ความคิดเห็นที่ 1 วัฒนธรรมที่ว่ามา น่าจะรับมาจากตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ น่าจะเป็นช่วงเปิดประเทศใหม่ ยุค ร.4 นะครับ ยุคนั้นเป็นยุคที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามาก จากคุณ : สนิมเหล็ก เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 12:02:01

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่ถือบุรุษเพศเป็นใหญ่ สตรีเพศนั้นต้องอยู่ในโอวาทหน่ะครับ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 12:20:04

ความคิดเห็นที่ 3 เหอเหอ อ่านวรรณกรรมสมัยเก่าเก่าที่สะท้อยอดีตของไทย นางในวรรณคดีไทย ก็เสียสาวตั้งแต่สิบกลางกลางไม่ครบยี่สิบด้วยซ้ำ แถมหญิงชาวบ้านสมัยโบราณบางถิ่นก็ไม่ใส่อะไรปิดท่อนบนด้วยซ้ำ จากคุณ : ดอกนางแย้ม เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 12:37:47

ความคิดเห็นที่ 4 ผู้หญิงสมัยก่อน แต่งงานตั้งแต่ สิบกลางๆ ส่วนนึงคือเพราะเป็นวัยที่เจริญพันธ์ได้ และสภาพสังคมมันอำนาจ แต่สมัยนี้มันเปลี่ยนไป เพราะสภาพแวดล้อม การงาน และสังคม ทำให้คนเราไม่สามารถแต่งงาน ตอนนี้กลายเป็น เด็กมัธยม มีอะไร ๆ กับผุ้ชายเลยกลายเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไงครับ จากคุณ : เหล่าฟาง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 17:01:58

ความคิดเห็นที่ 5 เคยอ่านบทความอ.นิธิว่าน่าจะเป็นความคิดที่ได้มาจากคหบดีชาวจีน เพราะชาวไทยจริงๆแล้วทำไร่ไถนา ลูกทุกคนเป็นแรงงานในการทำนา มีการลงแขกช่วยกันทำนา การพบปะเจอะเจอกันระหว่างหญิงชายมีสูง ยิ่งเป็นการทำงานในที่กว้าง ปิ๊งปั๊งกันก็หลบไปหลังบึงหรือริมน้ำได้ง่าย โอกาสที่หญิงจะรักนวลสงวนตัวไว้ได้มันยากครับ แต่ถ้าเลี้ยงหญิงแบบให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปพบเจอชายข้างนอก เช่นทำอาชีพค้าขาย มันเป็นไปได้มากกว่า ลูกขุนนางก็คงคล้ายๆกัน จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 17:52:56

