับระบบคอมพิวเตอร์ที่มี dictionaries และ encyclopedias ที่เป็น software หลายๆชุด ติดตั้งอยู่ และเราค้นข้อมูลจาก google ได้ด้วย esp นั่นก็คือสื่อสารกับ computer network ที่ต่อกับเน็ตความเร็วสูงได้จากระยะไกล
ศาสตร์เหล่านี้ ดูเหมือนเกินขีดความสามารถของมนุษย์ แต่ถ้าเราฝึกสมาธิในระดับสูงๆเพื่อการสื่อสารกับพลังจักรวาล ที่บางศาสนาเรียกว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า หรือองค์เทวา หรือองค์เทวีต่างๆ ได้สำเร็จ เราก็จะได้ instant knowledge ขึ้นมาไวๆเหมือนชื่อบะหมี่
Nothing is impossible. There are no miracles; they are only unknown laws.
ที่เขียนมาเคร่าๆนี้ ไม่รู้ว่า พอจะเป็นหลักสูตรการแปลชั้นสูงได้หรือไม่?
Im not sure. At least I have tried my best.
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 52 11:33:31
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 52 10:29:34
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 52 10:28:09
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 52 09:51:56