ความคิดเห็นที่ 6 มีมาเมื่อไหร่ สมัยไหน อันนี้ผมก็ไมทราบนะครับ ผมอ่านดูแล้วคห.หลายท่าน ก็คิดแนวเดียวกับคุณเหล่าฟาง แต่อยากเสริมอะไรๆ ที่มันผุดขึ้นมาหน่อย อาจไม่ต่อเนื่องแต่น่าจะเห็นภาพ 1.กม.ล้านนาโบราณ ใคร"จับมือถือนม" หญิงอื่น มีโทษปรับไหม พูดง่ายๆ แปลว่า ห้ามแต๊ะอั๋ง ลวนลามนั่นเอง 2. สำหรับวรรณกรรม บางทีมันก็ไม่ได้แสดงถึงตัวแทนทั้งหมด ของคนยุคนั้นอาจเป็นจุดบอดหรือเรื่องไม่งามที่มีอยู่จริง แล้วมานำเสนอก็ได้ไม่น่าจะแปลก 3 สมัยก่อนหญิงโบราณเปลือยอกก็จริง แต่คนที่เขาเห็นทุกวันๆ คงจะชิน ไม่งั้นก็ลองเสริชหารูปคนแอพริกา หรือปาปัว ที่เขาเปลื่อยอกสิ รู้สึกว่ามันเซ็กซี่ไหมหล่ะ 4 ผู้หญิงไทยโบราณ อายุสิบกว่า ประจำเดือนมาก็ออกเรือนกันได้แล้วเป็นเรื่องปกติ (ก็สภาพสังคมมันไม่เหมือนกันนี่น่า หนังสือก็ไม่จำเป็นต้องเรียน) เอายุครุ่นปู่ย่าตายาย หรือทวดเรา คงเคยได้ยินหลายครอบครัวมีลูกเป็นสิบๆ คน 5. การที่ไม่รักนวลสงวนตัว ท้องก่อนแต่ง ท้องไม่มีพ่อ เป็นเรื่องอับอายแก่ครอบครัวอย่างมาก แม้ในยุคปัจจุบัน ใช่ไหม แค่ย้อนไปซัก ยี่สิบปีก่อน ใครในหมู่บ้าน ในชุมชน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แทบต้องย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นกันเลยทีเดียว ยิ่งสมัยก่อนตรวจด DNA กันไม่ได้ ถ้าผู้ชายไม่รับจะทำอะไรได้ ผู้หญิงเสียเปรียบวันยังค่ำ แถมลูกที่เกิดมาก็จะมีปมด้อย บางคนก็ทิ้งลูกให้พ่อกับแม่เลี้ยงแล้วก็หนีหายไปเลย   6. ส่วนเรื่องวัยอันสมควร คงเป็นความรู้สึกว่าถ้าปัญหาหาเลี้ยงครอบครัวได้ก็อยุ่กันไป แต่ในยุคปัจจุบัน ก็รู้ๆกันสำหรับเด็กไทย หลายกรณีไม่พ้นผลลัพธ์ในข้อ5 7. สำหรับค่านิยมผู้ชาย ก็คงเป็นเรื่องกดขี่ทางเพศผสมกับสภาพสังคมโบราณที่ผู้ชายตายง่ายกว่าเพราะสมัยก่อนแบ่งกันว่าผุ้ชายออกไปทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงเลี้ยงลูกทำกับข้าวอยู่บ้าน มีเมียหลายคนช่วยสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละสังคม บางที่ผู้หญิงมีสามีได้หลายคน แต่บางที่การกดขี่รุนแรงกว่าของเรา เหมือนเห็นผู้หญิงเป็นวัตถุก็ไม่ปาน 8. ไมว่าจะเป็นเรื่องรักนวลสงวนตัวหรือฟรีเซ็กซ์ ยังไงก็แล้วแต่ต้องป้องกันตัวเอง จากเอดส์ ท้องก่อนแต่ง เอาลูกไปทิ้งถังขยะ ฯลฯ เหล่านี้เป็นปัญหาสังคมทั้งนั้น จากคุณ : เปิดแนวรบ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 18:00:34

ความคิดเห็นที่ 7 สมัยก่อนนั้นโกนจุกแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ค่ะ แยกบ้านมีครอบครัวได้แล้ว   สภาพแวดล้อมสมัยนั้น เขาทำงานกันได้ตั้งแต่เด็ก พอเจริญพันธุ์ก็พร้อมจะมีครอบครัวของตัวเองได้ ราวๆสิบสามสิบสี่ก็เรียกว่าเหมาะดี ถึงจะอายุสิบสามสิบสี่แล้วมีลูกกระเตงก็ไม่ถือว่าเป็นภาระใครแล้ว รับผิดชอบดูแลลูกและทำงานได้ เดี๋ยวนี้เด็กไทยเรา "เป็นผู้ใหญ่ช้า" กล่าวคือ เพราะมีเรื่องเรียน ไม่ได้ทำงาน การสั่งสอนต่างจากสมัยก่อน ตัวเองยังเอาไม่รอดด้วยซ้ำ ทั้งมุมมองเพศสัมพันธ์ก็เปลี่ยนจากการสืบพันธุ์เป็นการทำเพื่อความสนุก ทั้งเก็บแต้ม ทั้งมั่วสุม เกิดโรค ซึ่งสมัยก่อนไม่มี การมีหลายภรรยา ไม่สามารถใช้บรรทัดฐานปัจจุบันตัดสินได้อีกเช่นกัน เพราะสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องของการเพิ่มแรงงานในครัวเรือนหนึ่ง การมีภรรยาที่สองก็ต้องเลี้ยงดูให้เสมอ ทิ้งขว้างภรรยาหลวงนี่ไม่ได้ค่ะ แล้วจะมีภรรยาน้อยโดยภรรยาหลวงไม่ยอมก็ไม่ได้อีกนะ สมัยนี้ผู้ชายมีเล็กมีน้อยเข้าข่ายชู้ ก็เป็นส่วนที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก วัยอันควรคือ วัยที่รับผิดชอบตัวเองและผลของการกระทำตัวเองได้ ถ้าสิบห้าแล้วพร้อมทุกอย่างก็ได้ กรอบนี้ก็ไม่ได้เคร่งว่าคุณต้องทำ ไม่ทำก็ตาย เราว่าดีที่มีเพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสำนึกที่เหมาะกับสภาพสังคม ถ้าบอกว่า ปิดกันเรื่องเพศ ทำไมสิบสี่มีผัวไม่ได้ ก็ต้องดูว่า "คุณเกิดสมัยไหน และมีอะไรที่เปลี่ยนไปจากอดีตบ้าง" จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 20:08:36

ความคิดเห็นที่ 8 สมัยนี้ค่อนข้างปิดกั้นจริงๆครับ    ดูๆแล้วค่อนข้างฝืนธรรมชาติอย่างมาก    ไม่ว่าอะไรถ้าฝืนธรรมชาติก็มีแต่จะเสื่อมลงเท่านั้นครับ    ไม่มีทางที่ฝืนธรรมชาติแล้วจะเจริญรุ่งเรืองได้หรอกครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 21:33:42

ความคิดเห็นที่ 9   ผลพวงความคิดแบบวิคตอเรียน(อังกฤษ)นะจ้ะ ที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน สังคมไทยสมัยโบร้าณ โบราณ นั้น หญิงเป็นใหญ่(สืบสายตระกูลทางแม่, ศัพท์แสดงความสำคัญ ขึ้นต้นด้วย แม่)  จนเมื่อพรามณ์-พุทธเข้ามา ชายจึงเริ่มเป็นใหญ่เหนือหญิง(ชายบวชได้ หญิงบวชไม่ได้) ค่านิยมชายนั้นมีอยู่ แต่ชายกำหนด โดยสอดคล้องไปกับสังคมและเศรษฐศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ (มีลูกเยอะ ดี-ได้แรงงาน แต่ต้องมีเมียหลาย เพราะเมียนั้นเสียเวลาท้องตั้ง9เดือน) เรื่องอายุนั้น นางพิมพิลาไลนี้เป็นของพลายแก้วก่อน18 แน่ๆ จากคุณ : แมวคาบมีด เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 23:38:14

ความคิดเห็นที่ 10 เอาศีลข้อ ๓ มาเสริมครับ ที่มา: http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=1315.0 กาเมสุมิจฉาจาร ความว่า "กาเมสุมิจฉาจาร" หมายถึง "การล่วงกาเม [แก่บุคคลอันมีผู้ปกครอง] โดยมิชอบ" พระบรมสุคตจึงตรัสถึง "สิ่งอันบุคคลปรารถนาเสมอกัน" ว่าบุคคลทั้งหลายย่อมปรารถนาในเบญจศีล คือ ไม่อยากถูกฆ่า ไม่อยากถูกลักทรัพย์ฉ้อฉล ไม่อยากถูกละเมิดคนในปกครอง ไม่อยากฟังคำเท็จโป้ปด ไม่อยากเป็นคนบ้าเสียสติ ข้อ "กาเมสุมิจฉาจาร" ระดับฆราวาส ถือเป็นการละเมิดศีลต่อเมื่อล่วงละเมิดทางกามแก่บุคคลในปกครองของผู้อื่น ดังรายละเอียดเมื่อครั้งนางอุตตราเทพธิดา กระทำปฏิสันถารด้วยพระมหาโมคคัลลานมหาเถระ ครั้งพระมหาเถระจาริกไปยังดาวดึงสเทวโลก ครั้งนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระพบนางอุตตราเทวธิดา จึงถามว่า "ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ ประหนึ่งดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้ จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน ดูก่อนเทพี ผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ท่านครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ" นาง อุตราเทวธิดาจึงกล่าวตอบว่า "ดีฉันอยู่ครองเรือน ไม่มีความริษยา ความตระหนี่และการตีเสมอ ดีฉันไม่เป็นคนมักโกรธ อยู่ในโอวาทของสามี เป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิจ ในวันอุโบสถ ดีฉันถืออุโบสถประกอบไปด้วยองค์ ๘ ตลอด วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ วันรับ-วันส่ง ดีฉันสำรวมในศีลทุกเมื่อ มีความระมัดระวังชอบให้ทาน จึงครองวิมานอยู่ ดีฉันเว้นขาดจากปาณาติบาต มุสาวาท อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร และเว้นไกลจากการดื่มน้ำเมา ยินดีในสิกขาบท ๕ รอบรู้อริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระโคดมผู้มีพระยศ ผู้มีพระจักษุ ดีฉันนั้นมียศด้วยยศเสวยบุญของตน มีความสุข มีอนามัยก็ด้วยศีลของตนเอง เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉันและโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน ดูกร พระมหาเถระเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงพยากรณ์ดีฉันไว้ในสามัญญผลอันใดอันหนึ่ง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ดีฉันไว้ในสกทาคามิผลแล้ว" ความแปลในพระอรรถกาพระไตรปิฎก อธิบายความบทพระคาถาอันแสดงขอบเขตของศีลกาเมสุมิจฉาจาร มีคาถา "อติจารา" เป็นต้น แสดงเอาไว้โดยละเอียดว่า "ความประพฤติล่วงขอบเขตของโลก ด้วยอำนาจความในฐานะที่ไม่ควรละเมิด ชื่อว่ามิจฉาจาร หญิง ๒๐ จำพวก คือ ๑๐ จำพวกได้แก่หญิงที่มารดารักษา หญิงที่บิดารักษา หญิงที่บิดามารดารักษา หญิงที่พี่ชายรักษา หญิงที่พี่สาวรักษา หญิงที่ญาติรักษา หญิงที่โคตรสกุลรักษา หญิงที่ธรรมเนียมรักษา หญิงที่มีอารักขา หญิงที่มีสินไหมแก่ผู้ละเมิด ๑๐ จำพวก ได้แก่ หญิงที่เขาซื้อมาเป็นภริยา หญิงที่ยอมเป็นภริยาโดยสมัครใจ หญิงที่ยอมเป็นภริยาโดยโภคสมบัติ หญิงที่หอบผ้าหนีตามผู้ชาย หญิงที่แต่งงาน หญิงที่ชายสวมเทริด หญิงที่เป็นทาสีและภริยา หญิงที่เป็นคนงานและภริยา หญิงเชลย หญิงที่ชายอยู่ร่วมชั่วขณะ ชื่อว่าอคมนียฐาน ฐานที่ไม่ควรละเมิด สำหรับชายทั้งหลาย ส่วนชายอื่น ๆ ก็ชื่อว่าอคมนียฐานในหญิงทั้งหลาย เฉพาะสำหรับหญิง ๑๒ จำพวก คือหญิงมีอารักขาและหญิงมีสินไหมรวม ๒ และหญิง ๑๐ จำพวก มีหญิงที่ชายซื้อมาเป็นต้น อคมนียฐานนี้เท่านั้น ท่านประสงค์เอาในบทว่ามิจฉาจารนี่ โดยลักษณะเจตนาก้าวล่วงอคมนียฐาน ที่เป็นไปทางกายทวาร ด้วยประสงค์อสัทธรรม ชื่อว่าอติจาร เจตนางดเว้นจากอติจารนั้น" ข้อความเหล่านี้กล่าวโดยสรุปได้ว่า บุรุษไม่ควรล่วงละเมิดทางเพศต่อสตรี ๒๐ ลักษณะ ดังนี้ ๑. หญิงที่มารดารักษา ๒. หญิงที่บิดารักษา ๓. หญิงที่ทั้งบิดาและมารดารักษา ๔. หญิงที่พี่ชายรักษา ๕. หญิงที่พี่สาวรักษา ๖. หญิงที่ญาติรักษา ๗. หญิงที่โคตรสกุลรักษา ๘. หญิงที่ธรรมเนียมรักษา ๙. หญิงที่มีอารักขา ๑๐. หญิงที่มีสินไหมแก่ผู้ละเมิด ๑๑. หญิงที่เขาซื้อมาเป็นภริยา ๑๒. หญิงที่ยอมเป็นภริยาโดยสมัครใจ ๑๓. หญิงที่ยอมเป็นภริยาโดยโภคสมบัติ ๑๔. หญิงที่หอบผ้าหนีตามผู้ชาย ๑๕. หญิงที่แต่งงาน ๑๖. หญิงที่ชายสวมเทริด ๑๗. หญิงที่เป็นทาสีและภริยา ๑๘. หญิงที่เป็นคนงานและภริยา ๑๙. หญิงเชลย ๒๐. หญิงที่ชายอยู่ร่วมชั่วขณะ (เช่น หญิงนครโสเภณีที่ชายอื่นจับจองแล้วในเวลานั้น บุรุษอื่นไม่พึงละเมิดแย่งชิง หรือลักลอบร่วมรัก) สตรีเหล่านี้เป็น "อคมนียฐาน" หมายถึง หญิงผู้อยู่ในฐานที่ไม่ควรละเมิดสำหรับชายทั้งหลาย (บุรุษไม่ควรร่วมรักต่อสตรีเหล่านี้) บุรุษที่เป็น "อคมนียฐาน" หมายถึง ชายผู้อยู่ในฐานที่ไม่ควรละเมิดสำหรับหญิงทั้งหลาย มีดังต่อไปนี้ ๑. ชายที่มารดารักษา ๒. ชายที่บิดารักษา ๓. ชายที่ทั้งบิดาและมารดารักษา ๔. ชายที่พี่ชายรักษา ๕. ชายที่พี่สาวรักษา ๖. ชายที่ญาติรักษา ๗. ชายที่โคตรสกุลรักษา ๘. ชายที่ธรรมเนียมรักษา ๙. ชายที่มีอารักขา ๑๐. ชายที่มีสินไหมแก่ผู้ละเมิด ๑๑. ชายที่เขาซื้อมาเป็นสามี ๑๒. ชายที่ยอมเป็นสามีโดยสมัครใจ ๑๓. ชายที่ยอมเป็นสามีโดยโภคสมบัติ ๑๔. ชายที่หอบผ้าหนีตามผู้หญิง ๑๕. ชายที่แต่งงาน ๑๖. ชายที่หญิงสวมเทริด ๑๗. ชายที่เป็นทาสาและสามี ๑๘. ชายที่เป็นคนงานและสามี ๑๙. ชายเชลย ๒๐. ชายที่หญิงอยู่ร่วมชั่วขณะ เมื่อสิ้นความเหล่านี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสพระคาถาว่า ตํ หิ ตสฺส สกํ โหติ ตญฺจ อาทาย คจฺฉติ ตญฺจสฺส อนุคฺคํ โหติ ฉายาว อนุปายินี ฯ บุญนั้นแลย่อมเป็นของเขา เขาพาบุญนั้นไป และบุญนั้น ย่อมติดตามเขาไป เหมือนเงาตามไป ฉะนั้น ฯ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 52 17:04:21 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 52 16:59:21

ความคิดเห็นที่ 11 คคห. 10 ของผมนั้นเป็นเรื่องของศีล ๕ ที่สังคมไทยยึดถือกันมานาน เห็นมีหลายท่านยกเรื่องกฎหมายเก่าๆ และช่วงอายุที่แต่งงานสมัยก่อนไปแล้ว เลยเอาเรื่องศีลมาเสริมด้วย แต่สังคมสมัยก่อนก็เหมือนสมัยนี้แหละครับ มีการแหก กฎ ประเพณีเหมือนกัน เช่น ในกลอนของสุนทรภู่กล่าวไว้ว่าเมื่อท่านมีชื่อเสียงมากๆ ก็มีผู้หญิงมาร่วมหลับนอนไม่ซ้ำหน้า โดยมีอะไรกันในเรือแพบ้าง นั่งร้านในสวนบ้าง หรือกรมดำรงเคยบ่นไว้ว่าหญิงชาวบ้านนั้นไม่รักนวลสงวนตัว อาจแสดงว่าค่านิยมนั้นถือเคร่งครัดมากโดยเฉพาะในหมู่ผู้ดี อย่างไรก็ตามปุถุชนย่อมมีกิเลส ถึงมีเรื่องสตรีสูงศักดิ์ลักลอบได้เสียกับผู้ชาย หรือเจ้าจอมหม่อมห้ามมีชู้ (ซึ่งว่าไปก็น่าสงสาร เพราะเป็นสตรีที่ถูกบังคับจากกรอบประเพณี) คำว่าผู้ดีสมัยก่อนหมายถึงท่านผู้มีศักดินา ๔๐๐ ขึ้นไป ส่วน "สมบัติผู้ดี" ที่เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ท่านแต่งนั้น น่าจะเอามาจาก "ผู้ดีอังกฤษ" สมัยวิกตอเรียน ทั้งหลักสุภาพบุรุษ การแต่งกายมิชิดของสตรี ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริงสังคมอังกฤษยุคนั้นก็มือถือสากปากถือศีล ฉากหน้าดูดี แต่เบื้องหลังก็ฟอนเฟะมาก แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 52 19:27:11 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 52 17:38:01 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 52 17:14:06

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่องที่คนมองว่ายุคสมัยก่อนดีกว่ายุคปัจจุบันมีมานานแล้ว ทางวิชาการก็เรียกว่า "Nostalgia" เช่น นักปราชญ์กรีก (น่าจะอริสโตเติล?) กล่าวตำหนิว่าเด็กวัยรุ่นกรีกยุคนั้นไม่มีสัมมคารวะ ไม่เคารพผู้ใหญ่ สังคมกรีกกำลังเสื่อม เป็นต้น (คุ้นๆ นะครับ) อย่างไรก็ตาม ผมว่าในปัจจุบันมันฟอนเฟะมากกว่าสมัยก่อนจริงๆ นะ ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย แต่ทั้งโลก โดยผมมองว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ก่อให้เกิดลัทธิวัตถุนิยม บริโภคนิยม ยุคโลกาภิวัตน์ ความทันสมัยของเทคโนโยีที่ย่อโลกให้เล็กลง ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ จนมองว่าศาสนาเป็นเรื่องงมงาย สิ่งยั่วยุที่เพิ่มขึ้น สถานบันเทิง ยาเสพติด ฯลฯ เพราะในอดีตแม้ว่าจะมีการทำผิดศีลธรรม แต่ก็เป็นเพราะกิเลสอันปุถุชนพึงมี   อีกทั้งในอดีตยังไม่มีสิ่งยั่วยุมาก ครอบครัว ชุมชนมีความเข้มแข็ง แต่ทุกวันนี้ เรื่องผิดศีลธรรมเริ่มกลายเป็นความชินชาในสังคม เป็นแฟชั่น *******ขออภัยที่ออกนอกเรื่องไปมากนะครับ******* ป.ล. ผมก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะครับ ป.ล.๒ เห็นด้วยกับ คคห.7 ของคุณkurika กับ คคห.8 ของคุณzodiac28 ครับ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 52 18:11:45 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 52 17:27:29

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเห็นด้วยนะ จากคุณ : เปิดแนวรบ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 52 17:41:11

ความคิดเห็นที่ 14 คุณแมวคาบมีดครับ ผมมองว่าในระดับครัวเรือน หากไม่ได้เป็นครอบครัวจีน ผู้หญิงก็เป็นใหญ่ในบ้าน มาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยตลอดนะครับ จากคุณ : Plateen เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 52 11:32:53